เจอะเจอคุณอา เมื่อความเกรงใจแบบคนไทย ต้องแพ้พ่ายต่อที่พักที่เกินจะรับไหว

หลังจากที่คุณอาผู้หญิงได้ยินชื่อเต็มซึ่งรวมทั้งนามสกุลของเราท่านก็บอกโอเปอเรเตอร์ว่า ท่านยินยอมจ่ายเงินค่าโทรศัพท์ที่จะคุยกับเรา ทางโอเปอเรเตอร์เลยสับสายให้เราได้คุยกับคุณอา คุณอาเริ่มต้นบทสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของครอบครัวเราและตัวเรา 

สุดท้ายท่านถามว่าเราพักอยู่ที่ไหน เราตอบท่านตรงๆ ว่าเราอยู่หอพักนักศึกษา แต่ต้องแบ่งห้องกับรุ่นน้องที่เรียนปริญญาตรีที่เรายังไม่ได้ทำความรู้จัก ท่านถามต่อว่าเราซื้อฟูกนอนแล้วหรือ เราก็งงเต็กนึกว่าทางมหาวิทยาลัยจะจัดที่นอนให้เรียบร้อยเหมือนโรงแรม เพราะเราแค่เข้าไปนอน 

คุณอาบอกว่าเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องซื้อฟูก หมอน และผ้าห่ม เราก็เลยยอมรับกับท่านไปว่า เราโง่สนิทไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่าเราต้องเตรียมเครื่องนอนก่อนที่จะเข้าหอพัก ท่านเลยอาสาว่าท่านกับสามีจะมารับเราไปซื้อของเข้าห้อง แต่ก่อนวางสายท่านถามเราว่าจะมาอยู่กับท่านก่อนไหม แล้วค่อยย้ายออกเมื่อเราเจอที่พักที่ถูกใจ 

เราเพิ่งมาจากประเทศไทย ก็ติดนิสัยเกรงใจกลัวว่าเราจะกวนท่านและครอบครัว เลยอ้ำอึ้ง ตอบท่านอย่างกระอ้อมกระแอ้มว่า ไม่เป็นไรเราอยู่หอพักได้ ท่านคงจับความลังเลในน้ำเสียงของเราได้ ท่านเลยบอกว่าท่านมาอยู่ที่อเมริกาเกินกว่า 20 ปีแล้ว ท่านคิดอย่างคนอเมริกัน เราต้องการอะไรอย่าอ้อมค้อมเพราะความเกรงใจ ตอบมาตรงๆ ท่านจะได้ทราบความจริงแล้วจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะดึกเกินไป 

เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนั้น เราเลยยอมรับกับท่านไปว่า สงสัยจะอยู่หอพักไม่ได้ เพราะกลัวการแชร์ห้องน้ำกับคนอื่น แถมห้องนอนก็ทั้งเล็กทั้งเก่า ท่านเลยให้เราไปรอท่านมารับหน้าหอพัก

ประมาณ 30 นาทีผ่านไป ก็มีรถเก๋ง 4 ประตูสีขาวมาจอด สตรีชาวเอเชียผมม้าเต่อใส่แว่นเปิดประตูรถลงมาแล้วมองรอบๆ แบบงงๆ เนื่องจากเราเจอคุณอาครั้งสุดท้ายเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ส่วนคุณอาก็เจอเราตอนที่เราอายุ 14 ช่วงที่กำลังอวบสุดๆ น้ำหนักประมาณ 90 กิโล ตอนที่เรามาถึงบอสตันเราน้ำหนักประมาณ 70 

ทั้งเราทั้งคุณอาก็ต่างจำกันไม่ได้ เราเดาๆ ว่าสตรีผู้นั้นน่าจะใช่คุณอา เลยเดินเข้าไปไหว้ทัก โชคดีที่ใช่คุณอา เลยต่างคนต่างดีใจที่ได้เจอกัน คุณอาได้แนะนำให้รู้จักกับสามีท่าน เมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้วคุณอาทั้งสองท่านก็พาไปทานอาหารไทยในไชน่าทาวน์ สมัยนั้นร้านไทยชื่อสยามสแควร์ ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยร้านเดียวในไชน่าทาวน์และเป็นที่รู้จักดีของเหล่าคนไทยในบอสตัน เพราะทำอาหารไทยรสชาติแบบคนไทยทาน

ร้านนี้ข้าวมันไก่ขึ้นชื่อ คุณอาทั้งสองท่านเลยสั่งทานซะหนำใจ ส่วนตัวเราสั่งผัดไทยทาน ผัดไทยที่อเมริกาเป็นอาหารที่คนต่างชาติรู้จักดีเมื่อกล่าวถึงอาหารไทย แต่เขาจะทำแบบประยุกต์ส่วนใหญ่ ไม่ใส่ใบกุยช่ายและหัวปลีให้แกล้ม ส่วนรสชาติจะเข้มข้นไม่ต้องปรุง เน้นหวานเค็มนำ พอเราทานอิ่มแล้วก็กลับไปบ้านคุณอา ซึ่งอยู่ในเมืองวอลแตม (Waltham) ประมาณ 11 ไมล์ (18 กิโลเมตร) หรือ 30 นาทีจากบอสตัน 

เมืองวอลแตมเป็นเมืองเล็กที่เงียบสงบ ครอบครัวชนชั้นกลางที่ทำงานในบอสตันชอบอาศัยอยู่ เพราะบ้านราคาไม่แพงเว่อร์และไม่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก

เมื่อถึงบ้านคุณอา เราก็เจอลูกสาวและลูกชายของคุณอา น้องๆ ยังอายุประมาณสิบต้นๆ ทั้งสองฟังภาษาไทยเข้าใจดีเยี่ยม แต่ไม่ยอมพูดภาษาไทยกลับนอกจากคำทักทาย เนื่องจากคงจะเคอะเขินว่าพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงอเมริกัน นอกจากนั้นคุณอายังได้แนะนำพี่เลี้ยงของน้องๆ ซึ่งมาจากเมืองไทย หลังจากที่คุยกันพักหนึ่ง คุณอาก็ขอตัวพักเข้านอน และกำชับว่าเช้าวันรุ่งขึ้นให้เราตื่นหกโมงเช้าเพื่อจะเข้าเมืองกับคุณอาตอนที่ท่านไปทำงานในบอสตัน แล้วท่านจะได้สอนให้เราใช้ขนส่งมวลชนของรัฐ กว่าเราจะข่มตานอนหลับก็เกือบเที่ยงคืน เพราะตื่นเต้นกับการเริ่มชีวิตประจำวันในบอสตันในวันรุ่งขึ้น