Monday, 20 May 2024
นิพนธ์บุญญามณี

‘นิพนธ์’ ขึ้นเวทีดีเบต ชู อัดฉีดเงิน 1 ล้านล้าน แก้วิกฤต ศก. มั่นใจ!! ‘ปชป.’ คว้าเก้าอี้ภาคใต้ไม่ต่ำกว่า 40 ที่นั่งแน่นอน

นิพนธ์ ชู นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ อัดฉีดเงินเข้าระบบฯ ทันที 1 ล้านล้านบาท ยกช่วงวิกฤตโควิด จุรินทร์ นั่งพาณิชย์ฯ โชว์ฝีมือเร่งส่งออกกว่า 10 ล้านล้านบาท ชี้ ปัญหาชายแดนใต้ต้องจบที่การพูดคุยเจรจา ย้ำ นโยบายสวัสดิการปัจจุบันล้วนมาจากประชาธิปัตย์

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 บนเวที BIG DEBATE ซึ่งจัดโดยช่อง 7HD และเทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ในรายการ วันเลือกตั้ง 66 #วาระคนไทย BIG DEBATE ตามติดสนามเลือกตั้งภาคใต้

นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับผู้สมัคร ส.ส.ภาคใต้ จาก 8 พรรคการเมือง ที่มาประชันวิสัยทัศน์ แสดงจุดยืนและนำนโยบายมาประชันกัน ณ สวนสาธารณะเมืองสงขลา โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวในเวที BIG DEBATE ว่า วันนี้ประชาธิปัตย์มีนโยบายเติมเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากที่เกิดวิกฤตโควิดมา 3 ปี สิ่งที่ประชาธิปัตย์ประกาศสร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ โดยการสร้างเงินนั่นคือ การที่ประชาธิปัตย์จะอัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านบาท เข้าระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยอัดฉีดเงินเข้าในหมู่บ้าน ชุมชนละ 2 ล้านบาท

ตามด้วยนโยบายประกันรายได้ให้กับเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ปาล์ม ข้าว มันสำปะหลังและข้าวโพด ถ้าไม่มีนโยบายประกันรายได้ ถ้าราคายางลงมาเหลือ 30 บาท เกษตรกรก็จะได้เพียง 30 บาทเท่านั้น แต่ถ้ามีการประกันรายได้ เวลาน้ำยางเหลือ 30 บาท พี่น้องจะได้ส่วนต่างอีก 27 บาท รวมเป็น 57 บาท และราคาปาล์มก็เช่นกัน นี่คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ 

ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา อย่างอื่นเสียหายหมด เครื่องจักรทุกตัวเสียหายหมด เหลืออยู่อย่างเดียวนั่นคือ การส่งออก ปี 2565 เรามีการส่งออกประมาณ 10 ล้านล้านบาท กระทรวงพาณิชย์ดูแลโดยท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สร้างเงินให้ทั้งประเทศ รวมถึงอัดฉีดให้มีเงินกองทุน เอสเอ็มอี ถ้ามีแต้มต่อ เราจะอัดฉีดเงินให้แก่ SME อีก 300,000 ล้านบาท นี่คือการเติมเงิน เติมเลือดเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจ

ดังนั้น เรื่องสร้างเงินให้ประชาชนและประเทศ ประชาธิปัตย์ได้เตรียมไว้หมดแล้ว แม้กระทั่งการไปเจรจา FTA กับต่างประเทศ ซึ่งไม่เคยมีมาหลายสิบปี ประชาธิปัตย์ไปเปิดเวที ไปเปิดการเจรจากัน และเราจะเชื่อมโยงกับต่างประเทศอีก ราว 27-30 ประเทศ และจะสามารถขยายการส่งออกสินค้าอีกมาก เพราะฉะนั้น นี่คือการสร้างเงินให้กับประเทศ และหากส่งออกมากเท่าไหร่ เราก็จะเก็บภาษีคืนมาได้มากเท่านั้น ประชาธิปัตย์จึงคิดนโยบายเรื่องของการเติมเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจขึ้น

นายนิพนธ์ ยังกล่าวอีกว่า ซึ่งทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา จะทำหาดใหญ่ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินในระดับนานาชาติ และเราจะมีกฏหมายพิเศษที่จะเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินมาอยู่ที่หาดใหญ่ ทำเหมือนกับสิงคโปร์ ฮ่องกง และลาบวนของมาเลเซีย

สำหรับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ประชาธิปัตย์ประกาศชัดเจนว่า ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องทำสันติภาพให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อนำไปสู่สันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ คำว่า ‘สันติภาพ’ คือ บัดนี้เราต้องเลิกราฆ่าฟันกัน หยุดเหตุการณ์ที่จะทำให้ถึงแก่ชีวิต เราสูญเสียชีวิตไปแล้ว 7,000 กว่าราย บาดเจ็บนับหมื่น งบประมาณจากปี 47 ที่มีการปล้นปืน จนถึงปัจจุบัน 500,000 กว่าล้านแล้ว เราถมไปเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เพราะปัญหาคือ เราต้องทำให้เกิดสันติภาพก่อน ถ้าเกิดสันติภาพ สันติสุขก็จะเกิด ประชาธิปัตย์จึงมีความมั่นใจว่า การพูดคุยกับกลุ่มคนที่เห็นต่างมันมีความจำเป็น ไม่มีสงครามไหนจะเอาชนะกันได้ด้วยอาวุธ

นอกจากการพูดคุยการเจรจากัน เพื่อหนทางสู่สันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว เรามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง นั่นคือ การแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ ประชาธิปัตย์คิดเรื่องนี้มาอย่างเป็นระบบ เราจัดการเรื่องการศึกษา เราใช้เวลาช่วงนี้จัดการศึกษา จนทุกจังหวัดในพื้นที่ชายแดนให้มีมหาวิทยาลัยหมดแล้ว บัดนี้ ปัญหาคือทำอย่างไร ให้ผู้ที่จบการศึกษา สามารถทำงานที่นี่ มีงานทำที่นี่ได้ โดยไม่ต้องทิ้งบ้านทิ้งเมือง หรือทิ้งพ่อแม่ไว้ข้างหลัง ดังนั้น จึงต้องสร้างงานให้เขาทำ นี่คือสิ่งที่ประชาธิปัตย์จะเดินหน้าสร้างอาชีพ

สงขลา-“หาดใหญ่ปราศัยสร้างสรรค์”ประชาธิปัตย์ จัดทีมเศรษฐกิจ ขึ้นเวที ช่วย นิพัฒน์ เบอร์ 4 เป็น ส.ส.เขต 2 สงขลา ชู ศักยภาพเมืองหาดใหญ่มีความพร้อม

ด้านคมนาคม รองรับการขยายตัวเศรษฐกิจ-แก้ปัญหาจราจร ด้านนิพนธ์ฯ ขอบคุณ ประชาชนที่สนับสนุนปชป. ย้ำ พรรคไม่ทอดทิ้งหาดใหญ่ 

นายนิพนธ์ บุญญามณี  รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  นำขุนพลทีมเศรษฐกิจ  ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ผู้เชี่ยวชาญด้านคมนาคมขนส่งฯ พร้อมด้วยนายเมธี อรุณ (เมธี ลาบานูน (รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์) ผู้สมัคร ส.ส.นราธิวาส เขต 2 นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังกวัดสงขลา นายนิยม พรรณราย รองประธานสภาเทศบาลนครหาดใหญ่ นายประสิทธิ์ ช่วยชูสกุล เลขานุการนายก อบจ.สงขลา ขึ้นเวทีปราศรัยในหัวข้อ "ทิศทางเศรษฐกิจหาดใหญ่จะเป็นอย่างไร" และ เปิดวิสัยทัศน์ของนายนิพัฒน์ อุดมอักษร ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 4 โดยมีพี่น้องประชาชนในเขตเทศนครหาดใหญ่ และประชาชนผู้สัญจรไปมากว่าสองหมื่นคนให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังการปราศรัยอย่างเนืองแน่น  ณ บริเวณลานหน้าหอนาฬิกาหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ซึ่งในส่วนของ ดร.สามารถกล่าวช่วงหนึ่งว่า หาดใหญ่มีทำเลยุทธศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งภาคใต้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องขับเคลื่อนหาดใหญ่ด้วยระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งพรรคมีนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในหาดใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ รถโมโนเรล ซึ่งหาดใหญ่จะประสบปัญหาในเรื่องการจราจรติดในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งอบจ.สงขลาในสมัยท่านนิพนธ์เป็นนายกอบจ.ได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเดี่ยว มีระยะทางยาว 13 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยเริ่มตั้งแต่บ้านพรุ-รถตู้ตลาดเกษตรควนลังในระยะแรก ซึ่งขณะนี้ได้ทำประชาพิจารณ์ และทำในสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยหมดแล้ว ในส่วนระยะที่สองจะขยายเส้นทางจากสถานีน้ำพุ ถนนลพบุรีราเมศวร์ และจากสถานีคอหงส์ไปยังสวนสาธารณะหาดใหญ่ และระยะที่สาม จะเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างสถานีหาดใหญ่ในกับสถานีคลองเรียน จนถึงศูนย์การค้าไดอาน่า ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อรถตุ๊กตุ๊ก  รถสองแถว และวินมอเตอร์ไซด์  

ดร.สามารถ กล่าวต่ออีกว่า เวลานี้ผมมีผลการศึกษา และแบบเบื้องต้นอยู่ในมือแล้ว การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ก็ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะผลักดันให้โมโนเรลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่งก็จะแก้ปัญหารถติดในเมืองหาดใหญ่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นก็มีรถไฟรางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์เชื่อมต่อไปสู่กรุงเทพฯ ซึ่งจะทำให้ย่นระยะเวลาเหลือเพียง 8 -10 ชั่วโมง ซึ่งเป็นรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เพื่อรองรับรถไฟจากประเทศมาเลเซียที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเช่นกัน ซึ่งจะทำให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น และจะทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในหาดใหญ่มากขึ้น รวมถึงจะช่วยกระตุ้นให้มูลค่าการค้าการขายชายแดนระหว่างไทย- มาเลเซียพุ่งสูงที่สุดของประเทศ ราว 660,000 ล้านบาท และในส่วนของถนนมอเตอร์เวย์ พรรคปชป.ทำสายแรกตั้งแต่กรุงเทพ - ชลบุรี โดยทำเป็นมอเตอร์เวย์ จตุรทิศ  หาดใหญ่จากสะเดาไปด่านนอก แบบเสร็จแล้วเหลือเพียงการเจราจากับทางมาเลย์เท่านั้น ซึ่งจะทำให้การค้าขายการส่งออกดีขึ้น อีกเรื่องคือเรื่องของสะพานเชื่อมเกาะสมุย ถ้ามีสะพานใช้เวลาเพียง 20 นาที ซึ่งผมเป็นคนริเริ่มคิดในเรื่องนี้มานานแล้ว โดยทำเป็นแบบสะพานขึง ถ้ามีโครงการเหล่านี้จะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวของชาวมาเลย์และสิงคโปร์เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเราต้องการทำหาดใหญ่ให้เป็นศูนย์กลางขนส่ง และศูนย์กลางการเงินให้ได้ เนื่องจากหาดใหญ่มีความพร้อมในทุกด้าน จึงต้องอาศัยแรงผลักดันจากพี่น้องประชาชนให้ความมั่นใจในพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเลือกนายนิพัฒน์ อุดมอักษร  ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 4 และเลือกพรรคประชาธิปัตย์เบอร์ 26

นิพนธ์ ‘การันตี’ นิพัฒน์ฯเขต 2 สงขลา เหมาะสมกับหาดใหญ่ ‘ชี้’เป็นคนรุ่นใหม่/ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมาก่อน ด้านดร.รัชดาฯ ‘ลั่น’ ปชป.พร้อมนำชาติไปสู่การพัฒนาในยุคศตวรรษที่ 21 ‘เ

ที่ตลาดยรรยง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และคณะ เดินสายขอคะแนนช่วยผู้สมัครในพื้นที่เขต 2 สงขลา นายนิพัฒน์ อุดมอักษร หมายเลข 4  

โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี พร้อมด้วยดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ดร.รัชดา ธนาดิเรก  กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์  พร้อมด้วยผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น สลับกันขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อขอคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครฯ

โดยดร.รัชดา ได้กล่าวบนเวทีปราศรัยตอนหนึ่งว่า จากการที่หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางการศึกษา ศูนย์กลางการแพทย์ ศูนย์กลางการท่องเที่ยว ประโยชน์เหล่านี้ถ้าพัฒนาให้ถูกทิศถูกทางความเจริญจะขยายไปสู่จังหวัดชายแดนใต้ และพื้นที่ตรงนั้นจะเป็นพื้นที่แห่งสันติสุขอย่างแน่นอน วันนี้มาขอคะแนนจากชาวหาดใหญ่ทุกท่าน ว่า 14 พฤษภาคม เข้าคูหากาเบอร์ 26 ให้พรรคประชาธิปัตย์ และชาวหาดใหญ่ขอคะแนนให้คุณนิพัฒน์ เบอร์ 4  ถ้าเลือกประชาธิปัตย์ตนมั่นใจว่าพวกเราจะเป็นพรรคการเมือง เป็นสถาบันการเมือง เป็นนักการเมือง ที่จะนำการพัฒนาลงมาในพื้นที่อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผล 3 อย่างคือมีนโยบายที่ตอบโจทย์พื้นที่ มีนโยบายที่พัฒนาประเทศชาติให้ขับเคลื่อนไปอยู่ในยุคศตวรรษที่ 21 อย่างไม่น้อยหน้าใครในโลกนี้ เราเป็นพรรคที่เป็นสถาบันความเก่าแก่จะไม่มีความหมายเลยถ้าอยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรี เราคงอยู่ยึดมั่นด้วยอุดมการณ์ ทุกย่างก้าวที่เรานำเสนอนโยบายแก่พี่น้องประชาชนมันทำได้จริง อาจจะไม่หวือหวาไม่ลด แลก แจก แถมเหมือนพรรคอื่น แต่มันไม่เคยทำให้ประเทศเจ๊งและเป็นหนี้ เรามีคนที่มีคุณภาพเสนอตัวเข้ามาทำงาน ตั้งคำถามว่าเลือดประชาธิปัตย์กำลังไหลออก ประชาธิปัตย์กำลังจะตายหรือเปล่า ไม่ใช่ เราต้องมองใหม่ที่ว่าจากการที่คนประชาธิปัตย์ไปอยู่พรรคอื่น นั่นคือการบริจาคเลือด เพราะเลือดของเราดีจึงเป็นประโยชน์ต่อพรรคอื่น และเราสร้างคนรุ่นใหม่มาดูแลพี่น้องประชาชน 

ด้านนายนิพนธ์ ได้กล่าวว่า ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ปกติในทางการเมือง ที่ในแต่ละพรรคก็มีโอกาสที่จะมาทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนหลังจากที่ก่อนหน้านั้นก็มีหลายพรรคลงมาในพื้นที่ ประชาธิปัตย์เองก็ลงพื้นที่ปราศรัยอย่างต่อเนื่องมาตลอด ที่สำคัญโค้งสุดท้ายเท่าที่ได้ประสานกับพรรคเอาไว้ ท่านชวน หลีกภัยจะมาในพื้นที่สงขลาในวันที่ 8 จะมาพบกับพี่น้อง จะเป็นการปราศรัยใหญ่ และผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคก็จะมาในวันที่ 8 ซึ่งจะเป็นการปราศรัยใหญ่ระดับจังหวัด สิ่งสำคัญคือวันที่ 3-4 พ.ค.นี้ ท่านชวนจะลงพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ประชาธิปัตย์ได้ปรับแผนในการเดินในพื้นที่ครบทุกจังหวัดมากขึ้น  นอกจากนั้นจะให้ในเขตเลือกตั้งทำงานเต็มที่ในเขตของตัวเอง  รอบนี้จึงขอโอกาสคนที่คราวที่แล้วน้อยใจประชาธิปัตย์บ้าง ไม่ได้ลงคะแนนให้ประชาธิปัตย์ รอบนี้จึงขอโอกาสลงคะแนนให้ประชาธิปัตย์กลับมาร่วมสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคงให้กับบ้านเมืองเรา

ชวน หลีกภัย นำ นิพนธ์-มาดามเดียร์-ดร.เอ้ ลุยชายแดนใต้ แฟนคลับรอส่งกำลังใจแน่นสองข้างทาง

ด้านโต๊ะครู ผู้นำศาสนา สายบุรี นำคณะต้อนรับเพื่อขอบคุณสมัยเป็นนายกรัฐมนตรีได้อุดหนุนร.ร.เอกชนสอนศาสนา พลิกโฉมจนถึงวันนี้ เผย “ท่านชวน เป็นบุคคลที่พวกเราไม่ควรลืม” ที่ สุไหงโก-ลก คณะกรรมการศาลเจ้าโต๊ะโมะ ดีใจ เตรียมจัดเลี้ยงรับรองฯ

นายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภาผู้แทนราษฏร พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นางวทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ และศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานการศึกษาทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางลงพื้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อขอคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดปัตตานี เขต 1 นายสนิท  นาแว หมายเลข 8 ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี โดยเริ่มตั้งขบวนจากโรงแรม ซี เอส ปัตตานี เลี้ยวซ้ายเข้าในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี  ผ่านใจกลางเมือง ต่อจากนั้นนายชวน หลีกภัยและคณะ เข้าสักการะ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งตลอดสองข้างทางได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งได้ส่งเสียงให้กำลังใจ มอบดอกไม้ ให้กับนายชวน หลีกภัย และคณะจำนวนมาก    

จากนั้น คณะของนายชวน หลีกภัย พร้อมด้วยนายยูนัยดี วาบา ผู้สมัครปชป.หมายเลข 6 ได้เดินทางต่อไปยังบริเวณตลาดปาลัส ของอำเภอปะนาเระ และ เขตเทศบาลเมืองตะลุบัน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เพื่อขอคะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชน โดยที่อำเภอสายบุรี นั้น มีโต๊ะครู ผู้นำศาสนา ครูและบุคลากรของโรงเรียน นำโดย ดาโตะนิเดร์ วาบา เจ้าของโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา รอให้การต้อนรับเพื่อแสดงความขอบคุณท่านชวน หลีกภัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวว่า “ท่านชวน หลีกภัย เป็นบุคคลที่พวกเราไม่ควรจะลืม เพราะว่าในช่วงที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีและในสมัยรัฐบาลของท่าน ผมและคณะได้เข้าพบ และได้อุดหนุนให้กับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่านก็ได้รับหนังสือและได้พิจารณาให้การอุดหนุนกับโรงเรียนเอกชน ตั้งแต่สมัยรัฐบาลของท่านจนถึงทุกวันนี้ เป็นการพลิกโฉมโรงเรียนเอกชนสอน
ศาสนาอิสลามในด้านวิชาการสามัญและศาสนาพัฒนาโรงเรียนเอกชนฯ ให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับโรงเรียนต่างๆในภาครัฐ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีขึ้นตามลำดับ ทำให้นักเรียนเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก”
ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น 

จากนั้นในเวลา 17.30 คณะฯพร้อมด้วยผู้สมัครเขต1 นราธิวาส นายวัสสันต์ ดือเร๊ะ หมายเลข 6 ได้ขึ้นรถหาเสียงขอคะแนนจากพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับจากประชาชนในพื้นที่อย่างอบอุ่นจนกระทั่งเวลา 18.45น  เดินทางต่อไปยังอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาสเพื่อพบปะกับคณะกรรมการศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะ ที่มีความรู้สึกดีใจและเตรียมจัดเลี้ยงเพื่อต้อนรับนายชวน หลีกภัย และคณะในการมาเยี่ยมเยียนอีกด้วย


นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘นิพนธ์’ ขอแฟนคลับ ‘ประชาธิปัตย์’ อย่าหวั่นไหวไปตามกระแสโพล ปลุกคนไทยแสดงพลัง 7 และ 14 พ.ค.นี้ เลือก ปชป.ทั้งคนทั้งพรรค

(6 พ.ค. 66) นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยถึงสถานการณ์เลือกตั้ง ที่ขณะนี้มีการพูดถึงคะแนนผลสำรวจ (โพล) ของพรรค ปชป. ว่าไม่อยากให้แฟนคลับประชาธิปัตย์ตื่นตระหนก และสังคมเชื่อไปกับกระแสข่าวดังกล่าว ซึ่งส่วนตัวมองเป็นเรื่องปกติที่พรรคมุ่งในการลงพื้นที่เข้าถึงพี่น้องประชาชน เพื่อนำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์มากกว่า และนโยบายต่างๆ ของพรรคนั้น อาจมองไม่หวือหวา หรือเรียกความสนใจ เพราะพรรคไม่ได้มีการสร้างกระแส สร้างภาพหรือสร้างคอนเทนต์ ให้เป็นที่สนใจ แต่ถ้าพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ของการเสนอนโยบายที่เป็นไปตามกรอบของการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะเห็นว่าสิ่งที่ ปชป.ประกาศนั้น จะสอดคล้องกันระหว่างภาระงบประมาณกับประโยชน์ที่จะตกแก่ส่วนรวมและประชาชน ซึ่งเราเน้นสิ่งที่ทำได้จริง ไม่ใช่จะประกาศเพื่อสร้างกระแส เพราะเราเป็นสถาบันทางการเมืองต้องรัดกุม ไม่สร้างปัญหาให้กับประเทศ ส่วนกระแสข่าวที่ปรากฏนั้นจะเป็นเรื่องสมมติทันที ถ้าพี่น้องประชาชนแสดงพลังเทคะแนนเสียงสนับสนุน ปชป.ในวันที่ 7 และ 14 พ.ค.นี้ เลือกตั้งทั้งพรรคทั้งคน

‘นิพนธ์’ เตือน ต้องระวัง ลงประชามติ แบ่งแยกดินแดน  จะยิ่งสร้างเงื่อนไข การแก้ปัญหาชายแดนใต้ ให้ยากลำบากยิ่งขึ้น

(10 มิ.ย.66) นายนิพนธ์ บุญญามณี รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กระแสข่าวที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดงานเปิดตัว"ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ (Pelajar Bangsa)" ณ ห้องประชุมศรีวังสา ของคณะรัฐศาสตร์ โดยในงานมีการกล่าวปาฐกถา หัวข้อ "การกำหนดอนาคตตัวเอง (Self
Determination) กับสันติภาพปาตานี" และแถลงการณ์ ของประธานขบวนนักศึกษาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น 

นายนิพนธ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้นั้น เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนปราถนาให้เกิดขึ้นจริง ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆที่เข้ามาบริหารประเทศก็ให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่ มีคณะกรรมการต่างๆ ทั้งหน่วยราชการ NGO ภาคเอกชน ต่างลงไปทำศึกษา ช่วยเหลือ ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่การลดความรุนแรง เกิดความสงบสุข อีกทั้ง ยังกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญในเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร เป็นแหล่งผลิตสินค้าฮาลาลเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดโลกมุสลิม ซึ่งที่ผ่านมามีการทุ่มงบประมาณเพื่อเข้าไปจัดการในพื้นที่หลายแสนล้านบาทตลอดระยะเวลา 20 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม 

นายนิพนธ์ ยังกล่าวต่อว่า โดยข้อเสนอที่พยายามขับเคลื่อนมาโดยตลอดเพื่อการแก้ไขปัญหาฯนั้น ต้องน้อมนำแนวทางพระราชทาน”เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เพื่อสร้างความร่วมมือและรับรู้ร่วมกันทำให้ปัญหาที่หลายฝ่ายเรียกร้องได้ถูกแก้ไขได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการเดินตามยุทธศาสตร์ “สันติภาพสู่สันติสุข” คือ การทำให้เกิดสันติภาพ ยุติความขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่สันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องสนับสนุนให้มีการพูดคุยกับกลุ่มต่างๆที่มีความเห็นที่ต่างกันอยู่ในพื้นที่ ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย

สร้างการมีส่วนร่วมในทุกมิติที่มีผลกระทบต่อคนในพื้นที่ ซึ่งถ้าหากไม่สามารถแก้เรื่องความเห็นต่างหรือแก้เรื่องความขัดแย้งไม่ได้ก็ยากที่จะนำสันติสุขมาสู่ชายแดนใต้ ซึ่งตนสนับสนุนการพูดคุยกับทุกกลุ่มและเคยเดินทางไปพบปะพูดคุยกับระดับผู้นำของบางกลุ่มมาแล้ว ทั้งนี้ ตามที่เป็นข่าวในเรื่องของกลุ่มขบวนนักศึกษาแห่งชาติ ที่ได้เปิดหัวข้อพูดคุย เรื่องการกำหนดอนาคตตัวเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี นั้น ถือเป็นประเด็นที่อ่อนไหว ละเอียดอ่อนและส่อขัดต่อรัฐธรรมนูญ และการเคลื่อนไหวเพื่อลงประชามติแบ่งแยกดินแดนดังกล่าวเป็นมุมมองที่ยึดรูปแบบของโครงสร้างเพียงอย่างเดียว คือ ต้องเป็นรูปแบบปกครองตนเองเป็นรัฐอิสระเท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาได้ ในส่วนนี้เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะขาดความเชื่อมโยงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกันจากประชาชนกลุ่มต่างๆในพื้นที่ ซึ่งมีความแตกต่างด้วยความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม และเมื่อปรากฏเป็นข่าวในบรรดาผู้ร่วมเวทีก็ต่างออกมาปฏิเสธ  และเกิดการต่อต้านจากคนในพื้นที่ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความพร้อมเพื่อสื่อสารเรื่องดังกล่าวให้เกิดการรับรู้กับคนในพื้นที่และสาธารณะ โดยหลังจากนี้อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น ของกลุ่มสนับสนุนที่ต้องแสดงออกว่ามีเพียงการแบ่งแยกเท่านั้นจึงจะยุติปัญหาได้ ขณะเดียวกัน การใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่จะเกิดความหวาดระแวงกันมากขึ้น ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกันของประชาชนกลุ่มต่างๆ จนอาจทำให้แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ที่มียาวนานนั้น ยิ่งแก้ไขได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีก

‘นิพนธ์’ ควง ‘สรรเพชญ’ ร่วมพิธีสถาปนา สมาคมฮกเกี้ยนสงขลา  ย้ำจุดยืน เชื้อชาติไหนก็เป็นคนไทยเหมือนกัน มุ่งเน้นทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม

นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมฮกเกี้ยนสงขลา  พร้อมด้วยนายสรรเพชญ บุญญามณี ว่าที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 สงขลา ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมฯ ร่วมในพิธีสถาปนากรรมการบริหารสมาคมฮกเกี้ยนสงขลา ปีบริหาร 2566-2568  มี นายไพโรจน์ สุวรรณจินดา นายกสมาคมฮกเกี้ยนสงขลา สมัยที่ 15  นายอนุสรณ์ โค่ยสัตยา รองนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการสมาคมฯฮกเกี้ยนสงขลา ประจำปีบริหาร 2566-2568 ร่วมให้การต้อนรับ  ณ โรงแรมกรีนเวิล์ด พาเลช สงขลา

ทั้งนี้สมาคมฮกเกี้ยนสงขลา ได้จัดให้มีการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ ในการประชุมใหญ่สามัญสมาชิกฯ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2566 โดยนายไพโรจน์ สุวรรณจินดา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกสมาคมฯคนใหม่ เป็นสมัยที่ 15 พร้อมกับการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารของสมาคม ประจำปีบริหาร 2566-2568  ทางสมาคมฮกเกี้ยนสงขลาจึงได้จัดให้มีพิธีสถาปนาสมาคมฯขึ้น เพื่อเป็นเกียรติและแสดงความยินดีกับคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ของสมาคมฯ พร้อมกับการมอบตราตั้งของสมาคมฯจากนาย คณธร รัตนปราการ นายกสมาคมฮกเกี้ยนสมัยที่ 14  

โดยได้รับเกียรติจาก นางอู๋ ตงเหมย กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลา นายดนัยธร จารุพฤกษ์พันธุ์ ประธานห้าสมาคมจีนสงขลาพร้อมคณะกรรมการสมาคมฯ นายสุรพล กำพลานนท์วัฒน์ ประธานเขตพื้นที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย   และแขกผู้มีเกียรติร่วมในพิธีสถาปนาสมาคมฯและแสดงความยินดีกับคณะกรรมการสมาคมฮกเกี้ยน ประจำปีบริหาร 2566-2568 

นายนิพนธ์กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ คุณคณธร รัตนปราการ  นายกสมาคมฮกเกี้ยนที่ได้ทำหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง และส่งมอบภารกิจของสมาคมฮกเกี้ยนให้กับท่านนายกคนที่ 15 ในวันนี้ ผมจึงถือโอกาสนี้ขอแสดงความยินดีกับท่านไพโรจน์ สุวรรณจินดา และแสดงความยินดีกับคณะกรรมการสมาคมฮกเกี้ยนทุกท่านที่ได้เสียสละ เข้ามาแบกรับภารกิจของสมาคม สิ่งหนึ่งที่พวกเราควรรักษาเอาไว้นั่นคือความรักความสามัคคีในหมู่คนไทยเชื้อสายจีนทุกตระกูลแซ่ ที่เราถือว่าเมื่อเรามาอยู่ในประเทศไทยและได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของพวกเรา จากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงรุ่นของพวกเรา แต่สิ่งหนึ่งที่สอนเรา นั่นคือความรักความสามัคคีช่วยเหลือกัน ผมอยากเห็นบรรยากาศอย่างนี้อยู่คู่กับเมืองสงขลา  หรือแม้แต่อยู่คู่ชาวหาดใหญ่ ซึ่งผมไม่อยากแบ่งสงขลาหรือหาดใหญ่ แต่อยากบอกว่าพวกเราสงขลาทั้งหมดอยากให้มีความรักความสามัคคีกัน และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม อยากเห็นพวกเราร่วมมือกันกับทุกภาคส่วนพัฒนาชุมชนที่พวกเราอยู่อาศัย 

วันนี้จึงดีใจที่เห็นสมาคมฮกเกี้ยนเป็นปึกแผ่น และร่วมมือร่วมในกันที่จะพัฒนาสมาคม นำสมาคมไปสู่การทำกิจกรรมเพื่อสาธารณกุศลต่างๆในวันข้างหน้า ช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสหรือสมาชิกด้วยกันด้วยความผูกพันในความรักความสามัคคี 

ซึ่งท่านกงสุลใหญ่ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน  ท่านได้พูดถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ผมคิดว่าความสัมพันธ์อันนี้เรามีทุกระดับ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งว่า กรมสมเด็จพระเทพฯท่านได้เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนครบครั้งที่ 50 นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ตั้งแต่ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับราชวงศ์มาถึงระดัยฝ่ายบริหารต่างๆมีความใกล้ชิดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน 

ผมจึงขอถือโอกาสนี้ให้กำลังใจทุกภาคส่วนในการที่จะช่วยกันสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีน ดั่งที่พวกเราพูดกันว่าไทยจีนมิใช่อื่นไกล เราพี่น้องกัน จึงอยากให้พวกเรายึดถือสิ่งเหล่านี้ แล้วรำลึกภึงบรรพบุรุษเรามาอยู่ที่นี่ด้วยความยากลำบาก และเราผ่านพ้นวิกฤตทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นด้วยความผูกพันของพวกเรา ด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จึงอยากเห็นสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่และใช้ในการสร้างสานสัมพันธ์ทุกตระกูล แซ่เข้าด้วยกัน

9 กรกฎาคม เลือกหัวหน้าประชาธิปัตย์คนใหม่ จับตา เฉลิมชัย-เดชอิศม์-ชัยชนะ อยู่ฝั่งใคร คนนั้นมีสิทธิ์เข้าวิน

หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรอง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เริ่มมีการเคลื่อนไหวเตรียมเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่หลังเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะได้ ส.ส.มาแค่ 24 คน จากเดิมมีอยู่ 52 คน

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากหัวหน้าพรรค ทำให้กรรมการบริหารพรรคทุกคนพ้นจากหน้าที่ไปด้วย

พรรคประชาธิปัตย์กำหนดว่า จะจัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญในวันอาทิตย์ที่ 9 ก.ค.นี้ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค
สำหรับองค์ประชุมของพรรคประชาธิปัตย์ตามระเบียบพรรค ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงนั้น มีจำนวนไม่น้อยกว่า 250 คน ซึ่งประกอบด้วย ส.ส.ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งครั้งล่าสุด, อดีตส.ส.ที่ยังเป็นสมาชิกพรรค, กก.บห.ชุดรักษาการ, อดีตนายกรัฐมนตรี, อดีตรัฐมนตรี, อดีตหัวหน้าพรรค, อดีตเลขาธิการพรรค, ผู้บริหารท้องถิ่นที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค, หัวหน้าสาขาพรรคหรือตัวแทนประจำจังหวัด, สมาชิกสภาท้องถิ่นที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค, อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 

ทั้งหมดนี้คือโหวตเตอร์ที่จะออกเสียงเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แต่ในแต่ละกลุ่มจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน โดย ส.ส.ที่เพิ่งได้รับการรับรองมาใหม่ จะมีน้ำหนักมากกว่า มากถึง 70% ส่วนที่เหลือมีน้ำหนักแค่ 30#

สำหรับสมาชิกพรรคที่น่าจะลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่น่าจะมีหลายคน ทั้งคนเก่า และคนใหม่ คนเก่าเช่น คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะย้อนกลับมาลงชิงอีกหรือไม่ แต่แรงเชียร์มีแน่นอน

คุณอลงกรณ์ พลบุตร ที่เคยลงชิงมาแล้ว แต่พ่ายแพ้ไป แต่ยังยืนหยัดอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งนี้จะเอาอีกรอบหนึ่งหรือไม่

ส่วนคนรุ่นใหม่ ที่ปรากฏชื่อ อย่างนายกฯชาย เดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ (ไม่รู้ว่าจะนับเป็นคนใหม่ หรือคนเก่า) มี ดร.เด้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หรือใหม่เลยก็จะมีมาดามเดียร์ วทันยา บุนนาค ในวัยแค่ 37 ปี

มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เริ่มมีปัญหากับสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรค (วันหลังจะเขียนให้อ่านกัน) แต่ยังไม่รู้ว่สจะกลับคืนรังหรือไม่ และจะลงชิงหัวหน้าพรรคอีกหรือไม่

กล่าวสำหรับการชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีระเบียบปฏิบัติที่แตกต่างจากพรรคอื่น มีความเป็นประชาธิปไตยสูง ใครลงสมัครก็ต้องออกแรงแสดงวิสัยทัศน์ต่อบรรดาโหวตเตอร์ทั้งหลาย ง่ายๆคือต้องไปหาเสียง หาคะแนนจากผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง

อย่างที่บอก ส.ส.ใหม่ 24 คน เป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักมากที่สุด ใครลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส.ใหม่ โอกาสได้รับเลือกตั้งจึงมีอยู่สูงมาก

ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.มา 24 คน ส่วนใหญ่ 16-17 คนเป็น ส.ส.จากภาคใต้ และเป็น ส.ส.ภาคใต้ที่อยู่ภายใต้สังกัดของเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา และชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช ซึ่งถ้าสองคนนี้ผนึกกำลังกันเชียร์ใคร คนนั้นจึงมีโอกาสชนะ ยิ่งถ้าได้บวกรวมกับพลังของเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรคด้วย ยิ่งจะฉิวเข้าป้าย
 
วิเคราะห์โดยภาพรวม ส.ส.ใหม่ 16-17 คน อยู่ภายใต้การดูแลของ เดชอิศม์ ขาวทอง และชัยชนะ เดชเดโช ส่วนประธานสาขาพรรค และตัวแทนพรรค น่าจะอยู่ในการดูแลของนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองหัวหน้าพรรค ที่เคยดูแลสาขาพรรค และเฉลิมชัย ศรีอ่อน ในฐานะอดีตแม่บ้านพรรค

ส่วนผู้บริหารท้องถิ่น สภาท้องถิ่น ก็น่าจะไม่แตกต่างจากประธานสาขา ตัวแทนพรรค ที่น่าจะฟังนิพนธ์ และเฉลิมชัย

ส่วนอดีตนายก อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส.คงจะมีความเป็นอิสระสูง ขึ้นอยู่กับการล๊อบบี้ของผู้อาวุโส มากบารมี เช่น ชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน ผู้อาวุโสมากบารมีทั้งสองคนจึงเป็นตัวชีเวัดเหมือนกันว่า ใครจะมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค

ถ้าวิเคราะห์กันบนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่ คนที่จะชนะการเลือกตั้ง ต้องได้รับการสนับสนุนจากเดชอิศม์ ขาวทอง ชัยชนะ เดชเดโช เฉลิมชัย ศรีอ่อน นิพนธ์ บุญญามณี รวมถึงชวน-บัญญัติ แต่เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งหมดนี้จะเทคทีมกัน และช่วยดันคนใดคนหนึ่ง

โดยสรุป แต่เฉลิมชัย เดชอิศม์ และชัยชนะ ผนึกกำลังกันเชียร์ใคร คนนั้นก็มีสิทธิ์สูงมากแล้ว แต่ถ้าได้นิพนธ์มาเสริมทีมเดียวกัน ยิ่งฉลุยเลย

นายหัวไทร

‘นิพนธ์’ แนะ กระจายอำนาจ หนุนท้องถิ่นมีส่วนร่วมทางการเมือง เชื่อมั่น!! “เมื่อท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศไทยก็เข้มแข็ง”

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 66 นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเวทีเสวนา การติดตามนโยบายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ของพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้ง หัวข้อ ‘ท้องถิ่นมั่งคั่ง ประเทศมั่นคง’ ในการประชุมและการสัมมนาทางวิชาการสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 ประจำปี พ.ศ.2566 ระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายน 2566 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อาคาร 2 อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี โดยมีผู้แทนจาก พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคก้าวไกล พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย สมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย เข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก

นายนิพนธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การทำงานของถิ่นในบางภารกิจยังมีอุปสรรคในการบริหาร ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุน และแก้ไขอุปสรรคในการดำเนินการภายใต้กติกาที่กำหนดไว้ เพื่อให้งานเดินต่อไปได้และไม่เกิดปัญหาภายหลัง

สำหรับเรื่องจัดเก็บภาษีนั้น ก็ควรมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีพร้อมทั้งพิจารณาจัดเก็บฐานภาษีอื่นๆ เพิ่มเติมที่ทำให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มมากขึ้นสามารถนำมาพัฒนาพื้นที่รับผิดชอบ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน

ในส่วนความคืบหน้าเรื่องกระจายอำนาจ ในขณะนี้อยู่ในแผนที่ 3 แต่ขณะเดียวกัน แผนที่ 1 และ 2 ก็ยังถ่ายโอนไม่หมด ซึ่งควรพิจารณาว่าภารกิจใดที่ท้องถิ่นทำได้ก็ให้เร่งรัดถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณพร้อมบุคลากรให้ท้องถิ่นได้ดำเนินการ เพราะการถ่ายโอนภารกิจใดไปและดำเนินการไม่ได้อาจจะถูกดึงภารกิจกลับ ซึ่งเรื่องกระจายอำนาจนั้นสามารถทำได้ทันทีโดยนายกรัฐมนตรี ต้องนั่งเป็นประธานคณะกรรมการกระจายอำนาจฯ กำหนดนโยบายการถ่ายโอนภาระกิจ ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน

นายนิพนธ์ยังกล่าวด้วยว่า การป้องกันการทุจริต ปัจจุบันมีการพัฒนาในกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เช่น การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนการตรวจรับงานจ้าง รวมถึงการสร้างความโปร่งใสในการบริหารงานท้องถิ่น ดังนั้น จึงไม่ควรนำเรื่องทุจริตมาปิดกั้นการกระจายอำนาจ เพราะการกระจายอำนาจ คือการสร้างการมีส่วนร่วมการเมืองภาคประชาชนได้ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่า “เมื่อท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศไทยก็เข้มแข็ง”
 

‘นิพนธ์’ หนุนแนวทาง ‘อภิสิทธิ์’ เน้น ต้องทำให้พรรคมีเอกภาพ คิดถึงอนาคตเป็นหลัก

วันที่ 25 มิ.ย. 66 – นายนิพนธ์ บุญญามณี รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้า การประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเลือก หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร(กก.บห.) พรรคฯชุดใหม่ ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้คุยกัน แต่ส่วนตนคิดว่า หลังได้อ่านคำสัมภาษณ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา เห็นว่า แนวทางที่ท่านเสนอมา จะทำให้พรรคฯ เดินไปข้างหน้าได้
การสร้างเอกภาพภายในพรรคฯเป็นสิ่งจำเป็น ตนจึงเห็นด้วยกับแนวทางของ นายอภิสิทธิ์ เพราะเรามีบทเรียนมาหลายครั้งแล้ว ก่อนจะพูดถึงเรื่องตัวบุคคลในประชาธิปัตย์ ใครก็ได้มีคนที่เหมาะสมอยู่แล้ว

“ดังนั้นวันนี้เราต้องคุยกันและต้องเห็นพ้องต้องกันก่อนว่า ถ้าจะแก้ปัญหาได้จะทำอย่างไร พรรคฯเรามีบทเรียนมาหลายครั้งหลายรอบแล้ว ถ้ามันไม่มีเอกภาพจะเดินไปข้างหน้าลำบาก ฉะนั้นการทำให้พรรคฯมีเอกภาพเป็นสิ่งจำเป็น

ผมยังเห็นด้วยว่า ถ้าคุยกันได้ก็ต้องคุยกัน เราไม่ใช่คนอื่นคนไกล ทุกคนเป็นคนในพรรคฯ ด้วยกัน มีอะไรก็ต้องคุยกัน และในทางการเมืองมันไม่มีใครได้อะไรร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ทุกอย่างก็ต้องคุยกันแบบพี่แบบน้อง คุยกันฉันพี่ฉันน้อง ซึ่งเป็นเรื่องของคนภายในพรรค” นายนิพนธ์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณี สื่อมวลชนหลายสำนักวิเคราะห์ตรงกันว่า กลุ่ม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคฯ ยังกุมความได้เปรียบเรื่องเสียงโหวตตามข้อบังคับพรรคฯ อยู่ ที่ 70 ต่อ 30 เปอร์เซ็นต์ นายนิพนธ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่ฝั่งของใคร ทุกคนเป็นประชาธิปัตย์ และตนเชื่อมั่นในประชาธิปัตย์ คิดว่าทุกคนคิดถึงอนาคตของพรรคฯเป็นหลัก
ตัวบุคคลเรามาแล้วก็ไป แต่พรรคต้องอยู่ ตัวบุคคลเราเปลี่ยนมาเยอะหลายยุคแล้ว ย้อนไปตั้งแต่สมัยตนเคยเป็นยุวประชาธิปัตย์ นายพิชัย รัตตกุล เป็นหัวหน้าพรรคฯ นายพิชัย ไป นายชวน หลีกภัย มาเป็นหัวหน้าพรรคปชป. พอ นายชวน ไป นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็มาเป็นหัวหน้าพรรคฯ นายบัญญัติ ไปนายอภิสิทธิ์ ก็มา พอ นายอภิสิทธิ์ ไป นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ก็มาเป็นหัวหน้าพรรคฯ

“ตัวบุคคลไปได้ แต่พรรคจะต้องอยู่ แต่ถ้าเราคิดว่าตัวบุคคลมาก่อนพรรค อันนี้มันเป็นคนละหลักการแล้ว แต่สำหรับผมที่เคยอยู่มาตั้งแต่สมัยยุวประชาธิปัตย์ คิดว่าตัวบุคคลเปลี่ยนได้แต่พรรคจะต้องอยู่ ฉะนั้นในฐานะที่เป็นพี่เป็นน้องกันมีอะไรก็คุยกันฉันพี่ฉันน้อง คุยกันฉันท์มิตร”นายนิพนธ์ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top