แบงก์ชาติเผยผลตรวจสอบ ดูดเงินจากบัญชี พบ 90% เป็นธุรกรรมบัตรเดบิต ใช้ซื้อสินค้าจากร้านค้าในต่างประเทศ มูลค่าความเสียหายกว่า 130 ล้านบาท

จากกรณีที่มีการแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ มีผู้เสียหายถูกดูดเงินจากบัญชี หรือ บัตรเดบิต จำนวนหลายครั้ง โดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้เสียหายหลายรายถูกมิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว แฮกบัญชีธนาคาร บัตรเดบิต และดูดเงินออกจากบัตรเดบิตผ่านเครื่อง EDC หรือเครื่องรูดบัตร แต่ไม่มี SMS แจ้งเตือน แต่ละครั้งจะถอนเงินจำนวนไม่มาก

ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย โดย นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคม ธนาคารไทย แถลงข่าวร่วมกัน เพื่อแจงความคืบหน้า การตรวจสอบกรณีการตัดเงินที่ผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานในเบื้องต้น ผลการตรวจสอบที่ออกมาพบว่า 80-90% มาจากการดูดเงินผ่านบัตรเดบิต โดยพฤติการณ์ของคนร้ายคือการสุ่มหน้าบัตรและวันหมดอายุ เพื่อโจรกรรมเงิน และ ส่วนใหญ่จะเป็นการทำร้านค้าในต่างประเทศ

โดยบัตรที่ถูกโจรกรรม ตั้งแต่วันที่ 1-17 ต.ค. 64 ทั้งหมดที่เจอ 10,700 บัตร และ 80-90% เป็นบัตรเกิดจากเดบิต สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดจากกิจกรรมที่มีลักษณะใช้บอทเข้ามาสุ่ม ใช้ตัวบิลนำเบอร์หรือรหัสธนาคารบนหมายเลขบัตร 6 หลักจาก 12 หลัก ยิงสุ่มบนบิลนัมเบอร์ หาเลขบัตรบวกวันหมดอายุ โดยพบวงเงินความเสียหาย บัตรเดบิต 30 ล้านบาท และ บัตรเครดิต 100 ล้านบาท

ผลตรวจสอบเบื้องต้นจากธนาคารแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย ใกล้เคียงกับข้อสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพล.ต.ต. นิเวศน์ อาภาวศิน ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระบุว่า จากการสอบสวนพบว่า คนร้ายมีข้อมูลหมายเลขหน้าบัตรและหลังบัตร รวมถึงวันหมดอายุของบัตร ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและกลุ่มผู้ประกอบการออนไลน์ถึงมาตรการป้องกัน

สำหรับพฤติการณ์การก่อเหตุ สันนิษฐานว่าอาจเกิดจาก 3 รูปแบบ 
1.) เป็นการผูกบัญชีบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัญชีธนาคารเข้ากับแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น แอปพลิเคชันออนไลน์ และข้อมูลเกิดหลุดไปถึงแก๊งมิจฉาชีพ 
2.) การส่ง SMS หลอกลวง ที่จะส่งลิงก์มาตาม SMS เข้ามือถือผู้เสียหาย และให้กรอกข้อมูลต่างๆ เช่น ปล่อยเงินกู้ ใช้บริการไปรษณีย์ เป็นต้น
3.) การใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิตในชีวิตประจำวัน เช่น การให้บัตรพนักงานไปชำระค่าสินค้าและบริการในห้าง หรือการเติมน้ำมัน อาจถูกพนักงานเก็บข้อมูลเลขหน้าบัตร 16 หลัก และเลข CVC หลังบัตร 3 ตัว ซึ่งคนร้ายอาจมีการรวบรวมข้อมูลและขายต่อในตลาดมืด


ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/business/966665