พล.อ.ประวิตร  ติดตามแผน แก้ปัญหาน้ำทั้งระบบ  สั่งเร่งระบายน้ำ  จากภาวะน้ำทะเลหนุน  ลดผลกระทบ ปชช.  ปรับแผนแม่บท เพิ่ม"โคกหนองนาโมเดล" เสริมแก้น้ำท่วม/เก็บน้ำสำรอง  เน้น ประชาสัมพันธ์ ให้ทั่วถึง

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่าเวลา 10.00น.  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บท การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/2564  ณ ห้องประชุม 301  ตึกบัญชาการ 1  ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการดำเนินงาน ตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี64 ที่ผ่านมา อาทิ การซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ จำนวน 2,312 แห่ง(99%) และสถานีโทรมาตร จำนวน 4,209 แห่ง(89%) ,การขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา รวม 5,319,444 ตันในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก และการขุดเจาะบ่อบาดาล ก่อสร้างระบบกระจายน้ำ จำนวน 2,498 บ่อ เติมน้ำใต้ดิน จำนวน 998 แห่ง เป็นต้น  และได้รับทราบความก้าวหน้า โครงการบริหารจัดการน้ำระยะยาว อย่างยั่งยืน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้เร่งรัด สทนช. ให้บูรณาการหน่วยงานต่างๆ ในการขับเคลื่อน แผนงานให้ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงให้ศึกษาการแก้ปัญหาการป้องกันน้ำเค็มในปี65 ด้วย  นอกจากนั้นที่ประชุม ยังได้รับทราบความก้าวหน้าการปรับปรุงกรอบแนวทางแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี โดยให้มีการเพิ่มเติมแนวทางการพัฒนา"โคกหนองนาโมเดล" เพื่อให้เป็นแหล่งน้ำสำรอง และใช้เก็บน้ำเมื่อประสบภัยน้ำท่วม  ต่อมาที่ประชุมได้มีการพิจารณา รายงานผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี(ช่วง2561-2564) และรายงานตัวชี้วัดความมั่นคงน้ำ พร้อมทั้ง ได้เห็นชอบให้ใช้ระบบ Thai Water Assessment  เป็นเครื่องมือในการติดตามประเมินผลโครงการด้านทรัพยากรน้ำโดยมอบให้หน่วยงานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องรายงานผลการดำเนินงาน ตั้งแต่ ธ.ค.64 เป็นต้นไป

พล.อ.ประวิตร  ยังได้แสดงความพอใจ ผลคืบหน้าตามแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ 20 ปี ที่ผ่านมา  พร้อมทั้ง กำชับ สทนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องให้ความสำคัญ อย่างเร่งด่วน ต่อปัญหาที่ส่งผลกระทบประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาจากน้ำทะเลหนุนในขณะนี้ และปัญหาน้ำเค็มรุก ควบคู่กับการแก้ปัญหาน้ำท่วม/น้ำแล้งให้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาของประเทศ อย่างยั่งยืน พร้อมทั้ง ได้สั่งการให้ สทนช.ตั้งคณะทำงานการประชาสัมพันธ์ เพื่อชี้แจง ทำความเข้าใจให้แก่ประชาชนได้รับทราบข่าวสาร อย่างถูกต้อง ต่อเนื่อง รวดเร็ว และทันเวลา ต่อไป