พลิกปมการเมือง ครั้ง 'ทักษิณ' หักหลัง 'สมัคร สุนทรเวช' จุดจบทางการเมืองที่น่าเวทนาของชายร่างใหญ่วัย 73

จะว่าไป 'ทักษิณ ชินวัตร' นี่ เป็นคนที่ใช้นอมินีเปลืองที่สุดเลยก็ว่าได้ 

แล้วก็ต้องบอกเลยว่า เมื่อพลิกย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทย สภาพนอมินีแต่ละคนของทักษิณ มีจุดจบที่ไม่สวยเลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่คนสุดท้ายอย่าง 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ด้วย

ล่าสุดส่งอุ๊งอิ๊งมาเป็นนอมินีพ่อ ก็รอดูต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร จะแลนสไลด์อย่างที่ฝันไว้หรือไม่?

พูดถึงเรื่องนอมินีแล้ว ก็อดยกกรณีที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนอมินีทักษิณ ชินวัตรกรณีหนึ่ง อย่างกรณีสมัคร สุนทรเวช ไม่ได้ หลังจากกลายมาเป็นนอมินีทักษิณ แล้วถูกหักหลังจนจบชีวิตทางการเมืองอย่างน่าเวทนา

ภาพจำที่บรรดาคอการเมืองจดจำขึ้นใจคือ ผู้ชายร่างสูงใหญ่ วัย 73 ปี เดินเดียวดายสีหน้าเศร้าสร้อยขึ้นรถกลับบ้าน ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายที่คนไทยได้เห็นสมัครปรากฎตัวต่อที่สาธารณะ ก่อนจะล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็งตับ 

นั่นคือวันที่สมัคร สุนทรเวช คงสุดชอกช้ำ หลังถูกคนที่ตนเคยอวยยศ ว่าเหมือน 'นมตราหมี เพราะดีที่สุด'  อย่างทักษิณหักหลังหลอกให้แต่งชุดเต็มยศไปรอเก้อ แต่สุดท้ายก็ต้องเดียวดายกลับบ้าน!! 

ย้อนรอยปูมประวัติศาสตร์การเมืองยุคนั้น : วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และเป็นครั้งแรกภายหลังการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยครั้งนั้นกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 480 คน เป็นส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน และปาร์ตี้ลิสต์ 80 คน

ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคพลังประชาชน ซึ่งมี สมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค ได้จำนวนส.ส.มาเป็นอันดับ 1 รวม 256 คน ตามมาด้วยพรรคประชาธิปัตย์ 162 คน และ พรรคชาติไทย 29 คน

จากนั้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2551 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ ให้สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมียงยุทธ ติยะไพรัช เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาถูกกล่าวหาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึงการดำรงตำแหน่งของสมัครว่าเป็นนอมินี ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของสมัคร สุนทรเวชสิ้นสุดลง เนื่องจากรับเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ ของรายการ 'ชิมไปบ่นไป' และ 'ยกโขยง 6 โมงเช้า'

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง เห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี จึงทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของสมัครสิ้นสุดลง

ฉากสุดท้ายของสมัครสุนทรเวช คือ โดนทักษิณที่เห็นว่าประโยชน์จากสมัครนั้นสมดังหมายแล้ว ก็พลันยึดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปให้กับน้องเขยอย่างสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยมีการหลอกนายสมัครให้ไปรอเก้อที่สภา ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2551

เรื่องนี้ ศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทยในขณะนั้นเล่าว่า 'สมัคร' รับปาก 'ทักษิณ' จะรับเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนและเป็นนายกรัฐมนตรีถ้าพรรคชนะการเลือกตั้ง โดยมีเงื่อนไขข้อเดียวคือ ต้องไม่ทิ้งกันไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทักษิณก็รับปากตามนั้น

หลังจาก ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551  ทักษิณโทรศัพท์มาหาเนวิน ชิดชอบ ว่า ขอให้แจ้งกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคพลังประชาชนว่า ให้สนับสนุนสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป และยกมือให้นายสมัครเป็นนายกฯ 

ต่อมาเช้าวันที่ 12 กันยายน 2551 ทักษิณยังโทรศัพท์มายืนยันกับเนวินว่า ต้องเลือกสมัครเป็นนายกฯ โดยสมัครไปถึงสภาแต่เช้า แต่เมื่อถึงเวลาประชุม มีแต่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนกลุ่มเพื่อนเนวินและพรรคประชาธิปัตย์มาประชุม ไม่มี ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ทำให้องค์ประชุมไม่ครบ จนเลือกสมัครเป็นนายกฯ ไม่ได้ ภาพที่เห็นคือ สมัคร สุนทรเวช เดินลงมาขึ้นรถคนเดียวด้วยอาการเศร้าสร้อย ไม่ยอมให้สัมภาษณ์กับ สื่อมวลชน

นี่คือจุดเปลี่ยนของการเมืองครั้งสำคัญ ที่ทำให้เนวิน ชิดชอบ ตัดสินใจเปลี่ยนขั้วหันมาสนับสนุนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะถูกนายใหญ่หักหลัง