Tuesday, 1 July 2025
POLITICS

'กรณิศ' ปูด ผู้มีอิทธิพล มีตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ฮุบบัตรคิวตรวจโควิดชาวคลองเตย แจกให้พรรคพวก แฉ เตรียมลงสมัคร ส.ก. หวังหาคะแนนนิยม ข้องใจ ย้าย 5 จุดสถานที่ตรวจ-เพิ่มความเสี่ยงปชช.ต้องเดินทาง

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564  นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงข้อร้องเรียนของชาวคลองเตยที่พบว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวก แจกบัตรคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 รวมทั้งมีการย้ายสถานที่รถตรวจโควิด-19 ในชุมชนแออัดคลองเตย ว่า วันแรกที่มีการฉีดวัคซีนและตรวจหาเชิงรุกผู้ติดเชื้อโดยมีการแจกบัตรคิว ก็ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าไม่เป็นธรรมโดยประชาชนและผู้นำชุมชนแจ้งเรื่องมาที่ตน และร้องเรียนเรื่องการยกเลิกจุดที่เป็นสถานที่ตรวจหาเชื้อโควิดกระทันหัน โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทราบดีว่าจุดใดเหมาะสมที่จะตั้งเป็นจุดตรวจ และกำหนดมาเรียบร้อยพร้อมหมดแล้ว แต่มายกเลิกกระทันหัน 5 จุดเดิมและย้ายไปยัง 5 จุดใหม่ ที่ไกลกว่าเดิม ไม่ได้อยู่ในชุมชน ทั้งที่ประธานชุมชน เตรียมการไว้แล้วว่าให้มีจุดตรวจใกล้กับชุมชน ชาวบ้านสามารถเดินมาตรวจได้ ไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายไปไกลถึงวัดสะพาน แต่เมื่อยกเลิกจุดตรวจเดิมชาวบ้านต้องนั่งรถสองแถวรวมตัวกันไปเกือบ 20 คนต่อคัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ จึงเกิดข้อสงสัยว่าทำไมไม่ใช้พื้นที่ซึ่งใกล้บ้านมากกว่าและอยากได้คำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะตอบประชาชนได้ถูก
 
นางกรณิศ กล่าวว่า ส่วนเรื่องแจกบัตรคิว ทางสำนักงานเขตไม่ได้แจกด้วยตัวเอง และไม่ได้ให้ประธานชุมชนเป็นผู้ดำเนินการมารับด้วยตัวเอง แต่ให้ตัวแทนของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มารับไปเพื่อจ่ายให้กับผู้นำชุมชน มีการเล่นพรรคเล่นพวกกลายเป็นการไปสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเอง ในสถานการณ์ช่วงเวลานี้ไม่ควรเอาชีวิตของคนมาทำเช่นนี้ ทั้งที่นโยบายของนายกรัฐมนตรีต้องการตรวจเชิงรุกให้ได้จำนวนมากที่สุด เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดในพื้นที่เขตคลองเตย แต่ตอนนี้จะเกิดปัญหาในพื้นที่ เนื่องจากเกิดความไม่เป็นธรรมกับการจัดระบบ

"ประธานชุมชนร้องเรียน เพราะอยากได้ความชัดเจนว่าจะได้สัดส่วนเท่าไหร่ ไม่ใช่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ จัดสถานที่รองรับ แล้วอยู่ดีๆมายกเลิกกระทันหัน บางชุมชนมีประชาชนมาลงทะเบียนเกือบ 1,000 คน แต่พอถึงเวลายกเลิกไปหมด ก็ตอบชาวบ้านไม่ได้ เรื่องนี้ก็จะตกเป็นภาระกับผู้นำชุมชน ซึ่งเราขอความชัดเจนเท่านั้น อย่าเอาความเป็นความตายของประชาชนมาใช้วิธีการเล่นพรรคเล่นพวกแบบนี้" นางกรณิศ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อสังเกตว่าปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความไม่ลงรอยกันในเรื่องตัวบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ก.ในเขตคลองเตย หรือไม่ นางกรณิศ กล่าวว่า “เขาประกาศตัวว่าจะลง และตอนนี้ก็ไปเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. แล้วใช้อำนาจของตัวเองมาบังคับข้าราชการ เอาคนของตัวเองมารับบัตรคิว อย่างนี้ไม่แฟร์กับชาวบ้าน ถึงได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ก็ใจเย็นแล้ว เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ผู้นำชุมชนได้โควตาบัตรคิว 450 คน แต่อยู่ดี ๆ คนของผู้มีอิทธิพลก็ไปรับบัตรคิวจากเขต ได้รับไป 450 บัตรคิว แต่เอาไปให้เขาแค่ 150 ใบ ประธานชุมชนก็โวยว่าทำไมทำแบบนี้ ทำให้เห็นว่าส่อทุจริต ไม่ตรงไปตรงมา จึงมีปัญหาว่าแจกบัตรคิวไปที่ไหนบ้าง ช่วยประชาสัมพันธ์และประกาศให้ชัดเจนได้หรือไม่ว่าชุมชนไหนได้บ้างและส่วนที่เหลือไปอยู่กับใคร บางชุมชนเป็นชุมชนขนาดใหญ่ แต่ได้จำนวนบัตรคิวน้อยกว่าบางชุมชนที่ขนาดเล็ก" 

เมื่อถามว่าที่ผู้มีอิทธิพลมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีบทบาทในพื้นที่อย่างไร นางกรณิศ กล่าวว่า “มีบทบาทมาก ฝั่งข้าราชการต้องซ้ายหันขวาหัน จึงอยากให้ความจริงปรากฏว่าคนที่เอาบัตรไปแจกคือใคร เป็นลูกน้องของใคร ไปถามประธานชุมชนได้ว่าเป็นคนของใคร ที่แน่ๆ ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่ใช่สำนักงานเขต นี่คือข้อเท็จจริง ทำไมเขตไม่แจกเองหรือให้ผู้นำชุมชนไปรับบัตรคิวมาแจก”

เมื่อถามว่า ผู้มีอิทธิพลคนดังกล่าวเป็นคนที่ใกล้ชิดกับแกนนำระดับรัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ นางกรณิศ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัคร ส.ก.ในเขตคลองเตยก็มีคนจากหลายพรรค ในส่วนของพลังประชารัฐ ยังไม่ทราบว่าจะมีการส่งผู้สมัครในนามพรรคหรือไม่อย่างไร เพราะฉะนั้นทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะเสนอตัวได้ทั้งนั้น ในเรื่องของการเมืองท้องถิ่นจะสังกัดพรรคหรือไม่ก็ได้ และในพื้นที่ก็มีหลายพรรคการเมืองที่ลงพื้นที่อยู่ในขณะนี้ 

ศรีสุวรรณ ยื่น ผกก.สน.พหลฯ แจ้งจับกลุ่มราษฎร-REDEM ชุมนุมหน้าศาลหมิ่นตุลาการ

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564  นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีกลุ่มที่อ้างตัวเองว่าเป็นกลุ่มราษฎร กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี กลุ่มเยาวชนปลดแอก และกลุ่ม REDEM นำมวลชนจำนวนมากเดินทางมาร่วมจัดกิจกรรม ณ บริเวณด้านนอกและด้านในศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ กล่าวโจมตีศาล ผู้พิพากษา และเรียกร้องให้ศาลพิจารณาให้ประกันตัวแกนนำของตนที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ ซึ่งการชุมนุมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 เม.ย. และวันที่ 2 พ.ค. 64 ที่ผ่านมานั้น

การจัดชุมนุมและการแสดงออกดังกล่าว มิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ ม.34 และ ม.44 แต่อย่างใด หากแต่เป็นการละเมิดอำนาจศาล และฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายหลายประการ อาทิ ฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามการชุมนุม ตาม พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ฝ่าฝืน พรบ.โรคติดต่อ 2558 ฝ่าฝืน พรบ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 ฝ่าฝืน พรบ.การรักษาความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535 ฝ่าฝืน พรบ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้ เครื่องขยายเสียง 2493 ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.215 และที่สำคัญ มีการกระทำในลักษณะฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.112 อีกด้วย 

การกระทำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน ซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคนที่พบเห็นการกระทำดังกล่าว สามารถนำความมาแจ้งความเอาผิดบุคคลที่ฝ่าฝืนกฎหมายข้างต้นต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน ทำสำนวน ออกหมายเรียกหรือออกหมายจับ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดส่งอัยการเพื่อฟ้องร้องต่อศาล พิจารณาลงโทษ ตามครรลองของกฎหมายขั้นสูงสุดต่อไปได้

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความ พร้อมพยานหลักฐานมาเพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแกนนำกลุ่มต่าง ๆ ข้างต้น ต่อ ผกก.สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน เพื่อดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลผู้ถูกกล่าวหาและพวกทั้งหมด มาดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเอาผิดตามกฎหมายข้างต้นและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อปกป้องผู้พิพากษาและหรือศาล อันเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยไทยตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ มิให้ถูกกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ผิดๆต่อสังคมไทย

ราเมศ ย้ำ ดีที่สุดคือเราเป็นคนไทย ติง กลุ่มชูประเด็นย้ายประเทศ มีนัยยะทางการเมือง

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการพูดถึงการย้ายประเทศเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลว่า เชื่อว่าคงเป็นการจุดประเด็นนี้มาในประเทศเพื่อให้มีผลต่อรัฐบาล ทำลายความน่าเชื่อถือการปฏิบัติงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่เป็นผลดี ไม่ต้องด้วยเหตุและผล หากมองกันตามความเป็นจริงจะเห็นว่ารัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาให้กับประชาชนและประเทศ แน่นอนว่าไม่ถูกใจใครไปทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนมั่นใจได้คือรัฐบาลไม่คิดร้ายต่อประชาชนและประเทศอย่างแน่นอน ทุกคนในประเทศมีส่วนร่วมในการทำงานได้เสมอ ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ความสามัคคีของคนในชาติคือสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าคิดว่าทุกเรื่องต้องเป็นเรื่องการเมืองทั้งหมด แบ่งฝ่ายกันเพื่อเอาชนะ สถานการณ์เช่นนี้เราทุกคนคือประเทศไทย จับมือกัน สามัคคีกัน ก้าวเดินไปข้างหน้า

เชื่อว่าคนไทยทุกคนมีหลักคิดที่ตรงกัน  คือความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทยอย่างที่สุด เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ที่คนไทยเคารพเทิดทูน สืบต่อ ๆ  กันมาจนถึงปัจจุบัน เรามีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ มีประเพณีวัฒนธรรม การยกมือไหว้เป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม และอีกมากมายที่บอกได้ถึงความดีงามของประเทศ ไม่อยากให้ชูประเด็นนี้เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ อาจจะสะใจในทางการเมืองว่าเป็นเพราะรัฐบาลคนถึงมีความคิดเช่นนี้ แต่จริงๆก็เชื่อว่าไม่มีใครคิดย้ายประเทศ ยกเว้นคนที่หนีคดีหากไม่อยากติดคุกก็ต้องหนีไปต่างประเทศก็มีให้เห็นมาก และชีวิตก็ลำบาก รัฐบาลบางรัฐบาลบริหารประเทศโดยไม่สนใจประชาชน ไม่สนใจเสียงข้างน้อย ออกกฎหมายตามอำเภอใจเสียงข้างมาก ทุจริตมหาศาล แต่ผมคนหนึ่งที่ไม่คิดย้ายประเทศแต่คิดว่าต้องสู้เพื่อเอาคนเหล่านี้ออกจากการเมือง จนหลายคนหนีไปต่างประเทศ 

สังคมต้องช่วยกันสื่อสารให้เห็นว่าสิ่งที่เขาพยายามชูประเด็นการย้ายประเทศเป็นหลักคิดที่ไม่ถูกต้อง อย่าไปไล่ให้เขาไปอยู่ประเทศอื่น ต้องอธิบาย ให้เข้าใจว่าเรามีสิ่งที่ดีมากมาย ดีที่สุดในชีวิตของทุกคนคือเราเกิดมาเป็นคนไทย

นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เปรียบเทียบให้เห็นอัตราการติดเชื้อรายวัน และอัตราการเสียชีวิตประเทศไทยน้อยกว่าประเทศอังกฤษเยอะ แม้ว่าประเทศอังกฤษจะได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วในอัตราที่มากกว่า โดยระบุว่า...

นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ เปรียบเทียบให้เห็นอัตราการติดเชื้อรายวัน และอัตราการเสียชีวิตประเทศไทยน้อยกว่าประเทศอังกฤษเยอะ แม้ว่าประเทศอังกฤษจะได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วในอัตราที่มากกว่า โดยระบุว่า

เห็นคนด่ารัฐบาลมาก ๆ เรื่อง การดูแลบริหารจัดการวิกฤติโรคโควิด ก็เลยตื่นมานั่งค้นดูข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยเปรียบเทียบกับประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับประเทศไทย (67.61 ล้านคน และ 69.95 ล้านคน ตามลำดับ) และเป็นประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนมากเป็นอันดับที่สองของโลกคือ ได้วัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 50.22% (โดยเริ่มการฉีดวัคซีนเข็มแรกในวันที่ 20 ธันวาคมปีที่แล้ว)

จากกราฟรูปที่ 1 ซึ่งเป็นข้อมูลจำนวนผู้ป่วยใหม่ในประเทศสหราชอาณาจักรและกราฟรูปที่ 3 ซึ่งแสดงจำนวนผู้เสียชีวิตรายวันนั้น แม้จะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มลดลง แต่ก็ยังมียอดผู้ป่วยและยอดผู้เสียชีวิตสูงกว่า ประเทศไทยหรือ กะลาแลนด์ในสายตาคนไทยบางคน อยู่ทุกวัน

แม้แต่วันที่เราระบาดสูงสุดคือมีจำนวนผู้ป่วยใหม่สองพันกว่าคนต่อวันนั้น ก็เท่า ๆ หรือน้อยกว่าวันที่เขาระบาดต่ำสุด ในช่วงเวลาเดียวกัน

และวันที่เราเสียชีวิตสูงสุดต่อวันคือวันละสิบยี่สิบกว่าคนนั้น ก็ยังมีจำนวนที่ต่ำกว่าหรือไล่เลี่ยกับ วันที่ประเทศของเขามียอดผู้เสียชีวิตต่ำสุดในรอบเดียวกัน

ส่วนช่วงที่เขาระบาดกันหนัก ๆ ในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะเป็นช่วงที่เริ่มให้วัคซีนกันแล้วนั้น เขาป่วยกันเพิ่มวันละ สี่หมื่นถึงหกหมื่นคน เสียชีวิตกันวันละ พันกว่าคนทุกวัน

ถามว่าได้รับวัคซีนแล้วช่วยได้จริงไหม ก็ต้องตอบว่าหลังจากฉีดวัคซีนกันเป็นจำนวนมากแล้ว ก็สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ระดับหนึ่งจริง

แต่ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะรอดตายแน่นอน เพราะทุกวัน แม้แต่ประเทศที่มีศักยภาพในการรับวัคซีนสูงเป็นที่สองของโลกและมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับเรานั้น ก็ยังมีคนเสียชีวิตจากโควิด ในจำนวนที่มากกว่าหรือใกล้เคียงกับเราอยู่ทุก ๆ วัน

ประเทศของเรานั้น แม้จะมีการฉีดวัคซีนช้ากว่าเขาประมาณสองเดือน และการกระจายวัคซีนยังไม่สามารถทำได้ในวงกว้างเท่าเขา

แต่หากใครจะด่าอย่างเกรี้ยวกราดว่า เป็นชาติที่เฮงซวยห่วยแตก มีรัฐบาลเส็งเคร็ง บริหารงานอย่างไรให้มีคนตายมากมายนั้น

ก็อยากให้ลองเปรียบเทียบ ในทุก ๆ วันที่ประเทศอื่นเขาทุกข์ยากลำบากกับวิกฤติอย่างหนักมาตลอดทั้งปี พวกคุณคนเดียวกัน ยังสามารถออกไปประท้วง ออกไปสังสรรค์ ออกไปแหกปากร้องเพลงอวยพรงานแต่งงานกันได้ครื้นเครงนั้น

มันไม่ได้มาจากปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ หรือ เทพเทวาใด ๆ ที่ช่วยให้ประเทศไทยรอดปลอดภัย มียอดผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตต่ำเตี้ยกว่าหลาย ๆ ประเทศมาได้จนถึงวันนี้

แต่มาจาก ความร่วมมือกันของคนไทย ศักยภาพและความทุ่มเทของแพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทุก ๆ คน

และส่วนหนึ่งก็มาจากผลงานรัฐบาลไทย ที่คุณแหกปากด่าอยู่ได้ทุก ๆ วันนี่แหละครับ

ปล.ที่เลือกสหราชอาณาจักร เพราะเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนเป็นเปอร์เซนต์แล้ว ได้มากเป็นอันดับที่สองของโลก และมีการฟื้นตัวจากวิกฤติโรคระบาดได้ดีกว่าชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

ปล.2 หากเอาไทยไป เปรียบเทียบกับ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี หรือสเปนแล้ว ตัวเลขเขายิ่งหนักหนากว่าประเทศเราไปอีกมากมายครับ


เครดิตภาพ worldometer

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4196986613680120&id=100001064693827

กรมการขนส่งทางบก ย้ำ !!! มาตรการสาธารณสุข ผู้โดยสารต้องล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ พร้อมสวมหน้ากากอนามัยตลอดทางเดินทาง เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามข้อสั่งการ รมว.คมนาคม

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังไม่กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระบบขนส่งสาธารณะอย่างเคร่งครัด

กรมการขนส่งทางบก ได้ยกระดับความเข้มข้นมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย มาตรการคัดกรอง entry และ exit scan ในรถโดยสารสาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา 100% มาตรการเว้นระยะห่าง จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลสำหรับทำความสะอาดมือ เพิ่มความถี่ในการทำสะอาดพื้นที่สาธารณะตลอดทั้งวัน พร้อมจัดพิมพ์ QR Code ไทยชนะให้ผู้โดยสารเช็คอิน-เช็คเอาท์ทุกครั้งก่อนใช้บริการ โดยวันนี้ (4 พ.ค. พ.ศ.2564) สำนักงานขนส่งจังหวัด เช่น สกลนคร สระแก้ว สุโขทัย อุดรธานี แพร่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร พระนครศรีอยุธยา เชียงราย อุบลราชธานี นครพนม พิษณุโลก พังงา น่าน นครปฐม กำแพงเพชร ลำพูน กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ มุกดาหาร อุตรดิตถ์ เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา เลย อุทัยธานี ชัยภูมิ สตูล แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ราชบุรี กาญจนบุรี ศรีสะเกษ จันทบุรี นครสวรรค์ ได้ดำเนินการตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะทุกประเภททั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดตรวจคัดกรองในพื้นที่รับผิดชอบ และประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตามมาตรการ ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด 

ในส่วนของการให้บริการที่สำนักงานขนส่งทุกแห่ง มีการปรับรูปแบบดำเนินการแบบ New Normal ตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบก แจ้งงดการอบรมและทดสอบ ด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

โดยผู้ขอใบอนุญาตขับรถรายใหม่ให้รอจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ส่วนการต่ออายุใบอนุญาตขับรถสามารถนำผลการอบรมออนไลน์มาดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ โดยจองคิวดำเนินการล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เท่านั้น เพื่อบริหารจัดการจำนวนผู้ใช้บริการภายในสำนักงาน  ตั้งจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิประชาชน ก่อนเข้าอาคารสำนักงาน ที่นั่งพักคอยของประชาชนมีการเว้นระยะอย่างเหมาะสม ติดตั้ง Table Shield กั้นระหว่างผู้มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ พร้อมแนะนำการให้บริการชำระภาษีรถประจำผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อลดการสัมผัสและไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่ง เช่น เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th/ หรือ แอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax  ดาวน์โหลดฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS: https://apple.co/3iAx6Dd และแอนดรอยด์: https://bit.ly/2XXQLVT

“ดีอีเอส” ตั้งทีมจับตากลุ่มย้ายประเทศฯ หลังมีร้องเรียนสร้างความแตกแยก-หมิ่นสถาบันฯ ชี้แนะแนวศึกษา-อาชีพ ตปท.เป็นเรื่องดี แต่ควรศึกษาข้อมูลรอบด้าน เตือนอาจมีมิจฉาชีพแฝงหาประโยชน์

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)  กล่าวถึงกรุ๊ปเฟซบุ๊ก “ย้ายประเทศกันเถอะ” ที่กำลังเป็นกระแสในสังคมออนไลน์ขณะนี้ว่า กระทรวงดีอีเอสได้รับการร้องเรียนถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวมาเช่นกัน โดยผู้ร้องเรียนระบุว่า มีเนื้อหาสร้างความแตกแยกสร้างความเกลียดชัง และยังมีการแสดงความคิดเห็นเข้าข่ายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามเบื้องต้นพบว่า เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงแนะแนวการศึกษา และแนะนำแนวทางประกอบอาชีพในต่างประเทศ ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องที่ดี และหน่วยงานภาครัฐเองก็มีการให้ข้อมูล และให้การสนับสนุนผู้ที่มีความพร้อมมาโดยตลอดอยู่แล้ว ทั้งในแง่การไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงการต่างประเทศ เช่นเดียวกับการประกอบอาชีพที่มี กระทรวงแรงงาน เป็นผู้กำกับดูแล

“เท่าที่ติดตามหลายๆโพสต์ก็เป็นเรื่องแนะแนวการศึกษา และการใช้ชีวิตในต่างประเทศ ที่แฝงด้วยประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่มบางคนที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศก็มีพฤติกรรมชังชาติอยู่แล้ว ก็มีวัตถุประสงค์แอบแฝงเพื่อสร้างความแตกแยก และหมิ่นสถาบันเบื้องสูง กระทรวงดีอีเอสมีคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและติดตามการกระทำความผิดในสังคมออนไลน์อยู่แล้ว ก็ได้กำชับไปให้ตรวจสอบดูว่ามีเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด” นายชัยวุฒิ กล่าว

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า หากเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการศึกษาหรืออาชีพในต่างประเทศ รัฐบาลคงไม่ปิดกั้น เพราะถือเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีความเป็นห่วงในบางข้อความที่ไม่เหมาะสม อาทิ การแนะนำวิธีลักลอบเข้าเมือง หรือการอาศัยอยู่เกินกำหนดอย่างผิดกฎหมายหรือที่เรียกว่าโดดวีซ่า ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และอาจจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงการพิจารณาให้วีซ่าคนไทยของประเทศปลายทางในอนาคตด้วย ที่สำคัญยังเป็นห่วงว่า กลุ่มดังกล่าวอาจเป็นช่องทางของขบวนการมิจฉาชีพที่ใช้สังคมออนไลน์หลอกลวงให้มีการไปทำงานต่างประเทศที่ระบาดอย่างหนักในระยะหลัง โดยทราบจากสถิติของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ว่าช่วงปี 2561-2563 ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับการหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศแล้วมากกว่า 1,500 เรื่อง ดังนั้นผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ไม่หลงเชื่อขบวนการเหล่านี้

บิ๊กป้อม สั่ง ศปฉ.พปชร. ระดม ช่วยชาวบ้าน สู้โควิด-19  เกาะติด คลัสเตอร์คลองเตย เร่ง บรรเทาความเดือดร้อน

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ  อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและสุขภาพของพี่น้องประชาชน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชาชนจะจัดตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 พปชร. หรือ ศปฉ.พปชร. เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการติดเชื้อ แต่ไม่มีเตียงในการรักษา และนำส่งโรงพยาบาลให้รวดเร็วเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนแล้ว ยังได้ระดมสรรพกำลังส.ส.และอดีตผู้สมัครส.ส.ของพรรคทั่วประเทศ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อย ให้ความช่วยเหลือถึงมือพี่น้องประชาชนมากที่สุด  เช่น การมอบเครื่องอุปโภค บริโภค  อุปกรณ์ในการป้องกันตนเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์  เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ  เป็นต้น  โดยกำชับให้การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ในการเว้นระยะห่างทางสังคม  

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเราพูดจริง ทำจริง โดยขณะนี้ส.ส.และอดีตผู้สมัครส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐได้เดินหน้าลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือแล้วหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เช่น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่รับฟังปัญหาต่างๆต่อเนื่อง   ส.ส.จักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม. ในฐานะหัวหน้าภาค กทม. ผู้แทนศูนย์ช่วยประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 (ศปฉ.พปชร) ได้ร่วมกับคณะ มอบหน้ากากอนามัย จำนวน 25,000 ชิ้น และเจลแอลกอฮอล์ ให้กับโรงพยาบาลศิริราช  น.ส.จอมขวัญ กลับบ้านเกาะ ส.ส.สมุทรสาคร แจกหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ ให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ และมอบอาหารสดให้กับชุมชนคลองตาปลั่ง ต.บ้านแพ้ว อ.บ้านแพ้ว น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี มอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและของกินของใช้ให้กับโรงพยาบาลสนาม ที่วิทยาลัยพยาบาลพร้อมบริการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ให้กับอบต.และเทศบาลในพื้นที่ราชบุรี นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตบางแค ได้มอบแท่นกดเจลแอลกอฮอล์ในชุมชนนิรันดร์คอนโด นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา จัดรถเตรียมรับส่งผู้ป่วย และลงพื้นที่มอบอาหารสดอาหารแห้งชุมชนคลองอู่ตะเพา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นาย ฐาปกรณ์ กุลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ ลงพื้นที่มอบหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ พร้อมทั้งรถฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ให้กับชุมชนอ.พระปะแดง จ.สมุทรปราการ รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช มอบเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ และหน้ากากอนามัยให้กับตัวแทนอสม. นางทัศนียา รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา ลงพื้นที่อ.ประทายมอบสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ช่วยเหลือผู้ให้ความร่วมมือกักตัวในบ้านพักเป็นเวลา 14 วัน ตามมาตรการของกระทรวงสาธารสุข เป็นต้น พร้อมกันนี้บรรดาส.ส.และอดีตผู้สมัครส.ส.ของพรรคยังได้ช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้กับพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย

และขณะนี้พื้นที่ที่สังคมกำลังกังวลใจเป็นอย่างมากคือชุมชนคลองเตย ซึ่งมีการแพร่เชื้อติดต่อเป็นวงกว้างจากความเป็นอยู่ของชุมชนแออัดที่เป็นพื้นที่แออัดที่สุดในประเทศไทยนั้น ทาง น.ส.กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม.เขตคลองเตย-วัฒนา พรรคพลังประชารัฐ  ได้ลงพื้นที่ทั้งฉีดพ่นฆ่าเชื้อ มอบสิ่งของจำเป็นกับผู้เดือดร้อน สื่อสารข้อมูลประสานงานทุกอย่างให้พี่น้องในชุมชน พร้อมเข้าสำรวจพื้นที่บริเวณการท่าเรือ ลงพื้นที่ให้กำลังใจช่วยเหลือ ณ จุดฉีดวัคซีนโลตัสพระราม4  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้ผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้

“ภาวะวิกฤติเช่นนี้ นักการเมืองมีส่วนสำคัญในการช่วยสนับสนุนการปฏิบัติของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้ ด้วยการเสริมการป้องกันให้กับพี่น้องประชาชน การอำนวยความสะดวกและการช่วยประสานงานเพื่อไม่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่การนั่งเพียงนั่งอยู่ในห้องแอร์ วิจารณ์อยู่หน้าจอ ทำลายขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่  ซึ่งต้องร่วมมือกันฝ่าวิกฤติไปให้ได้ ไม่ใช่คอยฉกฉวยโอกาสฉุดรั้ง การแก้ไขปัญหาจนวิกฤติเกินแก้ไข” น.ส.ทิพานัน กล่าว

"โจ พงศ์พรหม" ชี้กระแสคนอยากย้ายประเทศ ต้องแก้ด้วยการกระจายอำนาจ - ลงทุนไปต่างจังหวัด ยกโมเดล "ขอนแก่น - อุดร" มีศักยภาพ เป็นศูนย์กลางภูมิภาคได้ ถามรัฐบา ลมีแผนในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือไม่ ? 

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลง Facebook ส่วนตัว ถึงกระแสคนอยากย้ายประเทศว่า ช่วงนี้มีกระแสย้ายประเทศแรงๆ อยู่ ผมเลยอยากเสนอความคิดต่าง ไม่ใช่ด่ากัน แต่หาทางออก 

เมื่อ 3 ปีก่อน ผมเริ่มเสนอแนวคิดนี้กับคนรอบตัว
ทำไมเราไม่เคยใช้จุดเด่นหัวเมืองแต่ละจังหวัดในการสร้างการเติบโต “คนไทย” อย่างเท่าเทียมมากขึ้น 

“เราต้องกระจายอำนาจ” แต่กำหนดทิศทางหัวเมืองให้ชัด โดยให้เติบโตตามความถนัดของเขา อย่างเช่น ขอนแก่นมีมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับเอเชีย อุดรมีนักธุรกิจเก่งๆ มีอุดรพัฒนาเมืองที่ได้ชื่อว่ามองอนาคตเมืองได้ไกล 

2 เมืองนี้ควรเป็นพาร์ทเนอร์กันในการสร้างเมือง Biotech/Biodiversity based research and innovation แห่งอาเซียน 

มหาวิทยาลัยมีแล้ว นักธุรกิจมีแล้ว ทำเลก็แสนเยี่ยม ไปจับมือลาว เวียดนามทำวิจัย แล้วเอามาตั้งโรงงานที่สะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ผลิตเสร็จ ก็ส่งออกทางลาว ไม่ก็ท่าเรือบกลงมา EEC 

เชิญ Pfizer อเมริกา เชิญบริษัท Anti-ageing เกาหลี บริษัทยาญี่ปุ่น-จีน มาลงทุน ให้ BOI 15 ปี พร้อม residential visa ตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมแนวนี้ให้คนไทย ใครตัวเล็กๆก็ให้ handicap เยอะหน่อย 10,000 ล้าน ไม่ใช่ตัวเลขที่มากเกินภาระการคลัง เพราะจะสร้าง 100,000 ล้าน ในอุตสาหกรรม S-curve โลก 

แล้วภาพแบบนี้จะเกิดได้ ผมเชื่อว่าการทำ GPP (Gross Provincial Product) ให้ 2 จังหวัดนี้โตแบบ 3-5 เท่าใน 10 ปีไม่ใช่เรื่องยากเลย แปลว่า Tesla, BMW จะเป็นรถยนต์ที่คนขอนแก่น-อุดรใช้กันโดยทั่วไป ไม่ถือว่าเป็น luxury car 

จะให้เกิดสิ่งนี้ แค่เปลี่ยนวิธีคิดให้แต่ละภูมิภาคเป็นศูนย์กลางตัวเอง คิดให้เค้ารวย อย่าคิดให้ระบบราชการ หรือกรุงเทพรวย 

ถ้าเป็นแบบนี้ คนไม่อยากย้ายประเทศหรอกครับ เพราะเค้าจะมีทั้ง Love and Hope อย่างที่ผมว่าไว้ ซึ่งรัฐบาลก็ควรตั้งคำถามว่ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีหรือไม่? สำหรับผม คนอยากย้ายประเทศเป็นโอกาสในการพูดคุย และเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง 

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4251739811502791&id=100000004424101

นายกฯ จี้ รมต. ทุกกระทรวง เร่งรัด เบิกจ่ายงบฯ ให้เป็นไปตามเป้า ผลักดันเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ

วันที่ 4 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงบประมาณได้รายงานให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ทราบถึงความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณ ณ ไตรมาส2 ปีงบประมาณ 2564(1ต.ค.2563-31มี.ค.2564) ว่าแม้จะอยู่ระหว่างเผชิญสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนธ.ค. 2563 เป็นต้นมาซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งมิติพื้นที่และกลุ่มธุรกิจ การลงทุน และการดำเนินชีวิตของประชาชน แต่ปรากฎว่าผลการใช้จ่าย โดยเฉพาะการก่อหนี้ผูกพันของส่วนราชการและหน่วยรับงบประมาณต่างๆในภาพรวมถือว่าสูงกว่าเป้าหมายตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)และแผนการใช้จ่ายงบประมาณกำหนดแต่ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในบางประเด็นเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมายและมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณนี้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีข้อสั่งการให้ส่วนราชการ และหน่วยรับประมาณทุกหน่วยดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงบประมาณอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะกรณีรายจ่ายลงทุนรายการปีเดียวและรายการผูกพันใหม่ให้แล้วเสร็จ เนื่องจากขณะนี้ได้เข้าสู่ไตรมาสที่3 ของปีงบประมาณแล้ว และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีทีกำกับดูแลหรือควบคุมกิจการของหน่วยรับงบประมาณหรือรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎกมายกำกับดูแล เร่งรัด ติดตามและประเมินการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือแผนที่กำหนด โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการกระตุ้นให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงมีต่อเนื่อง ให้ทุกหน่วยรับงบประมาณพิจารณาแนวทางการใช้จ่ายที่สอดคล้องกับปริบทใหม่ที่เปลี่ยนไป(new normal)เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เกิดประโยชน์กับประชาชน  ส่วนกรณีปัญหาที่หน่วยงานยังมีข้อติดขัดเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ให้กระทรวงการคลังเร่งสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจแก่บุคลากรของหน่วยรับงบประมาณให้ต่อเนื่องและชัดเจน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  สำหรับข้อมูลการเบิกจ่ายที่สำนักงบประมาณรายงานนั้น จากงบประมาณรายจ่ายรวม 3.28 ล้านล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่2  ส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยรับงบประมาณต่างๆ ได้เบิกจ่ายแล้ว 1.55 ล้านล้านบาท มีการก่อหนี้ผูกพันแล้ว 1.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.21% และ 54.24% ตามลำดับ แต่หากพิจารณาเฉพาะงบประมาณรายจ่ายกรณีไม่รวมงบกลาง วงเงินงบประมาณรวมจะอยู่ที่ 2.67 ล้านล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว  1.30 ล้านล้านบาท คิดเป็น 48.96% ต่ำกว่าเป้าหมาย 5.04% ก่อหนี้ผูกพันแล้ว 1.53 ล้านล้านบาท คิดเป็น 57.59% สูงกว่าเป้าหมาย 3.59%

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กรณีไม่รวมงบกลางเฉพาะรายจ่ายประจำ จากวงเงินรวม 2.08 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1.14 ล้านล้านบาท คิดเป็น 55.09% ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.91% ก่อหนี้ผูกพันแล้ว 1.16 ล้านล้านบาท คิดเป็น 56.01% ต่ำกว่าเป้าหมาย 0.99%  ขณะที่รายจ่ายลงทุนจากวงเงินรวม 5.87 แสนล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1.59  แสนล้านบาท คิดเป็น 27.19% ต่ำกว่าเป้าหมาย 17.81% ก่อหนี้ผูกพันแล้ว 3.71 แสนล้านบาท คิดเป็น 63.22% สูงกว่าเป้าหมาย 18.22%

"นายกฯ" ชี้ แผนคุมระบาดคลองเตย  เร่งตรวจเชิงรุก-ฉีดวัคซีน 5 หมื่นคนใน 2 สัปดาห์-ช่วยเหลือปชช.ทั้งอาหารและยา บอก พร้อมปรับแผนหากมีความจำเป็น 

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แสงความคิดเห็นในเพจเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ข้อความระบุ ว่า กรณีการแพร่ระบาดของโควิดที่เขตคลองเตย ผมได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด โดยมีผู้ติดเชื้อไปแล้วเป็นจำนวนมาก หลายรายอยู่ในชุมชนแออัดที่แพร่ระบาดในครอบครัว และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เมื่อวานนี้ในช่วงบ่าย ผมจึงได้เรียกประชุมกับทีมแพทย์ที่ปรึกษา กรุงเทพมหานคร รวมทั้ง ศูนย์ปฏิบัติการ ศบค. อย่างเร่งด่วน เพื่อกำหนดมาตรการเพื่อควบคุมสถานการณ์ดังนี้ครับ 

1. ให้มีการตรวจเชิงรุกในชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วน ทั้ง 39 ชุมชน เน้นไปที่ที่ 20 ชุมชนที่เกิดการระบาด โดยเร่งตรวจชุมชนที่มีการติดเชื้อ ให้ได้อย่างน้อย 1,000-1,500 คนต่อวัน โดยหน่วยเคลื่อนที่ และรถเก็บตัวอย่างชีวะนิรภัยพระราชทาน โดยจะตรวจเชิงรุกให้ได้อย่างน้อยทั้งหมด 20,000 คน ซึ่งได้ดำเนินการทันทีตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว

2. หากพบผู้ติดเชื้อ ให้มีการแยกผู้ป่วยออกจากชุมชนตามระดับอาการ เขียว เหลือง แดง เพื่อให้ศูนย์เอราวัณส่งตัวต่อเข้ารับการรักษา ณ สถานพยาบาลสำหรับกลุ่มนั้นๆ โดยเบื้องต้นจะถูกส่งตัวไปที่ศูนย์แรกรับ-ส่งต่อ ที่สนามกีฬานิมิบุตร หรือศูนย์พักคอยการส่งตัว ที่วัดสะพาน เขตพระโขนง หรือโรงพยาบาลสนาม ที่ จ.สมุทรสาคร

3. กลุ่มสีแดง หรือกลุ่มติดเชื้อและมีอาการหนัก จะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลของ กทม. ทันที ซึ่งผมมีความเป็นห่วงผู้ป่วยในกลุ่มนี้มากที่สุด จึงได้เร่งรัดให้มีการเตรียมโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยหนักเพิ่มเติมให้เร็วที่สุด เมื่อวานนี้ ได้มีการเปิดโรงพยาบาลสนาม ICU ที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ เขตทุ่งครุ เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนักเพิ่มขึ้นอีก 432 เตียง และเชื่อมั่นว่าจะช่วยให้ผู้ป่วยหนักได้รับการรักษาได้อย่างทันการณ์ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้

4. ส่วนกลุ่มผู้เสี่ยงสูงที่ยังไม่พบว่าติดเชื้อ จะต้องกักตัวในบ้านจนกว่าจะได้รับการแจ้งผล และให้ผู้นำชุมชนช่วยเป็นผู้ประสานงาน ส่งอาหารให้ผู้กักตัว 

5. วันนี้จะมีการระดมกำลัง 10-20 จุด เพื่อฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด วันละ 1,000-3,000 คน รวมให้ได้อย่างน้อย 50,000 คน ภายใน 2 สัปดาห์ และจะฉีดต่อไปให้ได้ถึง 60% ของประชาชนในชุมชนแออัดคลองเตย หรือประมาณ 80,000 คน 

6. นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่เพิ่มเติม โดยกรุงเทพมหานคร และกระทรวงกลาโหม ที่จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด

7. ให้มีการดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อย่างเร่งด่วนในการส่งอุปกรณ์ป้องกันโรค อาหาร ยา และสิ่งของจำเป็นอื่นๆให้หน่วยงานที่ต้องลงพื้นที่

8. ให้ทุกเขตใน กทม. เตรียมการเชิงรุก โดยใช้รูปแบบ Model คลองเตยนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในอนาคต 

ทั้งหมดนี้ได้ทำไปแล้ว โดยผมได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการขยายวงของการแพร่ระบาด และให้รายงานความคืบหน้ากับผมโดยตรง ผมจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความจำเป็นในการปรับแผนการควบคุมสถานการณ์หากมีความจำเป็น เป้าหมายคือการจำกัดวงการแพร่ระบาดให้เล็กที่สุดและควบคุมให้ได้เร็วที่สุด เจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังเร่งทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทุกคนครับ

'ลุงป้อม' สั่ง 'รมว.เฮ้ง' ประสานช่วยหารถพยาบาล เตียง และ รพ.ประกันสังคมรองรับคลัสเตอร์ลูกจ้างบริษัทเหล็กติดโควิด 128 ราย เร่งด่วน 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนและพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ผมเร่งประสานให้การช่วยเหลือกรณีลูกจ้างบริษัทซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 128 คน ให้จัดหารถพยาบาลมารับ จัดหาเตียง และโรงพยาบาลรองรับ เบื้องต้นเมื่อวานนี้ (3 พ.ค.64) กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยาบาลจุฬารัตน์มารับแล้ว 23 คน และเมื่อเช้าวันนี้ (4 พ.ค.64) ได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยายาลจุฬารัตน์มารับอีก 27 คน ส่วนที่เหลือจะดำเนินการภายในบ่ายวันนี้ เพื่อนำพนักงานที่ติดเชื้อทั้งหมดเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม และ Hospitel ต่อไป 

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการให้ความช่วยเหลือกรณีลูกจ้างของบริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 128 คน
ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานให้การช่วยเหลือจัดหารถพยาบาลมารับ จัดหาเตียง และโรงพยาบาลรองรับ เบื้องต้นเมื่อวานนี้ (3 พ.ค.64) กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยายาลจุฬารัตน์มารับแล้ว 23 คน และเมื่อเช้าวันนี้ (4 พ.ค.64) ได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยายาลจุฬารัตน์มารับอีก 27 คน ส่วนที่เหลือจะดำเนินการภายในบ่ายวันนี้ เพื่อนำพนักงานที่ติดเชื้อทั้งหมดเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม และ Hospitel ต่อไป 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนและพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ผมดูแลพี่น้องแรงงานดุจคนในครอบครัว ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกในการตรวจโควิด -19 เชิงรุก ตลอดจัดหาเตียงรองรับให้เพียงพอ กรณีที่ผู้ประกันตนหรือพี่น้องประชาชนรายใดต้องการขอความช่วยเหลือให้กระทรวงแรงงานจัดหาเตียง สถานที่ตรวจโควิด-19 หรือต้องการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เพื่อประสาน Hospitel ให้แก่ผู้ประกันตน โดยผู้ประกันตนสามารถโทรศัพท์ติดต่อได้ที่เบอร์ 1506 กด 6 เพื่อเป็นช่องทางติดต่อให้กับผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยให้บริการทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 08.00 – 17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการทั้งสิ้น 10 คู่สาย ช่วยเหลือผู้ประกันตนและประชาชนที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย

รัฐบาลย้ำดูแลประชาชนทุกกลุ่มและกลุ่มเปราะบาง “ผู้พิการ”  ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง 

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด 19 รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจพร้อมให้ความช่วยเหลือ ดูแล ผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม โดยทุกหน่วยงานทยอยออกมาตรการเพื่อดูแลประชาชนในส่วนการรับผิดชอบแล้ว และจะมีการออกมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม 

รองโฆษกฯ  ชี้แจงเพิ่มเติมในส่วนของมาตรการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจตราราคาสินค้าและบริการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบผู้บริโภค กำชับให้มีการปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน และบางสินค้าหากจะมีการขึ้นราคา ต้องขออนุญาตที่กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่อนุญาตให้มีการปรับขึ้นราคาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นี้ กระทรวงพาณิชย์มีคำสั่งให้ควบคุมอัตราค่าบริการในส่วนของธุรกิจจัดส่งสินค้ามากเป็นพิเศษ เนื่องจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศใช้บริการสั่งสินค้า สั่งอาหารแบบส่งถึงบ้าน (Delivery) มากขึ้น จึงต้องกำกับดูแลอัตราค่าขนส่งเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับพี่น้องประชาชน เพื่อสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนทำงานที่บ้าน WFH และอยู่กับบ้านเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นหลัก

ขณะเดียวกัน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  พร้อมตั้งคณะทำงานช่วยเหลือผู้พิการที่ติดเชื้อโควิด-19  เป็นการเฉพาะ ทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัดภายใต้ “ทีมเรามีเรา”  ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่ 1.มอนิเตอร์   ติดตามว่ามีคนพิการที่โพสต์/โทรขอความช่วยเหลือหรือไม่  คัดกรอง ประสานเครือข่ายเพื่อให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลทั้งโรงพยาบาลหรือ รพ.สนาม และ ประเมินและติดตามผลการช่วยเหลือ โดยผู้พิการสามารถโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือมายังสายด่วน 1300 ครอบคลุม 76 จังหวัดทั่วประเทศและสายด่วน 1479 ตั้งแต่ขณะนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ รองโฆษกฯ รัชดาฯ ย้ำแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่พยายามดูแลผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ส่วนมาตรการดูแลผู้ประกอบการร้านอาหาร และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีมาตรการให้การช่วยเหลือออกมาเร็วๆนี้ 

“บิ๊กบี้” สั่ง ตั้ง “ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด-19 ทบ.” สื่อกลางช่วยผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาของรัฐ

พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก และโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ในปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่นั้น มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และมีการแพร่กระจายของโรคไปยังหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพ และปริมณฑล ทำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ป่วยที่มีผลตรวจเป็นบวกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อบางส่วนยังคงอยู่ระหว่างการรอเรียกเข้ารับการรักษาจากสถานพยาบาลซึ่งก่อให้เกิดความกังวลใจต่อตัวผู้ป่วยและญาติที่เกี่ยวข้อง

พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ทราบถึงปัญหาและมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ล่าสุดได้สั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด ทบ.” ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก ในการเป็นสื่อกลางรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อประสานไปยังศูนย์แรกรับและส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ของรัฐบาล (อาคารนิมิบุตร) หรือสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าดำเนินการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ตกค้างหรืออยู่ระหว่างการรอเรียกจากสถานพยาบาลให้ได้เข้าสู่กระบวนรักษา รวมถึงการประสานศูนย์ควบคุมการเคลื่อนย้าย ศปม.ทบ. ในกรณีที่โรงพยาบาลต้องการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรงไปยังโรงพยาบาลสนามที่จัดเตรียมไว้  ตลอดจนให้การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายของประชาชนในทุกกรณีเมื่อได้รับการร้องขอ โดยเจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกข้อมูลของผู้ติดเชื้อ พร้อมติดตามความคืบหน้าการดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าผู้ติดเชื้อจะได้รับการรักษาตามกระบวนการสาธารณสุข 

ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด ทบ. ดังกล่าว จะทำหน้าที่เป็นช่องทางหนึ่งในการสนับสนุนรัฐบาลสำหรับการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงเป็นการช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงการดูแลรักษาจากแพทย์ได้อย่างทันท่วงที โดยสามารถประสานขอรับการช่วยเหลือได้ที่เบอร์ 02-2705685-9 ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 64 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลาย 

“การจัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ ดังกล่าว เป็นการระดมศักยภาพของบุคลากร และยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่มาปรับใช้เพื่อควบคุมและป้องกันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ไม่ให้ขยายเป็นวงกว้างรวมถึงเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ติดเชื้อ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและกลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด” พล.ท.สันติพงศ์ กล่าว   

“บิ๊กตู่” เรียกทีมเศรษฐกิจหารือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ระบาดโควิด 19 รอบที่ 3

ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เรียกประชุมทีมเศรษฐกิจ  อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รมว.คลัง นายอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ที่ปรึกษานายกฯ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหารไทย  นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาสกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เข้าร่วมหารือ 

โดยเป็นการหารือถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ และการพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ ลูกจ้าง และประชาชนที่ได้รับกระทบจากการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 ของรัฐ เช่น จากคำสั่งปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะและสถานประกอบการอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ

ขณะเดียวกันคาดว่าจะมีการหยิบยกประเด็นข้อเรียกร้อง ของสมาคมภัตตาคารไทย ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนคำสั่งห้ามมีการให้บริการนั่งรับประทานอาหารในร้านเป็นเวลา 14 วัน ในร้าน พื้นที่ 6 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดขึ้นมาหารือ ภายหลังจากสมาคมภัตตาคารไทยเสนอ 2 ข้อต่อพล.อ.ประยุทธ์ ได้แก่ 1.อนุญาตให้ร้านอาหารสามารถนั่งรับประทานในร้านได้ ไม่เกิน 21.00 น. และงดนั่งดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน โดยย้ำว่าภาคธุรกิจร้านอาหารยึดมาตรฐาน SHA ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านสาธารณสุข ที่อยู่ในระดับเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมยึดมาตรการด้านสาธารณสุขตามที่ ศบค.กำหนด และ2.เรียกร้องให้มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่รอบแรกจนถึงปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้  น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้กำชับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เร่งประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการยกระดับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อกำหนดแนวทางการเยียวยาผู้ที่ได้รับกระทบ ทั้งผู้ประกอบการ ลูกจ้าง และประชาชน รวมถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกใหม่ โดยให้เตรียมความพร้อมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ศบศ.ซึ่งจะมีขึ้นในเร็วๆนี้

ศรีสุวรรณ เผย กสทช. รับคำร้องเพื่อสอบจริยธรรมนักเล่าข่าวตาม กม.แล้ว

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กสทช.เมื่อ 20 เม.ย.64 หลังพิธีกรนักเล่าข่าวชื่อดัง ได้หวนกลับคืนสู่หน้าจอโทรทัศน์อีกครั้ง ทั้งๆที่ยังไม่พ้นโทษเพียงแต่ถูกพักโทษให้ออกจากเรือนจำ แต่ยังติดกำไลอีเอ็มที่ข้อเท้าไปอีก 14 เดือนและต้องรายงานตัวต่อกรมคุมประพฤติไปจนกว่าจะพ้นโทษ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจขัดต่อกฎหมายและหรือขัดต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์นั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การร้องเรียนดังกล่าวสำนักงาน กสทช.ได้แจ้งมายังสมาคมฯว่า ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับจริยธรรมสื่อมวลชนนั้น สำนักงาน กสทช.มีอำนาจดำเนินการตาม พรบ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551 ม.40 ที่ระบุว่า ผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากรายการที่ออกอากาศเป็นเท็จหรือละเมิดสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอาจร้องเรียนต่อคณะกรรมการฯ ให้คณะกรรมการส่งเรื่องพร้อมความเห็นของคณะกรรมการให้องค์กรควบคุมการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพตาม ม.39 เพื่อให้ดำเนินการเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายโดยเร็ว และให้คณะกรรมการติดตามผลการดำเนินการขององค์กรควบคุมการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพตาม ม.39 เมื่อองค์กรควบคุมการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพตาม ม.39  ได้แจ้งผลการดำเนินการให้คณะกรรมการทราบแล้ว ให้แจ้งผู้ร้องเรียนทราบผลการดำเนินการโดยเร็ว ในการนี้ สำนักงาน กสทช.ได้มีหนังสือแจ้งไปยังบริษัทต้นสังกัดของนักเล่าข่าวชื่อดังดังกล่าว และองค์กรวิชาชีพสื่อที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พิจารณาและดำเนินการต่อข้อร้องเรียนของสมาคมฯต่อไป

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ตามข้อบังคับสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยว่าด้วย จริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ 2553 ประกอบธรรมนูญสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ 2563 ได้กำหนดความรับผิดทางจริยธรรมไว้ว่า เมื่อคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนในสังกัดสมาชิกละเมิดหรือประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ให้คณะกรรมการมีอำนาจแจ้งเป็นหนังสือให้ต้นสังกัดสมาชิกที่ถูกร้องเรียน ลงตีพิมพ์หรือประกาศเพื่อเผยแพร่คำวินิจฉัยหรือประกาศเพื่อเผยแพร่ข้อความคำขอโทษต่อผู้เสียหายตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ และให้ส่งคำวินิจฉัยไปยังต้นสังกัดของผู้นั้น เพื่อดำเนินการลงโทษ แล้วแจ้งผลให้สภาการสื่อมวลชนทราบโดยเร็ว

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในกรณีที่เห็นสมควร สภาการสื่อมวลชนอาจตักเตือน เป็นลายลักษณ์อักษร หลังจากแจ้งผลการพิจารณาให้แก่ผู้ถูกร้องเรียนทราบแล้ว ให้สภาการสื่อมวลชนเผยแพร่คำวินิจฉัยต่อสาธารณะต่อไป ส่วนความรับผิดชอบที่นอกเหนือไปจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับนักเล่าข่าวชื่อดังและต้นสังกัดจะแสดงความสำนึกมากน้อยเพียงใด ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้ายเอง เพราะสำนึกแห่งจริยธรรมนั้นอยู่เหนือกฎหมาย ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกชั่วดีของแต่ละคน เพราะบางคนบางบริษัทอาจไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้หวังเพียงแค่ให้มีเรตติ้งเยอะๆ มีโฆษณาเข้ามาก ๆ เท่านั้น ไม่สนใจเรื่องจริยธรรมและศีลธรรมอันดีของสังคมเลยก็ได้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top