‘เศรษฐา’ อัด รบ.บริหารพลังงานผิดพลาด ทำค่าไฟพุ่ง พร้อมชูมาตรการระยะสั้น-ยาว แก้ค่าไฟแพง คลายทุกข์ ปชช.

(3 พ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin’ ในหัวข้อ ‘พิษการบริหารจัดการค่าไฟฟ้า : ฤดูร้อนที่ประชาชนชาวไทยหนาว’ โดยระบุว่า…

ฤดูร้อนในประเทศไทยเรานี้อากาศร้อนขึ้นทุกปี ๆ พี่น้องประชาชนไทยก็ต้องพึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศเพื่อคลายร้อนกันถ้วนหน้า ซึ่งเมษายนที่ผ่านมาเป็นเดือนที่ร้อนที่สุด พี่น้องหลาย ๆ ท่านคงอดกังวลถึงบิลค่าไฟที่แพงขึ้นไม่ได้ เพราะแค่ค่าไฟเดือนมีนาคมก็เปลี่ยนอากาศร้อนกลายเป็นหนาวได้เลยทีเดียว

ที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่ปีนี้ แต่เป็นเวลานานติดต่อกันหลายปี สำหรับประเด็นเรื่องค่าพลังงาน ที่ส่งผลเดือดร้อนทั้งกับพี่น้องประชาชนในเรื่องค่าครองชีพ และทั้งกับภาคธุรกิจที่ต้นทุนสูงขึ้น

ต้องบอกว่าปัญหาทั้งหมดนี้ เกิดจากการบริหารพลังงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูง และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีราคาสูงเข้ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นปริมาณมาก ซึ่งถ้าให้ร่ายรายละเอียดความผิดพลาดก็มีหลายเรื่องครับ
อย่างแรก ปัญหาการรับช่วงต่อสัมปทานการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในพื้นที่อ่าวไทยจาก บริษัท เชฟรอน ทำให้ผลิตก๊าซธรรมชาติ (LNG) ได้น้อยลงกว่าที่เคยทำได้ รวมถึงเรื่องการที่เรานำ ก๊าซธรรมชาติ (LNG) ราคาถูกจากอ่าวไทยไปผลิต ปิโตรเคมี แทนที่จะนำเข้าสู่กระบวนการผลิตไฟฟ้า

นอกจากนี้แล้ว ต้องบอกว่ารัฐบาลชุดนี้รู้อยู่แล้วว่า ก๊าซธรรมชาติ (LNG) ในอ่าวไทยจะไม่เพียงพอสำหรับการผลิตไฟฟ้า แต่กลับไม่ได้เร่งต่อรองกับกัมพูชาเพื่อขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างไทย-กัมพูชา และท้ายสุดแล้วคือ เรื่องของสัญญาค่าความพร้อมที่เซ็นล่วงหน้า โดยไม่มีการประมาณการความต้องการไฟฟ้าอย่างละเอียด จากปกติที่ควรจะมีไฟฟ้าสำรองแค่ 15% แต่ตอนนี้เรากลับมีไฟฟ้าสำรอง มากกว่า 50% หนำซ้ำรัฐบาลที่ผ่านมายังไปเซ็นใบอนุญาตผลิตไฟเพิ่มอีกกว่า 16% ของความต้องการไฟฟ้าก่อนจะยุบสภาฯ เป็นเหมือนการซ้ำเติมความบอบช้ำของประชาชนให้หนักขึ้นไปอีก

ปัญหาเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เรามีมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อจัดการปัญหาอย่างทันที

ในระยะสั้น เราจะลดราคาค่าไฟฟ้าทันที และตรึงราคาค่าไฟฟ้าไปก่อน เพราะราคาพลังงานมีแนวโน้มที่อาจจะปรับลง จากภาวะเศรษฐกิจของโลกที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย และค่อยประเมินอีกทีในช่วงปีถัดไป เราจะเจรจาหาข้อยุติในกรณีพิพาทเรื่องการส่งมอบสัมปทานในพื้นที่อ่าวไทย และดำเนินการหยุดให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าทุกชนิด จนกว่าสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการจะลดลง

ในระยะยาว เราจะเร่งเจรจาแหล่งพลังงาน ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา ต้องเจรจาลดค่าความพร้อมของโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้วแต่ไม่ได้จ่ายไฟฟ้า โดยปัจจุบัน (เดือนละ 8,000 ล้านบาท) ต้องนำก๊าซธรรมชาติราคาถูกจากอ่าวไทยมาผลิตไฟฟ้า แทนการนำไปผลิตปิโตรเคมี และท้ายที่สุดเราต้องมองถึงอนาคตที่จะลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ โดยมีมาตรการสนับสนุนพลังงานทดแทน เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลส์) และ ก๊าซชีวภาพ บวกกับการสร้างข้อจูงใจให้กับภาคเอกชนในการผลิตไฟฟ้ามากกว่านี้ ด้วยการผลักดันให้เกิดระบบหักลบกลบหน่วยอัตโนมัติจากไฟฟ้าที่ผลิตใช้เอง (net metering) ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนถูกลง

สิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าเรามีโอกาสได้ดำเนินนโยบายเหล่านี้ก็คือ ทุกภาคส่วนจะมีค่าไฟฟ้าที่ลดลงทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง ประชาชนมีเงินเหลือมากขึ้น เอกชนมีกำไรมากขึ้น สินค้ามีราคาที่ถูกลง ทำให้แข่งขันกับประเทศอื่นทั่วโลกได้ และการสนับสนุน พลังงานทดแทนจะช่วยในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมของประเทศเราอีกด้วย

ผมเชื่อว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล และผลักดันนโยบายนี้ควบคู่ไปกับนโยบายอื่น ๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่า ส่งเสริมการท่องเที่ยว ซอฟต์พาวเวอร์ เราจะเห็นได้ว่านโยบายเหล่านี้จะเสริมกัน ทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น เมื่อเศรษฐกิจโตขึ้นเฉลี่ย 5% ตามที่พรรคเพื่อไทยได้ตั้งไว้ อัตราไฟฟ้าสำรองที่ผลิตเกินก็จะลดลงมาใกล้เคียงกับอัตราที่ควรจะเป็น ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยจะดีขึ้น ความเหลื่อมล้ำจะลดลง และประเทศไทยจะสามารถกลับมาเป็นหนึ่งในผู้นำของภูมิภาคได้อีกครั้งอย่างแน่นอน


ที่มา : https://www.facebook.com/Thavisin.Official/posts/pfbid02kcT236ZXuwwv1powgRxuBuumPFsfetFXGe1sfvVWVpkyDwtQxEDzmG5kDHGHcANKl