อานิสงส์โควิด!! ดันอนาคตค้าปลีกออนไลน์ 'อินเดีย' พุ่ง โตก้าวกระโดด 3 เท่าในอีก 10 ปี

เกือบสองปีแล้วที่โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจการค้า วิถีชีวิต พฤติกรรมผู้บริโภค ฯลฯ จนถึงขั้นที่ธุรกิจมากมายต้องล้มหายตายจากไปและผู้คนก็รู้สึกสิ้นหวังไปตาม ๆ กัน แต่ว่าทุกวันนี้มุมมองของผู้คนทั่วโลกก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยตั้งตาคอยว่าเมื่อไหร่โควิด-19 จะหมดไปจากโลกนี้เสียที ปัจจุบันก็เริ่มเปลี่ยนมาถามตัวเองว่านับแต่นี้ไปเราจะอยู่กับโควิด-19 กันอย่างไร เพราะดูแล้วโควิด-19 คงจะอยู่กับเราไปอีกนาน มนุษย์ต่างหากที่ต้องปรับตัวเองเพื่ออยู่กับโควิด-19 ให้ได้ตามวิถีปกติใหม่หรือ New Normal

ถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วจะพบว่าอินเดียเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่ผู้คนทั่วโลกจับตามองด้วยความเป็นห่วงเพราะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตรายวันเป็นจำนวนสูงมาก ถึงขนาดว่าเผาศพกันไม่ทันเลยทีเดียว แต่มาถึงวันนี้ก็พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศอินเดียกลับดีขึ้นมาก มาตรการที่เคยเข้มงวดต่าง ๆ ก็ได้รับการผ่อนคลาย และล่าสุดก็มีข่าวว่ารัฐบาลอินเดียกำลังจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 

จากการสอบถามพรรคพวกที่เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ได้รับทราบว่าตอนนี้รัฐบาลอนุญาตให้ร้านอาหารเปิดบริการให้ลูกค้าเข้าไปรับประทานที่ร้านได้แล้วจนถึง 4 ทุ่ม และร้านอาหารทุกร้านต่างก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มียอดขายดีกว่าช่วงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกต่างหาก เพราะคนอินเดียนิยมออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านอยู่แล้ว โดยตอนนี้ทางสมาคมที่เกี่ยวข้องกับร้านอาหารในอินเดียกำลังต่อรองกับรัฐบาลเพื่อขอขยายเวลาปิดร้านจาก 4 ทุ่มเป็นถึงเที่ยงคืน เนื่องจากว่าผู้บริโภคชาวอินเดียโดยธรรมชาติและความเคยชินมักจะรับประทานอาหารค่ำค่อนข้างดึก การที่ร้านอาหารต้องปิดร้านแค่ 4 ทุ่มตามระเบียบของราชการจึงกลายเป็นปัจจัยกดดันให้คนอินเดียต้องรับประทานอาหารค่ำเร็วขึ้นกว่าปกติ ซึ่งถ้าสมาคมฯ สามารถเจรจาให้เปิดร้านอาหารได้จนถึงเที่ยงคืนก็จะยิ่งทำให้ขายดีมากยิ่งขึ้นเพราะร้านอาหารจะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างน้อยสองรอบ ช่วงนี้ก็เลยต้องรอการตัดสินใจจากรัฐบาลอินเดียก่อนว่าจะโอนอ่อนผ่อนตามตามเสียงเรียกร้องของผู้ประกอบการร้านอาหารหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ร้านอาหารกลับมาขายดิบขายดีแบบคาดไม่ถึง แต่ถ้าไปส่องดูที่ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าต่าง ๆ ก็พบว่า “เงียบเป็นป่าช้า” เพราะผู้บริโภคยังไม่กล้าเข้าไปเดินชอปปิงสักเท่าไหร่ มาวิเคราะห์ดูแล้วก็จะพบว่าสาเหตุสำคัญก็คือ ผู้บริโภคชาวอินเดียมีทางเลือกในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นนั่นก็คือ การชอปปิงผ่านระบบออนไลน์นั่นเอง โดยในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมาผู้บริโภคชาวอินเดียเคยชินกับการชอปปิงออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพฤติกรรมการชอปปิงออนไลน์นี้เองที่ส่งผลทำให้โครงสร้างตลาดค้าปลีกในอินเดียเปลี่ยนไปด้วย

เมื่อตอนที่ผมไปประจำการอยู่ที่อินเดียครั้งแรกเมื่อปี 2554 พบว่าในตลาดค้าปลีกของอินเดียจะประกอบไปด้วยธุรกิจค้าปลีกอยู่สองประเภทหลักคือ ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Retailing/Unorganized Retailing) หรือ “Kirana” ถ้าเรียกภาษาบ้าน ๆ แบบประเทศไทยก็คือ “ร้านโชห่วย” นั่นเอง โดยร้านโชห่วยประเภทนี้มีสัดส่วนสูงถึง 95% ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกอีกประเภทหนึ่งคือ ธุรกิจค้าปลีกแบบสมัยใหม่ (Modern Trade Retailing/Organized Retailing) มีสัดส่วนอยู่แค่เพียง 5% แต่ถัดมาอีกประมาณ 4 ปีคือ ในปี 2558 ก็พบว่าสัดส่วนในตลาดค้าปลีกของอินเดียก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยร้านโชห่วยมีสัดส่วนลดลงเหลือ 92% และร้านค้าปลีกแบบสมัยใหม่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 8% 

หลังจากนั้น จนถึงปี 2562 ก็พบว่าโครงสร้างในธุรกิจค้าปลีกของอินเดียได้เริ่มเปลี่ยนไปอีกโดยเริ่มมีธุรกิจค้าปลีกออนไลน์เพิ่มเข้ามา ส่งผลทำให้สัดส่วนของร้านโชห่วยลดลงเหลือ 88% สัดส่วนของธุรกิจค้าปลีกแบบสมัยใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 9% และมีธุรกิจค้าปลีกออนไลน์แทรกเข้ามาด้วยสัดส่วน 3% ซึ่งในปี 2562 ตลาดค้าปลีกรวมของอินเดียมีมูลค่าประมาณ 790,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 

หลังจากนั้นก็มีการคาดการณ์กันว่าธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ในอินเดียน่าจะเติบโตต่อไปอีก โดยคาดการณ์ว่าในปี 2567 ธุรกิจค้าปลีกในอินเดียโดยรวมน่าจะมีมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยร้านโชห่วยจะมีสัดส่วนลดลงเหลือ 75% ส่วนธุรกิจค้าปลีกแบบสมัยใหม่จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 18% และธุรกิจค้าปลีกออนไลน์จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 7% แถมมีแนวโน้มว่าธุรกิจออนไลน์จะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างหนักในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมา ก็ปรากฏว่าโควิด-19 ได้กลายเป็น Disruption ที่สำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมค้าปลีกของอินเดีย โดยล่าสุดมีผลการศึกษาของบริษัท Kearney ระบุว่าธุรกิจค้าปลีกของอินเดียได้รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปเต็ม ๆ คาดว่าในปี 2573 เฉพาะธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ในอินเดียจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 19% ของมูลค่าค้าปลีกรวมของอินเดียทั้งหมดและจะมีมูลค่าสูงถึง 215,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะมีจำนวนนักชอปออนไลน์ประมาณ 350 ล้านคน ด้วยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 17% ต่อปี ซึ่งตลาดเมืองรองระดับ 2+ หรือ Tier 2+ Cities จะขยายตัวมากที่สุด

ก็จะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้ว “โควิด-19” เป็นเพียง Disruption ที่มากระตุ้นให้ตลาดค้าปลีกออนไลน์ในอินเดียเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงของการแพร่ระบาดเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายปัจจัยที่ส่งผลทำให้ตลาดค้าปลีกออนไลน์ของอินเดียเติบโตอย่างก้าวกระโดด นั่นก็คือ

>> การขยายตัวของจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในอินเดียที่จะมีจำนวนมากถึง 1,100 ล้านรายในปี 2569 ซึ่งในจำนวนนี้เป็นนักชอปออนไลน์ถึง 350 ล้านราย
>> การเกิดขึ้นของนักชอปออนไลน์จากกลุ่มรายได้ต่ำที่เรียกว่า India-2 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเมืองรองระดับ 2+ ที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างมาก
>> ในประเทศอินเดียกลุ่มผู้บริโภคที่คำนึงถึงความคุ้มค่าเป็นหลักเมื่อต้องทำการชอปปิ้งมีสัดส่วนสูงถึง 70% และจากกลุ่มนี้จะเป็นนักชอปออนไลน์เพียงแค่ 16% เท่านั้น เพราะฉะนั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็เลยส่งผลทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้หันมาชอปออนไลน์มากขึ้น เพราะไม่มีทางเลือกอื่นในช่วงของการแพร่ระบาดอย่างหนัก เลยทำให้เกิดความเคยชินและไม่มีความหวั่นกลัวการชอปออนไลน์อีกต่อไป
>> กลุ่มคน Gen Z ของอินเดีย (ตามคำจำกัดความของบริษัท booking.com คือ กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปี) จะเป็นนักชอปที่มีอิสระ ชอปเพื่อตัวเองและนิยมช้อปออนไลน์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
>> อินเดียเป็นประเทศที่มี Ecosystem สำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและ Startups ที่พร้อมมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยในปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มี Ecosystem สำหรับ Startups อยู่อันดับที่สามของโลก ซึ่งปัจจัยนี้จะยิ่งเสริมให้ธุรกิจค้าปลีกในอินเดียมุ่งเข้าสู่ระบบออนไลน์มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น ในขณะที่นักชอปชาวอินเดียก็จะหันมาชอปออนไลน์มากขึ้นเช่นกัน

เพราะฉะนั้นจากนี้ไป ถ้าจะเข้าตลาดอินเดียเราคงต้องพิจารณาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านทางธุรกิจค้าปลีกออนไลน์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกในอินเดียเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด โดยช่องทางค้าปลีกออนไลน์เริ่มมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถมองข้ามช่องทาง Offline ไปได้ เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านโชห่วยที่เรียกว่า Kirana ก็ยังคงมีบทบาทอย่างสำคัญอยู่ในสังคมอินเดีย โดยในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าความรุนแรงของโควิด-19 ส่งผลทำให้ระบบการจัดส่งสินค้าของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์เป็นอัมพาตเนื่องจาก Rider ที่เป็นผู้จัดส่งสินค้าบางส่วนติดเชื้อโควิด-19 และยังเจอกับมาตรการล็อกดาวน์ไม่สามารถขับรถไปส่งสินค้าได้ ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ก็เลยต้องร่วมมือกับร้านโชห่วยที่มีกระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศให้ช่วยเป็นที่เก็บสินค้าและจุดรับ-ส่งสินค้าสำหรับลูกค้าที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ทำให้ธุรกิจค้าปลีกของอินเดียสามารถผ่านพ้นวิกฤติดังกล่าวไปได้

ดังนั้น ถ้าจะให้ฟันธงผมก็คิดว่าในธุรกิจค้าปลีกของอินเดีย ยุทธศาสตร์ Omnichannel หรือการใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายผสมผสานกันน่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมที่สุด แต่ก็ต้องมุ่งเน้นทางด้านธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ให้มากขึ้นเพราะแนวโน้มตลาดมุ่งมาทางนี้แน่นอน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9