Monday, 7 July 2025
ทักษิณชินวัตร

‘ยิ่งลักษณ์’ อวยพรวันเกิด ’ทักษิณ’ ครบรอบ 75 ปี ลั่น!! ดีใจปีนี้เป็นปีที่สมบูรณ์ที่สุดของพี่

(26 ก.ค. 67) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชันเอ็กซ์ (x) พร้อมรูปภาพคู่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชาย โดยระบุว่า…

“Happy Birthday พี่ชายสุดที่รักของน้อง ดีใจที่ปีนี้เป็นปีที่สมบูรณ์ที่สุดของพี่ ขอให้พี่มีความสุข สุขภาพแข็งแรงแบบนี้ตลอดปีและตลอดไปนะคะ ด้วยรักและเคารพพี่ชายเสมอค่ะ” 

อ่านเกม 'ทักษิณ' พยัคฆ์ติดเทอร์โบ บนผังอำนาจใหม่ ในวันที่ 'นายใหญ่' ไม่เหนือกว่า 'ครูใหญ่' อีกแล้ว

ต้องบันทึกไว้ในปฏิทินการเมืองว่าวันที่ 26 ก.ค.2567 วันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 75 ปี ย่างสู่ปีที่ 76 ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย หากย้อนคิดย้อนมองต้องบอกว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจไม่น้อย...

ทักษิณถูกรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.2549 ขณะไปประชุมยูเอ็นที่สหรัฐฯ ข้ออ้างหลักของรัฐประหารคือ รัฐบาลทุจริต-คุกคามสถาบัน...แทรกแซงองค์กรอิสระ ทักษิณต้องระเหเร่ร่อนอยู่ร่วมปีครึ่ง กระทั่ง 28 ก.พ.2551 ได้กลับบ้านมากราบแผ่นดินช่วง สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่ ก.ค.2551 ก่อนศาลฎีกานักการเมืองจะตัดสินคดีที่ดินรัชดา 'ทักษิณ' รู้แกวว่าจะติดคุก ขอเดินทางไปต่างประเทศดูกีฬาโอลิมปิก 'ปักกิ่งเกมส์' แล้วไม่กลับมาอีกเลย ตะลอนร่อนเร่เป็นสัมภเวสีอยู่ร่วม 17 ปี ถูกตัดสินคดีทุจริตอีก 3 คดี กระทั่งได้เดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อ 22 ส.ค.2566 เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อรับโทษ แต่ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงก็อ้างป่วยหนักไปนอนพักที่ รพ.ตำรวจ จากนั้นทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี...

นอนพักรักษาตัวจนได้รับฉายา 'นักโทษเทวดา' กระทั่ง 18 ก.พ.2567 ได้รับการพักโทษ ไม่ปรากฏอาการป่วยอีก กระทั่ง 26 ก.ค.2567 จัดงานฉลองวันเกิดครบรอบ 75 ปี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวชินวัตร (75 no place like home)

จากนี้นับถอยหลังไปวันที่ 22 ส.ค.จะถึงวันพ้นโทษ  ได้รับใบบริสุทธิ์ หรือใบสุทธิจากกรมราชทัณฑ์...คาดว่าทักษิณน่าจะเป็นพยัคฆ์ติดเทอร์โบ

ก่อนถึงวันคล้ายวันเกิด 26 ก.ค.ทักษิณไปพักผ่อนสังสรรค์และออกรอบที่รีสอร์ต-สนามกอล์ฟของ อนุทิน ชาญวีรกูล Rancho Charnvee Resort and Country Club ปากช่อง พร้อมนักการเมืองและเจ้าสัวพลังงานอย่าง สารัชถ์ รัตนาวดี เมื่อ19-20 ก.ค. 

หลังจากนั้นวันที่ 24 ก.ค.ซีอีโอของคิงส์ พาวเวอร์  อัยยวัฒน์ เปิดโรงแรมพูลแมน ย่านซอยรางน้ำ เลี้ยงวันเกิดล่วงหน้าให้อีกงาน ตามด้วยค่ำ 25 ก.ค.พบว่าบรรดาเจ้าสัว-นักการเมืองรัฐมนตรีไปร่วมกันจัดเลี้ยงล่วงหน้าให้อีกงานที่โรงแรมยูสาทร...มีเจ้าสัวพลังงานไปปรากฏตัวด้วย...

ทั้งหลายทั้งปวงก็เพียงต้องการบันทึกปรากฏการณ์นี้ไว้...

ที่จะวิเคราะห์ขีดเส้นใต้หมายเหตุไว้สั้น ๆ ณ โอกาสนี้มีเพียงว่า...ภายใต้ปรากฏการณ์นี้ดูเหมือนเส้นทางของ 'นายใหญ่' จะรื่นรมย์สมปรารถนาแทบทุกอย่าง แต่โดยแท้จริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่...

ด่านสำคัญยิ่งคือ ลุ้นระทึกว่า 14 ส.ค.ที่จะถึง 'เศรษฐา ทวีสิน' จะหลุดจากตำแหน่งหรือไม่...ถ้าหลุดว้าวุ่น...งานเข้าแน่นอน เพราะโอกาสที่เกมจะไหลไปถึงอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ นั้นมีค่อนข้างสูง ด้วยเหตุข้อจำกัดของ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร...หรือแม้กระทั่ง ชัยเกษม นิติสิริ...สองแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย

การบุกถ้ำ 'หนู อนุทิน' เมื่อ 19-20 ก.ค. จึงเป็นเกมเหนือชั้นเผื่อเหลือเผื่อขาดของทักษิณ แสดงให้เห็นถึงความแนบแน่นกับอนุทิน 'ลูกน้องเก่า'...ไม่ว่าอนุทินจะขึ้นเป็นนายกฯ หรือไม่ ทักษิณก็โชว์ให้เห็นว่าเป็นหนึ่งเดียวกับอนุทิน...

แต่ลึกลงไป...ทักษิณรู้ดีว่า เหนืออนุทินยังมี เนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่แห่งขั้วอำนาจสีน้ำเงิน ที่ว่ากันว่า...สามารถสถาปนาสภาสูงชุดใหม่ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด...ชนิดที่ 'ทักษิณ' เห็นแล้วแทบจะเป็นลม...

และอาจจะเป็นลมแบบไม่รู้ตัว หากได้ไปชมงานสุดสัปดาห์มหามงคลที่บุรีรัมย์ งานแสงสีเสียงอลังการ  บทบรรเลงของวงดนตรีซิมโฟนีออร์เคสตร้า กระหึ่ม...

ต้องฟันธงตั้งเอาไว้ตรงนี้เพื่อมาอธิบายขยายความในโอกาสต่อไปว่า...วันนี้ดุลอำนาจของขั้วน้ำเงินนั้นเริ่มเหนือกว่าขั้วแดงจันทร์ส่องหล้า ที่เหลือเพียงจำนวน สส.ที่มากกว่า และยังเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น เพราะหากกางผังอำนาจอย่างอื่น  รวมทั้งสภาสูงที่มีอำนาจพิเศษในการจัด วางองค์กรอิสระ...ต้องบอกว่าวันนี้ 'นายใหญ่' ไม่เหนือกว่า 'ครูใหญ่' อีกแล้ว...

นี่คือ ปฐมเหตุทำให้นายใหญ่...เล่นเกมถอย...ประนอมอำนาจกับขั้วน้ำเงิน...เพื่อซื้อเวลา ตั้งหลักแล้วรุกต่อบนกระดานอำนาจที่ไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว - ทราบแล้วเปลี่ยน!!

‘วันชัย’ ฟาดใส่ ‘เฉลิม’ น่าสมเพชเวทนา แก่หงำเหงอะ เลอะเลือน ชี้!! วันเวลาฆ่าแม้กระทั่ง ‘ดาวสภา-ขุนศึกฝั่งธน’ หมดคนเกรงกลัว

(27 ก.ค.67) นายวันชัย สอนศิริ อดีตสว. โพสต์ข้อความเรื่อง ‘อยู่ให้คนอิจฉา ดีกว่าอยู่อย่างน่าสงสาร’ ในเพจเฟซบุ๊กทนายวันชัย สอนศิริ เตือนสติ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย 

กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตอบโต้สั้น ๆ ‘สงสารเขา อายุเยอะแล้ว’ ระบุว่า นายทักษิณได้ตอบคำถามของนักข่าว ที่ถามถึงเรื่องร.ต.อ.เฉลิม ให้สัมภาษณ์และท้าดีเบตว่า ‘อย่าไปพูดถึงเขาเลย สงสารเขา ผมสงสารเขา เขาอายุเยอะแล้ว’ นั้นถ้าตนเป็นร.ต.อ.เฉลิม จะรู้สึกเจ็บจี๊ดเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจ ทะลุเข้าไปถึงตับไตไส้พุง เพราะคำพูดว่า สงสาร เขาอายุเยอะแล้ว มันเหมือนกับคำพูดที่ว่า สมเพชเวทนา แก่แล้ว หมดสภาพแล้ว ไม่อยากยุ่งด้วย ปล่อย ๆ เขาไปเถอะ

มีคำสั่งสอนที่พูดกันมานานว่า ต้องอยู่ให้คนอิจฉา อย่าอยู่อย่างน่าสงสาร หมายความว่าคนที่ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง มีฐานะมีตำแหน่ง มีเกียรติยศชื่อเสียง คนมักจะอิจฉาตาร้อนริษยานินทาว่ากล่าว น่าหมั่นไส้ แต่คนที่ยากจนข้นแค้นต้อยต่ำ ไม่มีฐานะตำแหน่งชื่อเสียงเกียรติยศ หมดสภาพ แก่หงำเหงอะ เลอะเลือน คนเขาก็จะสมเพชเวทนา ช่างน่าสงสารเสียจริง เป็นมนุษย์จึงต้องอยู่ให้คนอิจฉา อย่าให้คนสงสาร นายวันชัยระบุ

นายวันชัย ระบุต่อว่า คุณเฉลิม ออกมาคราวนี้ เสียงก็เหือดแห้ง แรงก็โหยหา น้ำยาก็หมด จะกระโชกโฮกฮากใส่ใครก็ไม่มีใครเกรงกลัว หลานอุ๊งอิ๊งก็ยังดีดออก คุณทักษิณก็บอกว่าสงสารเขา เขาอายุเยอะแล้ว คงไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรมากไปกว่านี้ วันเวลามันฆ่าทุกสิ่งทุกอย่าง ฆ่าแม้กระทั่งดาวสภา ขุนศึกฝั่งธน ฉลามและเฉลิม ผมละสงสารจับใจ ว่าง ๆ ไปกราบหลวงพ่อสัมฤทธิ์ประสิทธิโชค วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน บ้างก็จะดีนะ จะได้มีคนอิจฉา

สรุป 13 แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจไทยในมุม 'ทักษิณ ชินวัตร' เรื่องสำคัญ 'ดิจิทัลวอลเล็ต-ทุนจีน-ศก.ใต้ดิน-รถไฟฟ้า 20 บาท'

(23 ส.ค.67) Business Tomorrow เผย 13 แนวคิดพัฒนาเศรษฐกิจไทย ในมุม 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี หลังร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ณ พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน เนชั่นทีวี จัดดินเนอร์ทอล์ก หัวข้อ Vision For Thailand 2024 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ดังนี้...

1.) โจทย์เร่งด่วนดูแลเศรษฐกิจไทย : ปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนและธุรกิจให้เดินต่อให้ได้ นโยบายการคลังและนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยไปในทางเดียวกัน แต่เคารพความเป็นอิสระแบงก์ชาติ

2.) โครงการดิจิทัล วอลเล็ต : เสนอให้ใช้ดิจิทัล วอลเล็ต ในเฟสแรกเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจะยังคงใช้งบประมาณที่เตรียมไว้ 1.45 แสนล้านบาทมาใช้แจกให้กับ 14.5 ล้านคน กลุ่มเปราะบางและคนพิการก่อนคนละ 10,000 บาท และเฟสต่อไปเดือน ต.ค.อีก 30 ล้านคนใช้ระบบดิจิทัล วอลเล็ต ยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว ทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจใช้ระบบ 'บล็อกเชน' ชุ่มฉ่ำทั่วถึง, รากหญ้าเรียนรู้เทคโนโลยี, ประชาชนได้รับบริการภาครัฐ ซุปเปอร์แอป อนาคตอาจขายพันธบัตรรัฐบาลผ่านประชาชนรายย่อย ให้ประชาชนใช้แทนเงินสด เป็นผลมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ

3.) Entertainment Complex : นายทักษิณมองว่าควรดึงเอกชนมาลงทุนเริ่มแสนล้านบาท สร้าง Entertainment Complex ในกรุงเทพฯ เพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเน้นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเสริมสิ่งที่ประเทศไทยยังขาด เช่น คอนเสิร์ตฮอลล์และสนามกีฬา ส่วนพื้นที่คาสิโนมีไม่ถึง 10%

4.) ถมทะเลบางขุนเทียน-ปากน้ำ : เสนอการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและลดความแออัดในกรุงเทพฯ โดยให้ใช้รถไฟและรถไฟฟ้าเป็นการเดินทางหลัก เพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มพื้นที่ท่องเที่ยว

5.) รถไฟฟ้า 20 บาท : ยืนยันว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทต้องทำให้ได้ โดยอาจต้องเวนคืนรถไฟฟ้าที่เอกชนบริหารมาเป็นของรัฐ แล้วจ้างเอกชนบริหารต่อ

6.) การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและการลงทุนในดาต้าเซนเตอร์ : แนะนำให้เชิญชวนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยเพื่อปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

7.) ดึงรถ EV พวงมาลัยขวามาผลิตในไทย : เสนอให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถ EV พวงมาลัยขวาจากจีน และรักษาอีโคซิสเตมอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย ส่วนประเด็นสินค้าจีนตีตลาดกระทบ SME ไทย แนะเร่งพัฒนาเพิ่มมูลค่า จี้รัฐตรวจสอบสินค้าผิดกม. ยันไม่รังเกียจทุนจีน แต่ต้องแข่งขันเท่าเทียม

8.) แนวทางการจัดการเขตทับซ้อนทางทะเลและทรัพยากรธรรมชาติ : นายทักษิณเสนอให้แบ่งทรัพยากรในเขตทับซ้อนทางทะเลคนละ 50% เช่นเดียวกับที่เคยทำกับมาเลเซียชี้ว่าน้ำมันและแก๊สในพื้นที่นี้อาจหมดความสำคัญในอีก 20 ปี เนื่องจากการหันไปใช้พลังงานสะอาดกำลังให้มีการศึกษาแนวทางของนอร์เวย์ในการแบ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติให้กับประชาชนทั้งประเทศ แนวทางนี้จะช่วยลดต้นทุนพลังงานถูกลง 

9.) ศูนย์กลางทางการเงิน : ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน โดยศึกษาตัวอย่างจากดูไบและสิงคโปร์

10.) ขายที่ดินให้ต่างชาติ : เสนอแนวทางขายที่ดินให้ต่างชาติโดยให้สัญญาเช่า 99 ปีให้กรมธนารักษ์ดูแล และจำกัดการใช้ที่ดินเพื่อป้องกันการนำไปทำการเกษตรแข่งขันกับคนไทย

11.) กองทุนวายุภักษ์ : เสนอขยายกองทุนวายุภักษ์เพื่อซื้อหุ้นกลับมาหากราคาต่ำกว่าที่ควร

12.) ปรับภาษี : แนะให้ปรับภาษีให้เป็นธรรมและแข่งขันได้ โดยเฉพาะภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา พร้อมกับใช้เทคโนโลยีใหม่ในการคืนภาษีอย่างรวดเร็ว

13.) เศรษฐกิจใต้ดิน : เศรษฐกิจใต้ดินมีขนาดใหญ่กว่า 49% ของ GDP จำเป็นต้องดึงเศรษฐกิจเหล่านี้ขึ้นมาอยู่บนดิน

‘ทักษิณ’ กับปรากฏการณ์ 4 จบ บาดลึก ‘เนวิน-หญิงหน่อย-ลุงป้อม-ชวน’

ในปี 2551 มีวลีฮิตทางการเมือง “มันจบแล้วครับนาย” รับทราบกันว่าเป็นคำพูดคำจาจาก...ครูใหญ่เนวิน ถึงนายใหญ่ทักษิณ ก่อนแยกกันทางเดิน เป็น 16 ปีแห่งความหลัง

ถึงพ.ศ.นี้ 2567 ไม่น่าเชื่อ.. ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่ระเหเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ ข้ามผ่านกาลเวลาจากคนหนีคุกโทษ 10 ปี เหลือ 8 ปี เพราะคดีที่ดินรัชดา (2 ปี) หมดอายุความ และปี 2566 ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี ก่อนสุดท้าย 17 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา..ได้พ้นโทษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลับมาเป็น ‘ศูนย์กลางอำนาจ’ ทางการเมือง

ทักษิณผลักดันลูกสาวเป็นนายกฯ ได้สำเร็จ แคนดิเดตนายกฯ อย่างอนุทิน ชาญวีรกูล ลูกศิษย์ครูใหญ่เนวินยังต้องหลีกทางให้ตามปฏิญญาเขาใหญ่…

“มันจบแล้วครับเน...” บางทีวลีนี้อาจเป็นวลีที่ทักษิณ ชินวัตร ร้องดัง ๆ อยู่ในใจด้วยความสะใจ...

ไม่เพียง “มันจบแล้วครับเน..” จากปรากฏการณ์การจัดตั้งรัฐบาลอุ๊งอิ๊งรอบนี้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทักษิณคือ ‘ผู้จัดการรัฐบาล’ ตัวจริง ยังได้ปฏิบัติการอีก 3 จบ...

“มันจบแล้วครับหน่อย..” อันหมายถึงกรณีที่ 6 สส.พรรคไทยสร้างไทย พรรคฝ่ายค้าน ที่คุณหญิงหน่อย-สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นแม่ทัพได้พร้อมใจกันโหวตสนับสนุนแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ ฉีกหน้าหญิงหน่อย..!!

“มันจบแล้วครับลุง..” หรือ “มันจบแล้วครับป้อม..” กรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถูกผ่าเป็นสองซีก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ประกาศอิสรภาพ ปลดแอกแยกทางกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ หัวหน้าพรรค แบบไม่ไว้หน้า...แม้ฝ่ายบิ๊กป้อมจะงัดเอาระเบียบข้อบังคับพรรคมาใช้แต่ก็ไร้ผล เพราะประมุขบ้านจันทร์ส่องหล้าเคาะมาหลายเพลาแล้วว่า รอบนี้ไม่มีป้อม พปชร. แต่จะมี ปชป. มาเสียบแทน…

“มันจบแล้วครับนายหัวชวน..” นี่ก็น่าจะเป็นอีก 1 กรณีที่สถานการณ์เข้าทางทักษิณในการเอาคืนชวน  หลีกภัย เจ้าของวลี “ระวังไม่มีแผ่นดินจะอยู่” วลีที่กล่าวเตือนทักษิณเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน…และเป็นที่รู้กันว่ากว่า 20 ปีที่พรรคประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยเป็นคู่ต่อสู้หลักทางการเมืองกันมา...20 กว่าปีที่พรรคทักษิณแจ้งเกิด สส.ภาคใต้ได้เพียง 1 ที่นั่งหลังเหตุการณ์สึนามิ (สส.กฤษณ์ ศรีฟ้า) นอกจากนั้นผุดเกิดไม่ได้เพราะนายหัวชวนกับพลพรรคสะกดมนต์...

แต่การเมืองรอบนี้ทักษิณเปิดทาง 25 เสียง ปชป. ให้เข้าร่วมรัฐบาล...ว่ากันว่านี่คือเป็นการเชือดสยองพรรคการเมืองที่มีอายุ 78 ปี อย่างปชป. ที่แกนนำพรรคขณะนี้พยายามอธิบายการเข้าร่วมรัฐบาลแบบไม่กลัวปลาหมอคางดำว่า…เราไม่จมอยู่กับอดีต..!!??  

อีกไม่กี่เพลา...โฉมหน้าครม.นายกฯ อิ๊งก็จะปรากฏเป็นทางการ…ในแง่บวกอานิสงส์จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง ‘มาตรฐานทางจริยธรรม’ กรณี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ก็ทำให้การตรวจสอบคุณสมบัติ ครม. เข้มข้นขึ้น นักการเมืองสีเทาบางรายต้องเสียสละพักรบ...เพื่อเซฟตี้คัทให้นายกฯ อิ๊ง...

แต่ขณะเดียวกันตัวนายกฯ อิ๊ง ก็คงกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย เพราะบรรดานักร้องได้จองกฐินที่จะยื่นคำร้อง…อันเนื่องจากคุณสมบัติที่อาจจะโยงใยกับมาตรฐานจริยธรรม…โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีถือหุ้นในบริษัทอัลไพน์ฯ 30% อันเป็นบริษัทที่โยงใยการใช้ที่ดินที่เป็นที่ธรณีสงฆ์…

แต่เชื่อว่าทีมงานนายกฯ คงจะจัดระบบ ‘เซฟตี้ คัท’ ไว้หมดแล้ว…จากนี้ไปหลัก ๆ ก็คือรอฟังปฏิกิริยาประชาชนต่อหน้าตาของ ครม. และนโยบายที่แถลงหลังการถวายสัตย์ฯ ในเดือนก.ย.

22 ส.ค.ที่ผ่านมาคุณพ่อทักษิณไปปาฐกถา ‘VISION FOR THAILAND’ เสนอนโยบาย-มาตรการ 13-14 เรื่องสำคัญ ๆ ตั้งแต่ปรับรูปแบบดิจิทัล วอลเล็ต, เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ยันรีบเอาพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา มาใช้...ก็คาดว่าอย่างน้อย 60 % ที่คุณพ่อพูด คุณลูกในฐานะนายกฯ ก็คงนำมาใช้เป็นนโยบายรัฐบาล…

เชื่อพ่อครึ่งหนึ่งคงไม่เท่าไหร่...แต่ถ้าเชื่อทุกเรื่อง ตามใจทุกอย่างนายกฯ อิ๊งอาจจะปิดฉากเร็วอย่างที่ใครต่อใครเขาเป็นห่วง...!!

‘เอกนัฏ’ แจง ไปให้การศาลและเจ้าพนักงานเป็นประจำ ยัน!! ไม่เคยพูด “คำพูดของทักษิณ ไม่เข้ามาตรา 112”

(27 ส.ค. 67) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Harirak Sutabutr' ระบุข้อความว่า...

คุณวัชระ เพชรทอง ออกมาให้ข่าวว่า คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มีชื่อเป็นพยานให้คุณทักษิณ ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว จากนั้นสำนักข่าวต่าง ๆ ต่างก็รายงานข่าวกันอย่างกว้างขวาง 

ฟังรายงานข่าวแล้วค่อนข้างสับสน บางสำนักรายงานว่า การไปเป็นพยานแต่ละฝ่ายคือ โจทก์และจำเลย จะต้องระบุรายชื่อพยานทางฝ่ายตัวเองยื่นต่อศาล แสดงว่าคุณทักษิณเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลย จึงมีคำถามว่า เหตุใดคุณทักษิณจึงเลือกคนที่เป็นศัตรูไปเป็นพยาน หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรี ทำให้คนที่ไม่ได้ตามข่าวอย่างละเอียดเข้าใจไปต่าง ๆ นานา จนกระทั่งคุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ออกมาให้ข่าวแทนคุณเอกนัฏว่า ที่คุณเอกนัฏไปเป็นพยานนั้น เป็นการให้ปากคำในชั้นการสอบสวนของตำรวจ ตำรวจมีหมายเรียกให้ไปให้ปากคำ ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ต้นปี จึงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด 

หลังจากนั้นก็มีการตอบโต้คำอธิบายของคุณอรรถวิชช์จากฝ่ายต่าง ๆ ว่า ตำรวจจะไม่เรียกตัวไปให้ปากคำเองโดยไม่มีการระบุชื่อจากโจทก์หรือจำเลย ดังนั้นคุณทักษิณจะต้องระบุชื่อให้คุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลยอย่างแน่นอน การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวเช่นนั้น จึงน่าจะไม่ใช่ความจริง

ในฐานะที่ผมเคยมีประสบการณ์ให้ปากคำกับตำรวจในคดีความผิดตามมาตรา 112 มาครั้งหนึ่ง จึงขอให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงดังนี้...

1. เมื่อมีผู้ไปร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ที่กระทำสิ่งที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน จะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และถามความเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นปี จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความมั่นใจในพยานหลักฐานแล้วก็จะส่งต่อไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด หากเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็อาจไม่ส่งไปยังอัยการ และคดีก็จะจบลงในชั้นตำรวจ

2. ในชั้นการสืบสวนของตำรวจ ยังไม่มีโจทก์หรือจำเลย มีแต่ผู้ถูกกล่าวหา จึงยังไม่มีการเสนอรายชื่อพยานในชั้นนี้ไม่ว่าฝ่ายใด 

3. กรณีคุณทักษิณ เรื่องผ่านการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจไปถึงอัยการ และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องไปแล้ว เรื่องในขณะนี้อยู่ที่ศาล และมีการนัดตรวจสอบพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด จะมีการสืบพยานครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมปีหน้า

การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวว่าคุณเอกนัฏได้ไปให้การกับตำรวจไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว น่าจะคลาดเคลื่อนเพราะจากที่เป็นข่าว คดีนี้ผ่านจากตำรวจไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุดหลายปีแล้ว แต่ที่ยังไม่สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นเพราะตัวคุณทักษิณอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถมาฟังคำสั่งของอัยการได้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ตำรวจ ได้เชิญคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นในคดีคุณทักษิณหลายปีมาแล้ว ซึ่งคุณเอกนัฏเท่านั้นที่สามารถบอกได้ 

ผมเองเคยได้รับการติดต่อจากตำรวจซึ่งเป็นรองผู้กำกับจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อไปให้ความเห็นเกี่ยวกับผู้ถูกร้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ใช่เป็นหมายเรียก และเราสามารถปฏิเสธไม่ไปก็ได้ แต่ผมก็ไป เมื่อไปถึงท่านรองผู้กำกับก็นำโพสต์ของบุคคลหนึ่งใน Social Media ซึ่งมีคำว่า 'เจ้านาย' ว่าอ่านแล้วคิดอย่างไร ซึ่งเราก็ต้องอ่านข้อความทั้งหมดเสียก่อน จึงจะให้ความเห็นได้ เพราะคำว่า 'เจ้านาย' จะหมายถึงใครย่อมขึ้นอยู่ว่าอยู่ในบริบทไหน ความเห็นเราจึงอาจเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้ถูกร้องก็ได้ ซึ่งก็น่าจะคล้าย ๆ กับคดีคุณทักษิณที่มีคำว่า 'Palace Circle' ที่จะต้องตีความว่า หมายถึงใครบ้าง 

ดังนั้นหากคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นต่อตำรวจในลักษณะที่ผมเคยไป ก็แสดงว่าคุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้แก่คุณทักษิณแต่อย่างใด เพียงไปให้ความเห็นต่อตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีคุณทักษิณเท่านั้น 

อย่างไรก็ดี คุณเอกนัฏควรต้องออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันจนเลอะเทอะ และทำให้เสียชื่อเสียงไปโดยใช่เหตุ 

หวังว่าที่ยังเงียบอยู่คงไม่ใช่เป็นเพราะคุณเอกนัฏมีชื่อเป็นพยานให้จำเลยคือ คุณทักษิณในชั้นศาลจริง ๆ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเป็นการให้ความเห็นในชั้นตำรวจอย่างที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

ทั้งนี้ ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาโพสต์คอมเมนต์ข้อความขอบคุณ รศ.หริรักษ์ ที่ช่วยขยายความ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ว่า...

"ตำรวจออกหมายเรียกโดยอ้างว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ไปสอบเพิ่มเมื่อต้นปีจริงครับ ช่วงเดือนมีนาคม ผมไม่เคยเจรจา ซักซ้อมใด ๆ ครับ ในหมายเรียกไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ช่วงไหน ระบุแต่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อหา แต่ไม่ได้บรรยายพฤติกรรมครับ ซึ่งไม่นานมานี้ ผมเคยถูกเชิญโดยตำรวจไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีอื่น เราก็ไปตามหนังสือ ส่วนว่าจะต้องไปเป็นพยานในชั้นศาลหรือไม่นั้น ถึงวันนี้ ไม่ทราบเลยครับ ทราบแต่ว่าอัยการได้ส่งฟ้องไปแล้วครับ"

ขณะที่ด้าน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ตอบคอมเมนต์ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "ควรชี้แจงตั้งแต่ตอนโดนกล่าวหาแล้วนะครับ"

ขณะที่ รศ.หริรักษ์ ได้ตอบกลับคอมเมนต์ของ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "เข้าใจแล้วครับ โล่งอกที่คุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้จำเลย และไปให้ข้อมูลต่อตำรวจ เมื่ออัยการมีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม ขอบคุณที่ชี้แจงครับ"

ทั้งนี้ มีชาวเน็ตท่านหนึ่งเข้ามาถามคอมเมนต์ของนายเอกนัฏ ด้วยว่า "เรื่องตำรวจออกหมายเรียกหรือจะไปเองก็เรื่องนึง แต่สังคมอยากรู้ว่าคุณเอกนัฏพูดประโยคนี้ "…(การ)บอกว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 นั้น" ตามที่ วัชระ เพชรทอง กล่าวหา ว่าเป็นความจริงหรือป่าวก็แค่นั้นเอง"

ด้าน นายเอกนัฏ ตอบกลับทันทีว่า "ไม่เคยพูดประโยคนี้ครับ" ซึ่งชาวเน็ตก็มองว่า "หากมีการนำคำอ้างแบบนี้มาใช้ ก็สมควรดำเนินการฟ้องผู้กล่าวอ้างคืนเสียบ้าง"

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในมุมมองของชาวเน็ตส่วนใหญ่ ยังเห็นไปในทางเดียวกันอีกด้วยว่า "นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชอบทำอะไรเงียบๆ ไม่ค่อยออกมาตอบเรื่องใด ๆ ในทันที อย่างเรื่องดี ๆ ที่ทำไป ก็มักจะหายเข้ากลีบเมฆ แต่ถ้าเป็นเรื่องปมดรามาหรือประเด็นทางสังคม ก็มักจะปล่อยให้ถูกนำมาโจมตีและแพร่กระจายในโซเชียลโดยไม่มีการชี้แจงทันที... พรรค รทสช.ควรทำงานด้านการสื่อสารเพิ่มบ้าง"

‘นายใหญ่’ ทุ่มสุดตัว ลุยลงพื้นที่เอง เดินเกมยึดอบจ.อุดรฯ หวังผลแลนด์สไลด์

(14 พ.ย. 67) เป็นแฟชั่นและแท็กติกทางการเมือง  สำหรับเรื่องการชิงลาออกจากนายกอง์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ด้วยเหตุผลหลักคือชิงความได้เปรียบการเมือง เป็นปรากฏการณ์ที่ควรจะได้ถอดรหัส-ทบทวนกันในอนาคต..

ถึงวันนี้ลาออกกัน 27 จังหวัด 27 นายกอบจ.เลือกกันไปแล้ว 18 จังหวัด 95 เปอร์เซ็นต์ แชมป์เก่ารักษาเก้าอี้ไว้ได้..

เฉพาะหน้าเดือน พ.ย.-ธ.ค.จะชิงกันอีก 9 จังหวัด/นายกอบจ.
23 พ.ย.-สุรินทร์
24 พ.ย.อุดรธานี,นครศรีธรรมราชและเพชรบุรี
1 ธ.ค. กำแพงเพชร
15ธ.ค.ตาก และเพชรบูรณ์
22 ธ.ค.อุตรดิตถ์และอุบลราชธานี

นายกอบจ.และสจ.ที่เลือกกันมาตั้งแต่ปี 2563 จะครบเทอม 18 ธ.ค. 2567นี้  กกต.กำหนดแล้วว่าจะเลือกกันใหม่วันที่ 1 ก.พ.2568  เฉพาะนายกอบจ.ก็จะเหลือแค่ 40 กว่าจังหวัด...

ที่จะขีดเส้นใต้หมายเหตุไว้ ณ ที่นี้ก็คือ การเลือกนายกอบจ.ที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อุดรธานี ที่เคยเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง ของพรรคเพื่อไทย...แต่สัญญาณจากตั้งเต่ทั่วไปเมื่อปี 2566  เมืองหลวงของเพื่อไทยกำลังจะถูกยึด  เก้าอี้สส.หายไป3 เก้าอี้

ไม่แต่เท่านั้นทั้งภาคอีสาน (133ที่นั่ง) ครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยตั้งเป้าขั้นต่ำ 110 ที่นั่ง  ปรากฏว่าได้รับเลือกแค่ 73 เขต 73 คน..พลาดเป้าไปร่วม 40 ที่นั่ง และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทั้งประเทศได้สส.รวม 141 ที่นั่ง เสียแชมป์เลือกตั้งให้กับพรรคน้องใหม่อย่างพรรคก้าวไกล(พรรคประชาชนในปัจจุบัน)ที่ได้ 151 ที่นั่ง..

ย้อนดูตัวเลข 133 ที่นั่งของภาคอีสานครั้งที่แล้ว..เพื่อไทย 75, ภูมิใจไทย 35, ก้าวไกล 7, พลังประชารัฐ 6, ไทยสร้างไทย 5, ไทรวมพลัง 2 ประชาธิปัตย์ 2 และชาติไทยพัฒนา 1

วันที่  3  พ.ย. วัฒนา ช่างเหลา  ประธานสโมสรฟุตบอลชขอนแก่น ยูไนเต็ด อดีต สส.เขต 2 ขอนแก่น เพิ่งชนะศึกเลือกนายกอบจ.ขอนแก่นด้วยการชูป้ายทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์ และหัวคะแนน/แฟนคลับที่ใส่เสื้อแดง ล้มแชมป์เก่า 6 สมัยลงได้อย่างน่าอัศจรรย์  กลายเป็น “ขอนแก่นโมเดล” ทำให้การเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี  กลายเป็นหมุดหมายให้ “นายใหญ่” ชักธงรบส่งสัญญาณครั้งสำคัญที่จะยึดสมรภูมิอีสานมาอ้อมกอดของพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง...

การไปปรากฏตัวของทักษิณ  ชินวัตร  ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย  ในฐานะ “ผู้ช่วยหาเสียง” ถูกออกแบบและปฏิบัติการส่งสัญญาณสำคัญ...

ไม่เพียงให้พรรคส้ม(ประชาชน)ที่หวังลึกๆจะปักธงนายกอบจ.อุดรฯและสยายปีกแบ่งเค้กอีสานเกิดอาการขยาดเท่านั้น  ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงครูใหญ่..เนวิน  ชิดชอบ ประมุขตัวจริงของพรรคสีน้ำเงิน  ที่บารมีกำลังเบ่งบานไม่น้อยกว่า “นายใหญ่” ให้รับทราบ..

ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคสีน้ำเงิน..ภูมิใจไทย นั้นมีทั้งสัมพันธภาพที่ดูอบอุ่นจากท่าทีท่วงทำนองนอบน้อมของอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค แต่ในความเป็นพรรค..วันนี้ ภท.และพท.คือสองพรรคที่มีดุลทางการเมืองที่พูดได้ว่าเสมอกัน..เพราะ-ภท. มีสภาสีน้ำเงินเป็นอาวุธ(ไม่)ลับ ไม่นับรวม 70 เสียงสส.ที่เป็นหมากล็อกอยู่แล้ว...

ภายในพรรคพท...หรือเพื่อไทยขณะนี้พยายามปลุกคำขวัญ..แลนด์สไลด์ขึ้นมาอีกครั้ง..การเดินสายของทักษิณ ปลุกบ้านใหญ่รักษาเอฟซีเก่าๆ สร้างเอฟซีใหม่ๆ หวังให้เพื่อไทยทั้งอีสาน..หรือแดงทั้งอีสานเกิดขึ้นอีกครั้ง..

เพียงแต่โจทย์ครั้งนี้มันยากขึ้น  สถานการณ์เปลี่ยนไปไม่น้อย  ถ้าเดอะป๊อบ..ศราวุธ  เพชรพนมพร อดีตสส.เพื่อไทย “เขยอินทรีอีสาน” ประชา พรหมนอก  ชนะขาดนายกอบจ.อุดรฯ ก็น่าจะทำให้แนวรบทักษิณ-เพื่อไทย คึกคัก

แต่ถ้าชนะแบบฉิวเฉียดไม่กี่พันแต้มหรือล็อคถล่มแพ้ขึ้นมา..แลนด์สไลด์ที่แอบหวังก็จะถูกฝังกลบเป็นแลนด์สลบอย่างแน่นอน..!!

“ช่วงชีวิตนี้เป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมากที่สุด แม้จะโดนร้องโดนเห่าหอนบ้าง โอ้ยธรรมดาพี่น้องเอ้ย เวลาไปวัดกลางคืน กลับบ้านมาหมาก็เห่าหอนเป็นธรรมดา อย่าไปพยายามตีความว่ามันเห่ายังไง อย่าไปใส่ใจ หมาอยู่ส่วนหมา คนก็อยู่ส่วนคน”

(14 พ.ย 67) 'ทักษิณ' ปราศรัยเดือดอุดรธานีวันที่ 2 ยอมรับควักส่วนตัวจ้างต่างชาติ 300 ล้านบาท ช่วย 'อิ๊งค์’ รื้อโอทอป ฝากประชาชนบอกพรรคส้มก่อนคิดกฎหมายใหม่ ล้างซวยกฎหมายเก่าก่อน ประกาศขอเสียงอุดรฯ ชนะถล่มทลาย เมินเสียงนักร้อง ลั่นคนอยู่ส่วนคน-หมาอยู่ส่วนหมา อย่าไปฟังเสียงเห่าหอน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 14 พ.ย. ที่ตลาด 4 ธันวา อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ในนามพรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียง โดยมีประชาชนมารอฟังการปราศรัยกว่า 5,000 คน

นายณัฐวุฒิ ปราศรัยว่า ตนมาครั้งที่แล้วและบอกขอยกจังหวัด ยกจังหวัดยังไงหายไปสามเขต วันนี้จึงขอมาทวงสัญญา เพราะเรารักกันมาตั้งแต่ปี 2544 วันนี้ 23 ปีแห่งความทรงจำ 23 ปีที่ยังยืนเคียงข้างกัน แล้วจะพิสูจน์พลังอีกครั้งในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ ขอให้สื่อถ่ายภาพเก็บเป็นหลักฐาน หากคะแนนไม่มาเดี๋ยวจะตามไปหาถึงบ้าน ซึ่งนายวิเชียร ขาวขำ แสดงสปิริตลาออกจากนายก อบจ. สุขภาพไม่ดี เดินกะเผลก ก็ยังลาออกเพื่อเปิดทางให้กับนายศราวุธ เพชรพนม ไม่เหมือนคนกรุงเทพฯ เดินไม่ดีก็ยังอยากเป็นนายกฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายณัฐวุฒิปราศรัย ได้ทำท่าเดินกะเผลกไปด้วย

ขณะที่นายทักษิณ ปราศรัยว่า ไม่เห็นหน้ากันนานแล้วนะ คิดถึงกันบ้างหรือไม่ ที่เลือกมาอุดรธานี เพราะคิดถึงพี่น้องชาวอุดรธานี และคนอุดรธานีก็ไม่เคยลืมตน มีใครทันตอนตนเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ที่ต้องถามเพราะตอนนี้ตนอายุ 75 ปีแล้ว แต่ความรู้สึกยังเหมือนอายุ 25 ปี วันนี้เห็นพี่น้องมาเยอะ แบบนี้หัวใจมันก็พองโต เมื่อก่อนตอนเป็นพรรคไทยรักไทย ตนก็มาเจอพี่น้องต่างจังหวัดกลับไปมีความสุข และไปนั่งคิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้เขาหายจน เพราะชีวิตตนเคยลำบากมา

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้นั่งรถมา เห็นสภาพพี่น้องก็เป็นห่วง ตนถูกปฏิวัติออกไป 17 ปี วันนี้มีสิ่งสวย ๆ เกิดขึ้นบางที่บางแห่ง แต่พี่น้องยังลำบากอยู่ คนไม่มีหนี้มีน้อย แสดงว่าที่ผ่านมา คนจนไม่ได้รับการเหลียวแล ถามจริง ๆ ทำไมคนอุดรธานีไม่ลืมตน ก่อนจะถามประชาชนที่มาฟังปราศรัยว่า ชอบนโยบายอะไรที่ตนทำไว้มากที่สุด โครงการ 30 บาทใช่หรือไม่ แล้วกองทุนหมู่บ้านยังมีอยู่หรือไม่ เพิ่มทุนหรือไม่ เมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่ โอทอปเลื่องลือมาก แต่ตอนนี้หายไปเยอะ หากโอทอปได้รับการปรับปรุงเหมือนสมัยที่ตนอยู่ คงจะขายได้เยอะ และจะทำให้พี่น้องมีรายได้เพิ่มขึ้น

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนใช้เงินส่วนตัว 300 ล้านบาท จ้างชาวต่างชาติ ปรับปรุงโอทอปครั้งใหญ่ อีกไม่นานเขาจะเปิดตัวว่าจะต้องรื้อไปทำอะไร และเพื่อปรับปรุงโอทอปไปขายทั่วโลก แล้วจะมาเสนอนายกฯ อิ๊งค์ (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) โดยที่ไม่เก็บเงิน เพราะตนจ่ายเงินไปแล้ว ทั้งนี้ นายกน อิ๊งค์ ก็ได้บอกด้วยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน

“เห็นผมใกล้ ๆ แล้ว ผมแก่ไปเยอะหรือไม่ ตอนนี้แก่ไปเยอะ แต่เห็นพี่น้องมากันเยอะ ก็รู้สึกหนุ่มขึ้น จะร้องเพลงเสก โลโซ ว่าอย่างไร เขาบอกคิดถึงตอนอายุ 14 แต่ผมคิดถึงตอนอายุ 55 ที่มาเป็นนายกฯ นายกฯ อิ๊งค์ เป็นลูกคนเล็ก เป็นคนที่ติดตามผมไปทุกที่ตั้งแต่แปดขวบ แม้กระทั่งไปประชุมเอเปค ก็ติดตามผมไป วันนี้ไปประชุมเอง เป็นนายกฯ เอง แต่สิ่งที่นายกฯ อิ๊งค์ มีอยู่เหมือนผมทุกอย่าง คือความรักและความห่วงใยพี่น้องประชาชน คิดว่าต้องแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนให้ได้ และเชื่อว่ากลางปีหน้า พี่น้องประชาชนจะเห็นแสงสว่าง ปลายปีจะเห็นเศรษฐกิจที่คึกคักมาก เขาบ่นกับผมมาคำหนึ่งว่า พ่อ อิ๊งค์คิดว่าการผูกขาดทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการผูกขาดโดยรัฐก็ดี หรือผูกขาดโดยเอกชนก็ดี ทำให้คนไทยจน เพราะการผูกขาดเหมือนเป็นเสือนอนกิน วันนี้จึงต้องลดทุนของการผูกขาดให้ประชาชนมากที่สุด” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า แม้กระทั่งข้าวที่จัดส่งออกต่างประเทศ ก็ต้องผ่านสมาคมผู้ส่งออก มีการตรวจสารพัด ซึ่งเป็นต้นทุนของเกษตรกร และกฎหมายนี้ก็ใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ที่บอกว่าข้าวเป็นยุทโธปกรณ์หรือเครื่องมือทางทหารที่ต้องควบคุม แต่ทุกวันนี้ก็ยังใช้กฎหมายเดิมอยู่ ฉะนั้น จึงต้องยกเลิกกฎหมายเก่า ๆ ที่ทำให้คนไทยจน โดยเฉพาะเสรีภาพทางการค้าขายต่าง ๆ

“เวลาพรรคประชาชนมาหาเสียง ท่านต้องบอกพรรคประชาชนว่าไม่ต้องเสนอกฎหมายใหม่ หรือยกเลิกกฎหมายเก่าที่เป็นปัญหากับประชาชนดีที่สุด วันนี้แข่งกันออกกฎหมายใหม่ แข่งกันไปทำไม เพราะกฎหมายเก่าเฮงซวยกันเยอะแยะ ก่อนสร้างสิ่งใหม่ เอาสิ่งเฮงซวยออกไปก่อน ล้างซวย” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวว่า นอกจากนี้ ด้านระบบการศึกษา เราต้องปรับค่านิยมของคนไทย อย่าให้ลูกรับปริญญาแล้วไม่มีงานทำ และโลกบอกว่าปริญญามีความสำคัญน้อยกว่าความชำนาญ วันนี้จึงขอฝากพี่น้องบ้านดุง ให้บอกว่าวันนี้ทักษิณกลับมาแล้ว ใครค้ายาแถวนี้ระวังตัวให้ดี ทักษิณเกลียดพ่อค้ายา ถ้าอยากให้ทักษิณรัก ต้องเลิกค้ายา มาทำมาหากินสุจริตกันดีกว่า เพราะลูกหลานเราไม่ไหวกัน แล้วประสาทหลอน วันนี้ต้องเอาลูกหลานกลับคืนมา แล้วทักษิณก็ขยันเดินตรวจด้วย เป็นคนแก่หัวใจหนุ่ม

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า นโยบายหลักของพรรคไทยรักไทย คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ซึ่งยังใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลมีหน้าที่ทำเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ดี เลยต้องมาสนใจ อบจ. สมัยที่นายวิเชียร ลงเลือกนายก อบจ. ตนเขียนจดหมายมา แต่วันนี้ตนมาด้วยตัวเองแล้ว เพื่อสนับสนุนผู้สมัครเบอร์สอง

“ถ้าไม่ได้ชนะถล่มทลาย ผมอายเขานะ คนอุดรฯ อย่าให้ผมอายนะ ถ้าไม่อาย ผมจะได้มาเยี่ยมบ่อย ๆ ถ้าไม่งั้นผมต้องใส่หน้ากากอนามัยมาเยี่ยม” นายทักษิณ กล่าว ก่อนจะถามว่าใครได้เงิน 10,000 ไปแล้วบ้าง คนที่ไม่ได้ อยากได้หรือไม่ มาแน่ มาช้าดีกว่าไม่มาใช่หรือไม่ นี่เป็นวัฒนธรรมที่สืบมาจากพรรคไทยรักไทย ที่พูดอะไรแล้วต้องทำ แต่วันนี้ทำยากกว่าเมื่อก่อน เพราะมีกลไกข้าราชการเทอะทะจากการปฏิวัติ บางกฎหมายคนจะเขียน ก็เอารูปตนตั้งไว้แล้วบอกว่า กูจะจัดการมันอย่างไรดี

“อิจฉาอะไรก็ไม่รู้ ทำให้การช่วยเหลือบ้านเมืองนั้นทำได้ยาก หาว่าครอบงำ นักร้องก็เยอะ ไม่รู้มันร้องอะไรนักหนา วันนี้ผมไม่คิดอะไรมาก แค่อยากช่วยชาวบ้านให้หายจน อยากให้ยาเสพติดหมดไป ใครอยู่แถวนี้ต้องใช้ความพยายาม พี่น้องต้องมีกำลังใจ ผมกลับมาแล้ว พี่น้องต้องมีกำลังใจอีกนิด ตนเหลืออีก 25 ปี จะครบ 100 ปี ก็ขอให้ช่วยกัน เห็นสภาพบ้านเมืองแล้วหดหู่ หากปล่อยไว้แบบนี้ คนไทยจะเหมือนคนลาว ถูกพัฒนาช้า พัฒนาเร็วเฉพาะส่วน คนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง ผมก็เป็นคนบ้านนอก ฉะนั้น ใจผมเป็นห่วงที่สุดคือคนรากหญ้า สิ่งที่ยากเลยคือนักการเมืองเฮงซวย หากการเมืองเฮงซวยเมื่อไหร่ นักการเมืองก็เฮงซวยตาม แต่ระหว่างที่ผมออกไป เขาก็สร้างระบบกติกาให้การเมืองมันเฮงซวยขึ้นเรื่อย ๆ“ นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้ต้องเลิกดัดจริต ต้องอยู่กับความเป็นจริงว่าบ้านเมืองเราต้องการการพัฒนาสูงมาก ทุกวันนี้ระบบราชการเทอะทะ ควบคุมมากเกินไป ไม่ไว้ใจพี่น้องประชาชน ที่จริงแล้วประชาชนสามารถช่วยตัวเอง และตัดสินใจเองได้ ประเทศจะเจริญได้ต้องลดอำนาจภาครัฐ เพิ่มอำนาจให้ภาคประชาชน เพื่อป้องกันเรื่องโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน พรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชนหรือพรรคสีส้มนั้น มีความเหมือนคือเรื่องของความเท่าเทียม แต่พรรคประชาชน บอกว่าทุกคนเท่ากัน ทั้งฐานะ หรือสถานะ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะเท่ากับลูก แต่พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นความเท่าเทียมทางโอกาส พรรคเพื่อไทยจึงพยายามอย่างยิ่งให้คนยากจนมีโอกาสเท่าเทียมกัน นายกฯ อิ๊งค์ บอกว่าจะประกาศข่าวดี ในการที่จะหาเงินส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอก

“ส่วนใครโดนคอลเซ็นเตอร์หลอก นายกฯ อิ๊งค์ บอกว่า หากธนาคารไม่ดูแล ต่อไปธนาคารต้องมารับผิดชอบ ซึ่งคอลเซ็นเตอร์ตัวแสบอยู่ที่เมียนมา ซึ่งใช้ระบบสื่อสารไทย ใช้ไฟฟ้าไทย นายกฯ อิ๊งค์ เลยบอกว่า บริษัทที่ทำโทรศัพท์ทั้งหลาย หากใครให้บริการข้ามเขต ต้องถือว่าเป็นจำเลยร่วม และสั่งการไฟฟ้า หากจ่ายไฟไปทำยาเสพติด ต้องเจอข้อหาจำเลยร่วม พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดเหตุที่ไหนต้องดับที่นั่น เราจึงต้องดับที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายทาง ต้องจัดการเด็ดขาด ในเรื่องการใช้กฎหมายและการบริหารบ้านเมือง เพื่อประชาชน” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ขอให้มั่นใจว่ากลางปีหน้าจะเห็นแสงสว่าง ปลายปีหน้าจะรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเยอะ ตนขับรถผ่านเห็นคู่แข่ง บางรูปเห็นรูปคู่กับหัวหน้าพรรค บางรูปก็คู่กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แสดงว่าเห็นว่านายพิธา หล่อกว่าหัวหน้าพรรคประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยใช้รูปนายกฯ อิ๊งค์ ไม่จำเป็นต้องใช้รูปคู่ตน เพราะนายกฯ อิ๊งค์ หน้าเหมือนตนอยู่แล้ว แต่อิ๊งค์เขาสวยกว่าตน และตนก็หล่อกว่าอิ๊งค์ นึกว่าตนไม่อยู่ 17 ปี คนอุดรจะหมดหนี้แล้ว อุตส่าห์ปฏิวัติตั้ง 2 รอบ แต่ยังจนอยู่เลยนะ ขออย่าไปเชื่อหวยเถื่อนทั้งหลาย และอย่าไปเชื่อสายมูมาก พี่น้องที่ติดยาเสพติด เห็นนรกแน่ ๆ เราต้องขจัดให้ได้ ซึ่ง อบจ. จะเป็นส่วนสำคัญที่พาลูกหลานไปบำบัด ต่อไปกลไกของรัฐบาลนายกฯ อิ๊งค์ บอกว่าจะต้องใช้ท้องถิ่นเยอะ ๆ แต่การบำบัดต้องเป็นรัฐบาล จึงจะมีงบเยอะ อยากให้พี่น้องตั้งใจร่วมกับตนว่า จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองร่วมกัน มาบอกให้ตนรู้

นายทักษิณ ระบุว่า เมื่อก่อนตนทำทัวร์นกขมิ้น ไปทุกอำเภอ เป็นนายกฯ คนเดียวที่เดินทางถึงประเทศไทยมากที่สุด ไปที่ไหนก็ได้รับจดหมายน้อย ซึ่งข้อความคือทุกข์ที่พบอยู่ในหมู่บ้าน จึงได้สร้างโครงการที่ชื่อว่าเอสเอ็มแอล ทำให้ตนได้รับรู้ปัญหาของประชาชน

นายทักษิณ ยังฝากนายศราวุธ ผู้สมัครลงเลือกตั้งนายก อบจ. เบอร์สอง สมัยที่แล้วเคยเป็นกรรมาธิการ ลำดับต่อไปเป็นรัฐมนตรี โชคร้ายสอบตก จึงขอให้พี่น้องอุ้มมาเป็นนาย อบจ. และอนาคตจาก อบจ. เป็นรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้น นายศราวุธ ได้คุกเข่ากราบพี่น้องประชาชนที่มาฟังปราศรัย

“ชนะน้อย ๆ ไม่สนุก ต้องชนะเยอะ ๆ ต้องชนะให้ถล่มทลาย ผมจะได้เดินทางมาหาพี่น้องที่อุดรฯ อย่างหล่อ ๆ ไม่อยากเดินมาแบบมีหน้ากาก มีปี๊บ ช่วงชีวิตนี้เป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมากที่สุด แม้จะโดนร้องโดนเห่าหอนบ้าง โอ้ย ธรรมดาพี่น้องเอ้ย เวลาไปวัดกลางคืน กลับบ้านมาหมาก็เห่าหอนเป็นธรรมดา อย่าไปพยายามตีความว่ามันเห่ายังไง อย่าไปใส่ใจ หมาอยู่ส่วนหมา คนก็อยู่ส่วนคน“ นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวว่า ขอให้พี่น้องมีพลังมีกำลังใจ วันนี้เพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลแล้ว เป็นพรรคที่เป็นนักแก้เศรษฐกิจ นักแก้ปัญหายาเสพติด นักกระจายอำนาจลงสู่ภาคประชาชน และวันนี้จะเป็นนักแก้การผูกขาด ขอให้พี่น้องอดทนมาร่วมกันอีกนิดเดียว ผมมั่นใจว่าสิ่งเหล่านั้น ท่านจะได้เห็นก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า ก่อนที่นายทักษิณจะพูดแก้ว่า เป็นปี 70 เดี๋ยวจะตีความว่าจะยุบสภาแล้ว ตนพูดผิด พร้อมย้ำว่า อย่าลืมเบอร์สองนะ เบอร์สองเป็นคนของทักษิณ

ช่วงท้ายหลังการปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี ที่ อ.บ้านดุง อดีตนายกฯ ทักษิณ ลงจากเวที ปรี่หาชาวอุดรฯ ที่มาฟังปราศรัย เพื่อทักทาย โดยอดีตนายกฯ เซอร์วิสแฟนคลับ ทั้งจับมือ และรับดอกไม้ บางรายมอบกระเช้าผลิตภัณฑ์ชุมชน บางคนเจอหน้าอดีตนายกฯ แล้วร้องไห้ บอก “ขอกอดหน่อย” บางรายเจออดีตนายกฯ แล้วยังงง ๆ เพราะจะขอถ่ายรูป ทักษิณได้หยิบมือถือชาวบ้านแล้วมาเซลฟี่ให้ คนเสื้อแดงที่เคยชุมนุมเมื่อปี 2553 เดินทางมาจากมหาสารคามเพื่อพบกอดีตนายกฯ โดยอดีตนายกฯ ก็กอดเสื้อแดงรายนั้นแน่น ๆ ก่อนจะเดินทางกลับ

‘ทักษิณ’ เผย เคยคุยกับ ‘ธนาธร’ อย่าพยายามรื้อโครงสร้างมากเกินไป ต้องแก้ปัญหาด้วยหลักการ เอาบ้านเมืองเป็นหลัก ย้ำ ไม่แตะ 112 เพราะเป็นสัตยาบันกับพรรคร่วม

‘ทักษิณ’ เผย เคยคุยกับ ‘ธนาธร’ อย่าพยายามรื้อโครงสร้างมากเกินไป ต้องแก้ปัญหาด้วยหลักการ เอาบ้านเมืองให้อยู่ได้ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือต้องจรรโลงอย่างเดียว อย่ามุ่งแค่หาเสียง จุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ ย้ำ ไม่แตะ 112 เพราะเป็นสัตยาบันกับพรรคร่วม

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย. 67) เมื่อเวลา 12.25 น. ที่จังหวัดอุดรธานี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี จากพรรคเพื่อไทย หาเสียงเลือกตั้ง ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยในประเด็นการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และ มาตรา 112 โดย นายทักษิณ กล่าวว่า คดีตามมาตรา 112 เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัตยาบันไว้ว่าเราจะเทิดทูนสถาบัน เราจะไม่แตะเรื่อง 112 แต่จริง ๆ แล้วปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ตนก็เป็นเหยื่อรายหนึ่ง และการบังคับใช้กฎหมาย สมมติว่า คนที่รับคดีครั้งแรกกลัวว่าเดี๋ยวจะหาว่าไม่จงรักภักดี ก็ฟ้องไปก่อน ทั้งที่หลักฐานไม่มี คนที่สองบอกว่าถ้าไม่ฟ้องเดี๋ยวโดนอีก ก็ฟ้อง โดยที่ไม่ได้ดูความถูกต้องของพยานหลักฐาน จึงทำให้การจงรักภักดีและรักสถาบันไม่ถูกต้อง การจงรักภักดีที่ถูกต้อง คือ การรักษากฎหมายที่เป็นธรรม นี่คือ สิ่งที่ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่ง่าย ในการแก้ซึ่งต้องใช้เวลา

เมื่อถามว่า หลังการเลือกตั้งสมัยหน้าการนิรโทษกรรมมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน จะผลักดันหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่อยากให้ความเห็นในเรื่องนี้ ไม่อยากมีบทบาท เดี๋ยวจะหาว่าเพราะคนนั้นคนนี้ ถ้าเราอยู่บนหลักการทุกอย่างมีทฤษฎี มันก็จะไม่เป็นแบบนี้ แต่เนื่องจากเราไปมองว่าเป็นเรื่องของพวกใครพวกมัน ถึงได้เป็นปัญหา ถ้าเมื่อไหร่เราจิตใจนิ่งสงบ คิดถึงหลักการเป็นหลัก ไม่คิดถึงพวกใครพวกมัน ก็จะดีขึ้น

เมื่อถามว่า อะไรที่ทำให้ข้อหาไม่จงรักภักดีใช้ได้ผลเสมอในทางการเมือง นายทักษิณ กล่าวว่า “ก็การเมืองไง ดูสิ ผมนี่โดนหนักที่สุด ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่ถวายงานที่สุด แต่ด้วยความหมั่นไส้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา”

เมื่อถามต่อว่า ในแต่ละเหตุการณ์มีบริบทเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ระหว่างการรัฐประหารปี 2549 และ ปี 2557 มาจนถึงพรรคการเมืองถูกยุบ เพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 นายทักษิณ กล่าวว่า ตนเคยคุยกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่า ตนก็โดนยุบ 3 พรรค ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ดังนั้น ขอให้เราช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยหลักการ และเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้มันจะดีที่สุด อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบัน เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ตนไม่ได้บอกว่านายธนาธร หรือพรรคก้าวไกลไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ

เมื่อถามว่า การแก้ปัญหาโดยไม่แตะโครงสร้างมีวิธีการอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ต้องทำตามหลักการของกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่ดีก็ต้องแก้ไขกฎหมายไปที่ละขั้นตอน ไม่ใช่บอกว่ากฎหมายไม่ดีต้องไม่ทำเลย เพราะกฎหมายมันมีอยู่

หนังคนละม้วน ! ‘ธนาธร’ ไม่เคยคุย ม.112 กับ ‘ทักษิณ’ ซัดแทนที่จะร่วมแก้ปัญหา แต่กลับเลือก ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ของปัญหา

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความถึงกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขึ้นเวทีปราศรัย นายก อบจ.อุดรธานี เคยเตือน ธนาธร ถึงการหาเสียง มาตรา 112 ว่า “คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ว่าเหตุผลที่ก้าวไกลและเพื่อไทยไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 เลย”

“สิ่งที่คุณทักษิณกล่าว อาจทำให้คนทั่วเข้าใจไปได้ว่าผมเคยคุยกับคุณทักษิณเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือมีความคิดรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่ได้พูดคุยตกลงอะไรกันเรื่องนี้เลย”

“การพูดคลุมเครือแบบที่คุณทักษิณกล่าวในวันนี้ ยังเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งต่อพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน เพื่อพยายามสร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชนว่าเหตุที่ดีลร่วมรัฐบาลล่ม เป็นเพราะพรรคก้าวไกลไม่ยอมลดราวาศอกเรื่อง 112”

“112 ไม่ใช่เงื่อนไขการร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ว่าก้าวไกลเสนอให้การแก้ไข 112 เป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล และเมื่อถูกทักท้วงจากพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นแล้วก็ไม่ยอมถอย”

“112 ไม่เคยอยู่ในเงื่อนไขตั้งแต่แรกต่างหาก ไม่มีอยู่ใน MOU ร่วมรัฐบาลที่เซ็นร่วมกันและเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ไม่ใช่แกนนำก้าวไกลมุทะลุ ไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีเหตุผลอื่นที่จะไม่ร่วมกัน แล้วใช้ 112 เป็นข้ออ้างต่างหาก”

“ในทางกลับกัน คุณทักษิณเอง น่าจะเป็นคนที่เข้าใจปัญหาโครงสร้างดีที่สุด แทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล เราไม่เคยโฆษณาหรือใช้เรื่อง 112 เป็นประเด็นหลักในการรณรงค์เพื่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง”

“เราตอบหรือพูดเรื่อง 112 อย่างซื่อตรงเมื่อถูกสื่อมวลชนหรือประชาชนถามเท่านั้น ผมทราบดีว่าการแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่สั่งสมมาหลายสิบปีของประเทศไม่ใช่สิ่งที่ ลัดขั้นตอน ได้ แต่ต้องทำงานความคิดอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมเห็นชอบร่วมกัน และแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไป”

“ไม่แก้ปัญหาโครงสร้าง ก็ปะผุประเทศไทยกันต่อไป ประเทศจะเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน มีแต่การให้คนในสังคมมีวุฒิภาวะพอ กล้ายอมรับปัญหา เผชิญหน้ากับมัน และค่อยๆ พูดคุยหาทางออกร่วมกัน” ธนาธร โพสต์ทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top