'เทศกาลคริสต์มาส' ห้วงความสุขของอเมริกันชน ความอบอุ่นที่เทียบเท่าได้ดั่ง 'สงกรานต์' บ้านเรา

คงปฎิเสธไม่ได้ว่าเทศกาลแสนสุขและเป็นวันรวมญาติในรอบปีของคนไทยคือ เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นช่วงที่คนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามอยากกลับไปเจอหน้าญาติพี่น้องที่บ้านเกิดทั้งนั้น ส่วนใครที่ไม่มีโอกาสกลับบ้านก็ได้แต่นั่งเศร้าเหงาหงอย ช่วงสงกรานต์นี้จึงถือว่าเป็นวันครอบครัวแห่งชาติกันเลยทีเดียว 

ส่วนเทศกาลในอเมริกาที่สามารถเทียบเคียงกับช่วงสงกรานต์ได้ ก็เห็นจะเป็นวันขอบคุณพระเจ้าในเดือนพฤศจิกายนกับคริสต์มาสในช่วงธันวาคมนี่แหละ เพราะใครๆ ต่างทยอยกันกลับบ้านเพื่อร่วมรับประทานอาหารมื้อพิเศษกับครอบครัว การอยู่คนเดียวในช่วงขอบคุณพระเจ้าและคริสต์มาสในความคิดฝรั่งจึงถือเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างเหลือแสน เพราะอเมริกันให้ความสำคัญกับครอบครัวอย่างยิ่งในสองวันนี้

ก่อนหน้าคริสต์มาสคือ เทศกาลขอบคุณพระเจ้า ซึ่งตรงกับเดือนพฤศจิกายน ทุกครอบครัวจะล้อมวงกินไก่งวงร่วมกัน ช่วงเวลาแห่งความสุขในรอบปีของอเมริกันคือช่วงเวลาก่อนคริสต์มาส อิ่มอวลไปด้วยความสุขอันหอมหวาน ผู้คนเดินไปมาในห้างด้วยสีหน้ายิ้มย่องผ่องใส ถือเป็นช่วงดีๆ ที่ผู้คนไม่ขึ้งโกรธหรือขุ่นข้องหมองใจระหว่างกัน แถมบางครั้งก็ได้รับน้ำใจแบบไม่คาดฝันจากคนแปลกหน้าด้วย 

ช่วงนี้แหละที่ผู้คนในอเมริกาดูอบอุ่นอ่อนโยนและใส่ใจกันเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในรอบปี ห้างสรรพสินค้าโดยเฉพาะซุปเปอร์มาเก็ตมักมีซานตาครอสลึกลับแอบจ่ายเงินให้คนที่ต่อแถวข้างหลัง ถือเป็นของขวัญที่ผู้คนมอบให้กันอย่างไม่เฉพาะเจาะจง ส่วนมากแล้วคนที่ได้รับน้ำใจมักร้องไห้ออกมากลางห้างอย่างกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ เพราะน้ำใจส่งท้ายปีจากคนแปลกหน้าถือเป็นความงดงามที่คนตัวเล็กอย่างเราสามารถมอบให้กันในเทศกาลอันเปี่ยมสุขแห่งปี

ผู้คนเฉลิมฉลองด้วยการประดับประดาหน้าบ้านด้วยไฟหลอดเล็กๆ สีเขียวสลับแดงพรืดไปทั้งหน้าบ้าน การตกแต่งบ้านเรือนยึดโทนสีหลักของเทศกาลคริสต์มาสแต่โบราณคือเขียวและแดง ซึ่งเป็นการใช้สีในเชิงสัญลักษณ์และเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา สีแดงถือเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซู ส่วนสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ เพราะเป็นสีของต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบและเขียวสดชั่วกาลนาน

ภายในบ้านมีต้นคริสต์มาสทั้งแบบพลาสติกและแบบสดแขวนสิ่งละอันพันละน้อยจนเต็มต้น บนยอดมีดวงดาวสีทองสุกใส ใต้ต้นมีกล่องของขวัญหลายกล่องวางเรียงราย มองเลยต้นคริสต์มาสไปอีกนิดจะเห็นถุงเท้ายาวหลายข้างแขวนไว้ตรงเตาผิงที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม นอกจากนี้ทั่วบ้านยังประดับพวงมาลัยที่ทำมาจากใบสนและและฮอลลีสีแดงสด บางบ้านก็มีการแขวนช่อมิสเซิลโทไว้ในบ้าน เชื่อกันว่าใครก็ตามที่มายืนใต้ช่อมิสเซิลโทแล้วจะต้องจูบกันโดยถือเป็นคำมั่นสัญญาว่ารักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย       

นอกจากชาวคริสต์แล้ว ชาวยิวก็ฉลองเทศกาลในช่วงนี้เช่นกัน โดยประดับไฟหน้าบ้านด้วยสีฟ้าและสีเงิน ข้างหน้าต่างมีเชิงเทียนรูปทรงแปลกตางดงามที่เรียก 'มะโนรา' แยกออกเป็น 8 กิ่งเพื่อปักเทียนทั้งหมด 8 เล่ม เทศกาลนี้เรียกว่า 'ฮานุกก้า' เพื่อระลึกถึงปาฏิหาริย์แห่งแสงสว่างที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานถึง 8 วัน และเสมือนเป็นสัญญลักษณ์แห่งชัยชนะของผู้ศรัทธาที่ไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติจักรวรรดินิยมกรีก  

มีเรื่องเล่ากันขำๆ ว่า ร้านอาหารฝรั่งทุกร้านปิดหมดในช่วงคริสต์มาส ร้านอาหารที่เปิดขายวันนี้เลยมีแต่ร้านอาหารจีน ชาวยิวในอเมริกาจึงมักออกไปรับประทานอาหารจีนกันทั้งครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ล้อกันเล่นสนุกๆ บางคนไม่มีโอกาสกลับไปหาครอบครัวก็ถือโอกาสออกไปร้านอาหารจีนกินดื่มร่วมกันเพื่อนอย่างสนุกสนานไปด้วย

ในช่วงเทศกาลของทั้งสองศาสนาในวาระเดียวกันเช่นนี้ เวลาไปจับจ่ายซื้อของที่ไหน พนักงานในร้านมักอวยพรรวมกันว่า 'สุขสันต์วันเทศกาล' หรือ Happy Holidays เนื่องจากชาวอเมริกันไม่ได้เป็นชาวคริสต์ทุกคนและคาบเกี่ยวกับเทศกาลฉลองของชาวยิวด้วยจึงเลือกที่จะใช้คำกลางๆ มาเรียกเทศกาลปลายเดือนธันวาคม

การส่งท้ายปีมักจะมีการแสดงละครเรื่องที่เกี่ยวกับข้องกับคริสต์มาส โดยเฉพาะการแสดงบัลเลต์เรื่องเดอะนัทแครกเกอร์ (The Nutcracker) ซึ่งเป็นบัลเลต์ความยาว 2 องก์ โดยปีเตอร์ อิลิช ไชคอฟสกี เนื้อเรื่องกล่าวถึงสาวน้อยคลารากับน้องชายขี้อิจฉาที่ชื่อฟริตซ์ โดยเดินเรื่องในช่วงเทศกาลคริสต์มาส พ่อแม่มักพาลูกๆ ไปดูบัลเล่ต์เรื่องนี้กันจนแน่นโรง แม้จะเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้จักเนื้อหากันดีก็ตาม แต่ถือเป็นประเพณีอย่างหนึ่งในการเฉลิมฉลองคริสต์มาส ผู้ชมจึงมีทุกวัยและแน่นทุกรอบการแสดงในแต่ละเมือง

ทุกสถานีโทรทัศน์จะนำภาพยนตร์เกี่ยวกับคริสต์มาสมาฉายเป็นประจำทุกปี ถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติด้วยเช่นกัน โดยภาพยนตร์เกี่ยวกับคริสต์มาสมีหลายเรื่อง แต่ที่ขาดไมได้เห็นจะเป็นสองเรื่องนี้คือ อะ คริสต์มาส แครอล (A Christmas Carol) ซึ่งสร้างจากนวนิยายของชาร์ลส์ ดิคเก้นส์ นอกจากเรื่องนี้ยังมีภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งทีได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ เรื่อง อิสอะวันเดอร์ฟูลไลฟ์ (It's a Wonderful Life)  

แสงจากดวงดาวบนยอดต้นคริสต์มาสทอประกายสีทองสะท้อนรับกับแสงเทียนจากเทียนทั้งแปดแท่งบนเชิงเทียนมะโนราของชาวอเมริกันเชื้อสายยิวในบ้านหลังถัดไป บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์กระจายตัวไปในค่ำคืนอันสงัด ดูเหมือนว่าทุกบ้านเต็มด้วยความรักและปรารถนาระหว่างกัน ความสุขแผ่กระจายไปในสายลมอันหอมหวาน ในขณะที่หิมะโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วทุกหนแห่ง ทำให้โลกกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์อ่อนโยนราวกับเพิ่งถือกำเนิดใหม่อีกครั้งในวาระนี้


เรื่อง: เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้