'พิธา' แนะ!! รับมือโลกร้อนต้องเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง ปรับพฤติกรรมอย่างเดียว ไม่พอ!!

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า... 

เศรษฐกิจสีเขียว: การรับมือสภาวะโลกร้อนต้องใช้การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเท่านั้น

ตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมาที่ผมได้ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมได้เห็นกับตาตัวเองถึงผลกระทบของความผันผวนในสภาพภูมิอากาศต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนในภาคการเกษตร และพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม 

ปี 2563 เป็นปีที่แล้งที่สุดในรอบ 40 ปี ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรติดลบ 6% และ GDP ภาคเกษตรติดลบ 1.5% ในปี 2564 ที่จังหวัดชัยภูมิซึ่งผมเดินทางไปเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา เพิ่งประสบภัยน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 50 ปี เหตุการณ์น้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเป็นปัญหาในระดับโลก เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมายุโรปก็เพิ่งเผชิญกับน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 400 ปี และในเดือนกันยายนที่ผ่านมานครนิวยอร์กก็เพิ่งเผชิญกับวิกฤติน้ำท่วมฉับพลันครั้งแรกในประวัติศาสตร์

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมาในช่วงระหว่างที่ผมกำลังเดินทางลงพื้นที่ติดตามปัญหา ที่ดิน การเกษตร และน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมในการประชุมในหัวข้อ Green Economic Recovery หรือการพลิกฟื้นและพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่บนหลักการความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจัดโดยกลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (APHR - ASEAN Parliamentarians for Human Rights)

ผมได้ย้ำต่อที่ประชุมว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิดบนฐานของเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นเรื่องที่จำเป็นต่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ยกตัวอย่างกรณีของประเทศไทยในปี 2563 GDP ของเราติดลบจากโควิด 6% แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรกับภาวะโลกร้อน วิกฤติเศรษฐกิจที่จะตามมาจะเลวร้ายกว่าในปัจจุบันอีกมาก 

จากการประเมินของบริษัท Swiss Reinsurance Company บริษัทประกันภัยต่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก การปล่อยให้โลกร้อนขึ้นบนเส้นทางของการร้อนขึ้น 3.2 องศาเซลเซียสในปี 2643 GDP ของประเทศไทยจะติดลบสะสม 48% ในปี พ.ศ. 2591 ซึ่งจะเป็นความพังพินาศทางเศรษฐกิจที่มากมายมหาศาลกว่าวิกฤติโควิดมาก แต่ถ้าโลกสามารถจำกัดภาวะโลกร้อนได้ต่ำกว่า 2 องศาตามเป้าหมายของ Paris Agreement แล้ว GDP ของไทยจะติดลบสะสมจากโลกร้อนเพียง 5% ในปี พ.ศ. 2591

แล้วในตอนนี้ประเทศไทยอยู่บนเส้นทางไหนในการรับมือภาวะโลกร้อน? จากการประเมินของ Climate Action Tracker ซึ่งเป็น Consortium ระหว่าง 3 สถาบันวิจัยระดับโลกด้านภูมิอากาศนั้น นโยบายของประเทศไทยในด้านภาวะโลกร้อนอยู่ในระดับ “ไม่เพียงพออย่างร้ายแรง” (Critically insufficient) และจะทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นในระดับ 4 องศา 

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือวิกฤติโควิดในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพออย่างยิ่งต่อการรับมือกับสภาวะโลกร้อน การล็อกดาวน์จากโควิดนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนอย่างสุดขั้วให้คนเดินทางไปไหนไม่ได้เลยแล้วก็เป็นการลดการบริโภคของประชาชนจน GDP โลกตกอย่างมหาศาล ถึงกระนั้นทั้งโลกก็ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพียง 6% เท่านั้นจากวิกฤติโควิด

การจะทำได้ตามเป้าหมายของ Paris Agreement ที่จำกัดสภาวะโลกร้อนไว้ที่ 1.5 - 2 องศา นั้น ทั้งโลกต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ครึ่งหนึ่งในปี 2573 และลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิจากระบบเศรษฐกิจให้เหลือศูนย์ หรือเป้าหมาย “Net-Zero Emission” ให้ได้ภายในปี 2593 

ดังนั้น การรับมือสภาวะโลกร้อนต้องใช้การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมอย่างเดียวไม่มีวันพอ

ถ้าถามว่าประเทศไทยมีศักยภาพหรือไม่ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการใช้พลังงานทั้งระบบเพื่อรับมือสภาวะโลกร้อน ผมยืนยันว่ามี ถึงแม้ว่าตอนนี้ประเทศไทยจะเพิ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานจากแสงอาทิตย์ในปี 2579 จาก 6 GW เป็น 17 GW ตามแผน REmap ของ International Renewable Energy Agency (IRENA) แต่จากการวิเคราะห์ของ IRENA เองก็ระบุว่าประเทศไทยสามารถลงทุนในพลังงานจากแสงอาทิตย์เพิ่มได้อีก 23.8 GW รวมเป็นมากกว่า 40 GW ในปี 2579 โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางพลังงาน

หรือจากการวิเคราะห์โดย Climate Analytics ร่วมกับ UNEP ก็ระบุถึงศักยภาพด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนของไทยว่าจากการวิเคราะห์ค่า Global Horizontal Irradiance พบว่าประเทศไทยได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์เฉลี่ยในวันหนึ่งมากกว่า 5 kWh ต่อตารางเมตร และหากสร้างแผงโซลาร์เซลล์ครอบคลุม 1.5% ของพื้นที่ประเทศไทย จะผลิตพลังงานได้มากกว่าปริมาณการใช้ 8 เท่า 

ในรายงานฉบับเดียวกันยังระบุว่าประเทศไทยในตอนนี้ใช้ศักยภาพของไฟฟ้าชีวมวลที่ได้มาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมและได้รับการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ จากแกลบเพียง 20% จากฟางข้าวเพียง 10% และจากใบอ้อยเพียง 10% เท่านั้น ทั้งนี้ผมขอย้ำว่าประเทศไทยควรส่งเสริมให้ชุมชนเป็นเจ้าของพลังงานชีวมวลจากพืชผลการเกษตรของตนเองด้วย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะสามารถจำกัดสภาวะโลกร้อนไว้ได้ที่ 1.5 - 2 องศาตามเป้าหมายของ Paris Agreement แต่ในปัจจุบันที่ภาวะโลกร้อนกำลังอยู่ในระดับ 1.2 องศา เราก็เห็นแล้วว่าสภาวะอากาศผันผวนขนาดไหนและภัยธรรมชาติร้ายแรงขึ้นเพียงใด นี่หมายความว่าต่อให้เราหลีกเลี่ยงความพังพินาศของระบบเศรษฐกิจจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 3-4 องศาได้ เราก็ต้องเตรียมการรับมือกับอากาศที่ผันผวนมากขึ้นและภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นอยู่ดี

ดังนั้นนอกจากการลดก๊าซเรือนกระจกแล้วเรายังต้องลงทุนในการออกแบบเมืองและเตรียมพร้อมภาคการเกษตรที่มีความยืดหยุ่น (Resilience) ต่อภัยธรรมชาติที่จะรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน เราต้องมาพูดถึงการออกแบบเมืองที่อยู่ร่วมกับน้ำท่วมได้และระบบระบายน้ำที่รองรับน้ำท่วมได้มากขึ้น ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีการเกษตรและการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (Alternate Wetting and Drying) เพื่อลดการใช้น้ำในฤดูแล้งและลดต้นทุนการผลิตกันอย่างจริงๆ จังๆ เสียทีหนึ่ง ซึ่งผมจะขอมาลงรายละเอียดของการปรับตัวกับสภาวะโลกร้อนหรือ Climate Change Adaptation ในโอกาสถัดๆ ไปครับ


ที่มา: https://www.facebook.com/1709974189109218/posts/3996279950478619/