คืบหน้า หมูไทยไปไม่ถึงเวียตนาม เรือเกิดจมหมูตายเกลื่อน แรงงานกัมพูชาเก็บไปทำอาหารหลังเรือจม

คืบหน้ากรณีเรือขนสุกรส่งประเทศเวียตนาม เกิดล่มชายฝั่ง สุกรตายลอยเกลื่อนทะเล ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น บ่ายวันนี้ทั้งไต๋เรือ คนงาน ช่วยกันเก็บซากสุกรขึ้นเรือ เพื่อนำกลับไปประเทศกัมพูชา แต่จะส่งไปขายประเทศเวียตนามได้หรือไม่ ก็ต้องตรวจซากสุกรทั้งหมดอีกครั้ง โดยมีอาสาสมัครสมาคมสว่างบุญช่วยเหลือธรรมสถานตราดเขตอำเภอคลองใหญ่ นำโดยนายอาทิตย์ หนองแพ รองประธานเขตอาสาสมัครสมาคมสว่างบุญช่วยเหลือธรรมสถานตราดเขตคลองใหญ่พร้อมด้วยอาสาสมัครได้นําเรือตรวจการณ์มาช่วยอำนวยความสะดวกการเก็บซากสุกรดังกล่าวด้วย

ซึ่งการเก็บซากสุกร ไม่มีเจ้าหน้าที่ราชการมาตรวจสอบแต่อย่างไร มีเรือประมงขนาดเล็กของชาวบ้านนำเรือไปช่วยขนลำเลียงซากสุกรขึ้นฝั่ง เพื่อรอขนถ่ายลงเรือชาวกัมพูชา นำกลับไปประเทศกัมพูชา ซึ่งไต๋เรือขนสุกร ไม่เปิดเผยตัว โดยแหล่งข่าวรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 20 ที่ผ่านมา เรือบรรทุกสุกรของพ่อค้ากัมพูชา มาจอดเทียบท่าเรือ เพื่อรอสุกรฝั่งไทย เพื่อนำลงเรือข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา หลังนำสุกรลงเรือเรียบร้อย เรือก็ออกจากท่าไปได้ไม่ไกล เรือเกิดล่ม ทำให้สุกรจำนวน 200 ตัว ที่อยูใต้ท้องเรือ และถูกขังอยู่ในกรงเหล็ก จมน้ำตายเกลื่อนทะเล โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่าเรือที่จมน่าจะเกิดจากการบรรทุกสุกรเกินน้ำหนัก โดยเรือที่บรรทุกมีความยาวประมาณ 5 วา กว่า ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ สำหรับสุกรทั้งหมดอยู่ระหว่างนำส่งลูกค้าที่ประเทศเวียตนาม เรือเกิดพลิกตะแคง น้ำเข้าเรือจนและสุกรตายเกือบหมด เหลือที่รอดตายเพียง 1 ตัวเท่านั้น

ผู้ดูแลการขนส่งสุกรชาวกัมพูชา บอกว่าสุกรทั้งหมด จะต้องนำไปไว้ที่กัมพูชาเสียก่อน ต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าจะนำส่งไปประเทศเวียตนามได้ไหมจะยังใช้บริโภคได้ไหม อาจจะต้องนำไปทิ้งหรือนำไปทำอย่างอื่นในกัมพูชา เพราะจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับเรือที่จมอยู่ ต้องรอทีมงานกู้เรือ มาทำการกู้เรืออีกครั้ง ขณะเดียวกันชาวบ้านใกล้ที่เกิดเหตุเล่าว่าช่วงค่ำที่ผ่านมา แรงงานกัมพูชาหลายคนที่มาทำงานอยู่บ้านคลองสน พากันไปเก็บซากสุกรที่จมน้ำ ไปทำอาหารกินกัน ล่าสุดพบสุกรตายทั้งหมด 199 ตัว ซึ่งผู้ดูแลบอกว่าไม่เอาเรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เหลือจะนำกลับไปประเทศกัมพูชาต่อไป


ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี ผู้สื่อข่าว จ.ตราด

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก