จุดเริ่มต้นจากการเอาใจ ‘ผู้นำสายดวลปืน’ สู่ปาร์ตี้กำจัดชีสเน่าที่ทำเนียบขาวใน 2 ชั่วโมง

หลายคนคงไม่รู้ว่าในอเมริกามีวันฉลองแปลกๆ ทั้งปี บางทีแปลกอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริง

วันพิลึกเหล่านี้ บางวันก็มีที่มาที่ไปน่าสนใจ เพราะเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งในอเมริกาด้วย เช่น วันเบียร์แห่งชาติ วันที่ 7 เมษายน ที่กำหนดให้ระลึกถึงวันสิ้นสุดการห้ามผลิตเหล้าเบียร์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1920 ถึง ค.ศ.1933  

แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ และเป็นประวัติศาสตร์อันเหม็นหึ่งชนิดที่ทำให้ต้องอุดจมูกกันทั้งวอชิงตันดีซีเลยทีเดียว แถมเกี่ยวพันกับประธานาธิบดีแห่งอเมริกาเสียด้วย วันที่ว่านี้คือวันที่ 29 มกราคมของทุกปี อันกำหนดให้เป็น ‘วันโคตรชีสแห่งชาติ’ หรือ ‘Big Block of Cheese Day.’    

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดี ‘แอนดรูว์ แจ็กสัน’ และคงต้องเล่าท้าวความไปถึงประธานาธิบดีคนนี้สักหน่อย เพราะเป็นประธานาธิบดีที่มีด้านมืดซ่อนเร้นอยู่เยอะมาก แม้อเมริกันจะยกย่องให้เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งก็ตาม 

แอนดรูว์ แจ็กสันมีชื่อเล่นว่า ‘โอลด์ฮิกกอรี่’ (Old Hickory) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 เคยเป็นนักค้าที่ดินและนักค้าทาส โดยมีทาสในครอบครองเป็นจำนวนมาก    

นอกเหนือจากการค้าทาส อินเดียนแดงทุกคนจดจำชื่อของประธานาธิบดีคนนี้ขึ้นใจด้วยความคับแค้น เพราะแอนดรูว์ แจ็กสัน ลงนามเพื่อโยกย้ายชาวพื้นเมืองอเมริกัน ตามรัฐบัญญัติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานของชาวอเมริกันอินเดียน (Indian Removal Act of 1830) ในปี ค.ศ. 1831 ส่งผลให้อินเดียนแดงล้มตายจนเกือบสูญเผ่าพันธ์ กระนั้นแอนดรูว์ แจ็กสัน ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ

ก่อนเป็นประธานาธิบดี ก็ดวลปืนกับชาวบ้านจนลือลั่นไปทั้งบาง มีกระทาชายคนหนึ่งชื่อ ชาร์ล ดิคคินสัน ปากเปราะจิกกัดเมียของ แอนดรูว์ แจ็กสัน ว่ามีผัวสองคน ประมาณว่ายังไม่ทันหย่าผัวคนแรก แล้วมาได้กับแอนดรูว์ ทำนองนั้น ลุงแอนดรูว์ได้ยินก็หัวร้อน เลยขอท้าดวล ขนาดโดนยิงจนอกแทบทะลุ แต่ลุงแอนดรูว์ยังกระเด้งตัวรัวปืนกลับ จนคนปากเสียถึงกับล้มคว่ำจมกองเลือด ไงล่ะ..เปรี้ยวเอาการใช่มั้ย ประธานาธิบดีรายนี้

ครั้นเมื่อแอนดรูว์ แจ็กสัน นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีถึงสองสมัย ก็ย่อมมีคนรักเป็นธรรมดา ทีนี้ชาวบ้านร้านถิ่นรู้ว่าประธานาธิบดีของตนนั้นโปรดชีสเป็นชีวิตจิตใจ เลยอยากหาของขวัญชิ้นพิเศษถูกอกถูกใจประธานาธิบดีอันเป็นที่รักของตน

ในปี ค.ศ.1835 ผู้พันโธมัส เอส มีแชม เกิดไอเดียบรรเจิด อยากส่งชีสไปให้ประธานาธิบดี แต่ของขวัญสำหรับประธานาธิบดีย่อมไม่ธรรมดา  

ความใหญ่โตมโหฬารของชีสก้อนนี้ เอาแค่เส้นผ่าศูนย์กลางก็ยาวประมาณ 4 ฟุตเข้าไปแล้ว หนาสองฟุต และหนัก 1,400 ปอนด์หรือ 700 กิโลกรัม ใช้เวลาผลิตทั้งหมด 4 วัน โดยใช้แม่วัว 150 ตัวปั๊มนมเพื่อทำชีส เมื่อทำเสร็จแล้วก็ห่อมาอย่างดีพร้อมถ้อยคำปลุกใจแนวรักชาติ คาดว่าผู้พันมีแชมคงชาตินิยมสุด ๆ

การขนส่งจากนิวยอร์กสเตท มาวอชิงตัน ไม่ใช่เรื่องงุบงิบส่งมา หากแต่มีขบวนแห่ขบวนพาเหรดอย่างอู้ฟู่หรูหราสมศักดิ์ศรีโคตรชีสอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าแห่แหนกันมาแต่ต้นทาง จากเมืองสู่เมือง โดยมีชาวบ้านโผล่หน้ามาชมก้อนชีสยักษ์เป็นบุญตา ว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเห็นโคตรชีสแบบนี้มาก่อน

พอประธานาธิบดีแอนครูว์ แจ็กสันได้รับของขวัญชิ้นมหึมาและแปลกประหลาดนี้คงเงิบไปนิด พลางคิดว่าจะเอาชีสก้อนเท่าควายไปทำอะไรดีหว่า ถึงจะชอบกินชีสยังไง ก็คงกินไม่หมดแน่ ๆ เพราะขนาดใหญ่โตวัวตายควายล้มขนาดนี้ 

ท่านประธานาธิบดีผู้เก่งกล้าเคยท้าดวลกับนักแม่นปืนถึงกับกุมขมับ ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับชีสยักษ์ หลังจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกินชีสยักษ์ตามใจชอบแล้วก็ยังเหลืออีกบานเบอะ ตั้งตระหง่านอยู่ในทำเนียบขาว จะเอาไปทิ้งก็ไม่ได้ เพราะเกรงว่าคนให้จะเสียใจ 

เมื่อเวลาผ่านไป ชีสก็เน่า เริ่มมีกลิ่นตุๆ โชยหึ่งไปทั่วทำเนียบขาว ไม่ใช่แต่ทำเนียบขาวที่คลุ้งอวลไปด้วยกลิ่นพิลึกนั้น ผู้คนทั่วทั้งวอชิงตันได้กลิ่นกันทั่วหน้า ต้นฉบับภาษาอังกฤษบรรยายกลิ่นก้อนชีสยักษ์ว่า ‘An evil-smelling horror’ ในเมื่อไม่รู้จะทำยังไงกับก้อนชีสยักษ์ เลยปล่อยวางไว้อย่างนั้นเป็นเวลาถึงเกือบสองปี

ทีนี้ปัญหาคือ พอปี ค.ศ.1837 ประธานาธิบดีแอนดรูว์จะหมดสมัยที่สอง เลยต้องหอบเสื้อผ้ายัดใส่ถุงปุ๋ย โบกมือบ๊ายบายออกจากทำเนียบขาว แล้วไอ้ชีสยักษ์หนักอกล่ะจะทำยังไง

จะทิ้งรึ!! ก็เสียดาย อุตส่าห์ดอมดมกันมาตั้งเกือบสองปี ที่แน่ๆ คือ หากโยนทิ้ง รับรองได้ว่าเป็นข่าวใหญ่แน่นอน 

ที่สำคัญจะเสียคะแนนนิยมและฐานเสียงไปแบบไม่น่าให้อภัย อย่ากระนั้นเลย ใช้แผนนี้ดีกว่า ถือว่าได้ประชาสัมพันธ์และขจัดไอ้ชีสเน่าไปด้วยในตัว...ว่าแล้ว ก็ประกาศให้ประชาชนเข้ามาร่วมวงปาร์ตี้ชีสยักษ์ โดยแต่ละคนต้องนำมีดของตัวเองมาด้วยเพื่อฝานชีส ใครจะกินเท่าไหร่ก็ได้ไม่ว่ากัน เรียกว่าเปิดทำเนียบขาว แล้วกวักมือเรียกชาวบ้านมากินกันเลยทีเดียว 

ในยามนั้นประชาชนเรือนหมื่น ได้แห่ไปยังทำเนียบขาว แล้วลุยฝาน แทะ ทึ้ง ดึง ทุบ ก้อนชีสยักษ์มากินจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาแค่สองชั่วโมง

แม้ก้อนชีสยักษ์จะหายไป แต่กลิ่นอันเหลือร้ายแทรกซึมไปทั่วอาณาบริเวณ ไม่ว่าจะเฟอร์นิเจอร์ พื้นพรม หรือผ้าม่าน ต่อให้กำจัดกลิ่นอย่างไรก็ยังส่งกลิ่นเน่าอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้พูดเล่นขำๆ แต่ปรากฏหลักฐานใน The Publications of the Colonial Society of Massachusetts เลยทีเดียว โดยเขียนไว้ว่าโกลาหลทั้งทำเนียบขาว เพราะต้องเอาพรมไปตากแดดนานนับสัปดาห์ เอาม่านไปทิ้ง และทาสีทับกลบกลิ่นชีส ทั้งหมดนี้คือที่มาของวันชีสยักษ์หรือ Big Block of Cheese Day หรือวันโคตรชีสอันลือลั่นแห่งวอชิงตันในยุคประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็กสัน


เรื่อง: เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้