Friday, 3 May 2024
WEEKEND NEWS

ก.อุตฯ เดินหน้ากระจายความสุขให้คนไทย 'หนุน SMEs - ส่งเสริมรถยนต์ EV - ลดต้นทุนปุ๋ยแพง'

กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้ากระจายความสุขสู่ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการทั่วประเทศ ผ่านแคมเปญเด่น 3 โครงการ ส่งเสริมสนับสนุน SMEs เพิ่มรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งของประชาชนระดับชุมชนและประชาชนทั่วประเทศ ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV หลังความต้องการใช้ของประชาชนเพิ่มขึ้น และช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรด้วยการลดต้นทุนจากสถานการณ์ราคาปุ๋ยแพง ด้วยการเพิ่มศักยภาพ 'แร่โพแทช' นำมาสกัดเป็น 'ปุ๋ยโพแทช'  เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผ่านรายการ 'คุยเรื่องบ้าน เรื่องเมือง คุยทุกเรื่องกับรัฐมนตรี' ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานรากและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากซึ่งก็คือการพัฒนาเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติที่สำคัญนำไปสู่การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม และเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถกระจายรายได้อย่างทั่วถึงทุกท้องที่ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ดำเนินโครงการส่งเสริมการสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในระดับชุมชนและประชาชนทั่วไปครอบคลุมทั่วประเทศ ด้วยการฟื้นฟูผู้ประกอบการ สร้างทักษะจำเป็นให้กับแรงงาน เพื่อให้สามารถกลับมาประกอบธุรกิจและสร้างรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวให้ได้อย่างเข้มแข็ง ผ่านการดำเนินโครงการ 'พัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม' หรือ 'โครงการอาชีพดีพร้อม' นำร่องในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย, พิจิตร, นครสวรรค์, ชัยนาท, ชลบุรี, สงขลา และยะลา ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ สามารถบรรเทาปัญหาปากท้องของประชาชนที่ขาดแคลนรายได้จากการว่างงานและยังเพิ่มทักษะอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ 

โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีให้ได้รับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา และจากความสำเร็จดังกล่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก จึงได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงินงบประมาณ 1,249 ล้านบาท ให้แก่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมในการขยายพื้นที่ดำเนินโครงการดังกล่าวให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยภายใต้ 'โครงการอาชีพดีพร้อม' กระทรวงอุตสาหกรรม ได้นำนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) ดำเนิน 'โครงการอาชีพดีพร้อม' เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ โดยได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงสิ้นปีนี้ โดยมี 4 หลักสูตร ได้แก่...

1.พัฒนาทักษะด้านการผลิต ประกอบด้วย ทักษะอาชีพลดรายจ่าย และทักษะอาชีพเพิ่มรายได้

2.พัฒนาทักษะด้านการบริการ อาทิ กลุ่มอาชีพช่าง หรือกลุ่มอาชีพบริการ

3.พัฒนาด้านผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ต้นทุนอัตลักษณ์เดิมในชุมชน ให้ตอบโจทย์ตลาดในยุคปัจจุบัน

และ 4. พัฒนาต่อยอดทักษะจำเป็นต่อการประกอบธุรกิจ อาทิ การบริหารด้านการเงิน และการสร้างแบรนด์สินค้า 

"โครงการนี้ ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสร้างอาชีพเสริมที่มั่นคงให้กับพี่น้องประชาชนรวม 700,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ และคาดการณ์ว่าจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 12,000 ล้านบาท เชื่อว่าการดำเนิน 'โครงการอาชีพดีพร้อม' ในครั้งนี้ เปรียบเสมือนเป็นการเปิดประตูบานใหม่ ให้พี่น้องประชาชนสามารถที่จะเข้าถึงโอกาส ในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างความเข้มแข็งในชุมชน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประโยชน์ทั้งหมด จะกลับคืนสู่พี่น้องประชาชนฐานรากซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย 

"ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนจะได้รับคือความรู้และทักษะใหม่ในการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับลักษณะพื้นที่และภูมิปัญญาของคนในชุมชน สามารถนำไปต่อยอดได้จริง ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ ควบคู่ไปกับการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งได้จากภายใน และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมถึงผลักดันให้ภาคเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติ" นายสุริยะ กล่าว

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยังผลักดันส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ปัจจุบันมีการใช้ในจำนวนเพิ่มมากขึ้นหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เนื่องจากรถยนต์ EV เป็นเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมหรือปัญหาโลกร้อน ปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 และปัญหาความผันผวนของราคาพลังงาน รัฐบาลเล็งเห็นถึงความจำเป็นดังกล่าว จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจากการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไปสู่ EV 

โดยคณะกรรมการฯ ได้กำหนดเป้าหมาย 30@30 (30 แอท 30) หรือ การผลิต EV ให้ได้ร้อยละ30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้ออกนโยบายสนับสนุนในด้านต่างๆ เช่น มาตรการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้า หรือ Charging Station ให้ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุด โดยการให้สิทธิประโยชน์ด้านลดอากรนำเข้า ลดภาษีสรรพสามิต และการให้เงินสนับสนุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ EV ในประเทศมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2564 ปรากฎว่า ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก จากข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีการจดทะเบียน EV เพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2564 ทั้งปี โดยคาดการณ์ว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง EV ทั้งปี 2565 อาจสูงถึง 10,000 คัน 

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ยังให้ความสำคัญต่อมาตรฐานและความปลอดภัยของรถยนต์ EV โดยได้ก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติหรือ ATTRIC (แอททริค) และศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ไฟฟ้า ในจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อให้เกิดการยกระดับการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนในด้านผลิตภัณฑ์ มาตรฐาน และนวัตกรรม และต่อยอดอุตสาหกรรมไทยไปสู่อุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าด้วยนวัตกรรม รวมทั้งผลักดันให้มีการกำหนดมาตรฐานรถยนต์ EV และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานการใช้พลังงาน มาตรฐานแบตเตอรี่ มาตรฐานสถานีอัดประจุไฟฟ้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ EV ที่ได้คุณภาพ และมีความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวต่อไปด้วยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่พบว่าราคาปุ๋ยเคมีเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์โดยช่วงรอบปีที่ผ่านมาราคาปุ๋ยเคมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากหลายปัจจัยรวมกันได้แก่ การขึ้นราคาของแก๊สธรรมชาติ และน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของการผลิตปุ๋ยเคมี สงครามในยูเครน ประกอบกับการจำกัดการส่งออกของผู้ผลิตปุ๋ยที่สำคัญ เช่น รัสเซีย และจีน ซึ่งราคาปุ๋ยเคมีเริ่มมีราคาสูงขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น การหาทางออกเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรไทย ด้วยการแก้ปัญหาปุ๋ยเคมีระยะยาวคือ โครงการเหมือนแร่โพแทช เป็นหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหา โดยการนำแร่โพแทช มาสกัดเป็นปุ๋ยโพแทชซึ่ง เป็น 1 ใน 3 ของธาตุอาหารหลักของพืชใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร โดยในปีนี้ (2565) ราคาปุ๋ยโพแทชภายในประเทศ ปรับขึ้นจากตันละ 9,000 บาท เป็นตันละ 25,600 บาท และมีแนวโน้มจะขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาตลาดโลก

ทัวร์ลง!! 'ดีเจภูมิ' หลังโพสต์โชคดีเกิดเป็นคนไทย ตปท.ขายส้มตำจานละ 600 จิ้มจุ่มหม้อละ 1,000

กลายเป็นประเด็นดรามา ที่มีคนเข้าไปคอมเมนต์กันอย่างถล่มทลาย หลังจาก 'ดีเจภูมิ' ภูมิใจ ตั้งสง่า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก djpoom ระบุว่า...

***เมลเบิร์นขายส้มตำจานละ 600 จิ้มจุ่มหม้อละ 1,000 คนยังเข้าแถวต่อคิวกันถึงเที่ยงคืน โชคดีขนาดไหนเกิดมาเป็นคนไทย***

'ทิพานัน' แนะ!! ช่องทางตรวจสอบสถานะ ผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

รองโฆษกรัฐบาลแนะช่องทางตรวจสอบสถานะลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งทางออนไลน์-ออฟไลน์ และไทม์ไลน์ตรวจสอบได้วันไหนบ้าง ย้ำลงทะเบียนได้ทั้งสามี-ภรรยา คนโสดพิสูจน์สถานะด้วยทะเบียนสมรส

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงพื้นที่ชุมชนสุขศิริ ชุมชมวิสุทธิจิตร ชุมชนคอกม้า ในเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์ของพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งได้ประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบความคืบหน้าในการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า...

ล่าสุด ณ วันที่ 9 กันยายน 2565 เวลา 15.00 น. มีประชาชนลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 8,339,614 ราย โดย 6,060,687 ราย ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ และ 2,278,927 รายลงทะเบียนที่หน่วยงานรับลงทะเบียน จะเห็นได้ว่าประชาชนให้ความสนใจและได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้นที่มีช่องทางให้ลงทะเบียนด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์คิดเป็น 72.7% ของผู้ลงทะเบียนทั้งหมด และทุกคนที่ลงทะเบียนไปแล้วไม่ว่าจะทางเว็บไซต์หรือที่หน่วยลงทะเบียนก็สามารถติดตามสถานะการลงทะเบียนด้วยตนเองได้ที่ https://welfare.mof.go.th เพียงกรอกเลขบัตรประชาชนและวันเดือนปีเกิด และหากพบข้อมูลว่า "กระทรวงการคลังได้รับข้อมูลการลงทะเบียนของท่านครบถ้วนแล้ว” ก็ไม่จำเป็นต้องนำแบบฟอร์มและเอกสารประกอบการลงทะเบียนไปยื่นที่หน่วยงานรับลงทะเบียนอีก

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนผลการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง ทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ถัดไป โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2565 โดยมีกำหนดรอบดังนี้...

1. ลงทะเบียน 5 – 8 กันยายน 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2565

2. ลงทะเบียน 9 – 15 กันยายน 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565

3. ลงทะเบียน 16 – 22 กันยายน 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565

4. ลงทะเบียน 23 – 29 กันยายน 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2565

5. ลงทะเบียน 30 กันยายน – 6 ตุลาคม 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2565

6. ลงทะเบียน 7 - 13 ตุลาคม 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565

7. ลงทะเบียน 14 - 19 ตุลาคม 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า หลังการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง ถ้าขึ้น "สถานะการลงทะเบียนสมบูรณ์" ให้ผู้ลงทะเบียนรอผลการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไปโดยจะประกาศผลในช่วงเดือนมกราคม 2566 แต่หากพบว่า "สถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์" เนื่องจากข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไม่ตรงตามฐานข้อมูลกรมการปกครอง ให้แก้ไขข้อมูลให้เรียบร้อยก่อนวันที่ 3 พฤศจิกายน 65 ปัจจุบันต้องติดต่อแก้ไขข้อมูลที่หน่วยงานรับลงทะเบียนเท่านั้น  หากลงทะเบียนทางออนไลน์ให้ไปแก้ไขที่จุดลงทะเบียนที่ไหนก็ได้ แต่หากลงผ่านทางจุดรับลงทะเบียน ต้องกลับไปจุดเดิมเท่านั้น

'เพื่อไทย' ยุ่งแล้ว!! คนอีสานชู 'สุดารัตน์' ขึ้นแท่นนายกฯ 'แพทองธาร' มาที่สอง

ถือว่ามาตามนัด สำหรับ 'หญิงอ้อ' คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่เฉิดฉายอย่างยิ่งในกิจกรรม 'สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ' ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จ.เชียงใหม่ พร้อมเพรียงด้วยบุคคลในครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพลพรรคเพื่อไทย ซึ่งต่างมาให้กำลังใจคุณแพทองธาร ชินวัตร กันอย่างคับคั่ง ประกาศศักดาครอบครัวเพื่อไทยยืนหนึ่งในเวทีการเลือกตั้งหนหน้า

ทว่าในวันนี้ (10 ก.ย.65) อีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสานมหาวิทยาลัยวิทยาลัยขอนแก่น ได้เปิดเผยผลสำรวจในหัวขัอ 'ความเครียดของคนอีสานกับปัญหาเศรษฐกิจ' โดยผลการสำรวจพบว่า 3 ปัญหาที่คนอีสานกำลังเผชิญและมีความเครียดมากที่สุด คือ ค่าครองชีพสูงและราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้นมาก และรายได้ไม่พอกับรายจ่ายจนต้องมีหนี้เพิ่ม และยังมีปัญหาเศรษฐกิจอื่นๆ ที่คนอีสานราวๆ 30% รู้สึกเครียดมากและรอการบรรเทาปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการหางานใหม่ยากหรือหางานทำยาก ภาระรายจ่ายด้านการศึกษา ผ่อนชำระหนี้กับสถาบันการเงินไม่ไหวขาดทุนจากการทำเกษตรหรือแทบไม่มีกำไร ขาดแคลนเงินทุนหรือสินเชื่อในการทำมาหากิน เป็นผู้สูงอายุที่มีเงินไม่พอใช้หรือมีภาระต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุ และผ่อนชำระหนี้นอกระบบไม่ไหว

รศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล เปิดเผยว่า การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานต่อความเครียดที่คนอีสานกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและการเงินเพื่อสะท้อนปัญหาของคนอีสานให้กับทางภาครัฐหรือพรรคการเมืองต่างๆ ได้หาแนวทางบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจให้กับคนอีสาน จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป 1,065 รายในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด โดยเมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความเครียดเกี่ยวกับปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเงินใน 14 ประเด็น 

แต่ประเด็นไฮไลต์จากผลโพลล์ดังกล่าว อยู่ที่ 'การเลือกตั้งครั้งใหม่ อยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี' เพื่อมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พบว่า อันดับ 1 เป็นของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 23.4 รองลงมาคุณแพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 21.1 อันดับ 3 คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 20.2 ตามมาด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 12.5 นานอนุทิน ชาญวีรกุล ร้อยละ 9.9 คนอื่นๆ จากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 6.5 คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ร้อยละ 2.8 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ร้อยละ 1.7 และอื่นๆ ร้อยละ 1.9

'เสี่ยหนู' เฉลยแล้ว!! เหตุ 'ภท.' ร่วมรัฐบาลกับ พปชร.62 หวังให้คสช.หลุด!! เพื่อสร้างการเมืองในระบอบสภาให้ปกติ

'อนุทิน' แจงเหตุผล 'ภูมิใจไทย' ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ปี 2562 บอกนับเลขแล้ว ขั้วเพื่อไทย ไม่มีโอกาสตั้งรัฐบาล ยิ่งยื้อนานคสช. ก็ยิ่งอยู่ยาว 

(10 ก.ย.65) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่ส.ส.พรรคภูมิใจไทยยกมือสนับสนุนกฎหมายปิดสวิตช์ ส.ว.เลือกนายกฯว่า...

ขอย้อนกลับไปในปี 2562 เหตุผลที่พรรคภูมิใจไทยร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐเมื่อปี 2562 ตนยึดหลักว่า ถ้าตั้งรัฐบาลต้องทำให้สำเร็จ ถ้าทำไม่สำเร็จ มันไม่มีประโยชน์ ส่วนที่มีคนมาบอกว่าตนเคยประกาศไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอเรียนว่าไม่เคยพูด สิ่งที่บอกคือพรรคภูมิใจไทยจะไม่ยอมร่วมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือหมายความว่าได้เสียง ส.ส.ข้างน้อย แต่ไปเอาเสียง ส.ว.มาเติมแล้วได้นายกฯ แบบนั้น เราไม่ไปร่วม การตั้งรัฐบาล ต้องได้เสียงในสภาเกินกว่า 375 เสียง แล้วให้ย้อนกลับไปวันนั้น เอาทุกพรรคไปรวม โดยไม่มีพรรคพลังประชารัฐ และบางพรรคที่มีเจตนามาแล้วว่าจะชูพล.อ.ประยุทธ์ คำตอบคือ มันไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ต่อให้รวมพรรคภูมิใจไทยก็ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ จากนั้นให้ไปดูกฎหมายที่เขียนไว้ชัด ถ้าตั้งรัฐบาลไม่ได้ คสช.อยู่ชั่วฟ้าดินสลาย เป็นรัฐบาลต่อยาวๆ จน รัฐบาลใหม่เข้ามา การที่ตนเซย์เยสวันนั้น เท่ากับวงจร คสช.จบ เท่ากับมีรัฐบาลในระบบรัฐสภา อย่างน้อย ทำให้มีสภามาตรวจสอบรัฐบาล ผู้มีอำนาจต้องกลับมาฟังเสียงพี่น้องประชาชนแล้ว พรรคภูมิใจไทยมองมุมนี้ 

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า อีกฝ่ายมองมุมเดียว ก็บอกว่าพรรคไปสนับสนุนทหาร ไปสนับสนุน คสช. แต่ทุกอย่างที่ทำ คือปฏิบัติตามเกม แล้วทำให้คสช.หลุดไป กลายเป็นการเมืองในระบอบสภาปกติ ถ้าเราเห็นดีเห็นงามกับ คสช.มากมาย เหมือนที่หลายคนมาโจมตี ตนและพรรคคงไม่มายกมือโหวตปิดสวิตช์ ส.ว. ซึ่งเรื่องนี้ ทั้งพรรคเห็นตรงกัน นี่คือครั้งแรกที่เราเห็นตรงกันขนาดนี้ ปี 2562 เราใช้ กติกาเอา คสช. ออกไป รัฐธรรมนูญวางวิธีการไว้อย่างนั้น มันก็ต้องเล่นตามเกม และพรรคก็ส่งผู้สมัครสู้เต็มที่ วันนั้น เราไม่มานั่งวิจารณ์รัฐธรรมนูญด้วย เพราะเลือกร่วมการแข่งขันไปแล้ว การที่ลงเลือกตั้ง ต้องการเป็นตัวเลือกให้ประชาชน อยากให้ระบบรัฐสภาปกติกลับมาทำงาน แล้วพอมีนายกฯจากรัฐสภา ท่านนายกฯประยุทธ์ ท่านเปลี่ยนทันที เมื่อก่อนท่านทำงาน ไม่มีใครมาตรวจสอบ แต่คราวนี้ ตรวจสอบกันทุกปี สิ่งเหล่านี้ ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 57 – 62

'สมเกียรติ' ส.ส.ก้าวไกลโอด!! ตั้งใจอยู่ต่อ แต่พรรคไม่เลือก และส่ง 'โตโต้' เข้าเสียบแทน

ส.ส.เป้-สมเกียรติ ถนอมสินธุ์ พรรคก้าวไกลโอด พรรคเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.สมัยหน้าไม่มีตนอยู่ด้วย ลั่นจะอยู่พรรคก้าวไกลต่อ แต่พรรคไม่เลือกผม ไม่ได้ให้โอกาสผมไปต่อ หลังพบส่ง 'โตโต้' การ์ดวีโว่ม็อบสามนิ้วลงสมัครแทน

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 65 เพจเฟซบุ๊ก 'สมเกียรติ ถนอมสินธุ์ - ส.ส.เป้ เขตบางนาและเขตพระโขนง' ของนายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล ได้มีการโพสต์ข้อความหลังจากพรรคก้าวไกลเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม. ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหลังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหมดวาระในปี 2566 แล้วปรากฏว่าเขตพระโขนงส่ง นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ 'โตโต้' อดีตผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคอนาคตใหม่ และแกนนำกลุ่มการ์ดที่เรียกตัวเองว่า 'วีโว่' ในการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าม็อบราษฎร หรือม็อบสามนิ้ว

โดยนายสมเกียรติ ได้ระบุว่า...วันนี้พรรคก้าวไกลเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร ซึ่งไม่มีผมรวมอยู่ด้วยครับ

มีหลายๆ คนเคยบอกผมมานานแล้วว่าพรรคจะไม่ส่งผมลงในสมัยหน้า ทั้งคนในพรรคและต่างพรรค (ไม่รู้ว่าเขารู้ได้ยังไง) ผมก็ฟังไว้แต่ไม่ได้เชื่อสักเท่าไหร่ ก็ทำงานของผมไปเรื่อยๆ

เพราะคิดว่าจะมีเหตุผลอะไรที่พรรคจะไม่ส่งผม คิดไม่ออกจริงๆ แล้วก็บอกเขาไปอย่างนั้นจริงๆ

ผมได้รับแจ้งจากผู้บริหารพรรคอย่างเป็นทางการเมื่อคืนวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมาครับ ว่าทางกรรรมการบริหารพรรคได้มีมติแล้วว่าจะไม่ส่งผมลง ส่วนเหตุผล ขอให้สอบถามกับทางพรรคครับ เดี๋ยวผมสื่อสารผิดหรือคลาดเคลื่อนครับ

ส่วนว่าที่ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลที่จะลงในเขตบางนา-พระโขนง ผมก็เพิ่งจะรู้วันนี้ตอนเปิดตัวครับ

ยังไง ส.ก.โต้ง ฉัตรชัย หมอดี (เขตบางนา) และ ส.ก.หนุ่ม สราวุธ อนันต์ชล (เขตพระโขนง) ก็ยังสังกัดพรรคก้าวไกล ฝากสนับสนุนต่อไปด้วยครับ

ทางพรรคเองได้มาแจ้งกับ ส.ก.โต้ง และ ส.ก.หนุ่มแล้วเหมือนกัน ที่จะไม่ส่งผมลง ส.ส.เขตบางนา-พระโขนง หลังจากที่ได้แจ้งยืนยันกับผมแล้ว

ส่วนอนาคตทางการเมืองของผม ตอนนี้ก็ยังเป็น ส.ส.กรุงเทพมหานคร (เขตบางนา-พระโขนง) พรรคก้าวไกลอยู่ แค่พรรคไม่ได้ส่งลงต่อสมัยหน้า และก็จะทำงานต่อไปสม่ำเสมอเหมือนเดิม อาจจะขอลาพักผ่อนตอนปิดสมัยประชุมบ้าง ซึ่งหลังจากสัปดาห์หน้าก็ปิดสมัยประชุมแล้วครับ

ผมคิดว่าอยากใช้ประสบการณ์ที่ได้ทำงานเป็น ส.ส. 3 ปีกว่า ทำงานการเมืองต่อครับ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประชาชนในพื้นที่เขตบางนา-พระโขนง ว่าจะให้โอกาสหรือเปล่า

แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปอยู่พรรคไหน ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้เลย เพราะรอพรรคก้าวไกลเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บางนา-พระโขนง จริงๆ ก่อน ว่ามีคนมาแทนผมแล้วจริงๆ

สรุปว่า ผมตั้งใจจะทำงานการเมืองต่อกับพรรคก้าวไกล แต่พรรคไม่เลือกผม ไม่ได้ให้โอกาสผมไปต่อกับพรรคครับ

ผมก็เข้าใจครับ การเมืองก็เป็นแบบนี้ อย่างที่เขาพูดกัน อนาคตจะเป็นอย่างไรผมก็ยังไม่ทราบ ยอมรับว่าผิดหวัง แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไปครับ

สำหรับนายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2522 ปัจจุบันอายุ 43 ปี จบการศึกษาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 กระแสพรรคอนาคตใหม่ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กำลังฟีเวอร์ ส่งผลทำให้ นายสมเกียรติชนะ น.ส.จักรีรัตน์ แสงวารี จากพรรคพลังประชารัฐ เกือบ 6,000 คะแนน ส่วนนายสุทธิ ปัญญาสกุลวงศ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนมาเป็นอันดับสาม

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2565 นายสมเกียรติถูกโจมตีกล่าวหาว่าเป็นงูเห่าสีส้ม เพราะมีเพจเฟซบุ๊กหนึ่งโพสต์ข้อความ “หนูเปล่านะ เขามาเอง” พร้อมแนบรูปกลุ่มอดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ที่ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย ทำให้นายสมเกียรติออกมาปฏิเสธ โดยระบุว่าเมื่อสองปีก่อนมีข่าวว่าตนอยู่ในกลุ่มที่จะย้ายไปพรรคภูมิใจไทย เคยออกมาปฏิเสธแล้ว ตั้งแต่นั้นมาตนได้รับผลกระทบความเสียหาย ชาวบ้านในพื้นที่ยังเข้าใจผิดว่าตนย้ายพรรคไปแล้ว

อธิบดี พก. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ อพม. กรุงเทพฯ ประจำปี 2565

เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 เวลา 13.30 น. ณ โรงแรม ซีบรีซ จอมเทียน รีสอร์ท จังหวัดชลบุรี  "นายจุติ ไกรฤกษ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบหมายให้ "นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ" อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร ประจำปี 2565 โดยมี  "นางสาวนภาพร เมฆาผ่องอำไพ" รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวรายงาน โครงการดังกล่าวจัดระหว่างวันที่ 9 - 10 กันยายน 2565 โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เพื่อพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และเปิดโอกาสให้ อพม. ที่มีประสบการณ์ ได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานในระดับพื้นที่ จนเกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ในการทำงาน และสามารถนำความรู้และประสบการณ์ ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ ประกอบด้วย...

การถอดบทเรียน “จุดแข็ง อพม. สานต่อความยั่งยืน” 5 ประเด็น ได้แก่ เทคนิคการระดมทรัพยากรสนับสนุนการทำงาน อพม., เทคนิคการบริหารทีมให้มีความเข้มแข็ง, เทคนิคการทำงานเบิกค่าตอบแทน อพม., เทคนิคการทำงานร่วมกับเครือข่าย และประเด็นสุดท้ายอยากเห็น อพม. เป็นอย่างไรในอนาคต

‘บิ๊กตู่’ สั่งทุกเหล่าทัพ หนุน 'รัฐบาล-กทม.' เต็มที่ ช่วยวิกฤตน้ำท่วม เสริมรถรับส่งประชาชนให้ทั่วถึง

(10 ก.ย.65) พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง สถานการณ์ฝนตกหนักสะสมต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วประเทศจากมรสุมพาดผ่าน เกิดมวลน้ำสะสมจำนวนมากไหลลงพื้นที่ต่ำและแม่น้ำสายหลัก ประกอบกับเขตเมืองที่ขยายตัวทับเส้นทางระบายน้ำ และเกิดการอุดตันของระบบระบายน้ำ เป็นเหตุให้พื้นที่ต่ำชุมชนเขตเมือง รวมทั้งพื้นที่ขวางเส้นทางระบายน้ำและพื้นที่ต่ำริมลำน้ำสายหลักได้รับผลกระทบหลายพื้นที่จังหวัด รวมทั้ง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการทุกเหล่าทัพ ยังคงความสนับสนุนรัฐบาล โดยกระจายกำลังพล เครื่องมือช่าง ยานพาหนะ ทั้งรถและเรือ อากาศยานไร้คนขับ เครื่องสูบน้ำและเรือดันน้ำ รวมทั้งชุดกู้ภัยและชุดแพทย์เคลื่อนที่ เข้าไปเสริมทำงานร่วมกับ หน่วยงานหลักโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของแต่ละจังหวัดและจิตอาสา ช่วยเหลือประชาชนในหลายพื้นที่ ทั้งพื้นที่วิกฤตที่น้ำป่าไหลหลากเกิดน้ำท่วมฉับพลัน พื้นที่เขตเมืองและชุมชนที่น้ำท่วมขังสูง เส้นทางที่ถูกตัดขาด บ้านเรือนประชาชนที่ชำรุดเสียหาย 

“ทุกเหล่าทัพ ที่มีหน่วยทหารในพื้นที่ ยังคงกระจายกำลังและเสริมกำลังเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่วิกฤตและพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ทั้งการแจ้งเตือน ช่วยยกของขึ้นที่สูง อพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงเข้าพื้นที่ปลอดภัย การแจกสิ่งของบรรเทาทุกข์และจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่เข้าดูแลประชาชนที่ยังอยู่ในพื้นที่ การจัดชุดครัวเคลื่อนที่และจัดทำอาหารกระจายแจกจ่าย การบรรจุกระสอบทรายจัดทำคันกั้นน้ำ การเปิดทางน้ำและเร่งระบายน้ำจากพื้นที่น้ำท่วมขังลงแม่น้ำสายหลัก การลอกสวะที่ขวางอุดตันทางน้ำในพื้นที่ การซ่อมแซมถนนที่ถูกตัดขาด เป็นต้น”

สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงปรากฏพระองค์ในฐานะกษัตริย์ของสหราชอาณาจักร พร้อมมีพระราชดำรัสแรกอย่างเป็นทางการต่อพสกนิกร

สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กษัตริย์องค์ใหม่ของสหราชอาณาจักร ทรงมีพระราชดำรัสต่อพสกนิกรเป็นครั้งแรกหลังขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระมารดาผู้เสด็จสวรรคต

เอเอฟพีรายงานเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กันยายน 2565 กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงเสด็จมาประทับที่พระราชวังบักกิงแฮมในกรุงลอนดอนเมื่อวันศุกร์ โดยได้พบปะทักทายพสกนิกรที่มาร่วมไว้อาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2

หลังจากนั้นในช่วงบ่าย พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงบันทึกเทปพระราชดำรัสแรกอย่างเป็นทางการในฐานะพระประมุของค์ใหม่ของสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพ ที่ห้องวาดรูปสีน้ำเงิน (Blue Drawing Room) ของพระราชวังบักกิงแฮม

พระราชดำรัสซึ่งบันทึกไว้ล่วงหน้า ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ของสหราชอาณาจักร เมื่อเวลา 18:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (เที่ยงคืนวันเสาร์ ตามเวลาประเทศไทย) โดยมีใจความสรุปกล่าวว่า...

"วันนี้ข้าพเจ้าพูดกับทุกท่านด้วยความรู้สึกเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง ตลอดชีวิตของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ผู้เป็นมารดาอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า ทรงเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแบบอย่างแก่ข้าพเจ้าและสมาชิกทุกคนในครอบครัวของข้าพเจ้า พวกเราติดหนี้พระคุณของพระองค์อย่างมหาศาล จากความรัก, ความเสน่หา, การสั่งสอน, ความเข้าใจ และแบบอย่างการดำรงชีวิตของพระองค์"

“ควีนเอลิซาเบธทรงดำเนินชีวิตอย่างดี และยึดมั่นในคำสัญญาเหมือนประหนึ่งชะตาที่ต้องรักษาไว้ พวกเราทุกคนเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปของพระองค์ และข้าพเจ้าจะอุทิศชีวิตเช่นเดียวกับพระมารดา เพื่อสานต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับพสกนิกรที่ว่า จักขอรับใช้ไปตลอดชีวิต"

"พวกเราได้รับรู้ว่า ไม่ใช่เพียงแค่พวกเราเท่านั้นที่เศร้าโศก แต่ยังมีผู้คนอีกมากมายในสหราชอาณาจักร, ทุกประเทศที่พระราชินีทรงเป็นพระประมุข, ในเครือจักรภพและทั่วโลก ที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อระยะเวลากว่า 70 ปีที่พระมารดาของข้าพเจ้าดำรงพระองค์ในฐานะราชินีผู้รับใช้มวลชนจากหลากหลายชาติ"

"ความทุ่มเทในฐานะราชินีผู้ไม่เคยหวั่นไหว ผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้า ผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขและการเฉลิมฉลอง และผ่านช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าและความสูญเสีย"

“ในชีวิตการรับใช้ของพระองค์ พวกเราได้เห็นการดำรงอยู่ของจารีตประเพณีควบคู่กับการยอมรับความก้าวหน้าด้วยความแน่วแน่ ซึ่งทำให้พวกเรายิ่งใหญ่ในฐานะประเทศชาติ อีกทั้งความรัก, ความชื่นชม และความเคารพในฐานะแรงบันดาลใจของสาธารณชน สิ่งเหล่านั้นคือจุดเด่นในรัชสมัยของพระองค์"

"ด้วยศรัทธาและค่านิยมที่เป็นดั่งแรงบันดาลใจ ข้าพเจ้าถูกเลี้ยงดูมาเพื่อทะนุถนอมความรับผิดชอบต่อผู้อื่น และเคารพในประเพณีอันล้ำค่า, เสรีภาพ, ความรับผิดชอบในประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศและระบบรัฐสภา ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด"

"เช่นเดียวกับที่พระราชินีทรงยึดมั่นด้วยความจงรักภักดี บัดนี้ข้าพเจ้าก็สัญญากับตัวเองว่า ข้าพเจ้าจักรักษาหลักการตามรัฐธรรมนูญอันเป็นหัวใจของประเทศชาติไว้ตลอดเวลาที่เหลืออยู่อันพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า"

“และไม่ว่าทุกท่านจะอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร หรือในอาณาจักรและดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าภูมิหลังหรือความเชื่อของทุกท่านจะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจะพยายามรับใช้ด้วยความภักดี ด้วยความเคารพ และความรัก ดังที่ข้าพเจ้าได้รับการสั่งสอนมาตลอดชีวิต"

"นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับครอบครัวของข้าพเจ้า เพื่อเป็นเกียรติแก่คามิลลาผู้เป็นภริยาที่เคียงข้างและรับใช้สาธารณะอย่างซื่อสัตย์มาตั้งแต่การอภิเษกของเราเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ข้าพเจ้าไว้วางใจในความรักของเธอ และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ต่อจากนี้ภริยาผู้เป็นที่รักจะต้องรับภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงในการช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งพาให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอขอบคุณล่วงหน้ากับการอุทิศตนอย่างมั่นคงต่อหน้าที่ของเธอ"

'กรณ์' เผย 4 เหตุการณ์ 'รับเสด็จ-เข้าเฝ้า' ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ยกเป็นความทรงจำอันลํ้าค่าอย่างมากในชีวิต

เมื่อ 9 ก.ย.65 นายกรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก 'กรณ์ จาติกวณิช – Korn Chatikavanij' ระบุว่า...

#QueenElizabeth II กับ ความทรงจำอันล้ำค่าของผม

นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประชาคมโลกต่อการจากไปของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ขอน้อมถวายความอาลัย และเป็นกำลังใจให้เพื่อนชาวสหราชอาณาจักรทุกคนครับ

ผมเองได้มีโอกาสรับเสด็จและเข้าเฝ้าอยู่ 4 ครั้งในแต่ละช่วงบทบาทที่แตกต่างกันไป 

ครั้งแรกตอนผมอายุ 8 ขวบ ผมอยู่โรงเรียนสมถวิล ซอยมหาดเล็กหลวง ตอนนั้นปี 2515 พระองค์ท่านเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พวกเราถือธงชาติไทย-อังกฤษ ยืนรับเสด็จพร้อมเพรียง เมื่อขบวนเสด็จเคลื่อนผ่าน ผมและเพื่อนๆ ต่างชะเง้อมองพระพักตร์ริมหน้าต่างรถพระที่นั่ง ใจจริงตอนนั้นผมชะเง้อมองหาในหลวงของเรา แต่ท่านประทับในรถอยู่คนละฝั่ง (ความรู้สึกของเด็กอย่างผมตอนนั้นคือเสียใจอยู่เหมือนกัน) แต่มุมนั้นทำให้ผมมองเห็นควีนเอลิซาเบธชัดเจนมาก พระองค์ท่านทรงพระสรวลและโบกพระหัตถ์ทักทายเด็กๆ อย่างเราตลอดเส้นทาง

ต่อมาตอนอายุ 11 ขวบ ผมมาเรียนอังกฤษใหม่ๆ เป็นช่วงพระราชพิธีเฉลิมฉลอง Silver Jubilee ก็ได้ไปรับเสด็จริมถนนอีกครั้ง ตื่นเต้นดังเดิม แต่คนเยอะมากไม่เห็นอะไรเลย

ครั้งที่ 3 ตอนอายุ 18 ในฐานะหัวหน้านักเรียน (Head Boy) ของโรงเรียน Winchester College ในช่วงพิธีฉลองครบรอบ 600 ปีของโรงเรียน ครั้งนั้นโรงเรียนแจ้งว่า ผมจะได้ร่วมโต๊ะเสวยกับพระองค์ท่าน ตื่นเต้นและดีใจมากกว่าทุกครั้ง

ก่อนเสด็จฯ ประมาณ 1 เดือน สำนักพระราชวังตรวจรายชื่อผู้ร่วมโต๊ะเสวย จากนั้นก็มีสายจากพระราชวังโทรตามหาตัวผมที่โรงเรียน ถามว่า ผมเป็นอะไรกับ Mr.Chatikavanij ที่เคยรับเสด็จเมื่อครั้งเยือนประเทศไทยปี 2515 ซึ่งท่านผู้นั้นคือคุณลุง ‘เกษม จาติกวณิช’ ผู้ก่อตั้งและผู้ว่าการไฟฟ้าฯ คนแรกของไทย ท่านได้รับเสด็จพระองค์ท่าน และพาเยี่ยมชมโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังน้ำตามโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่9 ของเรา 

เมื่อถึงวันงานพระองค์ท่านตรัสกับผมว่า 'when I was in Thailand, your uncle very kindly took care of me.' ถือเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวและวงศ์ตระกูลของเราอย่างมากครับ

ครั้งสุดท้าย ตอนนั้นอายุ 45 ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ครั้งนั้นประเทศไทยของเราได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม G20 เป็นกรณีพิเศษเพื่อช่วยนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ผมและนายกฯ อภิสิทธิ์ได้เข้าเฝ้า ร่วมกับผู้นำประเทศและรัฐมนตรีคลังจากประเทศชั้นนำของโลก ในพระราชวัง Buckingham Palace 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top