“หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน” เกาะสวรรค์ของธุรกิจสีเทา (The British Virgin Islands : BVI)
หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน หรือ หมู่เกาะเวอร์จินของอังกฤษ (BVI) เป็นดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 50 เกาะ ตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียน ทางตะวันออกของประเทศจาเมกา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และทางตะวันตกเฉียงเหนือของแองกวิลลา หมู่เกาะเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเวอร์จิน และตั้งอยู่ในหมู่เกาะลีวาร์ดของเลสเซอร์แอนทิลลิส และเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะอินเดียตะวันตก
BVI ประกอบด้วยเกาะหลัก ๆ คือ Tortola, Virgin Gorda, Anegada และ Jost Van Dyke พร้อมด้วยเกาะที่มีสันดอนเล็ก ๆ อีกกว่า 50 เกาะ มีเกาะที่มีผู้อาศัยอยู่ประมาณ 16 เกาะ เมืองหลวงคือ กรุง Road Town ตั้งอยู่บนเกาะ Tortola ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีความยาวประมาณ 20 กม. (12 ไมล์) และกว้าง 5 กม. (3 ไมล์) หมู่เกาะมีประชากร 28,054 คน ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2010 โดย 23,491 คนอาศัยอยู่บน Tortola ประมาณการเมื่อกรกฎาคม 2018 จำนวนประชากรอยู่ที่ 35,802 คน ชาวเกาะบริติชเวอร์จินเป็นพลเมืองของดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 จึงกลายเป็นพลเมืองอังกฤษด้วย
BVI เป็นเกาะที่รับจดทะเบียนของบริษัทกว่า 600,000 แห่ง ที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ (49.5ล้านล้านบาท) และต้องการมาตรการในการ เคลื่อนไหว ปรับปรุง แก้ไขต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เมื่อเดินผ่านใจกลางกรุง Road Town เมืองหลวงของหมู่เกาะแคริบเบียนแห่งนี้ มีไก่นานาชนิดขันแข่งขันกันเต็มไปหมดกับรถยนต์บนถนนแคบ ๆ สายเดียว ซึ่งเป็นถนนสายหลัก มีบริษัทกฎหมายที่ตั้งและให้บริการบริษัทนอกอาณาเขตหลายพันแห่ง มีอาคารขนาดเล็กติดกับบ้านไม้สีสดใส ซึ่งมีร้านเสริมสวยราคาถูก และร้านเสื้อผ้าชื่อดังอย่าง “GoodFellas”
นอกจากป้ายถนนสีเขียวบางจุดบนถนนสายหลักแล้ว ยังมีถนนอีกหลายสายที่ทำเครื่องหมายไว้ BVI ไม่มีการจัดส่งทางไปรษณีย์ ธุรกิจ และผู้อยู่อาศัยกว่า 35,000 คน ใช้ตู้ไปรษณีย์เป็นที่อยู่ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ที่ทำการไปรษณีย์ที่มีตู้จดหมายหนึ่งแห่งในกรุง Road Town สามารถเป็นที่อยู่ของ บริษัทหลายพันแห่งจากทั่วโลก ทนายความ นักบัญชี และตัวแทนบริษัทหลายร้อยคน ทำงานจากอาคารที่กระจายอยู่รอบเกาะ Tortola จากประเทศที่รูปแบบให้บริการคล้ายกันอย่าง ลักเซมเบิร์ก โมนาโก หรือแม้แต่บางส่วนของหมู่เกาะเคย์แมน เงินลงสู่ทุกซอกทุกมุมใน BVI ความมั่งคั่งของบริษัทสีเทาผ่านไปชนิดที่แทบจะไร้ร่องรอยให้ตรวจสอบ
กฎหมาย Business Ownership Secure Search System หรือ BOSS ซึ่ง BVI เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2560 เพื่อตอบสนองความต้องการของหน่วยงานระหว่างประเทศที่ต้องการติดตามเจ้าของบริษัท แต่จะมีเพียงเจ้าหน้าที่นิรนามสองคนของสำนักงานสืบสวนทางการเงินของ BVI เท่านั้นที่สามารถสืบค้นหาทั้งระบบได้ ซึ่งในระบบมีรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าของธุรกิจกว่า 600,000 รายที่มีบริษัทที่ควบคุมโดยตรงหรือโดยอ้อมใน BVI คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของบริษัทนอกอาณาเขตทั้งหมดทั่วโลกที่มาจดทะเบียนใน BVI
BOSS ใช้การเข้ารหัสที่ไม่เคยถูกแฮ็กและไม่สามารถแฮ็กได้ ถ้ามีใครพยายามเข้าถึง BOSS จากที่ไหนสักแห่งที่ผิดปกติ เช่น เกาหลีเหนือ ระบบจะถูกปิดทันที ข้อมูลถูกเก็บไว้ในสถานที่ลับในประเทศ G-7 แต่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นกับ BVI เมื่อรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรได้ลงมติให้บังคับใช้มาตรการความโปร่งใสใน BVI และดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษอีก 13 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มอดีตอาณานิคมที่สมเด็จพระราชินีทรงแต่งตั้งผู้ว่าการ เพื่อควบคุมดูแลงานด้านการต่างประเทศและการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนระบบตุลาการให้เป็นไปตามกฎหมายทั่วไปของอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขอฉันทมติข้ามพรรคในหมู่สมาชิกรัฐสภาอังกฤษได้ยาก ด้วยอยู่ในภาวะติดขัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จากมาตรการ Brexit เพื่อออกจากสหภาพยุโรป ส่วนสำคัญของกฎหมายเพื่อความโปร่งใส คือ ข้อกำหนดที่แต่ละดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรต้องจัดทำมาตรการที่โปร่งใสบางอย่างเช่น BOSS และเผยแพร่สู่สาธารณะ
ความลับของ BVI ถูกเปิดโปงจากการรั่วไหลของเอกสารปานามา (Panama papers) ในปี พ.ศ. 2559 ซึ่งเอกสารจำนวน 11.5 ล้านฉบับจากสำนักงานกฎหมาย Mossack Fonseca ซึ่งถูกเผยแพร่โดย International Consortium of Investigative Journalists การเปิดเผยดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดการสอบสวนเกี่ยวกับการฟอกเงิน การละเมิดการคว่ำบาตร และการหลีกเลี่ยงภาษีไปทั่วโลก และบริษัทมากกว่าครึ่งที่ถูกเปิดเผยในการรั่วไหลของเอกสารปานามาจดทะเบียนใน BVI จากการเปิดเผยข้อมูลว่า กฎระเบียบของ BVI ไม่เพียงพอ และยังคงเป็นข้อกังวลในปัจจุบัน หน่วยงานกำกับดูแลของ BVI ดำเนินการตรวจสอบบริษัททางการเงินใน BVI ปีละน้อยกว่าสิบรายเท่านั้น
ชาว BVI ไม่พอใจในความมั่งคั่งที่ซ่อนอยู่ และการสูญเสียรายได้จากภาษี ชาว BVI หลายคนปฏิเสธว่า ประเทศของพวกเขาเป็นที่หลบภัยทางภาษี เมื่อเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นของ Road Town แม้จะไม่ชัดเจนในทันทีว่า ทำไมคนในท้องถิ่นถึงต่อสู้เพื่อความโปร่งใส บริษัทที่จดทะเบียนที่นี่ไม่ต้องเสียภาษี เกาะทั้งเกาะในจำนวนหมู่เกาะ 60 เกาะ เป็นของมหาเศรษฐีจากประเทศอื่น ๆ (Richard Branson เป็นเจ้าของเกาะ Necker Island; Larry Page แห่ง Google เป็นเจ้าของเกาะ Eustasia) และมีสัญญาณหลายอย่างที่มหาเศรษฐีใช้ BVI ใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากในเศรษฐกิจท้องถิ่น BVI จะเป็นหมู่เกาะที่ยากจนกว่านี้มากหากไม่มีอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน รัฐบาลเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพียง 450 ดอลลาร์ ในการจัดตั้งบริษัทที่มีหุ้นน้อยกว่า 50,000 หุ้น และอีก 450 ดอลลาร์ต่อปีเพื่อคงการจดทะเบียน แม้จะฟังดูนุ่มนวล แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไป บริการทางการเงินคิดเป็น 62% ของรายรับของรัฐบาล (ราว 372 ล้านดอลลาร์)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสหภาพยุโรปได้ขู่ว่าจะขึ้นบัญชีดำ BVI และดินแดนอื่น ๆ เว้นแต่พวกเขาจะใช้กฎเกณฑ์เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทระดับโลกหลีกเลี่ยงภาษีโดยการเปลี่ยนผลกำไรให้กับบริษัทซ่อนเร้นในเขตปลอดภาษี การเปลี่ยนแปลงผลกำไรของบริษัทคาดว่า จะส่งผลให้สูญเสียรายได้จากภาษีกว่าหกแสนล้านดอลลาร์ต่อปีในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ตามรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ภายใต้กฎใหม่ที่มีผลบังคับใช้แล้ว บริษัทใด ๆ ที่ประกาศว่า ตนเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ผู้เสียภาษีใน BVI จะต้องมี "สารทางเศรษฐกิจ" ในรูปแบบของสำนักงานท้องถิ่น พนักงาน และรายจ่ายที่เหมาะสม สำนักงานนอกอาณาเขตอื่น ๆ ที่พัฒนาแล้วมากขึ้นจะถูกผูกมัดด้วยกฎเดียวกัน แต่ผลกระทบต่อ BVI มีแนวโน้มที่จะชัดเจนมากขึ้น ซึ่งอาจบังคับให้บริษัทหลายพันแห่งต้องปิดตัวลงหรือพยายามขยับขยาย ในกรุง Road Town ที่มีประชากรน้อย และโครงสร้างพื้นฐานที่จำกัด ชาวบ้าน Road Town หลายคนเกรงว่า บริษัทต่าง ๆ อาจจะย้ายไปที่อื่น
การผลักดันมาตรการความโปร่งใสของสหราชอาณาจักรถูกมองว่า เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่กว่า กฎหมายที่ผ่านโดยรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรกำหนดให้รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรต้องสั่งการให้ดินแดนโพ้นทะเลจัดทำทะเบียนบัญชีสาธารณะภายในปี พ.ศ. 2563 แนวคิดคือ “เมื่อมีการค้าขายภายใต้ธงของสหราชอาณาจักร ก็ต้องยอมรับค่านิยมของสหราชอาณาจักร” “เว้นแต่บริษัทฯ จะมีความโปร่งใสที่เปิดกว้าง การลงทะเบียนบัญชีสาธารณะนำมาซึ่งการตรวจพบการฟอกเงินและการกระทำทุจริตอย่างชาญฉลาด”
บริษัทต่างชาติจำนวนมากอ้างว่า การจดทะเบียนใน BVI ไม่ใช่เพื่อการหลีกเลี่ยงภาษี แต่เพื่อหลีกเลี่ยงกฎระเบียบ แต่หลาย ๆ บริษัท และผู้ที่เป็นเจ้าของบริษัทเหล่านั้น ได้ใช้ BVI เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เหตุผลที่ BVI กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของโลกสำหรับการจดทะเบียนบริษัท มาจากการบุกปานามาของกองทัพสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2532 บังคับให้ธุรกิจนอกชายฝั่งซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ของประเทศปานามา ต้องย้ายไปที่ BVI ในช่วงเวลาเดียวกัน นักลงทุนฮ่องกง นำโดยมหาเศรษฐี Li Ka-shing ผู้ก่อตั้ง CK Hutchison Holdings Ltd. เริ่มใช้บริษัทที่จดทะเบียนใน BVI เพื่อถือครองทรัพย์สินก่อนการส่งมอบดินแดนฮ่องกงคืนให้กับจีนในปี พ.ศ. 2540 ในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นช่วงที่มีการจดทะเบียนบริษัทใน BVI นับพันบริษัททุกเดือน โดยแหล่งธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดคือ นักธุรกิจชาวจีน “ทศวรรษ 1990 จึงเป็นเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของ BVI”
เมื่อข้อมูลจาก Panama papers ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง คราวนี้นักการเมืองทั่วโลกเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีบัญชีต่างประเทศที่ไม่เปิดเผย Jeremy Corbyn หัวหน้าพรรคแรงงานกล่าวว่า สหราชอาณาจักรควรพิจารณากำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับดินแดนโพ้นทะเลโดยตรง หากพวกเขายังคงไม่สามารถเอาผิดต่อการหลีกเลี่ยงภาษีในระดับอุตสาหกรรม (รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้จัดตั้งทะเบียนบัญชีสาธารณะของตนเองขึ้น หลัง Panama papers เปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ใครเป็นเจ้าของหรือควบคุมบริษัทในสหราชอาณาจักร)
ข้อมูลจาก Panama papers ที่ถูกเปิดเผยอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลต่อหน่วยงานของ BVI ที่จะต้องดำเนินการบางอย่างที่จะช่วยอุตสาหกรรมการเงินของ BVI ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกพึงพอใจ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 BVI ได้ออกกฎหมายกำหนดให้มีตัวแทนในการจัดตั้งบริษัท ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 140 คน เพื่ออัปโหลดข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของที่เป็นประโยชน์ของบริษัทต่าง ๆ ไปยังฐานข้อมูลส่วนตัว ดังนั้น BOSS ซึ่งทำให้บุคคลที่ควบคุมบริษัทซ่อนตัวอยู่หลังผู้ถือหุ้นได้ยากขึ้น หากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหราชอาณาจักรเริ่มถามคำถามกับบริษัทส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนใน BVI ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ต้องการข้อมูลของบุคคลจริงที่อยู่เบื้องหลังด้วยรายละเอียดจากหนังสือเดินทาง ชื่อ และที่อยู่ รายละเอียดเหล่านี้สามารถแบ่งปันให้กับผู้ตรวจสอบชาวอังกฤษได้ แต่ช่องโหว่ยังคงมีอยู่ เช่น ทรัสต์และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบข้อเท็จจริง
แม้ว่าตัวแทนในการจัดตั้งบริษัทของ BVI จะต้องตรวจสอบตัวตนและแหล่งที่มาของเงินทุนของเจ้าของก่อนจัดตั้งบริษัท แต่ในสหราชอาณาจักรกลับไม่มีตัวแทน ซึ่งหมายความว่า สามารถก่อตั้งบริษัทได้ภายในเวลาไม่ถึงวันด้วยเงินเพียง 12 ปอนด์ (15 เหรียญสหรัฐ) เพียงเข้าสู่ระบบออนไลน์ของสำนักทะเบียนบริษัท และอัปโหลดข้อมูลส่วนบุคคลสามชิ้น นักรณรงค์ต่อต้านการทุจริตเพื่อความโปร่งใสของระบบในสหราชอาณาจักรกล่าวว่า มีการตั้งบริษัทเพื่อการฉ้อโกงและการฟอกเงิน มีเรื่องอื้อฉาวการฟอกเงินมูลค่า 230,000 ล้านดอลลาร์ กรณี Danske Bank หน่วยงานกำกับดูแลติดตามเงินที่ไหลออกจากรัสเซียผ่านธนาคารบอลติกโดยใช้บริษัทที่จดทะเบียนในสหราชอาณาจักรและ BVI
เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในสหราชอาณาจักรกล่าวว่า BVI ได้ช่วยพวกเขาในการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง แต่กฎระเบียบ BVI ยังคงดูไม่เข้มงวด เนื่องจากจำนวนการตรวจสอบในสถานที่มีน้อย มีการบอกว่าแม้ว่าหน่วยงานของ BVI ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลจะปรับ Mossack Fonseca เป็นเงิน $440,000 อันเป็นค่าปรับที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน BVI หลังจากข้อมูลต่าง ๆ รั่วไหลจาก Panama Papers บริษัท Mossack Fonseca ยังคงมีใบอนุญาตให้ดำเนินการจนกว่าจะปิดตัวลงไปเอง
ทุกวันนี้ BVI ยังคงเป็นสวรรค์ของธุรกิจสีเทาต่อไป รวมทั้งบริษัทสัญชาติไทยบางบริษัท ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วย ได้เข้าไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทลูกที่ BVI โดยทุกหน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าไปติดตามตรวจสอบการทำธุรกรรมของบริษัทเหล่านี้ว่า ดำเนินจัดตั้งบริษัทลูกใน BVI ด้วยเจตนาทุจริตอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หรือ ฟอกเงิน หรือ ทำธุรกรรมที่ทุจริตอื่น ๆ ฯลฯ สังคมไทยต้องสอดส่องติดตามการดำเนินการของทุกภาคส่วนที่รับผิดชอบในการตรวจสอบการทำธุรกรรมของบริษัทฯ เหล่านี้ใน BVI กันต่อไป
แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ Blockdit : THE STATES TIMES
???? https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32