Thursday, 9 May 2024
NEWS FEED

เพจ '2475 Dawn of Revolution' ถูกรุมรีพอร์ตโพสต์หนังสือการ์ตูน คาด!! เพราะเนื้อหาอิงหลักฐาน อาจเบิกเนตรผู้คนจากผู้แหกตา

(8 พ.ค. 67) เพจ '2475 Dawn of Revolution' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

เปิดเฟซมา ตกใจ เจอหน้าต่างเด้งเตือน
ว่าเพจโดนลบโพสต์ เพราะมีคนไปรีพอร์ตข้อหาสแปม 
ก็เลยใช้สิทธิ ‘วีโต้’ คัดค้านกลับไป 
จนเฟซบุ๊ก คืนโพสต์กลับมา 

เฮ้ออออ ขอพื้นที่เสรีภาพทางวิชาการหน่อยสิครับ 😆

📣📣📣 เปิดพรีออเดอร์ 🔥🔥🔥
หนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ 
ดัดแปลงจาก ภาพยนตร์แอนิเมชัน
ปกแข็ง เย็บกี่ ขนาด A5  พิมพ์สี่สี ทั้งเล่ม
จำนวน 440-480 หน้า

โอนเงินสั่งจองได้ที่ 
ธนาคารกสิกรไทย 
ชื่อบัญชี  บจก.นาคราพิวัฒน์ 
เลขที่บัญชี 1518061840

💝 สั่งจองหนังสือ โดยส่งข้อมูลตามแบบฟอร์มได้ที่ 
https://forms.gle/Ls647MmQh39qmXYD8

** หากจองผ่าน Form ไม่ได้ ให้ติดต่อทาง inbox เพจนะครับ **

‘พีระพันธุ์’ รับมอบพวงมาลัยขอบคุณจาก ‘ส.ต.ต.พิจักษณ์’ หลังได้ช่วยเหลือเรื่องสูติบัตร จนเข้าเรียนนายร้อยได้สำเร็จ

(8 พ.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล ส.ต.ต.พิจักษณ์ ทองใสเกลี้ยง เข้าพบ และมอบพวงมาลัยเพื่อขอบคุณนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ช่วยติดต่อประสานงาน ในกรณีที่ตนขาดคุณสมบัติ และเอกสารบางอย่าง ในการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เหล่าตำรวจ

“สูติบัตรของผม ไม่ปรากฏบิดาโดยกำเนิด จึงไม่มีเอกสารเอาไปยื่นต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งต้องเข้ารายงานตัว วันที่ 10 พ.ค. 2567 และรายตัวต่อโรงเรียนเตรียมทหาร 12 พ.ค. 2567 ซี่งท่านพีระพันธุ์ ได้ให้ความช่วยเหลือ ประสานกับทางโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง ให้พิจารณาคุณสมบัติของผมอีกที”

ส.ต.ต.พิจักษณ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทางครอบครัวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็อาจทำให้ขาดเอกสารแบบตน ซึ่งก็จะเป็นการปิดกั้นโอกาสเด็กรุ่นใหม่ในการเป็นทหาร ตำรวจ ทั้งนี้ ตนอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก เพราะมีความชอบ และมีญาติเป็นตำรวจด้วย จึงตั้งใจเข้าสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร

ด้านนายพีระพันธุ์ รับพวงมาลัย พร้อมกล่าวอวยพรและให้สัมภาษณ์ว่า ส.ต.ต.พิจักษณ์ ได้มาขอความช่วยเหลือหลังจากที่เป็นนักเรียนนายสิบแล้ว ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ แต่ก็มาเกิดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ตนจึงได้เชิญแม่ ส.ต.ต.พิจักษณ์ มาพูดคุย และให้คนไปตรวจสอบในพื้นที่ ก็เชื่อได้ว่าพ่อ ของ ส.ต.ต.พิจักษณ์ เป็นคนไทยแน่นอน มีตัวตนจริง เพียงแต่ตามตัวไม่เจอ แต่คนที่อยู่ในพื้นที่รู้จักดี จึงเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง และได้ให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปช่วยดูว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง  

"ก็ต้องขอบคุณอธิบดีกรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นต้นทาง ในการให้ข้อเท็จจริง รวมถึงรักษาการ ผบ.ตร. ที่ดูแลเป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานต่าง ๆ ก็ให้ความเป็นธรรมที่ถูกต้อง จึงขอให้น้องประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลประชาชน ตัวเองเคยผ่านเรื่องเดือดร้อนมาเยอะ วันนี้จะมีโอกาสดูแลคนอื่นแล้ว ก็ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"

นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่าจากกรณีนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีการแก้กฎหมายหรือกฎระเบียบ เพราะหน่วยต้นสังกัด คือตำรวจ ตรวจสอบหมดแล้ว

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็น”สมรภูมิ” ของ”ยาเสพติด”

ล่าสุดจับได้ 8จ ล้านบาท  ดังนั้นการแก้ปัญหายาเสพติดยังเป็น”งานหนัก” ของ”ทวี สอดส่อง”  รัฐมนตรียุติธรรม หลังรับตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง นโยบายแรกๆของที่”ทวี” ลงพื้นที่และกล่าวกับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ การ”แก้ปัญหายาเสพติด” ที่เป็นปัญหา”ความทุกข์” ของประชาชน และเป็นปัญหาของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ “ยาเสพติด” ที่ “ผลิตจากประเทศเพื่อนบ้าน” ครึ่งหนึ่ง” ถูก ขบวนการค้ายาเสพติด ลำเลียงมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่ง จำหน่าย ในพื้นที่ ส่วนหนึ่ง ส่งไปยังประเทศที่สาม โดยผ่านทางแนวตะเข็บจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้าน จ.นราธิวาส สงขลา และ สตูล เข้าสู่ประเทศมาเลเซีย ก่อนที่จะอาศัย เส้นทางขนส่ง จาก มาเลเซีย ไปยังประเทศต่างๆ ตามความต้องการของ ขบวนการ ผู้ค้ายาเสพติดระดับโลก “ผมเป็นหนี้บุญคุณของคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เลือกผมและ สส.ของพรรคประชาติเข้ามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ดังนั้นผมจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นความทุกข์ร้อนของคนในพื้นที่ ซึ่งมีความเดือดร้อนมากมาย ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน  เรื่องอาชีพ เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร และ อื่นๆ  แต่เรื่อง”ยาเสพติด” เป็นเรื่องของความ”ทุกข์ใจ” สำหรับ ครอบครัวที่มีผู้ติดยาเสพติด และชุมชนที่มีผู้ติดยาเสพติด ซึ่งวันนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ที่ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน” นี้คือ บางช่วง บางตอน ที่” ทวี” ได้”สื่อสาร” กับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ”สื่อสาร”กับ”สื่อ” ที่ติดตาม รายงานข่าว ในการลงพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้และนี่คือที่มาของ”โครงการแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน ของกระทรวงยุติธรรม ซึ่ง” ทวี” กล่าวทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเพื่อ พบปะกับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่ผ่านมา” ตำรวจ ,ทหาร, ปกครอง ,ปปส, และ หน่วยงานราชการมากมาย ได้เข้าไปทำการแก้ปัญหา ยาเสพติด กันมาโดยตลอด แต่ ปัญหายาเสพติด นอกจากไม่ลดลง ยังเพิ่มมากขึ้น ทั้ง ผู้เสพ ผู้ขาย และ จำนวน ยาเสพติด ที่ลำเลียงจากประเทศเพื่อน เข้ามายังประเทศไทย ทำให้รู้ว่า ยาเสพติด “ไม่กลัวทหาร ,ไม่กลัวตำรวจ, ไม่กลัว พรบ.ฉุกเฉิน ,ไม่กลัว กฎอัยการศึก, เพราะถ้ากลัว ป่านนี้ยาเสพติดคงจะ ถูกปราบปรามหมดไปจากประเทศแล้ว ในอดีต ยาเสพติด กลัวผู้นำศาสนา  แต่ ในปัจจุบัน ก็ไม่แน่ใจ เพราะใน” ปอเนาะ, ในโรงเรียนสอนศาสนา, ก็มีผู้ที่ติดยาเสพติด ดังนั้นโครงการ แก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน จึงเป็นอีก”ทางเลือกหนึ่ง” ของการแก้ปัญหายาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการให้ประชาชน ในชุมชน หมู่บ้าน ตำบล  ร่วมกันคิดและการ”ออกแบบ” การแก้ปัญหายาเสพติด และ กระทรวงยุติธรรม ให้การสนับสนุน งบประมาณ ตาม แผนงาน โครงการ ที่ผ่านการร่วมคิดร่วมทำด้วยกัน

ซึ่ง สามเดือนที่ผ่านมาที่ได้ ขับเคลื่อน โครงการ แก้ปัญหายาเสพติด โดยคณะทำงานที่เป็นภาคประชาชน มี พล.อ.วิชาญ สุขสง เป็นหัวหน้าคณะทำงานด้าน “ยุทธศาสตร์ “ และ คณะที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น กลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน นักวิชาการ และ องค์กรต่างๆ มี ตำบลต่างๆ ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาสาเข้ามาเป็น “ตำบลอาสา” แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว 60 ตำบล มีการประชุมเพื่อกำหนด”ยุทธศาสตร์” เพื่อการ “ปฏิบัติการ” มีการนำตัวแทนของประชาชน”ตำบลอาสา ๆละ 2 คน จำนวน 120 คน ไป ศึกษาดูงาน”ตำบลต้นแบบ” ของการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ จ.ลพบุรี และ จ.นนทบุรี และ ขณะนี้ ให้ทุกตำบล เขียนโครงการ เพื่อของบประมาณ เพื่อ ปฏิบัติการ แก้ปัญหายาเสพติด ให้เป็นผลสำเร็จ ตามแผนที่ประชาชนในตำบลอาสา แต่ละตำบล ได้ร่วมกันประชุมร่วมกันคิดรวมกัน ออกแบบ และหลังจากที่มีการให้ งบประมาณ กับทุกตำบลที่เข้าร่วมโครงการ ตำบลอาสา แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว ทั้ง 60 ตำบล จะเริ่มปฏิบัติการทันทีสำหรับสถานการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวกับการระบาดของยาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้  เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา  เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี  ได้มีการแถลงข่าวการจับกุม ยาเสพติดรายใหญ่ เป็นยาบ้า 1.400,000 เม็ด และ ยาไอซ์ 350 กิโลกรัม  ได้ผู้ต้องหา 4 คน รถยนต์จำนวน 3 คัน โดยมูลค่าของกลางที่จับได้อยู่ที่ 80 ล้านบาท ทั้งหมดรับว่า จะลำเลียงยาเสพติดทั้งหมดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ที่สำคัญยาบ้าวันนี้ราคาเม็ดละ 5 บาทเท่านั้นนี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่มีการจับกุม ยังไม่รวมคดี ยาเสพติด อีกมาหมาย ที่ถูก จับกุม และที่ หลุดรอด ไปได้ ที่มี มากกว่าหลายเท่า สถานการณ์ของ ยาเสพติด ที่ ทะลักเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา ที่มีการทำ สงคราม ทำให้ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต้องการใช้เงินเพื่อทำสงครามภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจำนวนยาเสพติดจึงทะลักเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้นๆ และถ้าติดตามการจับกุมกลุ่มผู้ค้า จะพบว่าเป็นคนจาก จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นจำนวนมาก และจากคำให้การหลังถูกจับกุม ไม่ว่าจะถูกจับที่ภาคไหนของระเทศไทย ทุกคนจะให้การว่า นำยาเสพติดเหล่านั้นมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้  

ดังนั้น จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะไม่มีโรงงาน ผลิตยาเสพติด แต่เป็น “ตลาดใหญ่ของยาเสพติด” เป็น”สมรภูมิ” ของการค้ายาเสพติด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย การปราบปรามยาเสพติด การที่จะ”เอาชนะ” ขบวนการค้ายาเสพติด” และการที่จะเอา”ผู้ขาย” และ”ผู้เสพ” ออกจาก”หมู่บ้าน ตำบล” ตามนโยบาย”การแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน” ที่เป็นนโยบายของกระทรวงยุติธรรมภายใต้การ”กำกับดูแล” ของ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งนอกจากจะเป็น”ความหวัง” ของคนในพื้นที่แล้ว ยังเป็นภารกิจที่”ท้าทาย” ครั้งสำคัญของ”พ.ต.อ.ทวี สองส่อง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นอย่างยิ่ง

‘นักวิชาการ’ ชี้!! ข้าวเก่าค้าง 10 ปี เชื้อราเพียบ ใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานรับเคราะห์เต็มๆ

(8 พ.ค.67) รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิย์ กินข้าวค้างสต๊อก 10 ปีโชว์ว่ายังนุ่มนวลพร้อมนำออกประมูล ว่า…

จากกรณีที่เอาข้าวเก่า ค้าง 10 ปี มาหุงรัปทานโชว์กัน ขอบอกว่าท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานว่า ข้าวนั้นทานได้ ก็รับเคราะห์ไปด้วยค่ะ

1.ปกติอาหารสัตว์ เราจะเก็บพวกธัญเมล็ดต่าง ๆ (รวมถึงข้าว) ได้อย่างมาก 1 ปี ที่อุณหภูมิห้อง เช่นเดียวกับที่โรงสีที่โชว์เก็บ แต่ก่อนเก็บนอกจากรมควันแล้ว ความชื้นในเมล็ดธัญพืชจะต้องไม่เกิน 12% เพราะพวกนี้สามารถดูดซึมน้ำกลับได้ ซึ่งสภาพการเก็บของโรงสีที่เห็น ใส่ในกระสอบป่าน โอกาสดูดซึมน้ำกลับ ทำให้ความชื้นของเมล็ดข้าวสูงขึ้นแน่นอน

หากจะเก็บไว้นานกว่านี้ต้องเก็บในสภาพเย็นแบบแห้ง (Cold dry processing)* อุณหภูมิต้องไม่เกิน 13 °C ทำให้แมลงไม่ฟักออกเป็นตัว*

2.กระสอบป่านที่เก็บข้าว สภาพที่เห็น วางทับซ้อนกันสูงมาก อากาศไม่ถ่ายเท ส่งเสริมการดูดซึมน้ำกลับ ความชื้นในเมล็ดข้าวสูงขึ้น ส่งเสริมการเจริญของมอดแมลงต่าง ๆ
3.แม้จะรมยาแต่สถาพการวางทับกระสอบ รมยาไม่ทั่วถึงแน่นอน เพราะข้าวที่เอามาหุงแสดง ขณะล้างฟ้องอยู่แล้วว่ามีมอดข้าว ด้วง
4.การที่เมล็ดข้าวมีความชื้น ส่งเสริมการเติบโตของมอด แมลงต่าง ๆ* หลักฐานประจักษ์ขณะซาวข้าว (15 ครั้ง ตามข่าว ซึ่งข้าวปกติเราล้างไม่ถึง 3 ครั้ง)
5. การมีมอดแมลง มูลของแมลงเหล่านี้นำมาซึ่งการเจริญของเชื้อรา และแบคทีเรีย* ทำให้เน่าได้รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว
6.จากสภาพข้าวที่หุงออกมา จะมีข้าวจำนวนไม่น้อย ที่มีสีน้ำตาลตรงปลายเมล็ด นั่นคือเม็ดข้าวที่ขึ้นรา อย่างน้อยต้องตรวจพบสารพิษอะฟลา 1 ตัว ตรวจง่าย ๆ โดยใช้เทคนิค บี จี วาย ฟลูโอเรสเซนท์ (Bright Greenish-Yellow Fluorescent) **ซึ่งสารนี้ทนอุณหภูมิได้ถึง 250°C** และยังจะมีสารพิษอื่น ๆ ตามมาอีกหลายตัว อุณหภูมิข้าวที่เราหุงน้ำเดือด 100°C ไม่สามารถทำลายพิษจากเชื้อราได้ อาจได้แค่แบคทีเรียจากมูลของแมลง

เห็นเจตนาดีของท่านที่จะหาเงินกลับคืน ขอแนะนำว่า…

1.อย่าขายให้คนหรือสัตว์นำไปบริโภค ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเราจะมีคนป่วยด้วยมะเร็งมากขึ้น สำหรับผู้บริโภคโดยตรง
2.กรณีนำไปเลี้ยงสัตว์ เราจะได้ผลิตภัณฑ์ เนื้อ นม ไข่ ที่มีสารพิษจากเชื้อราตกค้างในอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น
3.การนำไปขายให้แอฟริกา ชื่อเสียงข้าวเน่าเสียของไทยจะกระจายไปทั่วโลก คู่แข่งเราจะได้เปรียบ กว่าเราจะกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาคงหลายปี เสียตลาดข้าวให้คู่แข่ง โดยเขาไม่ต้องออกแรงเลย และที่สำคัญบาปตกอยู่กับผู้คิด ผู้ขาย แน่นอน
4.ขอแนะนำให้นำข้าวเหล่านี้ ไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ หรือน้ำส้มสายชู จะดีกว่า สอบถามนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์การอาหารต่อไปค่ะ

หมายเหตุ : การตรวจสอบสารพิษเหล่านี้ มีตามมหาวิทยาลัยที่มีห้องแลปตรวจอาหารทั่วไปหรือกรมปศุสัตว์หรือบริษัทรับตรวจสารพิษในอาหาร

'ไทย สมายล์ บัส' ไล่ออก!! 'กัปตันเมล์-บัสโฮสเตส' ใช้วาจาไม่สุภาพ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อผู้โดยสาร

(8 พ.ค. 67) จากเพจ 'ไทยสมายล์บัส' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ไทย สมายล์ บัส สั่งลงโทษ 'กัปตันเมล์-บัสโฮสเตส' ใช้วาจาไม่สุภาพ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อผู้โดยสาร โดยให้พ้นสภาพการเป็นพนักงานทันที ซึ่งทางบริษัทต้องการยกระดับการให้บริการขนส่งสาธารณะ ที่สะดวก ปลอดภัย และเป็นมิตรกับผู้ใช้บริการทุกคน

ทุกเคสที่ผู้โดยสารพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะของพนักงาน และได้แจ้งร้องเรียนเข้ามาทาง In-box ‘ทางบริษัทได้รับเรื่อง พร้อมทำการตรวจสอบทุกเคส’ หากพบว่ามีความผิดจริง บริษัทจะดำเนินการลงโทษพนักงานตามมาตรการต่อไปโดยไม่มีการเลือกปฎิบัติ

อัปเดต 5 ธุรกิจ ‘เสี่ยโน้ส อุดม แต้พานิช’ อีกหนึ่งบทบาทสำคัญนอกเหนือทอล์กโชว์

(8 พ.ค.67) สำนักข่าวอิศราได้รายงานว่า กลายเป็นประเด็นดรามา-ทอล์ก ออฟทาวน์อีกครั้ง ของ ‘โน้ส-อุดม แต้พานิช’ นักทอล์กโชว์ชื่อดัง

ล่าสุดผ่านเพจ Netflix แอปบริการสตรีมมิ่งชื่อดัง ได้โพสต์คลิปโปรโมตทอล์กโชว์ ‘เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์’ เนื้อหาบางช่วงพูดดึงความพอเพียง เหน็บ ๆ หยิก ๆ สับ ๆ ‘คนรวยลงรถตู้ทำเศรษฐกิจพอเพียง’ สร้างความไม่พอใจแก่คนในสังคม เหล่าคนดังจำนวนมาก บางรายออกมาโพสต์โต้กลับดุเดือดทำนองคราวหน้าคราวหลังอย่าทำเยี่ยงนี้อีก

หากจำกันได้ 2 ปี ก่อนยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี วันที่ 11 ตุลาคม 2565 ‘โน้ส’ก็ออกมาทอล์กโชว์ พาดพิงเรื่องกู้เงิน, ผลงาน ฯลฯ แต่ไม่พูดถึงมาหยิกขบประเด็นทุจริตโครงการขนาดใหญ่อย่างกรณีรับจำนำข้าว ฯลฯ จนแฟนคลับลุงบอกว่า ‘โน้สเลือกข้าง’

ในมุมธุรกิจที่เคยนำข้อมูลมารายงานไปแล้ว นักพูดรายนี้ถือหุ้นและ/หรือเป็นกรรมการ 5 บริษัท ได้แก่…

1.บริษัท ลองรวย จำกัด ขายของชำ
2.บริษัท ทุเรียน จำกัด จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม ไอศกรีม และเบเกอรี่
3.บริษัท พอดีพานิช จำกัด ออกแบบผลิตภัณฑ์ รับจ้างการแสดง และเขียนหนังสือเพื่อจำหน่าย 
4.บริษัท เมดอินแฮปปี้แลนด์ จำกัด จัดการแสดงทางธุรกิจและการแสดงสินค้า (จัดงานแสดงโชว์ รับจ้างแสดง ถ่ายโฆษณา แสดงแบบ)
5.บริษัท เอ็ม.โอ.ดี.ช็อป จำกัด ออกแบบและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก

ผลประกอบการรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 มีกำไรสุทธิเพียงบริษัทเดียว คือ บริษัทคือ บริษัท เมดอินแฮปปี้แลนด์ จำกัด รายได้รวม 28,608,901.97 บาท กำไรสุทธิ 895,887.29 บาท งบดุล สินทรัพย์รวม 99,224,807.71 บาท หนี้สิน 87,180,540.19 บาท กำไรสะสม 7,044,267.52 บาท อีก 4 บริษัทแจ้งผลประกอบการขาดทุน

ผ่านมาเกือบ 2 ปี ในช่วงกระแสเชี่ยว มาอัปเดตสถานะของเขาอีกครั้ง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ‘โน้ส อุดม’ ยังมีชื่อเป็นกรรมการและหรือถือหุ้นธุรกิจ 5 บริษัท ที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสำคัญคือ 2 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน

1.บริษัท เมดอินแฮปปี้แลนด์ จำกัด รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 2564 รายได้รวม 28,608,901.97 บาท กำไรสุทธิ 895,887.29 บาท รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2565 รายได้รวม 230,817,842.82 บาท กำไรสุทธิ 43,630,419.66 บาท เปรียบเทียบตัวเลข 2 ปี รายได้เพิ่มขึ้น 202,208,941 บาท กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 42,734,532 บาท

2.บริษัท เอ็ม.โอ.ดี.ช็อป จำกัด ออกแบบและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 รายได้รวม 29,346.14 บาท ขาดทุนสุทธิ 304,253.57 บาท รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2565 รายได้รวม 16,758,915.14 บาท กำไรสุทธิ 826,789.83 บาท เปรียบเทียบตัวเลข 2 ปี รายได้เพิ่มขึ้น 16,729,569 บาท กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 522,536 บาท

ขณะที่ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ลองรวย จำกัด บริษัท ทุเรียน จำกัด และ บริษัท พอดีพานิช จำกัด ผลประกอบการรายได้หลักหมื่นบาท และ 1.4 ล้านบาท ตามลำดับ ขาดทุนสุทธิเหมือนเดิม

สำหรับคนดังที่ร่วมหุ้นกับ ‘โน้ส’ มี นายอัครเดช ยอดจำปา (ก้อง ห้วยไร่ นักร้องลูกทุ่ง หมอลำ) ใน บริษัท ลองรวย จำกัด ด้วย

จากตัวเลขผลประกอบการ เห็นได้ว่า ผ่านไปเกือบ 2 ปี ฐานะทางธุรกิจเจ้าของทอล์กโชว์มั่งคั่งมากขึ้นจาก ‘โน้ส’ เป็น ‘เสี่ยโน้ส’ ไปแล้ว ?

สืบนครบาล รวบ บัญชีม้ามิจฉาชีพหลอกให้กู้เงินออนไลน์ ใช้อุบายให้โอนค่าค้ำประกันเงินกู้ต่างๆ สุดท้ายสูญเงิน

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร  ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดย ชุดลาดตระเวนออนไลน์บก.สส.บช.น. ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผู้เสียหายผ่านเพจ สืบนครบาล IDMB ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายกิจประดิษฐ โฆษณาให้กู้ยืมเงินออนไลน์แอดไลน์ชื่อบัญชี จ๊ะจ๋า และได้สนทนาว่าสนใจกู้ยืมเงินจำนวน 160,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน) ผู้ไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี นายกิจประดิษฐ์ 

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์, พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก สส.บช.น., พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. และ พ.ต.ท.สัญญลักษ์ สังขะภักดี สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.
ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.ชาญชัย น่าดู รอง สว.กก.สส.3 ฯ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ( ชุดปฏิบัติการที่  3/1) ดำเนินการ จับกุมตัว

นายกิจประดิษฐ อายุ 28 ปี ภูมิลำเนา ต.ท่าสัก อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์  

ผู้ต้องหามีหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 117/2566  ลงวันที่  22 กุมภาพันธ์ 2566 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์ประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ให้ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”

จับกุมที่ บริเวณทางเดินเท้า ถนนลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี

พฤติการณ์การกระทำความผิดได้มีผู้เสียหายเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนแจ้งว่า ขณะอยู่บ้านพักอาศัย ตนได้ค้นหา เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน ผ่านเว็ปไซต์ จากนั้นได้พบโฆษณาให้กู้ยืมเงินออนไลน์ ตนสนใจจึงได้แอดไลน์ชื่อบัญชี จ๊ะจ๋า และได้สนทนาว่าสนใจกู้ยืมเงินจำนวน 160,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน) ผู้ใช้ไลน์ชื่อ จ๊ะจ๋าจึงได้ออกอุบาย ให้ตนโอนเงินไปก่อนเพื่อเป็นการค้ำประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 15.06 น. ตนจึงได้โอนเงินจากบัญชีธนาคาร ของตนเองไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี นายกิจประดิษฐ์ เป็นเงินจำนวน 24,728 บาท ต่อมาไม่ได้รับเงินตามที่ได้กู้ยืมไป จึงขอเงินคืน แต่ผู้ใช้ไลน์ชื่อ จ๊ะจ๋า กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืนเงินให้  หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย เบื้องต้นมีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อถูกหลอกให้โอนเงินไป ซึ่งอยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

เบื้องต้นยังพบประวัติการหลอกลวงของผู้ต้องหาใน 
blacklistseller

จากการตรวจสอบในฐานระบบยังพบมีหมายจับอีก 2 หมาย 
1. หมายจับศาลจังหวัดชุมแพที่ 103/2564 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ฉ้อโกง”
2. หมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 321/2565 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนปลอมให้ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า โดยเมื่อประมาณปี 2564 ด้วยผู้ต้องหาได้รู้จักกับกลุ่มเพื่อนที่พักอาศัยเเถวบ้าน  ได้ว่าจ้างให้ผู้ต้องหาเปิดบัญชีม้า โดยจะได้รับค่าตอบเเทนในการเปิดบัญชีครั้งล่ะ 500 บาท/ต่อครั้ง โดยมิได้ถามว่าจะนำไปใช้อะไร เเละได้นำเงินค่าจ้างดังกล่าวไปใช้ในชีวิตประจำวัน

พล.ต.ต.ธีรเดช ฝากเตือนสำหรับผู้ที่อยากกู้เงิน ต้องค่อย ๆ ตั้งสติและมองหาแหล่งกู้เงินด่วนที่ปลอดภัย หากต้องการกู้เงินออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชันต่าง ๆ ควรมีการตรวจสอบแหล่งกู้เงินออนไลน์ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ และได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องผ่านเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ https://www.bot.or.th/th/license-loan

‘ฮาร์ท สุทธิพงศ์’ ถูกอัยการยื่นฟ้อง ม.112 หลังโพสต์หมิ่นเบื้องสูง ศาลประทับรับฟ้อง!! ให้ประกันตัว 2 แสน - ห้ามออกนอกประเทศ

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.67) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 ได้นำตัว นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง มายื่นฟ้องต่อศาลในความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

จากกรณี นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง ได้แชร์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันฯ เกี่ยวกับเรื่องโรคโควิด ช่วง พ.ศ.2564 ทำให้ในเวลาต่อมา นายอภิวัฒน์ ขันทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความกับพนักงาน สถานีตำรวจนครบาล (สน.) นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

โดยศาลรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ483/2567 โดยจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพร้อมหลักทรัพย์ 2 แสนบาท ศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศยกเว้นได้รับอนุญาต

ทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567

วันที่ 7 พ.ค.67 เวลา 10.00 น. ทัพเรือภาคที่ 1 โดยมี ว่าที่ น.อ.ชิตพงศ์  ช้างงาม ช่วยปฏิบัติราชการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วยกำลังพลจิตอาสา จำนวน 10 นาย เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนากับศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธี กิจกรรมประกอบด้วยการปลูกป่าชายเลน เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกิจกรรมทำความสะอาดบริเวณชายหาด ณ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย ม.2 ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี 
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

#ทัพเรือภาคที่1
#จิตอาสาพระราชทาน
#เทิดทูนสถาบัน_ยึดมั่นระเบียบวินัย_ประชาชนภูมิใจ_ทะเลไทยมั่นคง
#Fit_for_the_Future
 

พิจิตร-มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย หน่วยงานกระทรวงแรงงาน จ.พิจิตร กลุ่มไทยสมายล์ เติมกำลังใจ ให้ผู้พิการและผู้ยากไร้ 

​วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์  ทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ กรุ๊ป  ลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์ และอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 4 ราย และอีก 2 ราย ณ บ้านของผู้แจ้งความประสงค์ ที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร   โดย มี นายสมชาติ สุภารี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน จ.พิจิตร ให้การต้อนรับ 

​นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ 
และผู้ยากไร้ ประกอบไปด้วย รถเข็นวีลแชร์ จำนวน 4 คัน และไม้เท้าพยุงสามขา จำนวน 2 อัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) รวมถึงยังได้รับการสนับสนุนการขนส่งสิ่งของมายัง จ.พิจิตร โดย บริษัท สมบัติทัวร์ จำกัด มามอบให้กับ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ตามที่ได้รับการประสานจาก หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดพิจิตร ทั้งนี้ได้ส่งมอบรถเข็นวีลแชร์ที่ อาคารสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดพิจิตร จำนวน 4 ราย ได้แก่ นางศิริพร บุญยัง (อายุ 39 ปี) นายบรรเจิด บุญเลิศ (อายุ 69 ปี) นางบุญรอด แซ่เจียม (อายุ 81 ปี) และนางถนอมศิลป์ สว่างวงษ์ภักดิ์ (อายุ 82 ปี) นอกจากนี้ยังได้ไปมอบไม้เท้าพยุงสามขา จำนวน 2 ราย ที่บ้านของผู้แจ้งความประสงค์ ณ บ้านของผู้แจ้งความประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เป็นจำนวน 2 คัน ได้แก่ นายดำ คามวาศรี (อายุ 78 ปี) และนางเกศนีย์ แซ่เจียม (อาย 64 ปี) ซึ่งทั้ง 6 ราย เป็นกลุ่มเปราะบาง มีฐานะยากจน และประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน มอบกำลังใจ ให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top