ปชป. กางยุทธศาสตร์ 3 ส. 'สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ' ย้ำ!! เจตนารมณ์พรรค 70 ปี มุ่งทำงานเพื่อชาติเป็นหลัก

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ประกาศความพร้อมแบบ 'เต็มอัตราศึก' พร้อมลุยทุกสนามเลือกตั้ง ในทุกกระบวนท่า พร้อมทั้งในแง่นโยบาย ในแง่บุคลากร โดยจะส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งในทุกเขต 400 เขต และบัญชีรายชื่อ 100 คน ครบ 500 คน

การประกาศความพร้อมในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นความพยายามในการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ การคิดนโยบายใหม่ ๆ เพื่อสนองตอบต่อปัญหาของประชาชน

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังได้ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ อันเป็นการ 'ปูพรม' กับการเปิดยุทธศาสตร์ 3 ส. คือ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ

โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยการเตรียมการเลือกตั้ง อธิบายขยายความกับเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ 3 ส. ว่า นอกจากการเตรียมผู้สมัครในแต่ละเขตแล้ว เรื่องนโยบายที่ใช้หาเสียงก็เป็นเรื่องที่พรรคให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เช่นกัน ซึ่งการจัดทำนโยบายของพรรคนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ กรอบงบประมาณที่ต้องใช้ภายใต้นโยบายที่จัดทำ ระยะเวลาที่ต้องปฏิบัติ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดต่อประชาชน และประเทศชาติ ทั้งด้านการพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องดีขึ้น 

ซึ่งขณะนี้ หลักคิดเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจะเป็นทั้ง มาสเตอร์แพลน (Master plan) หรือแผนแม่บทของพรรคในการวางอนาคตของประเทศชาติและประชาชน ที่จะใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงครั้งนี้คือ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ โดยมีแนวทางที่สำคัญของทั้ง 3 ส. ดังนี้  

1.สร้างเงิน โดยการแยะเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือ สร้างเงินให้ประเทศ และสร้างเงินให้ประชาชน

2.การสร้างคน ที่พรรคจะสนับสนุนและส่งเสริมดูแลคนตั้งแต่ในครรภ์มารดา จนส่งสู่เชิงตะกอน ทั้งสร้างสวัสดิการเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงขึ้น เพราะพรรคเชื่อว่าเมื่อเราสร้างคนให้มีความความรู้และความมั่นคงในชีวิต จะแปรเปลี่ยนพลังของประชาชนให้เป็นพลังในการสร้างประเทศชาติได้อย่างมั่นคง 

3.สร้างชาติ ด้วยระบบประชาธิปไตย ที่สุจริต ควบคู่ไปกับการกระจายอำนาจมุ่งสู่สร้างเมืองมหานคร พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานด้าน คมนาคมเพื่อเชื่อมประเทศไทยกับโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ มีความคืบหน้าจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งท่านหัวหน้าพรรค 'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' และท่านเลขาฯ จะแถลงเปิดนโยบายฯ อย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมกราคมนี้ และในขณะนี้พรรคได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านแล้ว

หากมองไปยังพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ก็เหมือนเครื่องบินกำลังทยานขึ้นจากรันเวย์ พร้อมโผนผินบินไปด้วยความพร้อม โดยมี 'จุรินทร์' เป็นกัปตัน

'นิพนธ์' เป็นนักบิน พร้อมด้วย 'เฉลิมชัย ศรีอ่อน' เป็นกำลังสำคัญ และทุกภาคยังมีขุนพลคอยขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่ อย่างภาคใต้นอกจากนิพนธ์แล้วก็จะมี 'เดชอิศม์ ขาวทอง' รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ มี 'ชัยชนะ เดชเดโช' รองเลขาธิการพรรค และ 'ชิณวรณ์ บุณยะเกียรติ์' เป็นกลไกการทำงานในระดับพื้นที่

'นิพนธ์' ดูแล 19 เขตของภาคใต้ จากทั้งหมด 58 เขต ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของ 'เดชอิศม์' แต่หน้าที่หลักคงต้องเป็นของรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ คือ 'เดชอิศม์' ส่วน 'นิพนธ์' ในฐานะรองหัวหน้าพรรค และผู้อำนวยการเตรียาการเลือกตั้ง ก็ต้องดูแลทั้งประเทศ คู่ไปกับ 'จุรินทร์-เฉลิมชัย'

เมื่อมองทอดสายตาไปยังประชาธิปัตย์กับการตั้งเป้าทั่วประเทศ 80 ที่นั่ง โดยเน้นที่ภาคใต้ 30-40 ที่นั่ง และต้องกลับมาแจ้งเกิดในสนามเมืองหลวง ขยายพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคเหนือ ภาคอิสาน ถ้าทุกกำลังพลพร้อมจับมือสามัคคีกัน ก็ไม่ไกลเกินฝันกับสถาบันทางการเมืองในวัย 70 กว่าของพรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่ว่า ทุกองคาพยพต้องทำงานหนักกว่านี้ สะท้อนความจริงจัง และจริงใจ ลบข้อครหา 'ดีแต่พูด' ออกไปให้ได้ ทำให้เห็นจริง

'อุดมการณ์ทันสมัย ทำได้จริง ทำได้ไว' เป็นกรอบคิดในการทำงานที่เดินมาถูกทางแล้ว ทำให้มาก พูดให้น้อย ผลงานที่ออกมาปรากฏ ประชาชนจะเป็นผู้พิพากษาในวันเดินเข้าสู่คูหาเลือกตั้ง

อุดมการณ์ทันสมัย ต้องเพ่งพินิจไปยังคำประกาศเจตนารมณ์ในการตั้งพรรค 10 ข้อ ของนายควง อภัยวงค์ หัวหน้าพรรคคนแรก ผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ แม้เวลาจะผ่านเลยมา 70 กว่าปี ก็ยังเป็นอุดมการณ์ที่ทันสมัย ยังใช้ได้อยู่ แต่ต้องทำให้ได้ไว ทำให้ได้จริง

เชื่อว่า ในวันที่ประชาธิปัตย์ประสานสามัคคีกัน พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาผงาดบนเวทีการเมืองอีกครั้ง เป็นพรรคของประชาชน เป็นคนของประชาชน