ลุยสวิตจนเก่งภาษา คว้าโอกาส เข้าทำงานบริษัทในสวิตสำเร็จ กับ คุณตาล วัณย์ทิศากร | Click on Crazy EP.3

บทสัมภาษณ์ Click on Crazy EP.3 
วัณย์ทิศากร พิณแพทย์ (คุณตาล)
สาวไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กว่า 20 ปี

Q : แนะนำตัวหน่อยค่ะ 

A : วัณย์ทิศากร พิณแพทย์ค่ะ ทำงานอยู่ที่ Private Bank Julius Baer ทำอยู่ในแผนก Documentation ทำงานประมาณ 4 วัน หยุด 3 วันเพื่อที่จะได้มีเวลาไปท่องเที่ยวค่ะ 

Q : ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ประมาณกี่ปี 

A : 20 ปีค่ะ ปีนี้เป็นปีที่ 20 

Q : จุดเริ่มต้นของการไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

A : ในอดีตตัวคุณแม่ได้ไปทำงานบ้านคนสวิต ตัวพี่เองไปรับ – ส่งแม่ตลอดเวลาเช้าเย็น แล้วก็ได้เจอกันกับแฟนชาวสวิต ในตอนนั้นพี่เรียนอยู่ที่ ปวส.อยู่เทอม 2 สอบอีกเทอมหนึ่งก็จะจบแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไปอยู่สวิตเพราะแฟนถามว่าสนใจไหม ชอบหรือเปล่า แฟนของพี่อยากให้ลองมาใช้ชีวิตที่สวิตดูก่อน เพราะว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตรงบริเวณที่พี่อยู่ไม่ใช่แถวเมืองหลวง มีแต่ธรรมชาติ หญ้า แพะ แกะ วัว แฟนของพี่ก็กลัว ตอนนั้นเราก็อายุน้อย กลัวพี่อยู่ไม่ได้ 

Q : มีปัญหากับที่บ้านบ้างไหมในตอนนั้น

A : กับคุณแม่จะคอยซัพพอร์ต สนับสนุน คุณแม่ก็ได้มีการถามว่าจะไม่เรียนต่อ จะไม่สอบต่อใช่ไหม เหตุผลที่อยากไปคืออะไร พี่ก็ตอบไปว่า ถึงแม้จะเรียนปวสจบแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้วุฒิตอนไปอยู่ที่นั้นอยู่ดี แต่กลับคุณพ่อไม่ยอม คุณพ่อบอกว่าต้องสอบก่อน ต้องเรียนให้จบก่อน เพราะคนที่เรียนไม่จบก็จะไม่มีค่าอะไร ค่านิยมคนไทยสมัยก่อน ต้องมีปริญญาบัตรติดฝาบ้าน แต่พี่ก็ไม่ยอม ก็ทะเลาะกับคุณพ่อไม่ยอมพูดด้วยเลย แล้วก็ตัดสินใจไปสวิตเซอร์แลนด์ 6 เดือน ในระหว่างนั้นก็โทรศัพท์คุยกับแม่ ไม่คุยกับคุณพ่อเลย 

Q : แล้วความรู้สึกแรกของการได้ไปใช้ชีวิตที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นอย่างไร เป็นอย่างที่เราคาดฝันไว้ไหม 

A : จริง ๆ พี่ไม่ได้คาดฝันอะไรไว้เลย นอกจากใส่กระโปรงสั้น ๆ รองเท้าบูท เดินแบบจูเลียร์ โรเบิร์ต (หัวเราะ) แต่ว่าพอถึงสนามบินผู้คนก็เยอะ พอเรานั่งรถไฟมาแล้วจริง ๆ ที่สวิตเซอร์แลนด์ให้ความรู้สึกเงียบ สงบ มีทะเลทราบซูลิค (Lake Zürich) วิวทิวทัศน์สวยงามมาก บ้านเมืองสะอาดมาก มีแต่หญ้า ไม่มีพื้นทราย พี่ก็รู้สึกตื่นเต้นเพราะเรายังเด็ก อากาศเย็นสบาย 

Q : มีเหตุการณ์แบบ Culture Shock บ้างไหม 

A : พี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนปรับตัวเข้ากับทุกสิ่งได้ง่าย จะไม่ได้รู้สึกแบบ Culture Shock แต่มีความรู้สึกแบบ เอ๊ะ งง ๆ ในบางเหตุการณ์ เช่น การสั่งน้ำมูกบนโต๊ะอาหาร แล้วก็รู้สึกแปลกบางอย่าง อย่างตอนที่พี่อยู่ที่ประเทศไทยพี่ย้ายจากสัตหีบมาพัทยาแล้ว เมืองพัทยาเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เปิดตลอดเวลา แต่พอมาอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ 6 โมงเย็นร้านค้าต่าง ๆ ก็ปิดหมดแล้ว ปิดเมืองเป็นเมืองร้าง วันอาทิตย์ก็ไม่มีอะไรเปิด ยิ่งถ้าเป็นวันหยุดเราต้องเตรียมเสบียงเพราะทุกอย่างจะปิดหมดเลย 

Q : พอเราไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์เราต้องไปเรียนภาษาบ้างไหม 

A : พี่เรียนภาษาที่นี่ประมาณ 4 เดือน เรียนที่โรงเรียน แล้วก็หลังจากนั้นก็เริ่มทำงาน เราเรียนภาษาแบบ Learning by Doing พูดคุยกับผู้คน มันก็ค่อย ๆ ซึมซับเข้ามาเอง 

Q : ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีความหลากหลายทางด้านภาษาหรือไม่ 

A : ใช่ค่ะ เพราะว่าภาษาสวิตเป็นภาษาที่ไม่มีภาษาเขียน เป็นภาษาที่ใช้พูดอย่างเดียว ภาษาเขียนก็จะใช้ตามพาร์ทของแต่ละภาษานั้น ๆ อย่างเช่นพี่อยู่ติดบริเวณประเทศเยอรมณี ก็จะใช้ภาษาเขียนของเยอรมณี เมืองที่ติดอยู่ใกล้ฝรั่งเศสก็จะใช้ภาษาเขียนของฝรั่งเศส อยู่ติดบริเวณไหนก็ใช้ภาษาเขียนนั้น ๆ

ตรงบริเวณที่พี่อยู่จะแปลกนิดนึงตรงที่เวลาเขียนใช้ภาษาเยอรมณีแต่พอพูดเราจะพูดภาษาสวิต เขาเรียกภาษาสวิต-เยอรมณี แล้วก็เราเวลาเราเรียนภาษาเยอรมณีเราก็จะเข้าใจ แต่คนเยอรมณีจะฟังภาษาสวิตไม่เข้าใจ ตรงกลางสวิตก็จะมีภาษาโรมัน แต่เป็นกลุ่มคนเล็ก ๆ ค่ะ

Q : การเรียนภาษาส่งผลให้ตัวคุณตาลได้เข้าทำงานที่ปัจจุบันหรือไม่

A : ใช่ค่ะ ทุกที่ ๆ พี่ทำงาน เวลาพี่ทำงานพี่ก็จะเขียนหนังสือส่งให้กับหัวหน้าหรือฝ่ายบุคคล เพื่อที่จะขอเรียนต่อ คือเราไม่ต้องการจะเสียเงินเรียนเอง เราก็ต้องไปทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมเราถึงอยากเรียนอันนี้ ถ้าเราเรียนแล้วเราจะสามารถพัฒนาองค์กรต่อไปได้อย่างไร พี่ก็เรียนไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จักเหนื่อย คนรอบข้างก็สงสัยว่าทำไมพี่ถึงต้องเรียนอีก 

Q : การเรียนทำให้คุณตาลได้เปรียบมากกว่าคนอื่นหรือไม่ 

A : แน่นอนค่ะ ตัวพี่เป็นคนที่ไม่รู้จักเบื่อที่จะเรียน หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกท้อและเหนื่อยในการเรียน แต่พี่รู้สึกว่าการเรียนทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เอาจริง ๆ พี่มาประเทศสวิตเซอร์แลนด์โดยวุฒิม.6 ซึ่งมันไม่ได้อะไรอยู่แล้ว จุดมุ่งหมายของพี่เมื่อ 20 ปีที่แล้วคือพี่จะกลับมาทำงานออฟฟิศอีกครั้ง ตอนที่พี่อยู่เมืองไทยพี่เรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย ด้วยความที่ร่างกายพี่ไม่ค่อยแข็งแรงพี่เลยอยากที่จะทำงานที่สบาย ๆ นิดนึง

อันนี้พี่พูดตรง ๆ นี่คือแรงจูงใจอีกอย่างนึง พี่เคยทำงานร้านสะดวกซื้อที่สวิตแล้วพี่เป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เพราะเรายกของหนักมาก ๆ เราก็คิดว่าเราคงไม่ไหวแน่ ๆ เราต้องได้งานดี ๆ ทำ เพราะฉะนั้นการเรียนถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญมาก ๆ เลยค่ะ แล้วก็พี่ประสบความสำเร็จแล้วก็ภูมิใจมาก ๆ ที่ได้ทำงานที่นี่

Q : ภาษาสวิตเซอร์แลนด์มีภาษาท้องถิ่นไหมคะ 

A : แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันไป มีสำเนียงแตกต่างกันไปค่ะ ตรงที่พี่อยู่ใช้ภาษาสวิตเป็นหลักแต่จะมีสำเนียงเฉพาะตัว 

Q : คุณตาลเคยมีเหตุการณ์โดนบูลลี่บ้างไหมคะ จากเพื่อนร่วมงานหรือชาวสวิตบ้างไหมคะ  
A : จริง ๆ แล้วคนสวิตเป็นคนปิด จะไม่ค่อยเปิดเผย ส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง แต่ก็จะมีบ้าง คนที่นี้จะคิดว่าเราเป็นคนใจดี บางครั้งบางคนก็จะคิดว่าเขาสามารถทำอะไรกับเราได้ก็มีบ้าง แต่ถึงขนาดบูลลี่พี่ยังเคยเจอ

เพราะแต่ละที่ ๆ ทำงานพี่ ทำงานให้เขาอย่างดี ไม่เคยมีปัญหาเรื่องความสามารถ แล้วก็เพื่อนพี่ส่วนใหญ่เป็นคนสวิต พี่รู้จักคนไทยที่นี่ไม่ค่อยเยอะ ส่วนใหญ่ก็จะพูดคุยกับคนสวิต คนไทยอยู่ในประเทศสวิตค่อนข้างเยอะ สังคมคนไทยก็จะรักกันเหนี่ยวแน่นมาก 

Q : ประสบการณ์การท่องเที่ยวของคุณตาลมีเหตุการณ์อะไรที่น่าประทับใจบ้าง

A : ต้องบอกก่อนว่าในแต่ละปีพี่จะตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้ 3 ข้อ มีข้อหนึ่งถึงเหมือนกันในทุก ๆ ปีเลยก็คือการไปท่องเที่ยวใน 3 ประเทศต่อปี ที่ทำงานก็จะมีเวลา vacation ประมาณ 5 อาทิตย์ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องวางแพลนการท่องเที่ยวดี ๆ ถ้าถามว่าประเทศไหนที่ชื่นชอบที่สุดก็คือประเทศไอซ์แลนด์ พี่หลงรักในธรรมชาติของประเทศนี้มาก

อย่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทิวทัศน์ธรรมชาติมีการจัดตกแต่ง แต่ประเทศไอซ์แลนด์เป็นทิวทัศน์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง แล้วพี่เคยไปเดินบนภูเขาไฟที่เคยระเบิดเมื่อ 150 ปีที่แล้ว พี่ขึ้นยืนบนนั้นแล้วมองลงมา ทำให้พี่รู้สึกว่าสิ่งที่เราอยู่มันช่างเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับธรรมชาติ พี่เป็นคนที่ชื่นชอบธรรมชาติมากจริง ๆ เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจ ส่วนอันดับสองก็น่าจะเป็น แคลิฟอร์เนีย ค่ะ 

Q : ในเรื่องของความสัมพันธ์คุณตาลมีอุปสรรคนเรื่องนี้หรือไม่ เนื่องจากเราเป็นคนไทย การใช้ชีวิต วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน

A : ไม่ค่อยนะคะ เพราะว่าพี่เป็นผู้หญิงไทยที่มีลักษณะนิสัยฝรั่งเยอะ พี่จะพูดตรง ๆ กับคนที่บ้านเรา กับคนอื่น ๆ เราอาจจะไม่ต้องพูดทุกคำกับคนที่เราคิดก็ได้ แต่กลับคนที่บ้านเราเราก็ต้องรู้ว่าเราจะพูดอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความเจ็บช้ำน้ำใจกัน พี่จะไม่เก็บเอาไว้ถ้ามีอะไรที่พี่รู้สึกไม่ชอบใจ และแฟนพี่เองก็มีลักษณะนิสัยแบบคนไทยสูงมาก

ทำให้รู้สึกว่ามีความเข้ากันพอดี ส่วนเรื่องภาษาพี่มองว่าอาจจะไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่าไร ตอนเริ่มที่จะคุยกันพี่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร คนเราถ้าอยากจะเข้าใจกันเราจะต้องหาทุกวิธีทางเพื่อที่จะได้เข้าใจกัน แต่ถ้าคู่ไหนที่ไม่อยากจะเข้าใจกันแล้วต่อให้พูดภาษาเดียวกันมันก็จะไม่เข้าใจกันอยู่ดี 

Q : คุณตาลมีเทคนิค เคล็ดลับในการเรียนทั้งภาษาและการเรียนเพิ่มทักษะส่วนตัวบ้างไหมคะ 

A : จริง ๆ พี่ไม่ได้มีเทคนิคส่วนตัวอะไรเลย พี่คิดอย่างเดียวคือพี่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ที่สวิตอย่างเช่นคนสวิต ไม่ใช่คนต่างชาติ ถ้าเราตั้งธงเอาไว้แล้วให้เราเดินตามทางของเราได้เลย คือพี่ไม่อายที่จะพูดผิด ถ้าเราพูดผิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะไม่ใช่ภาษาของเรา และคนที่นี่ก็ไม่ได้มาหัวเราะที่เราพูดผิด แล้วเขาก็จะพยายามที่จะเข้าใจเรา แต่ถ้าคุณไม่พูดเลย คุณก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาด 

Q : คุณตาลมีแพลนที่จะกลับมาเมืองไทยบ้างหรือไม่ 

A : ไม่เคยคิดที่จะกลับมาเมืองไทยเลย ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่แฟนก็ถามมาตั้งแต่แรกก่อนที่จะแต่งงานกันว่ามีแพลนจะกลับเมืองไทยไหม พี่ก็คิดว่าพี่ไม่ได้มีแพลนที่จะกลับมาเมืองไทยเลยนะ เพราะว่าถ้าเกิดพี่มีแพลนที่จะกลับไทย เราก็ต้องกลับมาทบทวนว่าเราควรจะอยู่ด้วยกันไหม แฟนพี่เขามีฟาร์มอย่างที่บอก เขารักและหวงมากเพราะเขาอยู่มาตั้งแต่เกิด เขาทำงานอยู่บริษัทไฟฟ้าและเขาก็ทำฟาร์มกับพี่ชายด้วย เขาทิ้งมันไปได้ เขาก็ถามตั้งแต่แรกเลยว่าอยากจะกลับไปอยู่ที่เมืองไทยไหม พี่ก็ตอบไปว่าไม่คิดเหมือนกัน ไม่คิดที่จะกลับไป

เพราะพี่ชินกับวัฒนธรรมที่นี้ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย  พี่ชินกับความตรงต่อเวลา ขนส่งสาธารณะ พี่ก็ไม่รู้ว่าถ้ากลับไป พี่ก็มีพี่ชายอยู่คนเดียวแล้วก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ พี่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปเริ่มต้นอะไร แต่ในอนาคตพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

Q : เป้าหมายต่อจากนี้ของคุณตาล หรือความฝันต่อจากนี้คืออะไร 

A : เป้าหมายจริง ๆ ตอนนี้ไม่มีแล้ว คือเป้าหมายของพี่ก็ตั้งไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้พี่บรรลุเป้าหมายแล้ว ณ ตอนนี้คือได้ทำงานที่นี้ ได้ทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ ชีวิตต่อไปนี้พี่ก็คงจะเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ การเรียนรู้มันไม่มีวันสิ้นสุด  เมื่อเราเรียนรู้ในอีกสเต็ปหนึ่งต่อไปเราก็อาจจะมีความคาดหวัง

อย่างในตอนนี้หัวหน้าของพี่ก็จะเกษียณในปีหน้า เขาก็มาถามว่าอยากจะขึ้นเป็นหัวหน้าแทนเขาไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้พี่ก็เลยต้องพัฒนาตัวเองเผื่อเราจะได้ไปอยู่ในจุดนั้น ถ้าพี่ได้เป็นก็ถือว่าเป็นความสำเร็จในชีวิตพี่แล้วล่ะ ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวก็ต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะยังมีอีกหลายที่ ๆ อยากจะไป เป็นธงหลักของเราเลย 

Q : คุณตาลมีอะไรอยากที่จะเรียนเพิ่มเติม อยากพัฒนาเพิ่ม

A : ณ ตอนนี้อาจจะยัง แต่ถ้าสมมุติว่าได้รับการเสนอชื่อเป็นหัวหน้าก็คงต้องเรียนเกี่ยวกับการบริหารจัดการบุคคล คนที่เป็นหัวหน้าคนเขาอาจจะไม่ได้เรียนในสิ่งนี้ อาจจะทำงานแล้วได้เลื่อนตำแหน่งแล้วอาจจะไม่ได้ต่อยอด การปกครองคนต้องใช้หลักจิตวิยาเยอะ ถ้าพี่มีโอกาสก็อยากที่จะเรียนในจุดนี้เพิ่ม

Q : อยากให้คุณตาลฝากข้อคิด แนวทางถึงคนที่อยากมาอยู่ในต่างประเทศ

A : คือจริง ๆ แล้วการมาอยู่ที่ต่างประเทศอาจจะขึ้นอยู่กับเวลา เราไม่สามารถบอกได้ว่าเราเดินทางไปถึงจุดนั้นหรือเปล่า แต่สิ่งที่สำคัญคือการเตรียมตัว คุณต้องมีธงในใจและต้องพัฒนาตัวเอง มุ่งมั่น อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง เมื่อใดที่คุณหยุดพัฒนาตัวเอง คุณก็จะอยู่กับที่ มันจะก้าวไปต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งด้านภาษาหรือทักษะอะไรก็ตาม อ่านให้เยอะ

อย่างเรื่องภาษาดูหนังให้เยอะ ฟังเพลง ก็ถือว่าเป็นการเรียนทั้งหมด ส่วนตัวพี่เองชอบร้องเพลงภาษาอังกฤษ เนี่ยคือการเรียนภาษา แต่พอมาอยู่สวิตแล้วก็ต้องมาเรียนภาษาสวิต แฟนพี่พาไปเที่ยวทุกที่และพี่ไม่เบื่อที่จะไป พี่ไปนั่งฟังเขาสื่อสารกัน พี่ไม่เบื่อเพราะนั้นคือการเรียนรู้ทั้งหมด อะไรที่เป็นการเรียนรู้ให้เราลงมือทำและเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างแน่นอน พี่มีความเชื่อที่ว่าความสำเร็จไม่ใช่เรื่องที่บังเอิญ เพราะฉะนั้นต้องมุ่งมั่นและเดินทางไปยังจุดนั้นของตัวเองให้ได้

.

.

.