เศษซากคณะราษฏร มายาคติแห่งความก้าวหน้า ที่ใช้สถาบันมา ‘ย่ำยี’ สืบทอด ‘ร่างทรง’ จนประเทศชาติยากจะไปต่อ

จริง ๆ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เอามาเล่าในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนหรือในช่วงใกล้วันรัฐธรรมนูญ แต่เอาเข้าจริง ๆ หยิบมาเล่าทวนความสักหน่อยก็น่าจะดี เรื่องของ ‘คณะราษฎร’ ที่มีหลายกลุ่มหัวก้าวหน้ายึดถือเป็นไอดอล และทำทุกอย่างเพื่อจะสานต่อปณิธานของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการล้มล้างระบอบพระมหากษัตริย์และยึดทรัพย์สินของพระองค์มาเป็นของพวกพ้องตัวเองโดยวิธีสร้างเรื่องปลอม ๆ ตลอดเวลา ช่างก้าวหน้าจริง ๆ 

คณะราษฎรเริ่มต้นด้วยกลุ่มนักเรียนหัวนอกรุ่นก่อตั้ง 7 คน ที่กรุงปารีส นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ อันนี้หลาย ๆ ท่านคงทราบแล้ว ผสมกับทหารหัวนอกจากเยอรมันนำโดยเชษฐบุรุษ พระยาพหลพลพยุหเสนา และ พระยาทรงสุรเดช ผู้เป็นมันสมองหลักในการจัดการกำลังพล

เขาบอกกันว่าหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่เขาว่ามันคือประชาธิปไตย เอาเข้าจริงๆ แล้วมันคือการปกครองแบบคณาธิปไตยที่ใช้การเลือกตั้งแบบปลอม ๆ จัดตั้งขึ้นมา ส่วนอำนาจจริง ๆ อยู่ในกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาใช้

ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ไม่นานสยามก็จะต้องมีรัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้งเช่นกัน เพราะโลกเปลี่ยนไป ทัศนคติของคนเปลี่ยนไป ซึ่งตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ ก็ชี้ชัดว่าสยามใกล้จะมีรัฐธรรมนูญแล้ว โดยไม่ต้องมีการใช้กำลัง เพียงแต่พวกที่กลัวจะตกขบวนรถไฟ ชิงกระทำการก่อนเพื่อให้พวกตนได้กุมอำนาจ พอได้อำนาจแล้วทำอะไรต่อมาติดตามกัน 

ถ้าไม่มีคณะราษฎร...ประเทศไทยคงไม่ต้องสูญเสียกษัตริย์ ถึง 2 พระองค์... รัชกาลที่ 7 คงไม่ต้องเสด็จฯ ต่างประเทศและสวรรคตที่นั้น และ รัชกาลที่ 8 คงไม่ต้องสวรรคต เพราะการลอบปลงพระชนม์ ที่เกิดจากการแก่งแย่งชิงดีในทางการเมืองของคณะราษฎรและการที่กลุ่มบุคคลที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกอะไรดี เพราะชื่อมันเยอะเหลือเกิน แต่ที่รู้ ๆ บูชาคณาจารย์ที่เรียกกลุ่มว่ากลุ่มนิติราษฎร พยายามใส่ร้าย ร.9 ในกรณีการลอบปลงพระชนม์นั้นก็เพราะต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์และคืนชีพ ‘คณะราษฎร’ จึงดำเนินการเสี้ยมในทุก ๆ ทาง โดยเฉพาะกรณีการเรียกร้องให้ยกเลิก ม.112 อย่างข้าง ๆ คู ๆ แล้วเรียกหรู ๆ ใหม่ว่า ‘การปฏิรูป’

กลับมาที่หลัง 24 มิถุนายน 2475  ที่คณะราษฎร ยึดอำนาจ (การปกครอง) จากรัชกาลที่ 7 เสร็จแล้วก็พยายามจะตามมายึดพระราชทรัพย์ เพราะเพิ่งรู้ว่ารัฐไทยขณะนั้นยากจน เพราะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก บีบคั้นพระองค์ท่านจนสละราชสมบัติ ในพ.ศ.2477สละราชสมบัติได้เดี๋ยวเดียว รัฐบาลก็รีบหาทางจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งจะยึดเอา ‘พระคลังข้างที่’ 

โดยออกเป็นกฎหมายชื่อว่า ‘พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479’ และเริ่มใช้บังคับตั้งแต่ 15 มิถุนายน 2479 เป็นต้นมา พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แยกทรัพย์สินหรือสิทธิ ออกเป็นสองส่วนคือ ‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ .. ‘ทรัพย์สินส่วนพระองค์’ และ ‘ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน’ เอาจริง ๆ ก็ก่อนหน้าปฏิวัติ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านแยกไว้แล้วว่าอันไหนทรัพย์ส่วนพระองค์ อันไหนทรัพย์ของแผ่นดิน แต่คณะราษฎรเขาไม่แคร์

หลังจากออก พรบ. นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีคลังในขณะก็ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบบัญชีพระคลังข้างที่แล้วพบว่าเงินหายไปหลายรายการ เอาจริง ๆ นะครับ ‘พระคลังข้างที่’ นั่นมันเป็นเงินของพระองค์ พระองค์จะเอาไปใช้ทำอะไรมันก็เรื่องของพระองค์ ซึ่งก็ปรากฏว่า เป็นการไปซื้อประกันภัย และเป็นเงินฝากในต่างประเทศตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

รัฐบาลของฝ่ายผู้ก่อการได้ยื่นฟ้อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี เป็นจำเลยที่ 2 ให้ชดใช้เงินแก่กระทรวงการคลัง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,272,712 บาท 92 สตางค์และขอให้ศาลยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ (วังศุโขทัย) ศาลไม่อนุมัติ รัฐมนตรี ก็สั่งย้ายอธิบดีศาลแพ่งไปเสีย แล้วให้หลวงกาจสงคราม (นายพลตุ่มแดง) นำหมายศาลไปปิดและยึดทรัพย์ในวังศุโขทัย ในที่สุดศาลก็มีคำสั่งให้รัชกาลที่ 7 เป็นฝ่ายแพ้คดี (พิพากษาหลังสวรรคต) รัฐบาลสั่งยึดทรัพย์และขายทอดตลาดวังศุโขทัย แต่ขายไม่ได้ สุดท้าย กระทรวงสาธารณสุขมาเช่าใช้ จน พ.ศ. 2493 แต่สุดท้ายทางการก็ได้ถวายวังศุโขทัยคืนแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเพื่อเป็นที่ประทับต่อไป

ยังไม่รวมกรณีหลังจากที่นายปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการอีกหลายกรณี จนกระทั่งอำนาจเปลี่ยนมือมาสู่คณะราษฎรสายทหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งท่านผู้นี้คือไอดอลของเด็กอ้วน 3 นิ้ว อันมีวีรกรรมที่แจกแจงได้อย่างสนุก อย่างแรกคงต้องพุ่งเป้าไปที่การสร้างสัญลักษณ์ของตนเทียมอย่างเจ้า มีคฑาตราไก่ของตนเอง นำรูปของตนและภรรยาขึ้นเป็นรูปเคารพแทนพระมหากษัตริย์ พยายามสร้างตำแหน่งใหม่อย่าง สมเด็จเจ้าพญาชาย สมเด็จเจ้าพญาหญิง ซึ่งเป็นระบบฐานันดรที่คณะพวกเขาบอกว่าไม่ดี แต่ก็ทำซะเอง !!!! 

ตามมาด้วยนโยบายเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลัทธินิยมฟาสซิสม์เต็มรูปแบบอีกทั้งนโยบายการย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปสร้างนครบาลเพชรบูรณ์ก็เรียกได้ว่าเป็นที่สุดแห่งยุคจริงๆ เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่กลุ่มการเมืองบางกลุ่มอยากจะเดินทางไปถึง ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดสูงสุด จอมพล ป. ได้หักกับเพื่อนผู้ร่วมคณะทั้งผลักดันให้ไปตกระกำลำบากที่ต่างแดนแล้วถูกวางยาอย่างพระยาทรงสุรเดช การหักกับนายปรีดี ด้วยการใช้กำลังจนนายปรีดีต้องไปอยู่และจบชีวิตที่ต่างประเทศ ฯลฯ แต่สุดท้ายจอมพล ป. พิบูลสงครามก็หนีไม่พ้นบ่วงกรรมของตน ต้องไปตายที่ต่างแดนเหมือนกัน

ในรัฐบาลบางยุคสมัย ด้วยความอยากได้ทรัพย์สิน ก็พยายามออกกฎหมาย เพื่อนำพระราชทรัพย์ออกมาขายในราคาถูก จะได้ซื้อมาเป็นเจ้าของครอบครอง แต่สภาฯ ไม่เล่นด้วย โหวตให้กฎหมายนั้นตกไป แต่ก็ไม่ละความพยายาม มีการเล่นแร่แปรธาตุ เบียดบัง หรือฉกเอาดื้อ ๆ ไปเก็บไว้เป็นสมบัติของตัวเองก็มีให้เห็นมิใช่น้อย ..ซึ่งต่อมา ผู้ครอบครองของเหล่านั้น ก็ถึงแก่กาลวิบัติฉิบหายทันตาเห็น มีหลักฐานยืนยันได้ทั้งภาพและเรื่อง ขี้เกียจประจานให้ลูกหลานได้อายเท่านั้น

ที่เล่ามายาว ๆ นี่ เพื่อจะให้เห็นความเลวร้ายที่กระทำย่ำยีต่อสถาบัน ซึ่งก็ทรงยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยทรงดำรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและภายใต้กฎหมาย ดังนั้นการที่มีคนพยายามจะอ้างเอา ‘พ.ศ. 2475’ มาขีดเส้นเป็นเกณฑ์ ว่าตรงไหนเป็นของกษัตริย์ ตรงไหนเป็นของ ‘คณะราษฎร’ จึงเป็นเหตุผลแบบ ‘กำปั้นทุบดิน’ เพราะหลังจาก พ.ศ. 2475 แล้ว ประเทศไทย ก็มีสภาผู้แทนฯ เขียนกฎหมาย แก้กฎหมาย กันไม่รู้อีกกี่สิบ กี่ร้อย อะไรหมดไป อะไรยังคงอยู่  ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามมติของสภาผู้แทนราษฎร เป็นกฎหมายของรัฐ บังคับใช้ทั้งประเทศ ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ไหนไปบีบบังคับให้รัฐสภาออกกฎหมายใด ๆ

หลังจากการก่อการของ ‘คณะราษฎร 2475’ บ้านเมืองย่ำอยู่กับที่ เพราะคนในคณะแย่งชิงอำนาจกันเอง 25 ปี รัฐประหารและกบฏ 14 ครั้ง ซึ่งบ่งบอกได้ว่า ตลอดเวลาที่คณะนี้มีอำนาจ พวกเขาไม่ได้พัฒนาชาติบ้านเมืองอะไรเลย มีแต่แก่งแย่งชิงอำนาจกันและกันเข่นฆ่ากันเอง ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนก็มีการปั้น 'คณะเรี่ยราด 2563' ซึ่งเป็นเหมือนกระบือถูกสนตะพายให้ออกมาเป็นเครื่องมือ เอาฝรั่งเข้ามาวุ่นวาย อันไหนไม่ได้ผลก็ปรับแผนไปโจมตีไปเรื่อย ๆ จากสถาบันพระมหากษัตริย์มาตุลาการ สร้างปัญหาให้ฝ่ายบริหาร ผลัดกันตีในสภา ผลัดกันลงถนน มีงบก็ลงเยอะ หมดเยอะก็หายตัว แต่เชื่อได้ว่าคนบงการก็ยังเป็นกลุ่มเดิมๆ พวกเดิม ๆ ที่ต้องการอำนาจอย่างที่ตนอยากได้ อยากเป็น ส่วนคนที่มาออกหน้าก็ปล่อยมันติดคุกไปเรื่อย ๆ เพื่อเรียกแขก  

ถึงแม้วันนี้จะย้อนอดีตไปไม่ได้ ถึงแม้ ‘คณะราษฎร 2475’ จะล้มหายตายจากไปจากเมืองไทย แต่มรดกของคณะนี้ยังคงมีอยู่ อาจจะดีบ้าง เลวบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ประเทศไทยของเรานี้ จะเจริญแน่ ๆ ถ้าไม่มีใครมัวแต่เอาอดีตขึ้นมาอ้างเพื่อหาสิทธิอันชอบธรรมให้แก่การกระทำของพวกพ้องตัวเอง 

เอวัง..... 


เรื่อง: สถาพร บุญนาจเสวี Content Manager