ระเบิดเวลาอนาคตไทย หากยังมองเวียดนาม 'ห่างชั้น-ด้อยพัฒนา' หลังเหงียนเริ่มกลืนตลาดออนไลน์ไทย โดยคนรุ่นใหม่

จากเพจเฟซบุ๊ก 'สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์เรื่องราวของคนที่ได้สัมผัสกับนักกลุ่มธุรกิจเวียดนามรุ่นใหม่ที่กำลังมองไกล สร้างตัว สร้างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางสร้างตัวหนึ่งที่น่ากังวลต่ออนาคตของคนในบ้านเราอย่างมาก คือ การมาตักตวงโอกาสที่คนไทยส่วนใหญ่มองข้าม แต่พวกเขามองขาด ไว้ว่า... 

ใครรู้บ้างว่าค่าโฆษณาเฟซบุ๊กเวียดนาม แพงกว่าเมืองไทย 2-3 เท่า ธุรกิจขายของออนไลน์ในไทย คือ "Blue Ocean" สำหรับชาวเวียดและสินค้าจีนที่ขายออนไลน์จำนวนมากในไทย ขายโดยคนเวียดนามที่นั่งสั่งการอยู่ที่เวียดนาม

ช่วงที่ผ่านมา ดิฉันพอได้มีโอกาสติดตามความเคลื่อนไหวของนักธุรกิจรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่ง ที่รวมตัวกันขึ้นมาหลวมๆ เรียกตัวเองว่า CEO Club คุยกันตามร้านกาแฟวันเสาร์-อาทิตย์ เดือนละ 1-2 ครั้ง บางทีก็จัดสัมมนาย่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเทคนิคการทำการตลาดออนไลน์ 

และ CEO Club กลุ่มนี้ก็ไปเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจออนไลน์ขนาดใหญ่ขึ้น ที่มุ่งเน้นทำธุรกิจข้ามชาติ มากกว่าขายของในเวียดนาม โดยเริ่มต้นจากไทย ไปมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จากนั้นก็จะขยายไปตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา

เท่าที่ได้เคยพูดจา เจอกันตัวเป็นๆ บ้างในงานสัมมนาต่างๆ คนกลุ่มนี้อยู่ในวัย 20-30 กลางๆ (ร้อยละ 90 อายุน้อยกว่าดิฉันทั้งนั้น)...หน้าตาซื่อๆ แต่งตัวธรรมดา ขี่มอเตอร์ไซค์ แบกเป้ กันตามปกติ ไม่มีอะไรผิดสังเกต นอกจาก พกโทรศัพท์มือถือ อย่างน้อย 2 เครื่อง และไปเจอกันเกือบทุกงานสัมมนา ซึ่งงานสัมมนาบางรอบรับเฉพาะบริษัทที่มีงบโฆษณาเฟซบุ๊กเกินเดือนละ 500,000 บาท หรือบางสัมมนารับเฉพาะบริษัทที่มีรายได้เกินเดือนละ 10 ล้านบาทเท่านั้น ...และก็ยังมีผู้เข้าร่วมสัมมนาเป็นร้อยคน !!! 

ในงานสัมมนานอกจากการฝึกอบรมทั่วไป มักจะมี CEO หน้าละอ่อน ขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จอยู่เรื่อยๆ

ที่ฟังแล้วทึ่งก็มี และที่สะอึกก็มาก โดยเฉพาะเมื่อเขาพูดกันถึงการทำธุรกิจขายออนไลน์ในไทย!!! 

ดิฉันจึงอยากสรุปความนำมาเล่าตามประสาชาวบ้าน ที่เก็บความลับไม่อยู่ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านชาวไทยบ้าง

📍แนวทางขายของออนไลน์ในไทยจากเวียดนาม... 

1. เข้าหุ้นหรือหาตัวแทนจดทะเบียนบริษัทในไทย 
2. เช่าอาคารพาณิชย์เป็นคลังสินค้าและออฟฟิศ
3. จ้างพนักงานชาวไทยระดับเงินเดือนประมาณ 15000-20000 บาท เพื่อลดอัตราการลาออก หน้าที่หลักคือ ขายของออนไลน์ ตอบลูกค้า แพ็กของ ส่งของ ให้คำปรึกษาลูกค้า ฯลฯ
4. ส่งคนเวียดนามไปอบรมพนักงานไทย ที่ไทย
5. นำสินค้าเข้าจากจีน
6. ทำการตลาด โฆษณาต่างๆ ผ่านเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ ยูทูบ ติ๊กต๊อก ฯลฯ โดยตรงจากเวียดนาม
7. สื่อการตลาดต่างๆ เอาจากเวียดนามแล้วจ้างคนแปลหรือจ้างคนไทยทำ
8. สำหรับนักลงทุนใหม่ ช่วงเริ่มต้นยังไม่ต้องเอาสินค้าเข้าไป ทำโฆษณาไปก่อน มีออเดอร์แล้วค่อยส่งของ เพราะคนไทยรอออเดอร์ได้นาน ทำให้มีเวลา test ระบบได้ก่อนลงทุนจริง

📍การลงทุนและผลตอบแทน

- สินค้า (คุณภาพดี) สามารถขายได้ราคาสูงกว่าที่เวียดนามประมาณ 2-3 เท่า
- สามารถทำจำนวนออเดอร์ 2000-3000 ออเดอร์ต่อวัน ได้ภายใน 1 ปี (100 ออเดอร์ต่อวันภายใน 1-2 เดือน)
- ค่าโฆษณาร้อยละ 35
- ค่าสินค้าร้อยละ 20
- ค่าดำเนินการร้อยละ 10
- ค่าขนส่งร้อยละ 10
- เบ็ดเสร็จหากทำเป็น กำไรตั้งแต่เดือนแรก
- งบลงทุนขั้นต่ำ 4-5 ล้านบาท

📍ทำไมถึงเป็นประเทศไทย
- คนไทยชอบสินค้าตามกระแส ไฮเทค
- คนไทยชอบซื้อของ
- ยอดซื้อของต่อออเดอร์คนไทยสูงกว่าเวียดนาม
- ต้นทุนการตลาดถูกกว่าเวียดนามมาก
- คนไทยชอบของดีมีคุณภาพ
- คนไทยไม่รังเกียจของจีนเหมือนเวียดนาม
- คนไทยใจดี ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้
- อัตราการคืนของต่ำมาก (3%) เวียดนาม 30%
- คนไทยรอของได้นาน 10-15 วันยังรอ (เวียดนามรอ 3-4 วันก็ยกเลิกออเดอร์แล้ว)
- การขนส่งมีประสิทธิภาพกว่าเวียดนาม
- กฎระเบียบในประเทศไทยไม่เข้มงวด

📍คนเวียดมองพนักงานคนไทย
- ชอบทำงานบริษัท ไม่ชอบทำ self starter เหมือนเวียดนามและจีน
- หน้าตาดี ใจดี ซื่อ น่ารัก (ไม่เหมือนคนเวียด)
- ช้า ทำอะไรช้า แต่ขยัน ไม่อู้ ไม่โกง
- ขายของไม่เป็น สอนยาก แต่เมื่อเป็นแล้วไม่แหกกฎ และทำไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนงาน
- สอน 1 ได้ 1, สอน 3 ได้ 3 คิดต่อเอง 4-5-6 ไม่เป็น (คนเวียดสอน 1 ทำเกินไป 10 พอเก่งก็ออกไปทำเองกลายเป็นคู่แข่ง) 
- ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีและการตลาดออนไลน์

หลังจาก 1 ปี ผ่านไป บริษัทดังกล่าวกิจการใหญ่โต มีตัวตนในประเทศไทย มีผู้ถือหุ้นอายุ 30 นิดๆ 3 คน ซื้อตึกกลางกรุงเทพทั้งหลัง และทำสัญญากับบริษัทขนส่งให้มาเปิดออฟฟิศที่ตึก มีพนักงานคนไทยหลายคน เตรียมพร้อมที่จะนำเข้าสินค้าจากเวียดนามมากขึ้นแทนที่มาจากจีน และเตรียมขยายออกไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน

ปัจจุบันนักลงทุนกลุ่มนี้ดึงดูดนักลงทุนจากเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้นเกือบทั่วทั้งเวียดนาม เพราะเขามีเป้าหมายที่จะทำให้เวียดนามมีบริษัทแบบเขาอย่างน้อยหลายพันบริษัทที่สามารถส่งสินค้าเวียดนามออกไปขายทั่วโลกได้ เขาอยากเปลี่ยนประเทศเวียดนามที่ยากจน ด้อยพัฒนาในสายตาของไทยและหลายๆ ประเทศมาเป็นประเทศแนวหน้าของโลกให้ได้

ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของคนหนุ่มสาว เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ของพ่อค้าและนักการตลาดออนไลน์ ที่เมืองฮานอย ปัจจุบันมีสำนักงานและศูนย์ปฏิบัติการที่เมืองไซ่ง่อน และมีคนเข้าร่วมขบวนการนับพัน

วันนี้คนกลุ่มนี้ อายุ 30 เป็น CEO เป็นนักการตลาด บริษัทมีรายได้ขั้นต่ำเดือนละ 2-3 ล้านบาท อีก 10 ปีคนกลุ่มนี้คงไปค้าขายทุกประเทศในอาเซียน 10 ปีถัดไป เมื่อเขาอายุ 50 ก็คงมีหลายคนเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ดิฉันเชื่อว่า...20 ปีข้างหน้า เวียดนามคงเป็นยุคที่วัฒนาสถาพร ได้อย่างที่พวกเขาคาดหวัง

ฟังเขาพูดแล้วก็ย้อนดูตัว 

หนุ่มสาวชาวไทยของเรามีดีอะไร และวันนี้กำลังฮิตทำอะไรกันอยู่หนอ สิ่งที่เขามองเรานั้นจริงแท้แค่ไหน 20 ปีต่อจากนี้ บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไร ฯลฯ

...อาจเป็นคำถามที่พวกเราชาวไทยต้องช่วยกันตอบกระมัง!! 

(ปล.  เนื้อหาทั้งหมด ย่อมาจากการสัมมนาของนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งที่สะท้อนมุมมองของคนเวียดนามต่อการทำธุรกิจออนไลน์ในไทยเท่านั้น)

#กุลาณี
#อัจฉรากร

Cr jewbest jewbest


ที่มา : https://www.facebook.com/100001380665898/posts/5042232669166039/