“Kfir” เครื่องบินรบที่อิสราเอลสร้างจากปฏิบัติการ ‘จารกรรมพิมพ์เขียว’ Mirage ของฝรั่งเศส!!

MIRAGE III ทอ.อิสราเอล

เรื่องราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอิสราเอลที่หาความรู้ด้วยวิธีการที่ว่า "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา" เลยทีเดียว ในทันทีที่สงคราม 6 วันสิ้นสุดลง ชาร์ล เดอ โกลล์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสในขณะนั้นได้สั่งให้งดขายอาวุธต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องบินแบบ Mirage 3-s จำนวน 15 เครื่องให้อิสราเอล ซึ่งอิสราเอลได้จ่ายเงินให้ไปแล้วด้วย อันที่จริงแล้วกองทัพอากาศอิสราเอลได้ยึดติดแน่นอยู่กับระบบต่าง ๆ ของเครื่องบิน Mirage แม้ว่า รัฐบาลอเมริกันได้ยื่นข้อเสนอที่จะขายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ให้ โดยจะจัดส่งเครื่องบินขับไล่ F-4 PhantomII มาให้ทันที แต่มันก็ไม่ได้แก้ปัญหาได้เลย เพราะอิสราเอลได้พัฒนาอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้สำหรับเครื่องบินแบบ Mirage จนครบหมดแล้ว ด้วยอิสราเอลได้ลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงที่มุ่งจะใช้กับระบบของ Mirage ไปเป็นจำนวนมหาศาล และไม่ได้มีการพัฒนาระบบอื่นเผื่อไว้เลย

F-4 PhantomII ทอ.อิสราเอล

IAI Kfir เป็นเครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิดไอพ่นแบบแรกที่สร้างในอิสราเอล โดยต้นแบบของ Kfir คือ Mirage 5 ของฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1969 ฝรั่งเศสงดขายเครื่องบิน Mirage ให้กับอิสราเอล ทำให้เกิดโครงการ Kfir ซึ่งเป็นงานแผนแบบเครื่องบินไอพ่นขับไล่และทิ้งระเบิดในระดับความเร็ว 2 มัค และเป็นความลับสุดยอดของอิสราเอล เครื่องบิน Kfir ต้นแบบก็สำเร็จในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งตั้งชื่อว่า Nesher ได้ทำการบินทดสอบ และแก้ไขดัดแปลงหลายส่วน โดยเฉพาะส่วนท้ายที่สันดาปท้ายร้อนจัดจนละลาย และเมื่อทดสอบปรับปรุงใหม่เสร็จ Nesher ก็เปลี่ยนชื่อเป็น Barak การผลิต Barak เริ่มในปี ค.ศ. 1972 และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการต่อสู้กับเครื่องบิน MiG ของอาหรับ และนับจากนั้น Barak จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kfir เครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิด Kfir ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 เมษายน ปี ค.ศ. 1975 

Nesher ต้นแบบของ Kfir

โดย Kfir มีทั้งหมด 4 รุ่นคือ  

>> Kfir C.1 (1975) เป็นรุ่นที่มาจากการปรับปรุง Nesher โดยตรง โดยเพิ่มปีก Canard ขนาดเล็กเข้าไป อิสราเอลผลิต C.1 จำนวน 27 ลำ

และในวันที่ 20 กันยายน ปี ค.ศ. 1976 บริษัท ไอเอไอก็ได้เปิดตัวรุ่นใหม่ชื่อว่า 
>> Kfir C. 2 มีลักษณะแตกต่างจากรุ่นแรกคือ ติดตั้ง Canard หรือปีกเล็ก ๆ ด้านหน้า เหนือช่องรับอากาศ Kfir C.2 (1976) พัฒนามาจากประสบการณ์ในการใช้ C.1 โดยติดตั้งปีก Canard ที่สมบูรณ์ลงไป ปรับปรุงคุณสมบัติด้านอากาศพลศาสตร์ ลดระยะทางที่ต้องใช้ในการขึ้นลง และติดตั้งเก้าอี้ดีดตัว Martin-Baker Mk.10 ติดตั้งเรดาห์ EL/M 2001/2001B ที่อิสราเอลผลิตเอง ติดตั้งคอมพิวเตอร์ควบคุมการบินและจอ HUD และได้ผลิตรุ่น TC.2 ซึ่งเป็นรุ่นสองที่นั่งสำหรับใช้ฝึก โจมตี และปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิคส์ โดยอิสราเอลผลิต C.2 และ TC.2 ทั้งหมด 185 เครื่อง

>> Kfir C.7 (1983) เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็น J79-GE-17E ซึ่งเพิ่มแรงขับอีก 1,000 ปอนด์ ติดตั้งระบบ Jammer รุ่น EL/L-8202 ซึ่งในรุ่นนี้ Kfir ได้เปลี่ยนภารกิจจากขับไล่สกัดกั้นเป็นโจมตี เนื่องด้วยต้องเหลีกทางให้ F-15 ที่มาทำภารกิจขับไล่แทน (ทำให้สถิติการยิงเครื่องบินศัตรูตกของ Kfir หยุดอยู่ที่ 1 เครื่อง คือ MiG-21 ของซีเรียซึ่งถูกยิงตกโดย Kfir C.2)

>> Kfir C.10 หรือ Kfir 2000 รุ่นสุดท้ายของ Kfir ในรุ่นนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนห้องนักบินไปเป็นระบบ Glass cockpit (ติดตั้งจอภาพสี 2 จอแทนมาตรวัดแบบเข็ม) ติดตั้งท่อรับการเติมน้ำมันกลางอากาศ เปลี่ยนคันบังคับเป็นแบบ HOTAS ซึ่งช่วยลดภาระของนักบิน นักบินสวมหมวกบินติดศูนย์เล็ง และเปลี่ยนเรดาห์เป็นรุ่น EL/M-2032

Kfir รุ่นต่าง ๆ

การที่ฝรั่งเศสห้ามขายอาวุธยุทโธปกรณ์กลายเป็นปัญหาระยะสั้นที่ทำให้รัฐบาลและกองทัพอิสราเอลต้องคิดหาทางออกอย่างหนัก ส่วนปัญหาระยะยาวที่จะตามมาอีกคือ จะทำอย่างไรในการซ่อมบำรุงเครื่องบิน Mirage ที่มีอยู่แล้ว ความสามารถในการป้องกันประเทศของอิสราเอลต้องขึ้นอยู่กับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ได้รับจากประเทศเดียวเท่านั้น ถ้าประเทศนั้นเกิดเปลี่ยนใจไม่ส่งอาวุธมาให้โดยไปเข้ากับศัตรูในขณะที่อิสราเอลเจอกับวิกฤตเช่นนั้น หรือ อิสราเอลจะทำอย่างไร เหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจฉะนั้นหรือ คณะรัฐมนตรีของอิสราเอลในขณะนั้นได้มีมติด่วนให้จัดหางบประมาณให้แก่อุตสาหกรรมเครื่องบินของอิสราเอลเพื่อสร้างเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่สามารถต่อกรกับเครื่องบินชั้นเยี่ยมของชาติอื่น ๆ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ที่เผชิญหน้าอยู่

คณะกรรมการสรุปข้อมูลและประเมินสถานการณ์แล้วได้รายงานว่า จะต้องใช้เวลาประมาณ 10 ปี ในการสร้างเครื่องบินสัญชาติอิสราเอลให้ขึ้นบินได้ทั้งนี้ เพราะอิสราเอลจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ A จนถึง Z นอกจากนั้นยังไม่อาจประกันได้ว่าเครื่องบินที่ผลิตออกมานั้นจะสามารถเทียบชั้นกับเครื่องบินของรัสเซีย อังกฤษ อเมริกา หรือฝรั่งเศสได้ วิธีแก้ปัญหานี้ให้ได้รวดเร็ว คือสร้างเครื่องบินที่ลอกแบบ จาก Mirage ซึ่งวิศวกรและนักเทคนิคของอิสราเอลมีความชำนาญและคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่วิธีนี้ก็ยังมีปัญหาและอุปสรรคอยู่ดี เนื่องจากเครื่องบินขับไล่สมัยใหม่แต่ละเครื่องมีชิ้นส่วนประมาณ 1 ล้านกว่าชิ้น และทุกชิ้นส่วนได้รับการทดสอบมาแล้วเป็นอย่างดี ถ้าจะลอกแบบจากเครื่องบินจริงย่อมไม่ได้คุณภาพเท่าของแท้ นอกเสียจากจะมีพิมพ์เขียวของวิศวกรผู้สร้าง Mirage เอง ตัวอย่างที่อิสราเอลรู้ดีก็คือ สวิตเซอร์แลนด์ได้ผลิตเครื่องบิน Mirage ภายใต้สิทธิบัตรที่ได้รับอนุญาตจากฝรั่งเศส ซึ่งสามารถใช้แบบพิมพ์เขียวและนักเทคนิคของฝรั่งเศสอีกด้วย แม้กระนั้นยังต้องใช้เวลาถึง 6 ปี เครื่องบิน Mirage ที่สร้างในสวิตเซอร์แลนด์จึงสามารถขึ้นบินได้ 

เดือนธันวาคม ปี 1967 ฝรั่งเศสได้จัดให้มีการประชุมผู้ถือสิทธิบัตรในการผลิตเครื่องบิน Mirage ทั้งลำหรือบางส่วนขึ้นในกรุงปารีส โดยปกติแล้วเครื่องบินหรือเครื่องยนต์ที่ติดตั้งอยู่กับเครื่องบินจะไม่ค่อยเป็นไปตามรายการประกอบแบบ (Specifications) ที่เขียนขึ้น โดยยืนยันสมรรถนะหรือเพื่อประกันความปลอดภัยเครื่องบิน ซึ่ง Mirage เองก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น บริษัท Dassault ผู้ผลิตลำตัวเครื่องบินและบริษัท Senikama ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ATA-9 ทั้งสองบริษัทเป็นเจ้าภาพร่วมกัน จัดให้มีการประชุมสำหรับผู้ใช้งานเครื่องบิน Mirage ทั้งหลายขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากรัฐบาลและอุตสาหกรรมสร้างเครื่องบินของชาติต่าง ๆ ที่เป็นลูกค้า วัตถุประสงค์ก็เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ โดยออสเตรเลียและสวิตเซอร์แลนด์เป็นผู้ผลิต Mirage ทั้งตัวเครื่องบินและเครื่องยนต์ ส่วนอิสราเอลและเบลเยี่ยมนั้น นำชิ้นส่วนไปประกอบและผลิตชิ้นส่วนบางชิ้นขึ้นเอง ทั้งหมดภายใต้สิทธิบัตรที่ได้รับอนุญาต นอกจากนั้นก็ยังมีแอฟริกาใต้ เลบานอน และเปรู ซึ่งซื้อเครื่องบิน Mirage ที่ประกอบสำเร็จรูปไปใช้

ในการประชุมครั้งนี้อิสราเอลได้ส่งพลจัตวา โดฟ ไซเยียน แห่งกองทัพอากาศอิสราเอลเข้าร่วมประชุม (นายพลไซเยียน เป็นบุตรเขยของนายพล Moshe Dayan (สามีของ Yael Dayan บุตรีของนายพล Moshe) ไซเยียนไม่ได้ออกความเห็นอะไรมากนัก เพราะนั่งติดกับผู้แทนจากเลบานอน ซึ่งถือว่าเป็นศัตรู และอิสราเอลเองยังไม่พอใจฝรั่งเศสที่ไม่ยอมส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ ดังนั้นข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการใช้เครื่องบิน Mirage ในระหว่างสงคราม 6 วันที่เตรียมมาจึงไม่ได้เสนอในที่ประชุมแต่อย่างใด

เครื่องยนต์ ATA-9 ที่ติดตั้งอยู่ใน Mirage

ในการประชุมนั้นผู้ผลิตเครื่องยนต์ ATA-9 บริษัท Senikama ได้รับความกดดันจากลูกค้าที่ใช้ Mirage เป็นอันมาก เพราะต่างผิดหวังกับเครื่องยนต์ ATA-9 ที่ติดตั้งอยู่ใน Mirage โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัลเฟร็ด ฟรอเอนค์เนทค์ ผู้แทนจากบริษัท Solzer Brothers แห่งสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งได้สิทธิบัตรในการสร้าง Mirage ได้วิจารณ์เครื่องยนต์ ATA-9 อย่างหนัก สำหรับไซเยียนแล้วทุกสิ่งที่ฟรอเอนค์เนทค์พูดนั้นได้เกิดขึ้นกับเครื่องบิน Mirage ของอิสราเอลเช่นเดียวกัน หลังการประชุม ไซเยียนได้หาโอกาสพบและรับประทานอาหารกับฟรอเอนค์เนทค์ และได้บอกกับผู้แทนบริษัทสวิสว่า เขาจงใจที่จะไม่เสนอข้อมูลในการใช้งาน Mirage ของอิสราเอลในที่ประชุม

อัลเฟร็ด ฟรอเอนค์เนทค์ ผู้แทนจากบริษัท Solzer Brothers แห่งสวิตเซอร์แลนด์

พลจัตวา ไซเยียน กลับอิสราเอลพร้อมกับข่าวดี โดยฟรอเอนค์เนทค์ได้เปิดเผยกับเขาว่า รัฐบาลสวิสได้สั่งชิ้นส่วน Mirage III จำนวน 100 เครื่อง แต่เนื่องจากราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลสวิสจึงตัดสินใจสร้างเพียง 53 เครื่อง ชิ้นส่วนที่เหลือนั้นจึงพอที่จะสร้างอีก 47 เครื่องได้อย่างสบาย แถมยังมีแบบพิมพ์เขียวและรายการอย่างละเอียดที่อยู่ในสวิสเซอร์แลนด์อีกด้วย ถ้าอิสราเอลได้เป็นเจ้าของชิ้นส่วนและแบบพิมพ์เขียวเหล่านั้นก็สามารถสร้างเครื่องบิน Mirage ได้อีกประมาณ 50 เครื่อง เพื่อทดแทนจำนวนที่สั่งจากฝรั่งเศส แต่ถูกรัฐบาลฝรั่งเศสสั่งกักเอาไว้ 

มิตรใหม่ทั้งสองติดต่อกันทางจดหมายเรื่อยมา แม้ว่าฟรอเอนค์เนทค์จะไม่ใช่คนยิว แต่ก็มีความเห็นอกเห็นใจยิวอยู่เป็นอันมาก เพราะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยิวได้หนีตายจากฮิตเลอร์เข้ามาพึงสวิตเซอร์แลนด์เหมือนหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่สวิตเซอร์แลนด์กลับขับไล่ไสส่งชาวยิวเหล่านั้นให้ไปพบกับความตาย ซึ่งฟรอเอนค์เนทค์ถือว่า เป็นความผิดของสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่อาจล้างบาปได้ ฟรอเอนค์เนทค์เป็นวิศวกรฝ่ายพัฒนาที่อายุเพียง 40 ปี ก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในระดับสูงของบริษัท Solzer Brothers แล้ว

อิสราเอลได้พบช่องโหว่ของการรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่นของฝรั่งเศสเข้าแล้ว ต่อไปนี้ต้องหาทางทะลุทะลวงช่องโหว่นี้ให้กว้างขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือทำให้ฟรอเอนค์เนทค์ภักดีต่ออิสราเอลให้ได้เสียก่อน โดย ไซเยียน และนายทหารอิสราเอลอื่น ๆ ได้ส่งข้อมูลในการปรับแต่งเครื่องยนต์ ATA-9 ให้ฟรอเอนค์เนทค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟรอเอนค์เนทค์ต้องการเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ในที่สุดการติดต่อกันทางจดหมายระหว่างฟรอเอนค์เนทค์กับเพื่อนทหารอิสราเอลทำให้มิตรภาพแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

คณะกรรมการชุดหนึ่งได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อควบคุมและติดตามกรณีของ ฟรอเอนค์เนทค์ โดยมี นายพลอาฮารอน ยาริฟ หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับอิสราเอลเป็นประธาน ประกอบไปด้วยคนของกองทัพอากาศและอุตสาหกรรมสร้างเครื่องบินเป็นกรรมการ ผู้ที่สมควรกล่าวถึงอีกสองคนคือ เมียร์ อมิท อดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ และ อัล ชวิมเม ชาวอเมริกันเชื้อสายยิวผู้ซึ่งได้วางรากฐานของอุตสาหกรรมเครื่องบินในอิสราเอลตั้งแต่ ปี 1947 ร่วมกันรับผิดชอบในด้านปฏิบัติการ

ตอนแรกคณะกรรมการตกลงว่าจะติดต่อกับรัฐบาลสวิสอย่างเปิดเผยผ่านทางฟรอเอนค์เนทค์ก่อน โดย อัล ชวิมเม ได้เสนอกับรัฐบาลสวิสว่า อิสราเอลจะขอซื้อส่วนประกอบของ Mirage จำนวน 47 เครื่อง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ทางอิสราเอลจะมอบความลับอันสำคัญในการปรับแต่งเครื่องยนต์ ATA-9 ให้แก่รัฐบาลสวิสเป็นการตอบแทน รัฐบาลสวิสจึงได้ติดต่อกับฝรั่งเศสและคำตอบจากฝรั่งเศสนั้นทำให้อิสราเอลผิดหวัง คือไม่ให้สวิสขายชิ้นส่วนให้กับอิสราเอล แต่คณะกรรมการเดาว่า คำตอบน่าจะออกมาในด้านลบอยู่ก่อนแล้ว จึงได้เตรียมแผนสองเอาไว้

วิธีการตามแผนสองก็คือ หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอลหรือ MOSSAD ได้จัดตั้งบริษัทบังหน้าขึ้นในสวิสเซอร์แลนด์เพื่อ โดยอาจได้รับการช่วยเหลือจาก Marcel Dassault (นามสกุลเดิม Bloch) เจ้าของบริษัท Dassault ซึ่งมีเชื้อสายยิว และอาจต้องการช่วยเหลืออิสราเอล อีกทางหนึ่งอิสราเอลได้ติดต่อกับ ฟรอเอนค์เนทค์ วิศวกรชาวสวิสเซอร์แลนด์ของบริษัทผู้ได้สิทธิบัตรผลิตเครื่องบิน Mirage โดย MOSSAD ได้จัดหานักจิตวิทยา วางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อที่จะโน้มน้าวให้ฟรอเอนค์เนทค์เห็นอกเห็นใจชาวยิว และยอมช่วยหาพิมพ์เขียวของเครื่องบิน จำนวน 150,000 แผ่น และพิมพ์เขียวเครื่องกล 45,000 แผ่น โดยฟรอเอนค์เนทค์ตกลงและคิดว่า ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีจึงจะทำทุกอย่างสำเร็จ ฟรอเอนค์เนทค์ได้เสนอเจ้านายในบริษัทให้ถ่ายพิมพ์เขียวเข้าไมโครฟิล์ม แล้วจะเผาทำลายแบบต้นฉบับ เพื่อการเก็บรักษาที่ง่าย โดยทุกครั้งที่ทำลายจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเคร่งครัด แต่ฟรอเอนค์เนทค์ได้ซื้อพิมพ์เขียวเก่า ๆ ของเครื่องบินที่คล้าย ๆ กันมาเผาทำลายแทน 

สายลับ MOSSAD ได้เลือกที่จะตีสนิทกับ ฮานส์ สเตรคเกอร์ ชาวเยอรมันที่ทำงานอยู่กับบริษัทขนส่งสวิสชื่อบริษัทรอทซิงเจอร์ และเสนอเงินจำนวนมากเพื่อให้นำพิมพ์เขียวข้ามชายแดนสวิสเข้าไปเยอรมันให้ได้ โดยใช้ระยะเวลาต่อเนื่องหลายเดือน เมื่อขนเข้าเยอรมัน จะมีเครื่องบินอิตาลีบินมารับ แล้วบินกลับประเทศลงจอดยังสนามบินส่วนตัว และมีเครื่องอิสราเอลมารอรับอยู่ ผ่านไปหลายเดือนการส่งเอกสารพิมพ์เขียวไปแล้วกว่าแสนแผ่น สเตรคเกอร์เกิดทำพลาด ประการแรกเขาทำให้คนเห็นขณะนำกล่องบรรจุพิมพ์เขียวขึ้นรถเบนซ์สีดำ และประการที่สองเขาลืมกล่องอีกหนึ่งกล่องไว้ในโกดัง ซึ่งเป็นที่สังเกตของ คาร์ล รอทซิงเจอร์ เจ้าของบริษัทขนส่งที่ชื่อเดียวกับนามสกุลของเขา คาร์ลจึงได้ดึงแบบออกจากกล่องหนึ่งแผ่น และได้พบกับคำว่า Solzer ซึ่งเป็นชื่อของบริษัทสวิสที่ทำธุรกิจในด้านวิจัย และผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน ข้างใต้ชื่อบริษัทเขาพบคำว่า License-Senikama ซึ่งหมายถึงบริษัท Solzer ได้รับสิทธิบัตรจากบริษัท Senikama ของฝรั่งเศส และที่สำคัญคือ ข้อความอีกบรรทัดหนึ่งที่มีความหมายว่า “ตามประมวลกฎหมายอาญา ให้รักษาความลับในทางทหารไว้อย่างสูง” 

คาร์ลได้ทราบจากคนงานที่ทำงานใกล้เคียงว่า สเตรคเกอร์ได้เคลื่อนย้ายกล่องกระดาออกไปเป็นระยะเวลาหลายเดือนมาแล้ว เขาจึงได้แจ้งให้ตำรวจทราบ ฝ่ายอิสราเอลซึ่งได้เฝ้าจับตาดูอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ทราบถึงความหละหลวมและพลาดท่าของสเตรคเกอร์ จึงโทรศัพท์บอกเป็นรหัสว่า “ดอกไม้ได้ร่วงโรยเสียแล้ว” เพื่อให้เวลากับฟรอเอนค์เนทค์ ได้หนีทัน แต่ฟรอเอนค์เนทค์ตัดสินใจไม่หนี เขาต้องติดคุกในระหว่างดำเนินคดี 1 ปีเต็ม ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทางการสวิสต้องการทราบว่า ความเสียหายมีมากน้อยขนาดแค่ไหนจึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาคดี และในที่สุดได้ข้อสรุปว่า ฟรอเอนค์เนทค์ ได้ส่งแบบพิมพ์เขียวเครื่องบิน Mirage ไปให้อิสราเอลเป็นจำนวน 2,000 แผ่น สำหรับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ 80,000-100,000 แผ่น สำหรับ Jigs (เครื่องมือประกอบการผลิตชิ้นส่วน) 35,000-40,000 แผ่น สำหรับเครื่องมือ (Tools) 80-100 แผ่น สำหรับตัวเครื่องบิน 1,500 แผ่น สำหรับรายการประกอบแบบ (Specifications)

วันที่ 23 เมษายน 1971 ศาลสวิตเซอร์แลนด์ได้พิพากษาให้ อัลเฟร็ด ฟรอเอนค์เนทค์ ถูกจำคุก 4 ปี 6 เดือน จากการที่ฟรอเอนค์เนทค์ได้ถูกจองจำระหว่างการดำเนินคดี และประกอบกับการประพฤติตัวดี เขาจึงได้รับอิสรภาพเมื่อ 21 กันยายน 1972 สองปีครึ่งหลังจากที่ออกจากคุก ฟรอเอนค์เนทค์ได้เดินทางไปยังอิสราเอล เพื่อชมการบินของเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดความเร็ว 2.2 มัค ชื่อว่า Kfir ซึ่งมีพื้นฐานมาจาก Mirage III และ Kfir ได้เป็นกำลังสำคัญของกองทัพอิสราเอลต่อมา

Kfir C.10 BLOCK60 รุ่นปรับปรุงแล้ว

อิสราเอลเคยเสนอขาย Kfir C.10 BLOCK60 รุ่นปรับปรุงแล้ว ให้กองทัพอากาศไทยในราคาลำละ 20 ล้านเหรียญอเมริกัน (ราว 660 ล้านบาท) Israel Aerospace Industries (IAI) เสนอเครื่องขับไล่ Kfir C.10 Block 60 ที่เป็นการนำเครื่องเก่าที่กองทัพอากาศอิสราเอลปลดประจำการไปแล้วในช่วงปี 1990s มาปรับปรุงใหม่ เป็นเครื่องบินที่ขีดความสามารถสูงทัดเทียบเครื่องบินขับไล่ยุคปัจจุบัน โดย Kfir Block 60 สามารถติดอาวุธได้หนักถึง 5.5 ตัน ทั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Python 5 และ Derby อาวุธอากาศสู่พื้นความแม่นยำสูงอย่าง Spice และระบบเครือข่าย Link-16 มีรัศมีทำการรบ 1,000 กิโลเมตร และจะบินได้ไกลขึ้นถ้าเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ ความเร็วสูงสุดมากกว่า 2 Mach แต่กองทัพอากาศไทยไม่ได้ให้ความสนใจ ด้วยมีเครื่องบินสำหรับภารกิจนี้มีใช้อยู่แล้ว 3 แบบ คือ F-5E/F, F-16 A/B, ADF และ JAS-39 GRIPPEN หากมี Kfir มาใช้อีกแบบจะยิ่งเพิ่มภาระและปัญหาในการบริหารทรัพยากรทั้งบุคลากร (นักบิน ช่างอากาศ ช่างสรรพาวุธ) ตลอดจนค่าใช้จ่ายในเรื่องระบบอาวุธและการซ่อมบำรุงอีกมากมาย 

Kfir C.10 Columbian Air Force

มีหลายความเห็นว่า การจารกรรมพิมพ์เขียว Mirage ของฝรั่งเศสโดยอิสราเอลไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเรื่องของฝรั่งเศสที่แอบช่วยเหลืออิสราเอลอย่างลับ ๆ ด้วย ตระกูล Dassualt เป็นชาวฝรั่งเศสที่มีเชื้อสายยิว แต่เท่าที่ได้ทำการสืบค้นข้อมูลมาพบเพียง Tom Cooper นักเขียนชาวออสเตรเลียเพียงรายเดียวเท่านั้นที่นำเสนอความเชื่อในแนวนี้


ขอบคุณข้อมูลจาก 
คุณ sillfai pantip.com 
http://www.gunsandgames.net/smf/index.php?topic=54947.msg1318617
http://skyfighter-a2z.html
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=skyman&month=08-2006&date=21&group=1&gblog=7
http://www.magnumphotos.com
http://www.geronimohoorspelen.nl/Special/mossad/achtergronden_mossad_luchtmacht.htm


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9