เปลี่ยนใจใน 9 ชั่วโมง! เปิดใจ ‘อาสามัครต่างชาติ’ เท ‘รบยูเครน’ หลัง ‘รัสเซีย’ ยิงขีปนาวุธถล่มฐานฝึก!

อาสาสมัครชาวต่างชาติที่เดินทางไปรบกับกองทัพรัสเซียหลายคนพากันหนีออกจากยูเครนหลังรัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มฐานฝึกซ้อม เพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าจะเจอความเป็นจริงอันโหดร้ายของการทำสงครามกับกองทัพที่ทันสมัยของรัสเซีย

หลังจากประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประกาศรับสมัครอาสาสมัครต่างชาติมาช่วยรบกับรัสเซียก็มีช่าวต่างชาติจากกว่า 50 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐ อังกฤษ และแคนาดาขันอาสากว่า 16,000 คน

ทว่าเมื่อวันที่ 13 มี.ค. รัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มฐานฝึกซ้อมของอาสาสมัครเหล่านี้ในเมืองยาโวริฟใกล้กับชายแดนโปแลนด์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 35 รายส่วนใหญ่เป็นชาวยูเครน และบาดเจ็บอีก 134 รายตามตัวเลขของทางการยูเครน แต่รัสเซียอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้

เหตุการณ์นี้ทำให้อาสาสมัครต่างชาติหลายคนที่ไม่พอใจเรื่องการจัดการที่ไม่ค่อยดี การขาดแคลนอาวุธและการฝึกซ้อม และการเซ็นสัญญาที่ไม่กำหนดเวลาสิ้นสุดที่ชัดเจนเป็นทุนเดิมกันอยู่แล้ว เริ่มเปลี่ยนใจกลับบ้านกันมากขึ้น

หนึ่งในนั้นคือ เจสเปอร์ โซเดอร์ (Jesper Söder) ชาวสวีเดนที่เล่าถึงการโจมตีเมื่อวันที่ 13 กับสำนักข่าว AP ว่า “นรกชัดๆ ทั้งเสียงยิง เสียงตะโกน ความหวาดกลัว ไหนจะระเบิดกับขีปนาวุธอีก”

หลังถูกโจมตีโซเดอร์และกลุ่มอาสาสมัครต่างชาติรวมทั้งชาวสแกนดิเนเวีย อังกฤษ และอเมริกันออกจากฐานฝึกซ้อมกลับไปยังชายแดนโปแลนด์

ทหารผ่านศึกชาวอเมริกันที่ใช้ชื่อว่า ฮิว (Hieu) ที่รอดชีวิตจากการถูกรัสเซียโจมตีเผยกับ Task & Purpose ว่า “ผมรอดเพราะขีปนาวุธตกใส่โครงสร้างที่แข็งแรงแทนที่จะเป็นเต็นท์ที่ผมอยู่ ยูเครนเสนอจะพาคนที่ไม่ต้องการรบแล้วหลังถูกขีปนาวุธถล่มกลับไปยังชายแดน”

ฮิวซึ่งเป็นอดีตพลรถถัง M1 Abrams ที่เคยไปรบที่อัฟกานิสถานเมื่อปี 2012 เล่าว่า อาสาสมัครที่อยู่ในเต็นท์เดียวกับเขา 23 คน มีเพียง 7 คนที่ตัดสินใจอยู่ต่อ

ส่วนในชุมชนออนไลน์ยอดฮิตอย่าง Reddit ผู้ใช้คนหนึ่งซึ่งลบบัญชีไปแล้วโพสต์คลิปให้เห็นสภาพหลังการโจมตีลงในฟอรัม “อาสาสมัครเพื่อยูเครน” พร้อมกับเตือนว่า ให้คิดดีๆ ก่อนไปยูเครน เพราะสถานการณ์แย่มาก

“ไปร่วมกับกองกำลังต่างชาติเลยพวก ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แต่ให้คิดให้ดีว่าเคียฟจะแย่แค่ไหน แล้วก็รู้ไว้ด้วยว่ารัสเซียมีเครื่องบินรบ และพวกนายแทบจะไม่มีอะไรเลย แล้วจงยอมรับว่ามีโอกาสตาย พวกเราที่ออกมา รวมทั้งกองกำลังพิเศษจากหลายๆ ประเทศแค่ต้องการลดความเสี่ยง ไม่มีใครอยากตายในการต่อสู้ที่ไม่เป็นธรรมหรอก และหลังจากโดนขีปนาวุธถล่มอย่างหนักวันนี้ ผมอยากให้พวกคุณคิดให้ดีก่อนจะไป”

เจ้าของบัญชีรายนี้ระบุอีกว่า “มีชาวต่างชาต 60 คนรวมทั้งผมออกมาหลังถูกโจมตี พวกเขาส่งคนที่ไม่เคยฝึกซ้อมไปแนวหน้าโดยมีกระสุนน้อยนิดกับอากาห่วยๆ แล้วคนพวกนี้ก็ถูกฆ่า...พวกที่ยังอยู่จะถูกส่งไปที่เคียฟและอีกหลายคนจะต้องตาย กองกำลังต่างชาติมีกำลังคนน้อยกว่า และมีผู้นำยูเครนบ้าๆ อีก 2-3 คนเท่านั้น”

เช่นเดียวกับ เจค ไพรเดย์ (Jake Priday) ครูจากเมืองคาร์ดิฟฟ์ของอังกฤษบอกกับ The Economist ว่า เขาออกมาจากยูเครนหลังไปเหยียบที่นั่นได้เพียง 9 ชั่วโมง หลังจากทราบว่าจะต้องเซ็นสัญญาที่ผูกกับกฎอัยการศึกซึ่งกำหนดให้พวกเขารบโดยไม่มีกำหนดตายตัว โดยไม่มีการอธิบายขยายความใดๆ จากยูเครน

“สำหรับผมมันคือการหลอกลวง” ครูวัย 25 ซึ่งผ่านการเป็นทหารมาแล้วเผย “พวกเขาขายฝันให้คุณ คุณสามารถช่วยชาวยูเครน! แล้วจากนั้นคุณกลับถูกส่งตัวไปยังที่ที่แย่ที่สุดในสมรภูมิ”

ไพรเดย์ยังกังวลว่าหากถูกรัสเซียจับตัวไปจะเกิดอะไรขึ้น เพราะก่อนหน้านี้รัสเซียประกาศเตือนว่านักรบต่างชาติจะถูกดำเนินคดีในฐานะอาชญากร เจสัน เฮ (Jason Haigh) อดีตแพทย์ทหารที่เคยไปรบในอิรักเผยกับ The Sun เมื่อช่วงต้นเดือนว่า เขาออกมาจากยูเครนแล้วหลังจากเผชิญหน้ากับกองกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ของรัสเซียระหว่างสู้รบที่เมืองอันโตนอฟในช่วงแรกๆ ของสงครามยูเครน

อดีตแพทย์ทหารวัย 34 ถูกฝูงเครื่องบินเจ็ตของรัสเซียยิงจรวดใส่ระหว่างร่วมกับกองทัพยูเครนมุ่งหน้าไปยังสนามบินฮอสโตเมลในกรุงเคียฟ ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์โจมตีของรัสเซียอีกฝูงหนึ่งจะตามมาสมทบ

เขาเล่าว่า “ทันใดนั้นประตูนรกก็เปิดรอต้อนรับพวกเรา พวกเราเกือบถูกถล่ม ผมไม่เคยเจอการยิงที่มีอานุภาพขนาดนี้มาก่อน และไม่คิดว่าคนในยุคนี้เคยเห็นเหมือนกัน อิรักกับอัฟกานิสถานแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กองทัพรัสเซียทันสมัยมาก”

เฮเล่าอีกว่าหลังการสู้รบ เขากับเพื่อนชาวอเมริกันอีก 1 คนถูกเจ้าหน้าที่ยูเครนคุมตัวและทุบตีจนสะบักสะบอมเพราะคิดว่าเป็นฝ่ายรัสเซียและถูกนำตัวไปสอบสวนที่ฐาน 3 ชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ถูกปล่อยตัวออกมา เขาตัดสินใจขึ้นรถไฟหนีไปยังเมืองลวิวก่อนจะข้ามชายแดนเข้าโปแลนด์

อีกคนหนึ่งคือ เบ็น สแปนน์ (Ben Spann) ชาวอังกฤษเผยกับ Sky News ว่า เขาตัดสินใจออกมาจากสมรภูมิยูเครนเพราะกลัวว่าจะต้องเจอกับ “ภารกิจฆ่าตัวตาย” ทั้งยังไม่กล้าบอกภรรยากับลูกชายว่าไปรบที่ยูเครน โดยเขาไปช่วยยูเครนเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ แต่ยอมรับภายหลังว่า “เป็นฝันร้ายสุดๆ”

สแปนน์เล่าว่า หลังนั่งเครื่องบินจากสนามบินลอนดอนสแตนสเต็ดไปยังเมืองสเชชชินของโปแลนด์เมื่อวันที่ 2 มี.ค. และได้พบกับอดีตทหารอังกฤษ 4 คนที่มีแผนจะเข้าไปรบในยูเครนจึงข้ามพรมแดนไปด้วยกัน

พวกเขาอยู่ในเซฟเฮ้าส์เล็กๆ หลังหนึ่งเป็นเวลา 5 วัน จู่ๆ หน่วยสวาทของยูเครน 10 คนก็บุกเข้าไปแล้วใช้ปืน AK-47 หลายกระบอกจ่อที่ศีรษะราว 20-30 นาทีเพื่อค้นตัวและสอบสวนจนเข้าใจว่าพวกเขามาช่วยรบ

ทว่าหลังจากต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่อันตรายกว่าเดิมในยูเครนโดยไม่มีอาวุธติดตัว สแปนน์ก็ตัดสินใจกลับบ้านทันที

ที่มา : REUTERS/Alexandros Avramidis

https://www.posttoday.com/world/678566