อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ยกระดับชีวิตคนจน และส่งเสริมการกีฬาเพื่อเยาวชน

แม้ว่า สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสมศักดิ์ เทพสุทิน จะบอกลาพรรคพลังประชารัฐ ข้ามขั้วไปเปิดตัวกับพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว  แต่สำหรับ "อนุชา นาคาศัย" หรือ "เสี่ยแฮงค์" อีกหนึ่งแกนนำสำคัญของกลุ่มสามมิตร กลับลั่นวาจาชัดเจนว่าจะขอไปร่วมหัวจมท้าย กับ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ  

ด้วยความที่รักในความมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชน และความจริงใจของ "ลุงตู่" ซึ่งเขาคิดว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้สามารถประคับประคองรัฐนาวาฝ่าข้ามคลื่นลมมาได้จนถึงเวลาประกาศยุบสภา และ "อนุชา" ในบทบาทรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับนายกฯ ลุงตู่ มากที่สุด 

"อนุชา" เคยสะท้อนตัวตนของเขาผ่านสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ว่าแม้เขาเป็นคนพูดน้อย แต่เมื่อลงมือทำแล้วมั่นใจได้ว่าทำจริง เวลาเกือบ 4 ปี ของการเป็นรัฐบาล อนุชาเคยสวมหมวก “พ่อบ้าน" ทั้งของพรรค และของรัฐบาล โดยเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และยังเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ต่อเนื่องมาจนกระทั่งยุบสภา

ช่วงที่ "อนุชา" อยู่ในบทบาทเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ต้องฝ่าอุปสรรคความคิดที่หลากหลาย คล้ายมี  “สารพัดก๊ก” ภายในพรรค  แต่เขากลับไม่ได้มองเป็นเรื่องเสียหาย เพียงแค่หยิบส่วนดีของแต่ละฝ่ายนำมาใช้ และต้อง “ไม่เข่นฆ่ากัน” ในช่วงเวลาไล่เรียงกัน เมื่อสภาฯ กำลังจะมีการประชุมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 วาระ 2 และ 3 หลายฝ่ายเป็นห่วงสถานการณ์นอกสภาที่มีการนัดชุมนุม '19 กันยา' เรียกร้องการแก้รัฐธรรมนูญ ที่อาจลุกลามบานปลายไปสู่ความรุนแรง

อนุชา ซึ่งเป็นทั้งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และรมต.ประจำสำนักนายกฯ ร้องขอให้ ส.ส. ของพรรค เข้าประชุมตามปกติ  พร้อมให้ความเห็น ว่าการชุมนุมเป็นเรื่องปกติทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ออกมาเคลื่อนไหวก็เป็นลูกเป็นหลาน ที่ทั้งรัฐบาลและรัฐสภา ต้องรับฟังข้อเรียกร้องและช่วยกันแก้ปัญหา 

แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ร้องขอกลับไปยังกลุ่มผู้ชุมนุม หรือผู้อยู่เบื้องหลัง ให้พยายามใช้กลไกในการแก้ปัญหา หาทางออกร่วมกัน ดีกว่าการนำการเมืองลงถนนเพื่อกดดัน เรียกร้องในสิ่งที่อยากได้ทั้งหมด 

“แม้ว่าผมจะเคยถูกตัดสิทธิทางการเมือง (เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบในปี 2549 ) แต่ไม่เคยคิดลงถนน เพราะการเมืองบนท้องถนน วันหนึ่งมันก็เหมือนเขาลงได้ เราก็ลงได้ ไม่มีวันจบสิ้น และวันข้างหน้าจะไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า เรารักประชาธิปไตย ดังนั้น นักการเมืองคนใด ที่ใช้เวทีเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ผมคิดว่าคนๆ นั้นจะต้องพิจารณาตัวเองว่ารักระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่” 

หากมองลึกลงในบทบาทรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “อนุชา” ช่วยประคับประคองและแบ่งเบาภาระ “งานหลังบ้าน” ของรัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งของ “พล.อ.ประยุทธ์” ตั้งแต่งานรูทีน ที่ต้องกำกับดูแลสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค  บมจ.อสมท. - กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนา 

ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี หรือ กตน. ทำให้ในหลายๆ ครั้ง เรามักจะได้เห็นภาพเขานำคณะลงพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหา และฟังเสียงสะท้อนจากคนเล็กคนน้อยด้วยตนเอง อย่างที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ที่มีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินของชุมชนชาวเล หรือที่ชุมชนชาวกะเหรี่ยง บ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่ยังต้องแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน

ขณะเดียวกัน เขายังรับภารกิจขับเคลื่อนงานสำคัญระดับประเทศ อย่างการประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค 2565 ได้รับเสียงชื่นชม สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในเวทีโลก รวมถึงการขับเคลื่อนหลากหลายโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เช่น การช่วยเหลือดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิต และผลักดันโครงการต่างๆ ที่มีส่วนช่วยในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ภายใต้สังคมเชิงพหุวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ในพื้นที่

และล่าสุด กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา "อนุชา" ในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้ผลักดันโครงการ "โคล้านครอบครัว" ได้สำเร็จ โดย ครม. มีมติอนุมัติการดำเนินงานโครงการ วงเงินงบประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยให้ ธกส. สนับสนุนสินเชื่อ ให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ ปล่อยกู้ให้สมาชิก นำไปเลี้ยงโค ครอบครัวละ 2 ตัว กรอบระยะเวลาใช้คืนเงิน 4 ปี เฉพาะเงินต้น โดยร๊ฐช่วยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 4 ซึ่งคาดว่าตลอดทั้งโครงการจะสามารถจัดหาโคได้ 2 แสนตัว สำหรับ 100,000 ครอบครัว  
.
นอกจากงานการเมืองแล้ว  อีกด้าน "เสี่ยแฮงค์" ยังได้ขื่อว่าเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่  “คลั่งไคล้ฟุตบอล" เขาใช้เวลาปลุกปั้น ''นกใหญ่พิฆาต'' สโมสรฟุตบอลชัยนาท ฮอร์นบิล อยู่หลายปี เริ่มจากศูนย์จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลแถวหน้า ที่คนชัยนาทรักและรู้สึกเป็นเจ้าของ
.
และในข่วงที่มีมหกรรมฟุตบอลระดับโลกอย่างฟุตบอลยูโร 2020 ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ผู้กำกับดูแล สถานีโทรทัศน์ NBT กรมประชาสัมพันธ์ เขายังรับหน้าที่มือประสานหาผู้สนับสนุน จนสามารถคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดมาให้คนไทยได้ชมตลอดการแข่งขัน 
.
อนุชา นาคาศัย คือนักการเมืองรุ่นใหญ่ ที่ไม่เพียงแค่สั่งสมชั่วโมงบินทางการเมืองมามาก แต่วิธีคิด และวิธีทำของเขา ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในธรรมชาติของการเมือง และวิถีทางของประชาธิปไตยเป็นอย่างดี 
.
การตัดสินใจแยกเดินกับอีกสองแกนนำกลุ่มสามมิตร ไปลงหลักปักฐานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นจังหวะก้าวที่สำคัญของ "อนุชา" อาจเป็นเพราะได้ทำงานใกล้ชิด และศรัทธาในวิถีทางของ พลเอกประยุทธ์  ผลลัพธ์จากการตัดสินใจทางการเมืองครั้งนี้เป็นเรื่องของอนาคตที่จะได้เห็นกันหลังเลือกตั้ง แต่หากย้อนดูตามรายทาง ระหว่างที่เดินทางมากับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็จะเห็นผลงานทั้งที่ปรากฏต่อหน้า และที่เรียกว่า "ปิดทองหลังพระ" ของรัฐมนตรีที่ชื่อ "อนุชา  นาคาศัย" อยู่ไม่น้อยเลย