Monday, 7 July 2025
ทักษิณชินวัตร

ผ่ากระบวนท่า!! ‘ประมุขบ้านจันทร์ส่องหล้า’ ตั้งเป้ามากกว่า 200 เสียง... วางกับดัก ‘ปีศาจสีส้ม’

(16 พ.ย. 67) เนื้อในและภาพจริงปฏิบัติการ ‘พระยาเหยียบเมือง’ ของทักษิณ ชินวัตร ที่อุดรธานีเมื่อ 13-14 พ.ย.2567 จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในภาพกว้างที่ปรากฏต่อสังคม ต้องยอมระบุว่า ‘นายใหญ่’ ประมุขบ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินของแทร่...

แน่นอนการรับบท ‘ผู้ช่วยหาเสียง’ ผู้สมัครนายกฯ อบจ.อุดรธานี ของพรรคเพื่อไทยคือ ‘ป๊อบ’ ศราวุธ เพชรพนมพร ‘นายใหญ่’ หวังผลยาวไกลไปถึงการปลุกสมรภูมิรบเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าว่า จะต้อง ‘แดงทั้งอีสาน’ และเพื่อไทยต้องได้มากกว่า 200 ที่นั่ง

ศึกชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.อุดรธานี 24 พ.ย.ที่จะถึงจึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่สุดของ ‘นายใหญ่’..ถึงได้ย้ำทุกเวทีว่าต้องชนะให้ขาด..อย่าให้ตนต้องอับอาย..

ภายใต้ความมั่นใจว่า 'ป๊อบ ศราวุธ' อดีตสส.4 สมัย ที่หากไม่สอบตกสส.ครั้งที่แล้ว ‘นายใหญ่’ เตรียมเก้าอี้รมช.ต่างประเทศไว้เป็นกำนัลแล้วนั้น จะเป็นต่อในศึกนายกฯอบจ.รอบนี้ แต่ ‘อุดรโพล’ ของม.ราชภัฏอุดร ก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าผู้สมัครพรรคประชาชน (ก้าวไกล) นำโด่งร้อยละ 32.5 รองมาเสี่ยป็อบ ร้อยละ15.2 อันดับสุดท้ายดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ ร้อยละ4.5 แต่ร้อยละ 47.9 ยังไม่ตัดสินใจนั้น..

เป็นภาพหลอนทั้งต่อพรรคเพื่อไทย และนายใหญ่...และหากย้อนไปดูผลเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานีเมื่อปี 2563 วิเชียร ขาวขำ พรรคเพื่อไทยชนะ ได้326,933 คะแนน อันดับ 2 ผู้สมัครคณะก้าวหน้า ในเครือข่ายพรรคส้ม 185,801 คะแนน อีก5 ผู้สมัครได้คะแนนรวมกันแสนกว่าคะแนน..

ตัวเลขที่ผู้สมัครเพื่อไทยทิ้งพรรคส้ม 1.4 แสนคะแนนเมื่อ4ปีก่อน  แม้จะพูดได้ว่า ”ชนะขาด” แต่พลังเงียบร้อยละ 47.9  ตามโพลนั้น..พรรคเพื่อไทยหนาวๆ ร้อนๆ..และไม่แปลกที่ระหว่างการปราศรัยหรือสัมภาษณ์ทักษิณจะพาดพิงถึงพรรคประชาชนและธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ...เนื้อใหญ่ใจความก็คือการแนะนำเชิงสอนมวยว่า จุดยืนพรรคส้มก็ดีอยู่หรอกเสียแต่ว่าเอะอะก็จะรื้อโครงสร้างไปทุกเรื่อง รวมทั้งมาตรา 112..

งานนี้..ทำให้ทั้ง2ท.คือ ‘ทอน’ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ‘ทิม’ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อยู่นิ่งไม่ได้ดาหน้ากันมาตอบโต้..ถึงขั้นชักธงรบกลาย ๆ เช่นพิธาบอกว่า..”ขอรับคำท้าคุณทักษิณ เอาอย่างนี้ดีกว่า  มีกฎหมายอะไรที่อยากจะยกเลิกที่คิดว่าล้าหลังไม่ทันสมัยแล้ว ยกเลยได้เลยก็ขอให้มาทำด้วยกัน..”

อย่างไรก็ตามพินิจ..พิศกันลึกๆ แม้อดีตแกนนำพรรคส้มอย่าง 'ทอนกับทิม' จะมีเคืองสุดๆ แต่ก็ไม่ถึงกับออกอาการรบแตกหัก.. 

จตุพร พรหมพันธ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดงที่กำลังรบแตกหักกับทักษิณอยู่ในนาทีนี้จึงฟันธงว่า...มองผ่านสมรภูมิอุดรฯรอบนี้ยิ่งชัดเจนว่า..ทักษิณกำลังปฏิบัติการย้ำซ้ำให้ ‘ธนาธร’ เป็น ‘ปีศาจตัวใหม่’...ที่น่ากลัวแทนตัวเอง !!

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าข้อสังเกตของตู่ จตุพร น่ารับฟัง...ในขณะที่นักสังเกตการณ์ทางการเมืองจำนวนมากมองว่าแท้จริงแล้ว ทั้งท.ทักษิณและธ.ธนาธร ก็ครือๆ กัน และถึงวันหนึ่งในอนาคตภายใต้เหตุปัจจัยและอุณหภูมิที่เหมาะสมทั้งสองพรรคก็พร้อมจะจูนคลื่นจับมือจ๊วบๆ กัน...

ใช่หรือไม่ว่า..วันนี้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่มีทางเลือก หรือมีแต่ยังไม่พร้อมสรรพ ต้องยอมปล่อยให้ 'นายใหญ่' นำพาประเทศผ่านการครอบครอง ครอบงำ สลัดตัวเองออกจากความเป็นปีศาจ...และชี้โจทก์ไปที่ปีศาจสีส้ม ?? ให้ประเทศติดกับดักปีศาจตัวใหม่..!!??

'ทักษิณ' ชี้!! ปัจจัยทำเศรษฐกิจไทยไม่ขยายตัวช่วง 10 ปี เหตุ ‘แบงก์ชาติ’ คุมเข้มปล่อยกู้ทำเม็ดเงินในระบบเหือดหาย

(22 พ.ย.67) 'ทักษิณ' แชร์มุมมองเศรษฐกิจและจุดยืนไทยบนเวทีโลกผ่านการประชุมซีอีโอ Forbes ชี้ นโยบายแบงก์ชาติเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจไทย เหตุเข้มงวดปล่อยกู้เกินไปทำเงินในระบบเหือดหาย พร้อมระบุไทยไร้ข้อขัดแย้งพร้อมรับการลงทุนใหม่ หนุนสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และศูนย์กลางดิจิทัล

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยกับสตีฟ ฟอร์บส์ ประธานและบรรณาธิการบริหาร Forbes Media ปิดท้ายช่วงกาล่าดินเนอร์ในงานประชุมซีอีโอระดับโลก 'Forbes Global CEO Conference' ครั้งที่ 22 จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ภายใต้ธีม 'New Paradigm' เจาะลึกถึงโลกอนาคตที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยกรุงเทพธุรกิจรายงานว่ามีผู้นำทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพลจากทั่วโลกไว้กว่า 400 คน 

นายทักษิณ กล่าวว่า สาเหตุหนึ่งที่เศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาขยายตัวได้ไม่มาก เป็นเพราะความระมัดระวังมากเกินไปของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการควบคุมธนาคารพาณิชย์เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติทางการเงินขึ้นอีกครั้งเหมือนในปี 2540 และอีกสาเหตุหนึ่งคือขณะนี้ภาคการผลิตของไทยมีแต่อุตสาหกรรมที่กำลังลับฟ้า หรืออยู่ในช่วง Sunset 

ในกรณีของธนาคารกลาง ซึ่งควรจะมีหน้าที่หลัก 2 อย่าง คือ การดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และการดูแลธนาคารพาณิชย์ แต่บางครั้งพวกเขามีความเข้มงวดมากเกินไป ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อใหม่ จนทำให้เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจแห้งเหือด 

“แน่นอนว่าธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระ แต่พวกเขาก็ควรจะต้องรับฟังด้วย คนที่ทำงานในธนาคารกลางเป็นคนมีความสามารถ เรียนได้เกรด 4 และจบด็อกเตอร์ แต่พวกเขาจะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริง และมองในมุมของภาคธุรกิจด้วย เช่นเดียวกับนโยบายของทรัมป์ในการตั้งคณะกรรมการเงาเพื่อตรวจสอบการทำงานของธนาคารกลางสหรัฐ”

นายทักษิณ กล่าวถึงแนวทางหนึ่งในการศึกษาแนวคิดการออกเหรียญ Stable Coin เงินบาท ที่มีพันธบัตรหนุนหลัง ซึ่งจะเป็นแนวทางในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเหรียญดังกล่าวสามารถนำไปใช้แลกเปลี่ยนได้ แต่จะไม่ได้ผลตอบแทน ขณะที่หากถือเหรียญเก็บไว้จะได้รับดอกเบี้ย

ชี้ทางรอดธุรกิจเล็ก
นายทักษิณ กล่าวว่า ไอเดียที่ดีและการมีโมเดลธุรกิจที่ขายได้เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หลังจากนั้นเงินจะตามมาเอง เม็ดเงินที่มีอยู่มากมายบนโลกต้องการลงทุนกับสิ่งที่จะสร้างผลตอบแทนให้ ซึ่งถ้าธุรกิจเหล่านี้มีพื้นฐานที่ดี เชื่อว่าเงินลงทุนจะไหลมาสู่ธุรกิจได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่ธุรกิจไทยต้องแข่งขันกับสินค้าจีน ซึ่งได้เปรียบเรื่องต้นทุน เนื่องจากมีปริมาณการผลิตจำนวนมากทำให้ประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) ดังนั้นธุรกิจไทยจะต้องมีวิธีคิดอย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสิ่งที่แตกต่างและแข่งขันได้

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองจะต้องปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศเช่นกัน โดยการให้ธุรกิจต่างชาติที่ต้องการขายสินค้าให้กับคนไทยต้องจดทะเบียนให้ถูกต้องและเสียภาษี นอกจากนั้นสินค้าที่ขายให้คนไทยจะต้องผ่านมาตรฐานเช่นเดียวกับสินค้าที่ผลิตในประเทศเพื่อความเป็นธรรม

เล็งปฏิรูประบบภาษี
นายทักษิณ กล่าวว่า รัฐบาลปัจจุบันมีแนวคิดในการปฏิรูปภาษีทั้งระบบเพื่อจะได้จัดเก็บภาษีได้มากขึ้น แต่จะต้องไม่ใช้วิธีการเพิ่มอัตราภาษีเงินได้ โดยจะต้องพิจารณาอัตราภาษีเงินได้ที่สามารถแข่งขันได้ และมีระบบการคืนภาษีให้กับคนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ หรือระบบที่เรียกว่า Negative Income Tax โดยการปฏิรูปภาษีจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปทีละส่วนเพื่อไม่ให้กระทบกับคนจำนวนมาก

“หลักก็คือ ถ้าอยากเก็บภาษีได้มากขึ้น ต้องมีข้อเรียกร้องที่น้อยลง ซึ่งการลดอัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้จะทำให้คนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และการจัดเก็บภาษีจะต้องครอบคลุมกลุ่มคนมากขึ้นด้วย”

ทั้งนี้ การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พิสูจน์แล้วว่าสามารถทำให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 

เตรียมรับกำแพงภาษีสหรัฐ
นายทักษิณ กล่าวว่า มาตรการกีดกันทางการค้า ด้วยกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ตามนโยบายของทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 20% จากประเทศที่เกินดุลการค้า และเพิ่มขึ้น 60% สำหรับสินค้าจีน มองว่าสุดท้ายแล้วผลชาวอเมริกันจะได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น

“เชื่อว่ามาตรการ Protectionism ภายใต้การนำของทรัมป์จะยิ่งเข้มงวด และจะทำให้การค้าโลกถดถอยกลับไป 50 ปีที่แล้ว ก่อนที่จะเป็นยุคของโลกาภิวัตน์”

สำหรับจุดยืนของประเทศไทย มองว่าเราไม่ต้องการความขัดแย้ง ท่ามกลางการแข่งขันก็สามารถร่วมมือกันในด้านใดด้านหนึ่งได้ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีน ซึ่งมีจุดที่ต้องร่วมมือกัน แม้จะแข่งขันกันอยู่ก็ตาม

“จากนี้ไปเริ่มเห็นสัญญาณว่าหลายอุตสาหกรรมทั้งจากสหรัฐและจีนต้องการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ไร้ข้อขัดแย้ง อีกทั้งไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่เพียงพอ มีที่ดินปริมาณมากที่ยังสามารถพัฒนาได้ มีแรงงานฝีมือ และการเพิ่มมาตรการภาษีที่จูงใจ”

อย่างไรก็ตาม อัตราค่าไฟฟ้าของไทยยังอยู่ในระดับสูงเกินไป หากสามารถปฏิรูปราคาพลังงาน โดยหักลบภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ได้ และเชื่อว่าจะทำให้ไทยน่าดึงดูดมากขึ้น รวมทั้งเมื่อมีการลงทุนในไฟฟ้าพลังงานสะอาด และ Smart Grid

นายทักษิณ กล่าวทิ้งท้ายว่า ใน 5 ปีข้างหน้ามี 2 เรื่องหลักที่ไทยต้องทำคือ 1.การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซอฟต์พาวเวอร์ และธุรกิจการบริหาร และ 2.การสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ดึงดูดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เอไอ และดาต้าเซ็นเตอร์เข้ามาลงทุนในประเทศ

‘อุ๊งอิ๊ง’ โพสต์!! ภาพครอบครัวอบอุ่น ผ่านไอจี มอบพวงมาลัยให้ ‘ทักษิณ’ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ

(5 ธ.ค. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านไอจีชื่อว่า ‘ingshin21’ พร้อมภาพประกอบ ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศครอบครัวอบอุ่นและชื่นมื่น มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายพานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์พี่สาว นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีน.ส.พินทองทา นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีน.ส.แพทองธาร และหลาน ๆ นำพวงมาลัยมอบให้นายทักษิณ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567 โดยมีข้อความระบุว่า …

Happy Father's Day @ home ขอให้พ่อมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ รักพ่อที่สุดในโลกค่ะ

ศึกชิงอบจ. เดือด!! ทั่วประเทศ จับตา ‘นายใหญ่’ เดินหน้ารุกฆาต!! ฟื้นคืนพื้นที่อีสาน รักษาฐานที่มั่นภาคเหนือ ตีกิน กลาง ตะวันออก

(15 ธ.ค. 67) “ผมแพ้ผมก็ไม่เสียดาย  แต่ต้องมีการตายเกิดขึ้น  คนที่โกส่งก็ต้องตาย..”

บางถ้อยคำของเทปลับที่สะพัดจากสื่อโซเชี่ยลและสื่อหลัก  หลังการสังหารโหด ‘สจ.โต้ง’ นายชัยเมศร์  สิทธิสนิทพงศ์  ในบ้าน ‘โกทร’ สุนทร   วิลาวัลย์  นายกอบจ.ปราจันบุรี เมื่อ ค่ำวันที่ 11 ธ.ค. 2567

การตายของสจ.โต้งโยงใยให้มองเห็นได้ว่า เกมการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่กำลังจะระเบิดศึกเดือดพลั่ก..และการเมืองใหญ่หรือการเมืองระดับชาติกำลังจะประดาบทำสงครามกันครั้งใหญ่..

กรณีปราจีนบุรี..แต่เดิมมีร่องรอยชัดเจนว่า  ‘สจ.จอย’ ณภาพัช  อัญชาสาณิชมน   รองประธานสภาอบจ.ปราจีนบุรี   ภรรยาสจ.โต้ง จะได้ลงสมัครนายกอบจ.หลังจากโกทรประกาศวางมือ...แม้กระทั่งทักษิณ  ชินวัตร   ก็เปิดปากยอมรับกับนักข่าวเมื่อ 13 ธ.ค.ว่าพรรคเพื่อไทยมีการติดต่อสจ.จอยจริง  แต่เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้คงจะเปลี่ยนใจแล้ว..

มีการตั้งคำถามกึ่งเป็นคำตอบว่า...สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแผนเปลี่ยนใจให้สจ.จอยเปลี่ยนเสื้อจากภูมิใจไทยไปเป็นเพื่อไทย บวกกับบ้านเล็กบ้านน้อยที่กดดันไม่ให้ ‘โก’ หนุนคนของสจ.โต้งหรือไม่...จึงเกิดฉากสังหารเกิดขึ้น..!!??

เรื่องคดีปล่อยให้ตำรวจยุค..บิ๊กต่าย ผบ.ตร.,บิ๊กอ้อ ผช.ผบ.ตร.ที่กำลังขึ้นหม้อ  ชาวประชาให้ความเชื่อถือพิสูจน์ฝีมือกันต่อไป...แต่การล้างบางมาเฟียที่ประกาศโดย ‘นายกทับซ้อน’ นั้น  ต้องจับตาดูว่าเป็นแค่ราคาคุยหาเสียงล่วงหน้า  หรือว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ..

กลับมาโฟกัสที่การเลือกตั้งนายกอบจ./ส.อบจ.กว่า 40 จังหวัดในวันที่ 1 ก.พ.2568  ที่มีแนวโน้มว่าจะดุเดือดเลือดพล่าน...เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมุ่งจะปักธงชัยชนะเพื่อรักษาคะแนนนิยม,รักษาบ้านใหญ่ เพื่อผลสุดท้ายนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งระดับชาติในครั้งหน้าซึ่ง โอกาสเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปี2568-2570

ขีดเส้นใต้สิบเส้น...การที่ทักษิณพูดถึงกรณีปราจีนบุรี และการปรากฎการณ์กรณีอุดรธานี,อุบลราชธานี...บวกกับโปรแกรมที่”นายใหญ่”จะไปช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยและคนในร่มธงเพื่อไทยช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า   ถูกออกแบบ-วางแผนไว้เป็นอย่างดี..

สอดประสานกับการเดินเกม..งานใต้ดินที่ ‘นายใหญ่’ ต้องใช้บริการจาก ‘ผู้กอง’ ผู้กว้างขวางที่เพิ่งเผด็จศึกแนวรบบ้านในป่ามาสดๆ ร้อนๆ..

อันที่จริงเกมของ ‘นายใหญ่’  ก็ไม่น่าจะอ่านยาก  1) ตรึงจังหวัดสำคัญ ฟื้นคืนพื้นที่อีสานฐานที่มั่นใหญ่ไห้ได้สส.เขตที่อีสานรอบหน้าอย่างน้อยสุด 100 เสียงขึ้นไป  2)ฟื้นภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ นายกอบจ.ก๊อง-พิชัย  เลิศพงศ์อดิศร  อาจจะไม่สวมเสื้อเพื่อไทยแต่ต้องรักษาแชมป์ไว้ให้ได้เพื่อเอาสส.เพื่อไทยสมัยหน้ากลับมาให้ได้จากที่เหลืออยู่ 2 คน ให้กลับมาเป็นอย่างน้อย 8 หรือยกจังหวัด10คน..

และ3) สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเคลียร์พื้นที่ภาคกลาง(รวมภาคตะวันออก)...ถึงนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ และเครือข่ายเดินเงียบ  โดยเฉพาะแนวรบด้านตะวันออก ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี และตราด..เรียบร้อยหมดแล้ว..เหลือแต่ปราจีนบุรีและนครนายก  ที่ปิดจ๊อบยังไม่จบ..โดยเฉพาะที่ปราจีนบุรี  ต้องรอดูเจ้าของพื้นที่สีน้ำเงินว่าจะออกอาวุธอย่างไร แบบไหน..คงไม่ปล่อยให้สูญเสียพื้นที่อาณาเขตทางการเมืองของตัวเองไปได้ง่ายๆ

รวมความแล้วเกมที่ดูเหมือนจะไม่ยากนักสำหรับคนระดับทักษิณ  แต่เมื่อส่องกล้องมองในรายละเอียด   เกมชิงนายกอบจ.40กว่าจังหวัดต้นปีหน้าก็ใช่ว่าจะเป็นรายการเคี้ยวหมู..อุปสรรคใหญ่ที่เป็นก้างขวางคออยู่ในขณะนี้ก็คือ...พรรคประชาชนที่ปักธงส่งผู้สมัครแบบหวังผลอย่างน้อย 12 จังหวัด, พรรคภูมิใจไทย ที่ ‘ครูใหญ่’เนวิน   ชิดชอบ  ยังกบไพ่เงียบ..เปิดออกมาเมื่อไหร่ไม่ใครต่อใครก็อาจเป็นลม..เหมือนตอนเลือกตั้งสว.สภาน้ำเงิน ก็ได้..

ยิ่งนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ ออกตัวแรงในทุกๆ ด้านแม้กระทั้งกรณีกึ่งขับไล่ ด้อยค่าพรรคร่วม..ก็ใช่ว่าจะเป็นผลบวกในทุกๆเรื่องเสมอไป!!

ที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียนปีหน้า เผยคุณสมบัติประสบการณ์ระดับ 'รัฐบุรุษ'

(16 ธ.ค. 67) สื่อมาเลเซียรายงานว่า นายอันวาร์ อิบบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะแต่งตั้งให้ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็น "ที่ปรึกษาส่วนตัว" ให้กับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในขณะที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า

นายอันวาร์ เผยว่า คุณสมบัติของนายทักษิณ นอกจากมีประสบการณ์ระดับรัฐบุรุษแล้ว ยังเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพและสนับสนุนจากชาติสมาชิกหลายฝ่ายในอาเซียน ซึ่งเป็นการแต่งตั้งอย่างไม่เป็นทางการ

“ผมตกลงแต่งตั้ง (ทักษิณ) เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในฐานะประธานอาเซียน ขอบคุณที่ยอมรับการแต่งตั้งนี้ เพราะเราต้องการประโยชน์จากประสบการณ์ของรัฐบุรุษแบบนี้” นายอันวาร์กล่าวกับนางสาวแพทองธาร ธิดาคนเล็กของนายทักษิณ

“ขอบคุณที่เขายอมรับการแต่งตั้งครั้งนี้ เพราะเราเห็นความสำคัญจากประสบการณ์ของนักการเมืองผู้มีประสบการณ์เช่นคุณพ่อของท่าน” อันวาร์กล่าวต่อนายกรัฐมนตรีแพทองธาร

นอกจากนี้ ในระหว่างการหารือแบบทวิภาคีระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับนายอันวาร์ อันวาอิบราฮิม เผยว่า มาเลเซียต้องการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างสองชาติ โดยตั้งเป้าหมายการค้าถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027

"อาจจะมองว่าเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน แต่เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยและมาเลเซีย เราก็มีสิ่งที่สามารถร่วมมือกันได้" นายอันวาร์ กล่าว นอกจากนี้นายกมาเลย์ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างไร้รอยต่อในอาเซียน เพื่อให้การค้าภายในภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากขึ้น

‘เปลว สีเงิน’ อ่านเกม ‘ทักษิณ’ ชี้ชัด อยากตะเพิด ‘พีระพันธุ์ – รทสชง’ พ้นรัฐบาล

(17 ธ.ค. 67) เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์การเมืองชื่อดัง เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้เขียนบทความในคอลัมน์ ‘คนท้ายซอย’ ว่า "พีระพันธุ์-เพชรแท้"
เห็นถามเชิงเถียงกันขรมเมืองทั้งวัน ว่า.....

ตกลง "ทักษิณไล่ใคร?"

ไล่ "อนุทิน-ภูมิใจไทย" หรือไล่ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ" ให้พ้นจาก "พรรคร่วมรัฐบาล"?

หรือไล่มันทั้ง ๒ พรรคนั่นเลย?

ผมตอบแทนทักษิณให้ก็ได้ "อยากเฉดหัวให้มันออกไปทั้ง ๒ พรรค" นั่นแหละ

แต่ที่อยากมากกกกก ถึงขั้นไล่ได้ ไล่ให้ออกไปวันนี้-วันพรุ่งเลย คือ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ"!

เพราะอะไร?

๑.ไล่พรรครวมไทยสร้างชาติ ๓๕-๓๖ เสียงออกไป ก็ไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้มี "พรรคธรรมนัส" ร่วม ๒๕ เสียงเสียบเสริมอยู่แล้ว

๒.ทุกคนรู้-โลกรู้ "รวมไทยสร้างชาติ" ชาติกำเนิดคือพรรคของอดีต "นายกฯ ประยุทธ์"

พีระพันธุ์จึงมีภาพเป็นคนของ "ลุงตู่" ซึ่งเป็น "หนามปักคาใจ" ให้ทักษิณคลั่งในยิ่งนัก

๓.ขณะเดียวกัน พีระพันธุ์เป็นคนที่ชาวประชารับรู้ว่า เป็นนักการเมือง "เพื่อชาติและประชาชน" ของแท้ ๑๐๐%

พีระพันธุ์จึงเป็น "หมาเฝ้าบ้าน" โดยจิตวิญญาณ ไม่ใช่ "หมาในคอก" โดยหิวอาหารเม็ด จากมือคนคด!

๔.ด้วยคุณสมบัติ ไม่สน "อาหารเม็ด" ทำให้พีระพันธุ์ดูเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้กับใคร

ถ้าเรื่องนั้น ทำแล้ว "นักการเมืองได้-ประชาชนเสีย"!

ต่อให้เป็นนโยบายรัฐบาล.....

สั่งให้ตาย พีระพันธุ์ก็จะไม่ยอมไหลตามไปกับสิ่งไม่ถูกต้องนั้น

๕.พีระพันธุ์เป็นรัฐมนตรี "คุมพลังงาน" แล้วใครบ้างที่ไม่รู้ว่า พลังงาน "ขุมทรัพย์นับล้านล้าน" ของไทย ทุกวันนี้ อยู่ในกำมือใคร?

ชาวบ้านใช้ไฟแพงจากค่า ft ทุกวันนี้ ต้นเหตุมาจากไหน ทุกคนรู้ เว้นแต่รัฐบาลของคนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เท่านั้น ที่ไม่รู้?

พีระพันธุ์เข้าไปแก้ในดงขวากหนาม เท่ากับ "ขวางทางโจร" ที่มันกำลังปล้นประชาชนจนรวยติดอันดับ "มหาเศรษฐีโลก"

ตัวเจ้าพ่อและร่างทรงเจ้าพ่อ จึงเพิ่มแรงอยากไล่ให้พีระพันธุ์ออกไปเร็วๆ เป็น ๒ เท่า

ยิ่งเขากำลังจะขุดพลังงานในอ่าวไทยใต้เกาะกูดไปรวยแบ่งกันกับเขมรอยู่ด้วย

พีระพันธุ์และอนุทิน ดันเป็น "ไอ้เข้" เข้าไปนอนขวางทางขุดเขาอีก จึงต้องส่งสัญญาณ "กูไม่พอใจพวกมึง" แล้วนะโว้ย

แต่จังหวะและบรรยากาศที่จะไล่ทั้ง ๒ พรรค มันยังไม่ให้ ถึงแม้ล้วงประเป๋ากางเกง มี "พรรคประชาชน" ให้กระเดาะเล่นในมือก็ตาม

ที่ทำได้ทันที โดยไม่กระทบเสียงรัฐบาล ก็คือไล่รวมไทยสร้างชาติออกไป จะ "รวยแบ่งกัน" ได้สบายกว่า มีพีระพันธุ์อยู่ให้กระดากปาก ตอนซ้วบบบบ!

แต่ก็นั่นแหละ.....

ในจุดเด่นของคุณพีระพันธุ์ก็มีจุดด้อยด้วยเหมือนกัน คือในความเก่งเฉพาะตัว ที่ไม่มีใครปฏิเสธ

แต่คุณพีระพันธุ์เป็นคนปากกับใจตรงกัน รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น บางเรื่องจึงกลายเป็นว่า คุณพีระพันธุ์ไม่รู้จัก "ถนอมน้ำใจคน"

นั่นทำให้การบริหารคนในฐานะ "หัวหน้าพรรค" มีปัญหา การใช้มาตรฐานตัวเองเป็นมาตรฐานวัดทุกคนในพรรค ทำให้รวมใจคนในพรรคให้เป็นหนึ่งไม่ได้

ห่านดิน ยังกินหญ้า ห่านฟ้า ยังกินยุง ฉันใด ลูกน้องในพรรค ก็ฉันนั้น คนเป็นหัวหน้าก็ต้องบริหารอาหาร

คนน่ะ...จริงอยู่ เป็นคนเท่ากัน แต่มันไม่เท่ากันในความสามารถด้านหน้าที่การงาน

แต่ทุกคนสามารถใช้ศักยภาพที่มีแต่ละด้าน ช่วยให้พรรคเจริญเติบใหญ่ได้

มีเงินหมื่นล้าน ก็สร้าง "กระต๊อบ" หลังเดียวไม่ได้

ถ้าไม่มีคนไปตัดไม้ไผ่ ไม่มีคนขุดดิน ไม่มีคนตัดหวาย จักตอก ไม่มีคนมุงหลังคา

ฉะนั้น คนสำคัญกว่าเงิน แต่ต้องรู้จักใช้ทั้งเงิน-ทั้งคน              

ผู้บริหารที่ "รู้จักใช้คน" เขาจะไม่มองข้ามใครเลย ขณะเดียวกัน เขาจะมองเชิงวิจัยทะลุศักยภาพแต่ละคน

แล้วดึง "คุณภาพคน" ที่ต่างกันออกมาใช้ตามลักษณะงาน ตามจังหวะ-เวลา-สถานการณ์

"ชนะ" ที่เป็น "ชัยชนะ" แท้จริง มี ๒ อย่าง คือ

ชนะขั้นสามัญ ชนะใจคนอื่น

ชนะขั้นสูงสุด ชนะใจตัวเอง!

คุณพีระพันธุ์มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ดึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ในบทบาท "ผู้นำพรรค" ให้ถึงพร้อมเท่านั้น

ถ้าเปิดใจให้กว้างต่อมิตรสหายในเส้นทาง ทั้งที่คิดเหมือนและคิดต่างให้มากกว่านี้

คำสบประมาทที่ว่า "รวมไทยสร้างชาติ" เจ๊งแล้ว นายทุนแยกพรรคไปแล้ว

เลือกตั้งครั้งหน้า....

"รวมไทยสร้างชาติ" ใต้การนำพีระพันธุ์ ไม่ใช่พรรคต่ำสิบ แต่จะเป็นพรรคต่ำห้า มันจะกลายเป็นฝ่าตีนตบหน้าคนสบประมาททันที!

พูดถึงนายทุนน่ะ ตะแคงกระบุงแล้วเอาเท้าโกยก็ถมถืด หาไม่ยากหรอก

ที่หายาก คือ "นักการเมือง" ที่บริสุทธิ์-จริงใจ ต่อชาติบ้านเมืองและประชาชนตะหาก

คุณพีระพันธุ์ คือ ๑ ในจำนวนที่หายากนั้น

แต่การดึงศักยภาพตัวเองออกมาแสดง "ภาวะผู้นำ" ที่ทั้งคนในพรรคและนอกพรรคยอมรับ

สู่ขั้นเปล่งประกายเข้าตาสังคมชาติ ว่า คนนี้ ฝากผี-ฝากไข้ ให้เป็น "ผู้นำประเทศ" ได้ ยังไม่สาดแสงทะลุตา

ทะลุวันไหน แค่ตะแคงกระบุงไว้หน้าพรรคเฉยๆ เงินอุดหนุนมาเต็ม บอกไม่เชื่อ!

เพราะเครดิตด้านคนทำงานเอางาน "เพื่อชาติบ้านเมือง" ไม่ใช่ "เอาเงินเข้ากระเป๋า" คุณพีระพันธุ์ทำให้เห็นมาแล้ว

จำตอม่อ "โฮปเวลล์"....

ที่ตำใจ ประจานไทย ว่าเป็นประเทศบริหารด้วยนักการเมือง "โกงชาติ-ผลาญเมือง" แต่ปี ๒๕๓๓ กันได้มั้ย?

ผ่านมากี่รัฐบาล ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจแก้ปัญหา เพราะแดกเนื้อกันหมดแล้ว ทุกรัฐบาลจึงเมิน

เอกชนฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ยกเลิกสัญญาเขา คณะอนุญาโตตุลาการให้คมนาคมและการรถไฟฯ ชดใช้ค่าเสียหาย บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ร่วม ๓ หมื่นล้านบาท!

มาถึงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์....

จะว่าไปต้องให้เครดิตและชม "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคมตอนนั้น ไม่ยอม ฮึดสู้ จนชนะ เซฟค่าโง่ให้ประเทศร่วม ๓ หมื่นล้าน

มือกฎหมายที่พลิกจากแพ้ให้กลับมาชนะ ก็คือ "คุณพีระพันธุ์" ผู้นี้แหละ

อดีตท่านเป็นผู้พิพากษา เมื่อนายกฯ ประยุทธ์มอบให้เข้าไปดูเรื่องนี้ ท่านใช้เวลาร่วม ๓ ปี ขุดเอกสารต่างๆ มาดูตามแง่มุมกฎหมาย

ก็ไปสู้ในศาล....

ปรากฏว่า จากที่แพ้-จ่ายแน่ เพราะไม่มีรัฐบาลไหนสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ เมื่อรัฐบาลประยุทธ์ โดย "รมว.ศักดิ์สยาม" สู้

ปรากฏว่า ชนะ "พลิกล็อก-พลิกโลก"

"ศาลปกครองกลาง" มีคำพิพากษา เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ชดใช้ค่าโง่โฮปเวลล์ ๒.๔ หมื่นล้านบาท

พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด

ศาลเห็นว่า "บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด" ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ "พ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด"!

เนี่ย....

ถ้าคุณพีระพันธุ์อยากได้ค่าโอเลี้ยงซักสี่ซ้าห้าพันล้าน แลกกับการไม่เป็นคานเข้าไปสอดหมูที่เขากำลังจะหามกัน

พูดได้คำเดียว "สบายมาก"!

เพราะเป็นคนไม่ชอบ "สบายมาก" นั่นแหละ จึงถูกเจ้าของคอกหมาไล่ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

คุยแล้วก็รากงอก ตั้งใจจะแตะนิดเดียว ดันเลี้ยวลงคู-ลงคลอง ที่ตั้งใจคุยเรื่อง "พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล" ก็เลยหมดเนื้อที่

เอาเป็นว่าเมื่อวาน (๑๖ ธ.ค.๖๗)" ศาลปกครองสูงสุด "มีคำสั่ง" ยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของบิ๊กโจ๊ก

นั่นคือ "สิ้นสุดทางเลื่อนของ แมว ๙ ชีวิต" ลงแค่นี้

เป็นไปตามคำสั่ง ผบ.ตร. "พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์" และมติ "ก.พ.ค.ตร."

ที่ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ "ออกจากราชการไว้ก่อน"!

กรณีถูกกล่าวหา "ทำผิดวินัยร้ายแรง" จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์...

เกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์  BNKMASTER จนถูกดำเนินคดีอาญา

และถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน "สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"

และ "เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน"

ก็สู้ต่อไปนะ แพ้เป็นโจ๊ก ชนะเป็น "เทพโจ๊ก"!.

-เปลว สีเงิน

๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗

คนปลายซอย

ฝ่ายค้านมาเลเซียวิจารณ์ 'อันวาร์' ตั้ง 'ทักษิณ' นั่งที่ปรึกษาประธานอาเซียนปีหน้า ถามเหมาะสมแล้วหรือ?

(18 ธ.ค.67) เกิดความขัดแย้งในการเมืองมาเลเซียหลังจากนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมประกาศแต่งตั้ง 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมาเลย์ในปีหน้าซึ่งเป็นช่วงที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน โดยเรื่องดังกล่าวบรรดาพรรคฝ่ายค้านและนักการเมืองหลายคนตั้งคำถามว่า การแต่งตั้งครั้งนี้จะมีประโยชน์ต่ออาเซียนจริงหรือ และทำไมไม่เลือกนักการทูตหรือนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างประเทศแทน

นายอันวาร์เปิดเผยในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมว่า การแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษานั้นเป็นข้อเสนอจากมาเลเซีย และได้รับการตอบรับจากฝ่ายไทย โดยเขามั่นใจว่าประสบการณ์ของทักษิณจะช่วยให้มาเลเซียได้มุมมองที่มีค่าท่ามกลางวิกฤตในภูมิภาค

แม้บางฝ่ายจะมองว่าแต่งตั้งทักษิณเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในพม่าและความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่ก็มีหลายเสียงที่ตั้งคำถามถึงการเลือกนักการเมืองต่างชาติที่มีประเด็นถกเถียงหลายเรื่อง เช่น ทักษิณที่ถูกลงโทษในคดีคอร์รัปชันและใช้อำนาจโดยมิชอบในไทย

อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัดแสดงความสงสัยเช่นกันว่าเหตุใดถึงเลือกทักษิณ ทั้งที่มีตัวเลือกอื่นๆ ที่ไม่มีปัญหาทางกฎหมาย และเน้นว่าการเลือกบุคคลที่มีข้อถกเถียงอาจจะเป็นความเสี่ยงสำหรับอันวาร์

ทักษิณซึ่งกลับไทยในปี 2023 และถูกตัดสินจำคุก 8 ปีในข้อหาคอร์รัปชัน ก่อนจะได้รับการลดโทษและทัณฑ์บน ได้รับการยอมรับในบางวงการ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน ซึ่งทำให้เขายังคงมีอิทธิพลทั้งในและต่างประเทศ ทักษิณเคยเสนอเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ในพม่า และยังคงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองไทย แม้ว่าจะหลบหนีออกจากประเทศไปหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งผู้นำต่างชาติในตำแหน่งที่ปรึกษาอาเซียนนี้ยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ในระยะยาว

รมว.ต่างประเทศมาเลย์ยัน ทักษิณ เหมาะสมนั่งที่ปรึกษาประธานอาเซียน เชื่อทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์สองมหาอำนาจได้

นายโมฮัมหมัด ฮะซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวในการแถลงข่าวเกี่ยวกับการเตรียมดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของมาเลเซียในปี 2025 โดยในตอนหนึ่งของการแถลง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม จะแต่งตั้งให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของประธานอาเซียนในปีหน้า

โดยนายฮะซัน กล่าวถึงเหตุผลที่นายกฯมาเลย์เลือกนายทักษิณว่า “อดีตนายกฯทักษิณ เป็นผู้ทรงอิทธิพลในไทย ได้รับการยอมรับจากสหรัฐ และมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน นั่นทำให้เขาเหมาะสมในการทำหน้าที่สะพานเชื่อมอาเซียน ระหว่างสองมหาอำนาจ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น"

อย่างไรก็ดี การแต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยให้เป็น 'ที่ปรึกษาส่วนตัว' ของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในช่วงที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2025 นั่นได้สร้างข้อวิจารณ์มากมายจากทั้งฝ่ายค้านของมาเลเซีย ตลอดจนบรรดานักวิชาการของมาเลเซีย

โดยนายอาห์หมัด ฟัดห์ลี ชารี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคฝ่ายค้าน กล่าวว่าเป็นการกระทำที่ 'ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน' และตั้งคำถามว่า การแต่งตั้งครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่ออาเซียนหรือเป็นการเสริมภาพลักษณ์ของนายอันวาร์ในระดับสากลกันแน่

เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด ก็แสดงความสงสัยเกี่ยวกับการเลือกทักษิณ โดยกล่าวว่า “ผมไม่รู้ทำไมเขาถึงเลือกทักษิณ เรามีคนให้เลือกมากมาย และทักษิณมีปัญหาทางกฎหมายของตัวเอง แต่ก็เป็นสิทธิ์ของนายอันวาร์ในการเลือก”

ขณะที่นักวิชาการบางรายกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นข้อเสีย หากถูกมองว่าเป็นการขาดความมั่นใจในรัฐบาลของตัวเองในการบริหารจุดยืนของอาเซียนระหว่างสองขั้วมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐฯ แต่นักวิชาการบางคนมองว่า การแต่งตั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้มีความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยแนะนำรัฐบาลมาเลเซียในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ที่อาเซียนจะเผชิญในอนาคต

‘ชูศักดิ์’ เล็งเช็กบิล ‘นักร้อง’ ปม ‘ทักษิณ’ ครอบงำพรรค เผยอยู่ระหว่างเก็บข้อมูล ส่วนจะมีใครบ้างอีกไม่นานคงได้ยินข่าว

(19 ธ.ค.67) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ส่งหนังสือเชิญนายกรัฐมนตรี ให้ไปชี้แจงกรณี นานทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบงำพรรคว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเดินทางไปชี้แจงด้วยตนเอง ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำเช่นนี้มาตลอด โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายตนเองไปชี้แจง และก็ต้องไปยกร่างคำชี้แจงแค่นั้น 

เมื่อถามย้ำว่าครั้งนี้ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการแทนใช่หรือไม่ ชูศักดิ์ ระบุว่า ก็แน่นอน ก็ต้องมอบหมาย และท้ายที่สุดก็คงไม่ต้องไป ทำหนังสือชี้แจงไปก็ได้ ซึ่งทำแบบนี้มาตลอด  

เมื่อถามว่าหากนายกรัฐมนตรีเดินทางไปด้วยตนเอง ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะดีกว่าหรือไม่ นายชูศักดิ์ มองว่า ไม่ใช่ดีกว่า หรือไม่ดีกว่าอะไร ซึ่งประเด็นอยู่ที่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และข้อกฎหมายเป็นอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่กรณีเช่นนี้จะมอบหมายตนเอง และทำคำชี้แจงไปว่า ความจริงเป็นเช่นนี้ ที่ไม่ใช่การครอบงำ พร้อมกับนำพยานหลักฐานแนบไปด้วย  

ส่วนเห็นหนังสือจาก กกต. แล้วหรือไม่ ชูศักดิ์ ระบุว่า เห็นแล้วเมื่อวานนี้ (18 ธ.ค.67) ซึ่งเป็นเรื่องเก่า ๆ ทั้งนั้น และท้ายที่สุด กกต. ก็ใช้วิธีรวบรวมมา ซึ่งมี 4-5 เรื่อง เพื่อที่จะได้ตอบชี้แจงไปทีเดียว 

ขณะที่คำร้องต่าง ๆ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกไป ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยระบุว่าจะมีการฟ้องร้องกลับเหล่าบรรดานักร้อง ขณะนี้ดำเนินการอย่างไรแล้ว ชูศักดิ์ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายกำลังดำเนินการอยู่ เดี๋ยวก็คงได้ยินข่าว พร้อมกับหัวเราะ  

เมื่อถามว่า อยู่ในขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐานใช่หรือไม่ หลังทักษิณ ออกมาพูดในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยว่าจะมีการไล่เช็กบิล พวกนักร้อง ชูศักดิ์ ระบุว่า ที่ฝ่ายกฎหมายกำลังดำเนินการอยู่ ก็เป็นคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง  

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่าหลังปีใหม่จะเริ่มเช็กบิลเลยหรือไม่ ชูศักดิ์ กล่าวว่า เดี๋ยวคงได้ยินข่าว ส่วนจะกี่คนยังตอบไม่ได้ เดี๋ยวเวลานั้นก็รู้เอง พร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง 

‘จักรภพ’ ไม่แปลกใจ ‘อันวาร์’ ตั้ง ‘ทักษิณ’ เป็นที่ปรึกษาปธ. อาเซียน เชื่อรวมชาติอาเซียนได้ด้วยใจไม่ใช่กลไกราชการ เหตุรู้จักผู้นำทุกคน

‘จักรภพ’ เผย ผู้นำอาเซียนรู้จัก ‘ทักษิณ’ หมด ไม่แปลกใจ อันวาร์ ตั้งเป็นที่ปรึกษาปธ. อาเซียน เชื่อ อดีตนายกฯ รวมชาติอาเซียนได้ด้วยใจ ไม่ใช่กลไกราชการ

(20 ธ.ค.67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกรัฐบาล และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้แต่งตั้ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ในปี 2025 ที่รัฐบาลมาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการประชุมระดับนานาชาติ ว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะผู้นำอาเซียนรู้จัก นายกฯ ทักษิณ กันหมด โดยตำแหน่งนี้ก็ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่มีเงินเดือน ไม่ได้มีตำแหน่งอยู่ในโครงสร้างอาเซียน เป็นตำแหน่งไม่เป็นทางการ นายอันวาร์เชื่อว่า นายกฯ ทักษิณ สามารถรวมชาติอาเซียนได้ด้วยใจ ไม่ใช่กลไกราชการ 

นายจักรภพ กล่าวว่า นายอันวาร์ มองไปล่วงหน้าว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ มันน่าจะตรงกับประสบการณ์ของ นายกฯ ทักษิณโดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในประเทศเมียนมาในขณะนี้ อย่าลืมว่า นายกฯ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี 6 ปี มีเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ในเมียนมาหลายครั้ง จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงศูนย์อำนาจในเมียนมา ชนกลุ่มน้อยก็เข้มแข็งขึ้น และนายกฯ ทักษิณ ก็สามารถเจรจาชนกลุ่มน้อยที่อยู่ตามชายแดนได้ เหมือนที่กำลังมีประเด็นว้าแดงอยู่ในขณะนี้  

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังได้ยกเรื่องของความขัดแย้ง ระหว่างอินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ ที่เห็นไม่ตรงกันในเรื่องน่านน้ำ ก็ต้องให้อาเซียนช่วย เวียดนามเองก็มีปัญหาเรื่องของเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากเวียดนาม แล้วก็เป็นที่แย่งชิงของบรรดาอาเซียน นายกฯ ทักษิณ ผ่านเรื่องเหล่านี้มาโดยส่วนตัวคิดว่านายอันวาร์ ก็คงหวังจะได้ประโยชน์จากตรงนี้

“ผมเดาใจท่านอันวาร์ ท่านน่าจะมองว่าคุณทักษิณ เป็นคนที่เก่งในการสร้างงานที่ใหญ่ขึ้น มาเลเซียได้ประโยชน์ ประเทศในอาเซียนได้ประโยชน์ และแน่นอนว่าประเทศไทยก็ได้ประโยชน์ด้วย พูดง่าย ๆ คือคุณทักษิณมองใหญ่เป็น เขาคงรู้ว่าคบกับไทยดีกว่าแข่งกับไทย” นายจักรภพ กล่าว 

นายจักรภพ กล่าวถึงกรณี นายอันวาร์ เรียกนายทักษิณว่าเป็นรัฐบุรุษ ว่า ต่างชาติเขาคิดไม่เหมือนเรา ที่อาจจะมอง นายกฯ ทักษิณ แบบมีอคติ แต่เขามองแบบผู้นำนับถือกัน และที่สำคัญเขามีหน่วยงานข่าวกรองที่รู้มากกว่าเรา เขารู้ว่า นายกฯทักษิณ เป็นอย่างไร อาจมีผิดพลาดบ้าง แต่สำคัญคือเดบิตต้องสูงกว่าเครดิต รายได้สูงกว่ารายจ่าย กิจการนั้นก็จะประสบความสำเร็จ จะมานั่งวัดกันเหมือนส่องกล้องจุลทรรศน์ ก็คงไม่ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top