‘ไบเดน’ กร้าว!! ปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ถล่มซีเรีย ‘จำเป็น-สมน้ำสมเนื้อ’ เพื่อตอบโต้หลังกำลังพลสหรัฐฯ ถูกโจมตีด้วยโดรน-จรวดหลายครั้ง

(29 ต.ค. 66) ‘ประธานาธิบดีโจ ไบเดน’ ยืนยันว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ถล่มภาคตะวันออกของซีเรียในสัปดาห์นี้มีความชอบธรรมทางกฎหมาย ระบุปฏิบัติการต่างๆ เหล่านั้นเป็นการตอบโต้ที่เหมาะสมต่อเหตุใช้โดรนและจรวดเล่นงานกำลังพลสหรัฐฯ รอบแล้วรอบเล่าในภูมิภาคแถบนี้

ในหนังสือที่ส่งถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (27 ต.ค.) ที่ผ่านมา ทางทำเนียบขาวระบุว่า ปฏิบัติการทางอากาศเป็นไปตามกรอบอำนาจทำสงครามของประธานาธิบดี และมีขึ้นตามหลังเหตุโจมตีกำลังพลและที่ตั้งทางทหารของสหรัฐฯ ในซีเรียและอิรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเดือนที่ผ่านมา

“ตามคำสั่งของผม ในค่ำคืนวันที่ 26 ตุลาคม 2023 กองกำลังสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมาย เล่นงานที่ตั้งต่างๆ ทางภาคตะวันออกของซีเรีย” ไบเดนกล่าว พร้อมระบุว่า โกดังทั้งหลายที่ถูกโจมตีนี้ถูกใช้งานโดยกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

“การโจมตีมีเจตนาเพื่อตั้งมั่นป้องกันตนเองและดำเนินการในแนวทางที่จำกัดความเสี่ยงของสถานการณ์ลุกลามบานปลาย และหลีกเลี่ยงไม่ให้พลเรือนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต” หนังสือระบุ พร้อมบอกว่าปฏิบัติการนี้ “เป็นสิ่งจำเป็นและสมน้ำสมเนื้อ”

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) แถลงปฏิบัติการทางทหารดังกล่าวครั้งแรกเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (26 ต.ค.) โดยบอกว่ามันเป็นภารกิจป้องกันตนเองและมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเพื่อปกป้องและคุ้มกันบุคลากรของสหรัฐฯ ในอิรักและซีเรีย

ทั้งนี้ ทาง ‘พลจัตวา แพท ไรเดอร์’ แห่งกองทัพอากาศ บอกในเวลาต่อมา ว่า เครื่องบินรบของอเมริกาโจมตีโกดังเก็บอาวุธและกระสุน ใกล้เมืองอัล-บูคามาล ตามแนวชายแดน พร้อมอ้างว่าโกดังทั้ง 2 ถูกทำลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

‘จอห์น เคอร์บี’ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เน้นว่า พวกเจ้าหน้าที่ยังคงอยู่ระหว่างประเมินปฏฺิบัติการ และเตือนว่ากองกำลังอเมริกาจะไม่ลังเลที่จะใช้มาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมในการป้องกันตนเอง

ฐานทัพต่างๆ ของสหรัฐฯ ในอิรักและซีเรียถูกโจมตีมาแล้วอย่างน้อย 16 รอบ นับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมเป็นต้นมา จากข้อมูลของกองบัญชาการสหรัฐฯ มีทหารหลายนายได้รับบาดเจ็บจากเหตุโจมตีเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังมีพนักงานสัญญาจ้างที่เป็นพลเรือนรายหนึ่งเสียชีวิต สืบเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว ระหว่างที่ถูกโจมตี

ปัจจุบันมีทหารสหรัฐฯ ราว 1,000 นาย ประจำการอยู่ในซีเรีย ยึดครองบ่อน้ำมันสำคัญๆ และทางข้ามแม่น้ำยูเฟรทีสหลายแห่ง ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มติดอาวุธที่นำโดยพวกเคิร์ด แม้ว่ารัฐบาลในดามัสกัส ส่งเสียงประท้วงซ้ำๆ ว่า การปรากฏตัวของทหารสหรัฐฯ ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

เหตุโจมตีด้วยจรวดและโดรนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่สถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับนักรบปาเลสไตน์เป็นไปอย่างดุเดือด เข่นฆ่าชีวิตในทั้ง 2 ฟากฝั่งแล้วมากกว่า 9,000 ราย

วอชิงตันตอบสนองสถานการณ์ความตึงเครียดที่พุ่งสูง ด้วยการประจำการทหารอย่างมีนัยสำคัญ ในนั้นรวมถึงกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี 2 กอง ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่นเดียวกับเรือยกพลขึ้นบกจู่โจม ที่บรรทุกกำลังพล 2,000 นาย ใกล้กับชายฝั่งอิสราเอล

นอกจากนี้ ยังมีทหารสหรัฐฯ อื่นๆ อีก 900 นาย ถูกส่งเข้าไปประจำการในจุดต่างๆ ที่ไม่มีการเปิดเผยในตะวันออกกลาง เจ้าหน้าที่อเมริกาอ้างว่าความเคลื่อนไหวนี้มีเจตนาเสริมการป้องกันกองกำลังของตนเองในภูมิภาค และป้องปรามไม่ให้ตัวละครภายนอกเข้าเกี่ยวพันในสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส