Friday, 26 April 2024
ภาคใต้

“ประวิตร” เรียกประชุม สถานการณ์น้ำ สั่งเตรียมรับมือฤดูฝนภาคใต้ พร้อมเร่งวางแผนแก้ปัญหาน้ำเค็ม น้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซาก

พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุม คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/64 ณ ห้องประชุม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อเตรียมรับมือฤดูฝนภาคใต้ รวมทั้งติดตามบริหารจัดการสถานการณ์ท่วมและน้ำแล้งในภาพรวม

โดยที่ประชุมรับทราบสถานการณ์สภาพอากาศ รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำปัจจุบัน ในพื้นที่ลุ่มต่ำ แหล่งน้ำขนาดใหญ่ - กลาง และเขื่อนระบายน้ำ ซึ่งในภาพรวมยังสามารถควบคุม โดยมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่งที่ต้องเฝ้าระวัง สำหรับการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ระหว่าง ต.ค.- ธ.ค.64 มีแนวโน้มลดลง เว้นภาคใต้ มีพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นจากฤดูฝนที่กำลังมาถึง โดยมีโอกาสสูงในการเกิดพายุเคลื่อนผ่านภาคใต้ มีพื้นที่เสี่ยง 725 ตำบล 43,495 หมู่บ้านใน 16 จว. ทุกหน่วยงานได้เตรียมความพร้อมรับมือกับอุทกภัย โดยได้ขุดลอกคูคลอง กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ทำพนังกั้นน้ำและก่อสร้างทางระบายน้ำไปยังพื้นที่รับน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้น 

สำหรับการบริหารจัดการนำ้ฤดูแล้ง ได้พิจารณาวางแผนจากการคาดการณ์นำ้ต้นทุน ปริมาณการใช้น้ำและพื้นที่เสี่ยงน้ำแล้ง พบความเสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคใน 5 จว. 9 อำเภอ 25 ตำบล มีพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงน้ำแล้งด้านการเกษตร นอกเขตชลประทาน  11 จว. ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งกำหนดมาตรการรองรับ ทั้งการเก็บกักน้ำ จัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่เสี่ยง การเติมน้ำ การจัดสรรน้ำฤดูแล้ง การวางแผนเพาะปลูกพืช การเตรียมน้ำสำรองในพื้นที่ลุ่มต่ำ การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ รวมทั้งการติดตามประเมินผล

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร  ได้กล่าวแสดงความห่วงใยถึงประชาชนที่ยังได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยกำชับ สทนช.บูรณาการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน ยังคงต้องติดตามสถานการณ์สภาพอากาศที่อาจพัฒนาก่อตัวเป็นพายุซ้ำเติมพื้นที่น้ำท่วมเดิม พร้อมทั้งให้เร่งระบายน้ำในพื้นที่น้ำท่วมขังเข้าแหล่งน้ำขนาดใหญ่และลำน้ำสายหลักตามแผนและสถานการณ์  ทั้งนี้ให้นำจุลินทรีย์มาใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำในพื้นที่ท่วมขังนานและเกิดการเน่าเสียหวั่นกระทบสร้างปัญหาโรคระบาด  โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ขอให้ทบทวนปรับปรุงและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุร่วมกัน และให้ตรวจสอบระบบเตือนภัยให้สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงนำ้ท่วมที่เคยเกิดปัญหา เพื่อลดผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้น 

‘สุริยะ’ ยกทัพลงกระบี่ ชี้ช่องเพิ่มมูลค่า SMEs พร้อมฟังข้อเสนอกลุ่มจังหวัดฝั่งอันดามัน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานประกอบการในจังหวัดกระบี่ ร่วมหารือแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ พร้อมสนับสนุนข้อเสนอของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง, พังงา, ระนอง และสตูล) เร่งยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพด้านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม มุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 พร้อมขยายช่องทางการตลาดออนไลน์ ตั้งเป้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานประกอบการและร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2564 ณ จังหวัดกระบี่ ระหว่างวันที่ 15 - 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เพื่อพบปะและรับฟังปัญหาข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการในพื้นที่ และนำไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง พังงา, ระนอง และสตูล) โดยจุดแรกได้เดินทางไปยังบริษัท วู้ดเวอร์ค จำกัด ประกอบกิจการแปรรูปไม้ยางพาราและไม้ที่ปลูกขึ้นโดยเฉพาะ 13 ชนิด (ตามมติ ครม.) อาทิ ยูคาลิปตัส, กระถินณรงค์, กระถินเทพา, มะพร้าว, มะขาม, ไม้จามจุรี ฯลฯ  

โดยการอัดน้ำยาอบแห้ง เพื่อทำลังไม้ และไม้รองสินค้าเพื่อจำหน่าย มูลค่าการลงทุนกว่า 390 ล้านบาท กำลังการผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูปกว่า 11 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี มูลค่าการส่งออกกว่า 200 ล้านบาท/ปี โดยเป็นการส่งออก 90% ใช้ในประเทศ 10% ส่วนใหญ่ส่งไปยังประเทศจีน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรมในหลายด้าน เช่น โครงการอุตสาหกรรมสีเขียว โครงการสร้างและพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน โดยทางบริษัทได้ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมช่วยส่งเสริมและสนับสนุนในการยกระดับบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมเพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (Covid-19) บริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการมาตรการ Bubble and seal ด้วยการแยกพนักงานออกเป็นกลุ่มย่อยและไม่ให้ทำงานเข้ากลุ่มกัน รวมถึงจำกัดพื้นที่ หรือการเดินทางภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งโรงงานจะจัดเตรียมที่พักสำหรับพนักงาน ขณะที่พนักงานที่ติดเชื้อจะถูกแยกไปตามพื้นที่ที่จัดสรรตามระดับอาการป่วยเพื่อรับการรักษาต่อไป

“บิ๊กตู่”โพสต์ปลื้ม สัญจรใต้ ส่งสัญญานทั้วโลกเปิดประเทศ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อควาทบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า วานนี้ (16 พ.ย.) เป็นอีกวันที่รู้สึกยินดีที่ได้มาลงพื้นที่ตรวจราชการ ในพื้นที่ภาคใต้ โดยได้สัมผัสถึงความพร้อมอย่างเต็มที่ ของประชาชน ในการต้อนรับผู้ที่มาเยือน เพื่อเดินหน้าประเทศแบบ New normal ทั้งนี้ภายหลังการเปิดประเทศตามนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นมา มีผู้ที่เดินทางเข้าประเทศแล้ว 54,939 คน ในจำนวนนี้ พบว่าติดเชื้อโควิดเพียง 65 คน หรือ 0.12% ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนที่น้อย และสามารถบริหารจัดการได้ โดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อส่วนรวม

สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 6 จังหวัด พร้อมด้วยผู้แทนภาคเอกชนนั้น ถือว่าเกิดผลสำเร็จในหลายประการ เช่น 1. การอนุญาตให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยแก่ชุมชน เนื้อที่รวม 4,105 ไร่ ใน 21 จังหวัด โดยมีพื้นที่ภาคใต้ 12 จังหวัด เพื่อลดความขัดแย้งในเรื่องการบุกรุกครอบครองผืนป่าชายเลน แล้วเพิ่มการส่งเสริมพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าชายเลนต่อไป

2. การผลักดันโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี จำนวน 7 โครงการ  วงเงิน 494 กว่าล้านบาท ได้แก่ (1) โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล (2) โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์ฟื้นฟูพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก จังหวัดตรัง (3) โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และสิ่งแวดล้อม จังหวัดระนอง (4) โครงการ Phuket Health Sandbox จังหวัดภูเก็ต (5) โครงการศูนย์กลางการท่องเที่ยวและนันทนาการชายฝั่งแห่งเมืองพังงา จังหวัดพังงา (The Park Khaolak) (6) โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือโดยสาร-ท่องเที่ยวปากคลองจิหลาด จังหวัดกระบี่ และ (7) โครงการพัฒนาแหล่งสปาวารีบำบัดน้ำพุร้อนคลองท่อมเมืองสปา จังหวัดกระบี่ ซึ่งทั้ง 7 โครงการนี้ จะช่วยสร้างความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในจังหวัดภาคใต้ตามนโยบายเปิดประเทศ

3. การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการงานเมกะอีเว้นท์ รวม 3 รายการ ได้แก่ (1) งาน Expo2028 Phuket-Thailand ในปี 2571 เพื่อผลักดันบทบาทของประเทศไทยและภูเก็ตให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) และเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก (2-3) มหกรรมพืชสวนโลก 2 ครั้ง ที่จังหวัดอุดรธานี ในปี 2569 และจังหวัดนครราชสีมา ในปี 2572 เพื่อแสดงศักยภาพในการวิจัย พัฒนา และเทคโนโลยี ด้านพืชสวนแบบครบวงจรของไทย ให้เป็นที่ประจักษ์ระดับโลก และต่อยอดเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการเกษตร ในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง (GMS) ที่สามารถต่อยอดสู่เศรษฐกิจ BCG Model ทั้งนี้ หากประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพ เมกะอีเว้นท์ทั้ง 3 งาน ประเมินได้ว่าจะสามารถสร้างการจ้างงาน 230,442 คน สร้างเงินสะพัดในประเทศรวม 100,173 ล้านบาท เก็บภาษีเข้ารัฐ 20,641 ล้านบาท และผลักดันการเติบโตให้จีดีพีได้ 68,520 ล้านบาท

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ครม.ยังได้เห็นชอบให้เสนอแหล่งมรดกทางธรรมชาติ พื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ระนอง พังงา และภูเก็ต ประกอบด้วย 6 พื้นที่อุทยาน และ 1 พื้นที่ป่าชายเลน พื้นที่รวมกว่า 2,908 ตารางกิโลเมตร ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก ซึ่งล้วนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชิงอนุรักษ์ที่สำคัญ ที่นอกจากสร้างรายได้หล่อเลี้ยงชาวชุมชนแล้ว ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์หายาก เช่น ชะนีมือขาว ค้างคาวแม่ไก่เกาะ กระเบนราหู วาฬหัวทุย โลมา เต่ามะเฟือง เต่าหญ้า ที่นับวันจะลดลงไปมาก ดังนั้น เราต้องรักษาระบบนิเวศเหล่านี้ไว้ให้ดี เพื่ออนุรักษ์สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไว้ให้ลูกหลานไทยได้ภาคภูมิใจต่อไป

 

รมว.สุชาติ มอบกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ฝึกทักษะอาชีพชายแดนใต้

กระทรวงแรงงาน มุ่งฝึกทักษะอาชีพขับเคลื่อนชายแดนใต้ เปิดฝึกอบรมกว่า 10 หลักสูตร ตั้งเป้า 800 คน
เมื่อเร็วๆ นี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายประทีป ทรงลำยอง  อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นประธานพิธีมอบชุดเครื่องมือประกอบอาชีพให้แก่ผู้สำเร็จการฝึกอบรม โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมศักยภาพพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2564 เพื่อนำไปเป็นอุปกรณ์เครื่องมือในการเริ่มต้นประกอบอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 25 นราธิวาส

นายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวภายหลังจากการเป็นประธานว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เร่งบูรณาการพัฒนาทักษะฝีมือในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งต่อยอดการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง และยั่งยืน โดยน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ

ซึ่งกระทรวงแรงงานได้สั่งการให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเร่งดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้จังหวัดชายแดนใต้ทั้งจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และส่วนหนึ่งของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอเทพา เป็นพื้นที่มีเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จึงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการลงทุนประกอบธุรกิจในหลายๆ ด้าน กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจึงดำเนินโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมศักยภาพพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ และส่งเสริมแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย

นายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินโครงการจัดให้มีการฝึกอบรมสาขาอาชีพต่างๆ กว่า 10 หลักสูตร  ตามความต้องการของแรงงานและประชาชนในพื้นที่ สอดรับกับวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพในชุมชน เช่น การตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ช่างเชื่อมไฟฟ้า ช่างเดินสายไฟภายในอาคาร ช่างปูกระเบื้อง เทคนิคงานปูน (ผลิตภัณฑ์ไม้เทียม) ช่างไม้เครื่องเรือน ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ การทำขนมไทย การทำขนมอบ เป็นต้น ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 60 ชั่วโมง

กรุงเทพฯ - ‘นิพนธ์’ มอบแนวทางพัฒนาภาคใต้ชายแดน เน้นพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก – สร้างงาน - สร้างรายได้ ฟื้นเกษตรและท่องเที่ยว เพื่อประโยชน์ประชาชนฝากการบ้านลดความเหลื่อมล้ำทำให้เป็นจริง

ที่โรงแรมรอยัล ปริ้นเซส หลานหลวง กรุงเทพฯ นายนิพนธ์  บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานช่วยอำนวยการพิจารณาและกลั่นกรองแผนงานโครงการของ อ.ก.บ.ภ. ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน เป็นประธานการประชุมคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคใต้และภาคใต้ชายแดน ซึ่งมีทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงบประมาณสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการภาคใต้

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานของคณะทำงานช่วยอำนวยการพิจารณาและกลั่นกรองแผนงานโครงการของ อ.ก.บ.ภ. ภาคใต้และภาคใต้ชายแดนซึ่งได้ประชุมรวม 5 ครั้ง ทำให้ได้ผลการพิจารณากลั่นกรองมีความครบถ้วนสมบูรณ์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยพิจารณากลั่นกรองโครงการ 2 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1  คือโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดในภาคใต้ (11 จังหวัด) และภาคใต้ชายแดน (3 จังหวัด) และโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดในภาคใต้ (2 กลุ่มจังหวัด) และภาคใต้ชายแดน (1 กลุ่มจังหวัด) ส่วนที่ 2 คือ โครงการของส่วนราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่มีความสอดคล้องกับ (ร่าง) ทิศทางการพัฒนาภาคใต้และภาคใต้ชายแดน (พ.ศ.2566-2570)

นายนิพนธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ในการพิจารณากลั่นกรองโครงการครั้งนี้ ได้เห็นประเด็นปัญหาของการจัดทำโครงการทั้งของจังหวัด และกลุ่มจังหวัด เช่น โครงการขาดความพร้อมด้านต่าง ๆ และโครงการที่เป็นภารกิจถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น  ทั้งนี้ได้มอบแนวทาคมงการดำเนินงาน การแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน โดยควรดำเนินงานในลักษณะการบูรณาการ โดยใช้แนวคิดเกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด รวมทั้งการพัฒนาคนให้มีองค์ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ และมีความหลากหลายของประเภทโครงการ ครอบคลุมทุกมิติการพัฒนา โดยวางหลักในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากฐาน การสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชนที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ทั้งภาคการเกษตร ภาคการท่องเที่ยว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานลดความเหลี่ยมล้ำทางสังคม  ทางเศรษฐกิจ การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากร ธรรมชาติ  รวมทั้งการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดความเข้มแข็งจากระดับล่าง ประชาชนพึ่งพาตนเองได้

 

 

นราธิวาส - ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายภาคในพื้นที่ภาคใต้ ลงพื้นที่ประชุมตรวจราชการ เพื่อติดตามการดำเนินงานโครงการ

ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาโก-ลก ต.โฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส (กรมชลประทาน) นายอับดุลนัสเซอร์ หะมิ พัฒนาการอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวตอนรับ พลเอกพิเชฐ ตานะเศรษฐ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายภาคในพื้นที่ภาคใต้ในการประชุมตรวจราชการเพื่อติดตามการดำเนินงานโครงการของคณะอนุกรรมการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายภาคในพื้นที่ภาคใต้

โดยมีพลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต.บรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และรับฟังการบรรยายสถานการณ์อุทกภัยและพนังกั้นน้ำที่ทรุดตัวพร้อมแนวทางการแก้ไขปัญหา และรับฟังความเห็นจากนางสิริวิมล พงษ์อักษร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส,นายปรีชา นวลน้อย ปลัดจังหวัดนราธิวาส,นายกิตติพันธ์ วุฒิวงศ์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส,นายรุ่งเรื่อง ธิมาบุตร นายอำเภอสุไหงโกลก,นายสังคม เกิดก่อ นายอำเภอตากใบ,นายอนิรุทธ บัวอ่อน นายอำเภอสุไหงปาดี,นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ นายอำเภอรือเสาะ,นายรุสดี ปูรียา นายอำเภอแว้ง,นายอรุณ ศรีใส นายอำเภอสุคิริน,นายจิริสย์ ศิริวัลลภ นายอำเภอระแงะ,นายมาหะมะยากี หะยีมะ นายอำเภอเจาะไอร้อง  จากนั้นได้เดินทางไปยังบริเวณหน้า อบต.มูโนะ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส มอบถุงยังชีพร่วมกับจังหวัดนราธิวาสเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับชาวบ้านในพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัย ทั้งนี้คณะได้เดินเท้าตรวจสภาพพนังกั้นน้ำที่ทรุดตัวเสียหาย

ด้านนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้กล่าวขอบคุณพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยในความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส และได้กรุณามอบหมายท่านที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รายภาคในพื้นที่ภาคใต้ และประธานอนุกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายภาคในพื้นที่ภาคใต้มารับทราบสภาพเหตุการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จากเหตุอุทกภัยในห้วงที่ผ่านมา และให้กำลังใจ มอบถุงยังชีพ ให้แนวทางคำแนะนำในการแก้ไขปัญหา

นอกจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสได้ชี้แจงถึงปัญหาอุทกภัยจังหวัดนราธิวาสมี 13 อำเภอซึ่งในห้วงปลายเดือนธันวาคม ถึงเดือนมกราคมของทุกปีจะมีฝนตกหนัก ส่งผลให้แม่น้ำ 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำโก-ลก และแม่น้ำบางนรา ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ 9 อำเภอ มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เอ่อล้นตลิ่งท่วมบ้านเรือนประชาชนประจำทุกปี

 

‘โฆษกรัฐบาล’ ย้ำ! ผลสำเร็จการเปิดเที่ยวบินพาณิชย์สนามบินเบตง ‘นายกฯ’ มอบความสุขให้คนใต้ มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำถึงผลสำเร็จการเปิดใช้ท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา ให้เที่ยวบินพาณิชย์แบบเช่าเหมาลำ โดยสายการบินนกแอร์  เส้นทางดอนเมือง - เบตง - ดอนเมือง ใช้สนามบินเบตงเป็นเที่ยวบินแรกเมื่อวานนี้ (29 ม.ค. 65) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับอำเภอเบตง ว่า เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ถือเป็นผลงานของรัฐบาลที่ต้องการดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มว่า ผลสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพี่น้องชาวเบตงและพื้นที่ใกล้เคียง ที่นอกจากจะเพิ่มทางเลือกการเดินทางมากกว่าเดิมแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น ถือเป็นการมอบความสุขให้พี่น้องภาคใต้ พร้อมกับนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้สนามบินเบตงเกิดประโยชน์สูงสุด ให้เตรียมความพร้อมรองรับการให้บริการอำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถเดินทางสัญจรได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ภายใต้มาตรการการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) อย่างเคร่งครัดด้วย 

'ดร.บลู' ปลื้มใจ!! คนใต้เปิดรับ 'พรรคกล้า' ชี้ 'รับฟัง-ประสาน' ทุกปัญหาให้ได้จริง

'พรรคกล้า' เดินสาย 3 จังหวัดชายแดนใต้ คนพื้นที่สนับสนุน คาดหวังมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ชาวบ้านขอบคุณ 'กรณ์' ที่เป็นปากเสียงพูดเรื่องน้ำมันแพง

'ดร.บลู' ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี ผู้อำนวยการพรรคกล้า เปิดเผยหลังเดินสายพื้นที่ภาคใต้ว่า ตนเองและทีมงานพรรคกล้า ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เปิดศูนย์ประสานงานและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 24-28 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีประชาชนให้การต้อนรับทุกพื้นที่ที่ไป และคาดหวังให้พรรคกล้าเข้ามาช่วยแก้ปัญหาปากท้อง เพราะมองว่าพรรคกล้ามีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และเป็นปากเสียงให้ประชาชน ที่ออกมาสะท้อนเกี่ยวกับปัญหาน้ำมันแพง

ผศ.ดร.เอราวัณ กล่าวว่า การเดินสายครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปิดศูนย์ประสานงานและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดเท่านั้น แต่ยังรับฟังปัญหาในพื้นที่จากคนหลายกลุ่ม อาทิ ชาวประมงเดือดร้อนเรื่องน้ำมันที่จะต้องออกเดินเรือ ปัญหาเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุไม่เพียงพอ ส่วนวัยรุ่นเรียนจบออกมาแล้ว อยากมีงานทำในพื้นที่

'พรรคกล้า' เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภาคใต้ครบ 14 จว. 'กรณ์' ย้ำ!! อยู่ข้างประชาชน พร้อมแก้ไขปัญหาปากท้อง

พรรคกล้า ปูพรมภาคใต้ครบ 14 จังหวัด เปิดตัว 'ธนากร บุญสนิท' นักธุรกิจชื่อดังว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พัทลุง 'กรณ์' ลั่นไม่อยู่ข้างใคร มาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ชาวบ้านแห่ขอบคุณกระตุกราคาน้ำมัน

วานนี้ (9 กรกฎาคม 2565) พรรคกล้า นำโดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี ผู้อำนวยการพรรค นายเจษฎา ช่วยชูหนู กรรมการบริหารพรรค และว่าที่ผู้สมัครพรรคกล้าจากหลายจังหวัดภาคใต้ ร่วมเปิดตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดพัทลุง 

นายกรณ์ กล่าวว่า วันนี้พรรคกล้าได้เปิดตัวแทนภาคใต้ครบทั้ง 14 จังหวัดแล้ว ณ วันนี้ถือว่าเราพร้อมส่งผู้สมัครทุกจังหวัดทั่วภาคใต้ ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า เราจะมีผู้สมัครคุณภาพทุกจังหวัดในภาคใต้อย่างแน่นอน วันนี้การทำงานของพรรคกล้า ชัดเจนแล้วว่า ไม่อิงผลประโยชน์เพื่อสู้กับนักการเมืองฝั่งไหน เพราะเราไม่อยู่ข้างใคร แต่เราอยู่ข้างความทุกข์ร้อนของประชาชน หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคกล้าต่อสู้เรื่องการลดราคาน้ำมัน โดยยึดหลักของข้อเท็จจริงและผลประโยชน์ของประชาชน โดยไม่ได้ติดวังวนความขัดแย้งทางการเมือง แต่เน้นการแก้ปมปัญหาปากท้องของประชาชน

'บิ๊กโจ๊ก' ลงใต้ร่วมโครงการจิต อาสา ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ

ที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าทะเลน้อย หมู่ที่ 1 ต.ทะเลน้อย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์  ได้จัดโครงการ "จิตอาสาปลูกป่าทะเลน้อยเฉลิมพระเกียรติ" โดยภายในงานมี ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนจิตอาสา กว่า 3,500 คน เข้าร่วมกิจกรรม

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า สำหรับกิจกรรม "จิตอาสาปลูกป่าทะเลน้อยเฉลิมพระเกียรติ" ทางสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยการสนับสนุนจากบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)  ได้ร่วมกับ จังหวัดพัทลุง และตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง จัดโครงการดังกล่าวเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดี แด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฏาคม 2565          

ซึ่งโครงการนี้  มีความคิดริเริ่มมาจากจิตสำนึกที่ดีที่ต้องการจะพัฒนา และฟื้นฟูพื้นที่ทะเลน้อย ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ผสานกับหลักคิดที่ว่า เราทำความดีด้วยหัวใจ ถือเป็นโครงการที่มีหลายภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและประเทศชาติ ทั้งยังเป็นการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติให้แก่ประชาชนและเยาวชนในพื้นที่ต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top