Thursday, 8 June 2023
WEEKEND NEWS

'ผู้นำฝ่ายบริหาร' ตอกย้ำทัศนคติ 'ข้าราชการ' เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของปชช. 

บทความจากหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 3 กันยายน 2565 ได้นำเสนอหัวข้อ 'ไม่ใช่นายประชาชน' ซึ่งเขียนถึงการทำงานของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หลังเข้ารับตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 65 โดยระบุว่า...

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ทำหน้าที่รักษาการรองนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งพักการทำหน้าที่นายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น หลังจาก พล.อ.ประวิตรเข้าทำหน้าที่รักษาการนายกฯ ได้ทำหน้าที่ประธานการประชุม ครม. การเสนอความช่วยเหลือแก่ กทม.ในการป้องกันน้ำท่วม การสั่งการในปัญหาที่ประชาชนสนใจ อาทิ กรณีครูลืมเด็กนักเรียนไว้ในรถตู้จนเสียชีวิต 

และล่าสุด ได้ลงพื้นที่ฉะเชิงเทรา มอบนโยบายสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำบางปะกง การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อการผลิตน้ำประปาเพื่อการอุปโภคและบริโภค ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี

รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงปัญหาของฉะเชิงเทราคือน้ำเค็มที่เข้าพื้นที่ และป้องกันไม่ให้น้ำเค็มเข้า จ.ปราจีนบุรี โดยจะอนุมัติงบ 100 กว่าล้านบาท เพื่อศึกษาการทำประตูน้ำป้องกันน้ำเค็ม รวมถึงสำรองน้ำดิบไว้ผลิตถึงปี 2580 และกล่าวด้วยว่า ถ้าประชาชนไม่มีน้ำก็จะด่ารัฐบาล ประชาชนมีอย่างเดียวคือต้องด่ารัฐบาล แต่ขอความเห็นใจให้ข้าราชการทุกคนที่พยายามทำงานให้พวกเราได้อยู่ดีกินดีขึ้นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และเข้าใจน้ำเค็มที่ทะลักเข้ามาจะมีผล โดยเฉพาะน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนในฉะเชิงเทรา จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งหาแนวทางเพื่อให้เป็นระบบในระยะยาวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทุกปี 

ผอ. PCT เตือนภัย คนร้ายเหยื่ออ้างเป็นสรรพากร ส่งลิงค์ปลอม คลิ๊กเดียวสูญเงินหมดบัญชี

วันนี้ (3 ก.ย. 65) เวลา 09.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT เปิดเผย คนร้ายใช้วิธีโทรศัพท์หาผู้เสียหายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร หลอกส่งลิงค์เว็บไซต์ปลอม ถอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า วิธีการของคนร้ายจะอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร บอกเหยื่อว่าไม่ได้ยื่นชำระภาษีประจำปี 2564 เมื่อพูดคุยสอบถามรายละเอียด ถ้าเหยื่อมีรายได้ไม่ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท สรรพากรจะดำเนินการคืนภาษีให้ โดยได้ส่งลิงค์ http://acgd6.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ปลอมที่มีหน้าตาเหมือนเว็บไซต์ของสรรพากรจริงๆ ให้ผู้เสียหายเข้าไปลงทะเบียน และเมื่อผู้เสียหายกดขอคืนเงินภาษีในเว็บไซต์ดังกล่าว จะส่งเลขรหัส OTP 6 ตัวแจ้งเข้ามาในเครื่องโทรศัพท์ของเหยื่อ จากนั้นคนร้ายจะขอรหัสไป และจะสามารถเข้าควบคุมเครื่องโทรศัพท์ของผู้เสียหาย และถอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายไปจนหมดบัญชี   นอกจากนั้นยังได้ข่มขู่เอาเงินเพิ่มจากผู้เสียหาย โดยอ้างว่ามีภาพหรือข้อมูลลับที่ได้จากเครื่องผู้เสียหายไป

หลักสูตร สสสส.12 สถาบันพระปกเกล้า จัดเวทีสาธารณะเสวนา 'สันติภาพเชิงสร้างสรรค์ สัมพันธภาพใหม่ ที่ยั่งยืน' หนุนวิชาการสู่การปฏิบัติจริง

เมื่อวันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 นักศึกษาหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 12 (สสสส.12) สถาบันพระปกเกล้า ได้จัดการเผยแพร่ผลงานวิชาการในรูปแบบเวทีสาธารณะภายใต้หัวข้อ 'สันติภาพเชิงสร้างสรรค์ สัมพันธภาพใหม่ ที่ยั่งยืน' (Sustainability in Inventive Peace and Brand-New Relationships) เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข การปฏิบัติงานในพื้นที่จริง และการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งจากนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ตลอด 9 เดือนสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ที่ครอบคลุมมิติซึ่งมีผลต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเสริมสร้างสังคมสันติสุขอย่างยั่งยืน

โดยได้รับเกียรติจาก นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เป็นผู้กล่าวเปิดงาน และรับฟังปาฐกถาพิเศษเรื่อง 'สัมพันธภาพใหม่ของการพัฒนาคน เพื่อสันติภาพที่ยั่งยืน' โดย ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้นเป็นการเสวนานำเสนอผลงานวิชาการของนักศึกษาหลักสูตร สสสส.12 'เสียงสะท้อนจากผู้คน งานและการเดินทาง สู่ข้อเสนอเพื่อสันติภาพอย่างยั้งยืน' โดยผู้แทนนักศึกษา 5 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มการเมือง 1,2 กลุ่มภาคใต้ กลุ่มสิ่งแวดล้อม และกลุ่มพหุวัฒนธรรม

'เทนนิส' ผงาดคว้าเหรียญทองเทควันโด ในศึก 'ปารีส เวิลด์ เทควันโด กรังด์ปรีซ์ 2022'

'เทนนิส' พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ต้องเหนื่อยในรอบ 4 คนสุดท้าย แต่ยังดีพอที่จะผ่านเข้ารอบชิงฯ ก่อนเอาชนะจอมเตะจากตุรกี คว้าเหรียญทองเทควันโด รายการ 'ปารีส เวิลด์ เทควันโด กรังด์ปรีซ์ 2022' ได้สำเร็จ

การแข่งขันกีฬาเทควันโดระดับเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ รายการ 'ปารีส เวิลด์ เทควันโด กรังด์ปรีซ์ 2022' ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 มีจอมเตะจากไทยลงแข่งขันกันทั้งหมด 2 รุ่น ในรุ่น 49 กิโลกรัมหญิง และรุ่น 57 กิโลกรัมหญิง

ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ประเภท 49 กิโลกรัมหญิง 'เทนนิส' พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จอมเตะฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก 2020 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มือวางอันดับ 1 ของรุ่น ลงทำการแข่งขัน และได้ชนะบายในรอบแรก

ขณะที่ในรอบสอง หรือรอบ 16 คนสุดท้าย พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เอาชนะอูไมมา เอล บูห์ติ จากโมร็อคโก ไป 2-0 ยก ต่อด้วยรอบ 8 คนสุดท้าย ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเอาชนะ เลนา สโตโควิค จากโครเอเชีย ไปได้ 2-0 ยก ตบเท้าเข้ารอบ 4 คนสุดท้าย

'ดร.สมเกียรติ' เทียบชัดๆ 50 ปีก่อน 50 ปีหลัง แม้คุณจะไม่เปลี่ยน แต่โลกเปลี่ยนไปแล้ว

ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้...

50-50 คุณไม่เปลี่ยน | โลกเปลี่ยนไปแล้ว

50 ปีก่อน..ผู้คนอยากมีลูก
50 ปีหลัง..ผู้คนกลัวการมีลูก

50 ปีก่อน..ชายตามจีบหญิง
50 ปีหลัง..หญิงตามจีบชาย

50 ปีก่อน..แต่งงานง่าย หย่าร้างยาก
50 ปีหลัง..แต่งงานยาก หย่าร้างง่าย

50 ปีก่อน..ไม่มีเพื่อนบ้านที่ไม่รู้จักใคร
50 ปีหลัง..ไม่รู้จักเพื่อนบ้านสักคน

50 ปีก่อน..ลูกจ้างต้องคอยดูสีหน้าเถ้าแก่
50 ปีหลัง..เถ้าแก่ต้องคอยดูสีหน้าลูกจ้าง

50 ปีก่อน..กลางคืนสามารถเปิดหน้าต่างนอนได้
50 ปีหลัง..กลางวันแสกๆ ยังต้องล็อกประตูแน่นหนา

50 ปีก่อน..มีเงิน แสร้งทำเป็นไม่มี
50 ปีหลัง..ไม่มีเงิน แสร้งทำเป็นมีเงิน

50 ปีก่อน..เรียนพิมพ์ดีดทำงานแบงก์ แสนมั่นคง
50 ปีหลัง..งานแบงค์เป็นหนึ่งในงานที่ไม่มั่นคง

50 ปีก่อน..พ่อแม่ค้าขาย ส่งลูกเรียนสูงๆ
50 ปีหลัง..ลูกจบสูงๆ ออกมาค้าขาย

'พงศ์พรหม' ดึงสติ!! สังคมปลื้มกระแส 'รวยทิพย์' อย่าหลง!! เพราะทุกการถ่ายอวด ก็เพื่อโกงคนอื่นต่อ

ถือเป็นอีกมุมมองในการเตือนสติสังคมนิยมความรวยด้วยความไม่พยายามที่น่าสนใจ เมื่อนายพงศ์พรหม ยามะรัต รองโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

จากกระแส 'รวยทิพย์' ที่ผมคุยกับคนรอบตัวมานาน ว่ามันคือระเบิดเวลาที่จะทะยอยระเบิดมาเรื่อยๆ

ดูง่ายๆ ครับ
เศรษฐกิจไทยดีขึ้น หรือเลวลง?

แล้วในวันที่เศรษฐกิจเลวลง ทำไมอยู่ๆ มีคนกลุ่มหนึ่งว่างปาร์ตี้ ว่างถ่ายรูปกับรถ

ว่างโพสต์รูปเงินกับธุรกิจที่ไม่เห็นว่าจะมี 'นวัตกรรม' อะไร?

ผมนั่งดูรายละเอียดสินค้า
ขายคอลลาเจน ทำบริษัทอีเว้นท์

ธุรกิจเหล่านี้กำลังอยู่ในกระแสลงทั้งสิ้น

คำถามคือเอาเงินจากไหนมาอวดสังคม?

เอาแค่ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ยอดเงินที่ระเบิดจากนักรวยทิพย์ก็จะเกิน 5,000 ล้านบาทแล้ว

จริงๆ แล้วมันคือกระแส 'ถ่ายอวดปอร์เช่' เพื่อโกงเงินคนอื่น แต่ไม่มีกระแสเงินอยู่จริงตั้งแต่เริ่ม

ใครสังเกต ผมมักโพสต์วิธีการคิดการเป็นอยู่อย่างมีสติ มีเหตุผล เก็บออม และใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามลำดับความสำคัญเสมอ

เกริ่นมายาว

วันนี้มาแชร์ความคิด 1 ในคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดผมสูงมาก คือ แม่ผมเอง

อาทิตย์ก่อนพาแม่ไปหาหมอ ได้นั่งรถกับแม่ 2 คน
อยู่ๆ แม่เปรยว่า...

กำลังคิดจะเปลี่ยนรถใหม่
จากรถคันเดิมที่แม่ใช้มา 15 ปี

รถคันเดิมแม่เป็นรถที่ราคาถูกที่สุดในบ้าน

เป็นรถญี่ปุ่น C-segment คันเล็กๆ ที่แม่พูดเสมอว่า ค่าดูแลต่ำ ไม่จุกจิก ให้คนขับรถขับง่าย และดีที่ “ไม่ต้องให้ใครมาสนใจฉัน”

'ความพอเพียง' ที่แม่มีนี่แหละ ที่แม่พูดเสมอว่า ดูเอาไว้ แล้วชีวิตจะมีความสุข

การจัดการเงินนั้น แม่จะพูดเสมอว่าอย่าตามกระแส เพราะกระแสจะหลอกเรา

เงินมี ก็ให้เก็บซัก 30% ของรายได้ แล้วแบ่งเป็นเงินสด และเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเสมอ เช่นหุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ จากนั้นคือค่าใช้จ่ายจำเป็น เหลือเท่าไหร่ ค่อยเอาไปใช้กับความฟุ่มเฟือย

ความฟุ่มเฟือย ไม่ผิด เพราะมันทำให้ชีวิตสนุก แต่เงินที่ใช้กับความฟุ่มเฟือย ต้องมาทีหลังการสร้างทรัพย์สิน ตรงนี้สำคัญ!!

จะซื้อของฟุ่มเฟือย จำไว้ ให้มีเงิน 10-20 เท่าของของสิ่งนั้น

จะซื้อกระเป๋า 300,000 บาทได้ แต่ต้องมี 3-6 ล้านบาทที่งอกเพิ่มขึ้นมา จึงจะเอามาซื้อกระเป๋าใหม่ 1 ใบ

แม่จึงเป็นคนใช้รถเก่า มีกระเป๋าแบรนด์เนมน้อยกว่าเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน

แต่รักษาของทุกอย่างเป็นอย่างดี
อยากทานอะไรพิเศษ ก็ไป ไม่ต้องบ่อย แต่ไป

ในวัย 78 ด้วยสภาพคล่องที่ดีของแม่ จากการที่ธนาคารต่างๆชอบประเคนบัตรเครดิตจำพวก 'Premier' มาให้แม่โดยไม่ต้องไปขวนขวายขอ แปลว่าแม่น่าจะซื้อรถประมาณ Mercedes S-class หรือ Land Rover Discovery สบายๆ

พรรคก้าวไกล จัดประชุมสมาชิก “ก้าวไกล NEXT” รายงานผลรับฟังความเห็นทั่วประเทศ พร้อมผลักดันพรรคเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง

พรรคก้าวไกล จัดกิจกรรม “ก้าวไกล NEXT” ซึ่งเป็นแคมเปญรับฟังความเห็นจากประชาชน สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนของพรรค ที่ได้มีการเดินสายจัดเวทีขึ้นตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมทั้งช่องทางออนไลน์มาตลอดช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจนมาถึงวันนี้ ซึ่งเป็นรอบการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในส่วนของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

โดยกิจกรรมหลักของวันนี้ เริ่มต้นขึ้นด้วยการรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนที่ผ่านมาในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ ขึ้นมานำเสนอ โดยมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ขึ้นมานำเสนอภาพรวมของผลการรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมา

พิธา ระบุว่าตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา พรรคได้รับข้อเสนอในช่องทางออนไลน์มามากกว่า 400 ข้อเสนอ, ได้สร้างบทสนทนามากกว่า 5,700 ครั้ง, มีผู้มีส่วนร่วมในการโหวตกว่า 6,000 ครั้ง และมีการเข้าถึงเว็บไซต์กว่า 10,000 ครั้ง และยังมีการเปิดเวทีในพื้นที่กว่า 27 เวที ในทุกภาคทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากโจทย์เรื่องการสื่อสาร การทำงานพื้นที่ และตัวผู้สมัครแล้ว สิ่งที่ได้รับการเสนอเข้ามามากที่สุดคือเรื่องของนโยบาย มากกว่าเรื่องอื่นเป็นเท่าตัวถึง 204 เรื่อง ตามมาด้วยข้อเสนอแนะเรื่องการสื่อสาร และการทำงานพื้นที่ ตามลำดับ

ข้อเสนอเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังของประชาชนที่พร้อมจะสร้างสรรค์ประเทศที่มีอนาคต มีความหวัง ที่คนไทยเท่าเทียมกันและประเทศไทยเท่าทันโลก พรรคก้าวไกลยังมีโจทย์ที่ต้องช่วยกันปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างผู้แทนราษฎรที่มีอุดมการณ์เพื่อความเปลี่ยนแปลง และสามารถทำงานพื้นที่ได้อย่างสมดุล, การสื่อสารท่ามกลางพฤติกรรมการรับสื่อที่เปลี่ยนไป, การทำนโยบายที่ไม่ใช่เพียงแค่การเสนอให้ประชาชนเลือก แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนเข้ามาเสนอและลงมือทำ ภายใต้อุดมการณ์พรรคและความเป็นจริงทางวิชาการ

“เราจะทำให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ไม่ใช่แค่ของ ส.ส. หรือแกนนำพรรคที่เป็น ส.ส. แต่เป็นพรรคที่ประชาชนทุกคนร่วมกันสร้าง เราทำงานเพื่อหวังสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ ตำแหน่ง แต่เพื่อขับเคลื่อนสังคมเราก้าวไปข้างหน้า นี่คือ DNA ของพรรคก้าวไกล เราเชื่อว่าประเทศไทยจะดีขึ้นกว่านี้ได้ และความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจริงได้ ถ้าเราทุกคนมาร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยกัน” พิธา กล่าว

"สมาคมสื่อมวลชนเพื่อสังคม" เปิดโครงการสร้างจิตอาสาสื่อ เฝ้าระวังป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในชุมชน

วันอาทิตย์ ที่ 28 สิงหาคม 2565 ณ ศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชนบ้านคู่คลองเขตตลิ่งชัน บริเวณตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ได้รับเกียรติจาก "นายสมหวัง ชัยประกายวรรณ์" ผู้อำนวยการเขตตลิ่งชัน เป็นประธานเปิดโครงการฯ และได้กล่าวให้กำลังใจกับผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะร่วมมือร่วมใจกันเดูแล สอดส่อง รักษาความสงบสุขของสังคมให้มีความน่าอยู่และปลอดภัย ทั้งนี้ยังมี พ.อ.พิพัฒน์ จงวัฒนาไพศาล(รองผู้บัญชาการโรงเรียนกิจการพลเรือนทหารบก) ท่านผู้นำชุมชน / สภาองค์กรชุมชนเขตตลิ่งชัน / ผู้แทนมูลนิธิร่วมกตัญญู / ผู้แทนสมาคมวิทยากล / ผู้แทนสมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทย / ผู้แทนเครือข่ายต่าง ๆ และผู้เข้าร่วมเป็นเกียรติในการจัดกิจกรรม 

โดย "นายธวัชชัย กิตติรัตนวิวัฒน์" นายกสมาคมสื่อมวลชนเพื่อสังคม ได้กล่าวรายรายงาน และชี้แจงวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรม “โครงการสร้างจิตอาสาสื่อ เฝ้าระวังป้องกันและแก้ไข ปัญหาความรุนแรงในชุมชน”ภายใต้ยุทธศาสตร์แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ ๒๐ ปี ระยะที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๖๑ - ๒๕๖๕) ในยุทธศาสตร์ที่ ๑ ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านที่ 1 มหานครปลอดภัย มิติที่ ๑.๒ ปลอด อาชญากรรมและยาเสพติด ระบุว่า "กรุงเทพมหานครเป็นเมืองปลอดอาชญากรรมปลอดยาเสพติด มีขีดความสามารถในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การรักษาความ สงบเรียบร้อยการควบคุมอาชญากรรมยาเสพติด” ซึ่งที่ผ่านมาปัญหาอาชญากรรม และปัญหายา เสพติด ยังคงเป็นปัญหาหลักในสังคมไทย ซ้ายังส่งผลกระทบไปถึงการดารงชีวิตของประชาชนใน ทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับครอบครัว จะพบเห็นตามข่าว สื่อทีวีทุกช่อง หรือตามสื่อโซเชียล พบว่า ปัญหาที่เกิดจากยาเสพติด ส่งผลต่อพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวและ สังคม ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ ผู้เสพเกิดอาการคุ้มคลั่งประสาทหลอน ทาร้ายร่างกาย ทุบตี ทารุณกรรมบุคคลในครอบครัว กระทั่งก่ออาชญากรรม ทาให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

ดร.ไตรรงค์ ชี้ในประเทศเสรีประชาธิปไตยประชาชนที่เป็นอารยะต้องมีมากกว่าประชาชนที่เป็นอนารยะ(ป่าเถื่อน) การพิจารณาของศาลทุกขั้นตอน ต้องปราศจากความกดดันใดๆ

28 ส.ค.2565-ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเรื่อง “ใครกันแน่ที่เถื่อน” ระบุว่า เมื่อตอนนายโจไบเดน (Joe Biden) ได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่ (Electoral Vote) ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายของสหรัฐอเมริกา  รัฐสภาจะต้องรับรองผลการเลือกตั้งดังกล่าวเสียก่อน โจ ไบเดน จึงจะสามารถเข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ได้  แต่ผู้แพ้เลือกตั้งคือ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้ปลุกระดมกล่าวหาว่าเขาถูกโกงการเลือกตั้งทั้ง ๆ ที่คณะกรรมการเลือกตั้งและศาลได้พิจารณาวินิจฉัยแล้วว่า “ไม่มีการโกง” แต่ด้วยคำโกหกดังกล่าวของนายทรัมป์ได้ปลุกเร้าให้ผู้สนับสนุนตัวเขาได้ก่อม็อบเดินขบวนเข้าไปยึดอาคารรัฐสภา เพื่อขัดขวางการรับรองผลการเลือกตั้ง (เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564) จึงเกิดมีการทำลายข้าวของในรัฐสภา ทำร้ายเจ้าหน้าที่และตำรวจสภาฯจนเกิดการยิงกันตายไปหลายศพและถูกจับกุมไปดำเนินคดีกันเป็นจำนวนมาก

การกระทำของ #ม็อบคนเถื่อน เหล่านั้นได้ทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิของสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำการปกครองในระบอบประชาธิปไตยไปทั่วโลก เพราะเป็นการเปิดเผยให้เห็นว่า มีคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่ยังมีจิตใจป่าเถื่อนไม่มีความเป็นอารยะ กล่าวคือพร้อมจะใช้ความรุนแรงกับทุกฝ่ายโดยไม่ยำเกรงและเคารพกฎหมาย เพียงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ แม้ว่าสิ่งนั้นจะสวนทางกับความต้องการส่วนใหญ่ของประชาชนในประเทศก็ตาม จึงเรียกได้เต็มปากว่าพวกนี้เป็นพวกบูชาระบบ “อนาธิปไตย” ไม่ใช่บูชาระบบ “ประชาธิปไตย” ตามอารยธรรมที่พวกเขาใช้ประกาศกันในการหาเสียงระหว่างการเลือกตั้ง (ซึ่งมันสะท้อนออกมาในรูปของนโยบายต่างประเทศและนโยบายกลาโหมตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน)

มีอยู่หลายครั้งในหลายๆ ประเทศที่เมื่อศาลสถิตยุติธรรม หรือศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำพิพากษา ที่ไม่ตรงกับผลประโยชน์ที่พวกตนต้องการ ผู้ถูกศาลลงโทษ (ส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง) ก็จะแหกปากตำหนิติเตียนศาลฯว่าเป็นผู้ที่มิได้มาจากการเลือกตั้งเหมือนพวกตน มีความชอบธรรมอะไรจึงมาพิพากษาลงโทษพวกตนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าหยุดคิดเสียสักหน่อยก็ควรจะได้สติกันว่าการเลือกตั้งนั้นเป็นเพียงการบ่งบอกถึงความชอบหรือไม่ชอบของประชาชน แต่จะนำผลการเลือกตั้งนั้นมาใช้กับกระบวนการยุติธรรมย่อมไม่ได้ เพราะการพิจารณาของทุกศาลทุกแบบล้วนอาศัยหลักกฎหมายที่ประกอบด้วยทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงไม่มีอะไรเกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบของประชาชน ถ้าศาลฯลงโทษผู้ใดก็โปรดเชื่อเถอะว่าศาลได้ใช้ดุลยพินิจด้วยความรอบคอบตามหลักข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เพราะมีหลักกฎหมายที่ใช้กันทั่วโลกมาเป็นพันปีแล้วอยู่ข้อหนึ่งก็คือ “บุคคลจะไม่ต้องรับโทษถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดเอาไว้”

ในประเทศเสรีประชาธิปไตยประชาชนที่เป็นอารยะต้องมีมากกว่าประชาชนที่เป็นอนารยะ(ป่าเถื่อน) ประเทศทั้งหลายถึงสามารถเดินหน้าไปได้ด้วยความราบรื่น โดยอาศัยคนส่วนใหญ่ยังยึดหลักนิติธรรมเป็นใหญ่เอาไว้ด้วยความมั่นคง การพิจารณาของศาลทุกขั้นตอน (ของทุกๆศาล) ต้องปราศจากความกดดันใดๆ ของทุกๆ ฝ่ายทั้งจากนักการเมือง พรรคการเมือง และกลุ่มม็อบทุกชนิด

รัฐบาลปลื้มส่งออกมันสำปะหลังครึ่งปีแรกกว่า 6.7 ล้านตัน รวมมูลค่ากว่า 8.2 หมื่นล้านบาท ลุ้นยอดทั้งปีทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 15 ปี ด้วยมูลค่าส่งออก 1.3 แสนล้านบาท

28 ส.ค. 2565 – นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลชื่นชมผลสำเร็จ ตามที่ผลการส่งออกมันสำปะหลังไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2565 มีจำนวนกว่า 6.7 ล้านตัน รวมมูลค่า 8.2 หมื่นล้านบาท พร้อมกำชับทุกฝ่ายร่วมพิจารณามาตรการเพิ่มการส่งออกให้บรรลุเป้าหมาย 1.3 แสนล้านบาท
.
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งดำเนินมาตรการประกันราคาผลผลิต และรายได้เกษตรกรมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งแสวงหาตลาดแก่ผู้ประกอบการค้ามันสำปะหลังทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) รายงานการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ได้แก่ มันเส้น มันอัดเม็ด แป้งดิบ แป้งแปรรูป และอื่น ๆ (กากมัน และสาคู) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 นี้ มีอัตราการส่งออกแล้วกว่า 6.7 ล้านตัน รวมมูลค่ากว่า 8.2 หมื่นล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ถือว่ามีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 35.16% ทั้งนี้ เกิดจากปัจจัยด้านสงครามที่ส่งผลต่อวัตถุดิบทางการเกษตรและอาหารทั่วโลก โรงงานอาหารสัตว์ฟื้นตัวจากผลกระทบโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) และโดยเฉพาะความต้องการมันเส้นเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ของจีนสูง ทำให้ตลาดมันสำปะหลังไทยขยายตัว
.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top