Saturday, 15 March 2025
POLITICS

‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก’ หัวหน้าแก๊งตุ๋นพันล้าน มอบตัวกองปราบ เผยถูกกลั่นแกล้ง และมีคดีตกเป็นผู้เสียหาย สูญเงินไปกว่า 100 ล้าน ด้านเหยื่อแฉใช้ความเป็น ‘จิตอาสา’ สร้างความน่าเชื่อถือ

วันนี้ ( 17 พ.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 09.00 น.นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน พร้อมทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อเข้ามอบตัวหลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกับพวกรวม 6 คน เปิดบริษัทในลักษณะเครือข่ายใหญ่ หลอกลงทุนหลายรูปแบบ มูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท โดยนำพยานเอกสารหลักฐานสำคัญต่าง ๆ มามอบให้กับทางพนักงานสอบสวนเพื่อชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงทางคดี

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว ในวันนี้จึงได้เตรียมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงมาชี้แจงกับพนักงานสอบสวน มั่นใจว่า มีข้อมูลสามารถชี้แจงและต่อสู้คดีตามกฎหมายได้

“ผมขอยืนยันว่าสิ่งที่พูดไปทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริง และเรื่องที่เกิดขึ้นถูกกลั่นแกล้ง เพราะที่ผ่านมาส่วนตัวก็มีคดีความที่ตัวเองตกเป็นผู้เสียหาย สูญเงินไปกว่า 100 ล้านบาทเช่นเดียวกัน” นายประสิทธิ์ กล่าว 

นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของตัวเองอย่างมาก อีกทั้งยังถูกนำชื่อไปเชื่อมโยงกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้นจึงอยากให้สังคมแยกแยะระหว่างการระดมทุนทางธุรกิจกับการทำธุรกิจแบบเครือข่าย ซึ่งส่วนตัวเชื่อมั่นว่า ยังมีคนที่มั่นใจในตัวเองอยู่ และหากตัวเองกระทำความผิดจริง ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว

วันเดียวกันได้มีกลุ่มตัวเเทนผู้เสียหายกว่า 20 คน นำโดย นายอติชาต เลาหพิบูลย์กุล เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบ เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในคดีที่เคยเเจ้งความกล่าวหานายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กับพวกในข้อหาฉ้อโกงฯ 

โดย นายอติชาต ผู้เสียหาย กล่าวว่า ร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ มานานร่วม 2 ปี โดยตัวเองมีมูลค่าเสียหาย 80 ล้านบาท ลงทุนทุกรูปเเบบที่นายประสิทธิ์เสนอออกมา เนื่องจากมีความเชื่อถือเนื่องจากนายประสิทธิ์เป็นบุคคลมีต้นทุนทางสังคม เเละตัวเองก็เคยมีโอกาสได้ลงพื้นที่ร่วมทำจิตอาสาร่วมกับนายประสิทธิ์ด้วย 

นายอติชาต กล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่าการทำธุรกิจของนายประสิทธิ์ไม่เข้าข่ายเเชร์ลูกโซ่ เพราะมีธุรกิจจริง ได้ผลประกอบการ เเละไม่ได้ปันผลจากการเเนะนำต่อเเต่อย่างใด นายประสิทธิ์อ้างว่าบริษัทประสบปัญหาสภาพคล่อง เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งขัดเเย้งกับความเป็นจริงที่บริษัท นายประสิทธิ์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ส่วนผู้เสียหายอีกราย อ้างว่า เคยเป็นพนักงานในบริษัทของนายประสิทธิ์ โดยสมัครเข้าทำงานช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนถูกชักชวนให้นำเงินลงทุนสหกรณ์ อ้างจะให้เงินปันผล 15 เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุนทุก 39 วัน เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะพนักงานเท่านั้น ตนจึงไปชักชวนครอบครัวเเละญาติ ร่วมลงทุนมูลค่ารวมกว่า 1 ล้าน 4 แสนบาท ซึ่งก็ได้เงินปันผลครบทุกรอบ เเต่เมื่อภายหลังขอเงินลงทุนคืน กลับถูกบ่ายเบี่ยง ช่วงเมษายนที่ผ่านมาพนักงานติดต่อให้ไปเซ็นเอกสาร ประนอมหนี้ โดยระบุจะ แบ่งจ่ายชำระหนี้ให้เป็นระยะเวลา 1 ปี เเต่ภายหลังกลับติดต่อไม่ได้ ทุกวันนี้ลำบากมาก เพราะไม่มีเงินจะใช้จ่าย ต้องจำนำของในบ้านเเทบทั้งหมด 


ที่มา : https://mgronline.com/crime/detail/9640000047256

“ศุภชัย” ซัด “วิโรจน์” เห็นชีวิตคนไทยมีค่าแค่ 10 ล้าน หลังแนะรัฐบาลให้จ่ายหาก ปชช.ฉีดวัคซีนป้องโควิดตาย ชี้ วัคซีนเป็นที่ยอมรับมาตรฐานความปลอดภัย เหน็บ ส.ส.ก้าวไกล ฉีดก่อนใครครบ 2 เข็ม ไม่มี แพ้-ตาย แนะช่วยกันรณรงค์ดีกว่า

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ต้องการให้ทำประกันให้คนเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน 10 ล้านบาท โดยระบุว่า เป็นการเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน ว่าคนไทยทุกคนรู้ดีว่าวัคซีนที่จัดเตรียมให้คนไทยได้ฉีดคือวัคซีนที่ฉีดกันทั่วโลก เป็นที่ยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยจากแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และเภสัชกร 

“สิ่งที่นายวิโรจน์เสนอเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะนายวิโรจน์คิดว่าชีวิตคนไทยมีค่าแค่ 10 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ ทุ่มเททำงานเหนื่อยยากลำบาก เพราะทราบดีว่าทุกชีวิตมีค่าที่ประเมินราคาเป็นเงินไม่ได้ และชีวิตคนไม่ใช่เครื่องเดิมพัน อย่างที่นายวิโรจน์คิด เวลานี้บทบาทในฐานะพรรคการเมือง ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ต้องร่วมกันสร้างความมั่นใจรณรงค์ให้ประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีน” นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า เมื่อมีการประกาศให้ ส.ส ไปฉีดวัคซีน ส.ส.จากพรรคก้าวไกล ไปฉีดกันเป็นกลุ่มแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และด้วยความที่เป็นพรรคคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่จึงฉีดวัคซีนซิโนแวค เท่าที่ทราบท่านได้ฉีดเข็มสองกันครบถ้วนแล้ว และแน่นอนไม่มีข่าวว่ามีท่านใดแพ้ และท่านใดตาย ตนจึงขอเรียกร้องนายวิโรจน์ และ ส.ส. ก้าวไกล ทุกท่าน ที่ได้ฉีดวัคซีนให้ออกมาช่วยกันแทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิการทำงานของรัฐบาลอย่างเดียว โปรดออกมารณรงค์เรียกร้องพี่น้องประชาชนกว่า 8 ล้านคน ที่เคยเลือกท่านมาเป็นผู้แทน ให้ลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน แค่นี้ก็ถือว่าท่านได้ทำหน้าที่คนไทยแสดงความรักชาติอย่างล้นเหลือแล้ว

ลุงป้อม "อนุรักษ์ มรดกชาติไว้ให้ลูกหลานไทย" ประชุมคกก. อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์/เมืองเก่า เห็นชอบ "พัฒนาตึกโดม ท่าพระจันทร์-อนุรักษ์เมืองเก่าปัตตานี" อนุมัติยกเว้นภาษี ที่ดิน/สิ่งปลูกสร้างแหล่งมรดกฯ สร้างแรงจูงใจ

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ครั้งที่ 2/2564  โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมประชุม ณ  ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ มติ ครม.เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์พัฒนา เมืองเก่าอุทัยธานี, เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา เมื่อ 27 เม.ย. 64 โดยให้ ทส., มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการทำงานร่วมกัน พร้อมสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน ที่อาจได้รับผลกระทบจากการกำหนดเขตพื้นที่เมืองเก่า อย่างทั่วถึง จากนั้นที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบเรื่องสำคัญ ได้แก่โครงการพัฒนา ตึกโดม มธ. ท่าพระจันทร์ ซึ่งเดิมอาคารมีสภาพทรุดเอียง และทรุดโทรม สมควรบูรณะให้กลับมามีความสง่างาม และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญของบ้านเมือง 

พร้อมทั้งให้สามารถใช้ประโยชน์สาธารณะ ได้อย่างกว้างขวาง และเห็นชอบแผนแม่บท และผังแม่บทการอนุรักษ์ และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าปัตตานี โดยมุ่งเน้นให้สอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ "เมืองเก่าปัตตานี ศูนย์กลางแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์โบราณคดีและวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม ที่สำคัญของภาคใต้" รวมทั้งได้เห็นชอบ ยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้กับเจ้าของอาคารและที่ดิน ซึ่งเป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรม เพื่อสร้างแรงจูงใจ และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับเจ้าของที่ดินและอาคาร ในพื้นที่เขตเมืองเก่า และกรุงรัตนโกสินทร์

พล.อ.ประวิตร ยังได้เน้นย้ำให้ ทส. มท. กทม. กรมศิลปากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการ ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว และนำไปสู่การปฏิบัติ อย่างเป็นรูปธรรม มุ่งให้กรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ได้สืบสานมรดกทางศิลปะ และวัฒนธรรม อันทรงคุณค่า เพื่อให้คนไทยมีความภาคภูมิใจ และเก็บไว้ให้ลูกหลานไทยสืบไป

กรมราชทัณฑ์ แจงผลตรวจโควิด ‘รุ้ง’ และผู้ต้องขังอื่นที่ร่วมแดนไม่มีใครเจอเชื้อ แต่ยอมรับพบการระบาดอยู่อีกแดน เร่งส่งผู้ป่วยรับการรักษาแล้ว

จากกรณี น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำกลุ่มราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “บิดาและมารดาติดเชื้อโควิด-19 จากตนที่ได้รับเชื้อมาจากในเรือนจำ โดยระบุว่า ผู้ต้องขังและนักโทษไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มากน้อยเพียงใดในเรือนจำ” 

ล่าสุด รายงานข่าวจากกรมราชทัณฑ์ ชี้แจงว่า มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จริงในหลายเรือนจำ แต่กรมราชทัณฑ์ยังคงดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งในกรณีของ น.ส.ปนัสยา กรมราชทัณฑ์ ขอเรียนชี้แจง ดังนี้

กรมราชทัณฑ์ ได้รับตัว น.ส.ปนัสยา เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 64 โดยควบคุมภายในห้องกักโรคของแดนแรกรับ และได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยการ SWAB ครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ผลไม่พบการติดเชื้อ และทำการตรวจหาเชื้อครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ผลไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน ต่อมา วันที่ 26 เม.ย. ได้อนุญาตให้ น.ส.ปนัสยา ลงจากห้องกักโรค (บนอาคารเรือนนอน) ลงมาอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังอื่นภายในแดนแรกรับ จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 6 พ.ค.

ทั้งนี้ ทัณฑสถานหญิงกลาง แบ่งการควบคุมเป็น 2 แดน คือ แดนแรกรับ ซึ่งเป็นแดนที่ น.ส.ปนัสยา ถูกควบคุมตัวอยู่มีผู้ต้องขังประมาณ 1,500 คน ได้ทำการตรวจคัดกรองผู้ต้องขัง 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ภายหลังจาก น.ส.ปนัสยา ปล่อยตัวไป ไม่พบผู้ต้องขังแดนนี้ติดเชื้อ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงผู้ต้องขังที่นอนห้องเดียวกันและใช้ชีวิตใกล้ชิดกับ น.ส.ปนัสยา ตั้งแต่พ้นจากห้องกักโรค จำนวน 4 คน ก็ไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน

สำหรับอีกแดนหนึ่ง คือ แดนผู้ต้องขังเด็ดขาดที่เกิดการระบาดของโรค ซึ่งมีผู้ต้องขังประมาณ 2,900 คน ทำการตรวจคัดกรองผู้ต้องขัง 100 เปอร์เซ็นต์ พบผู้ต้องขังติดเชื้ออยู่ในแดนนี้ จำนวน 1,039 คน ตามที่ปรากฏเป็นข่าว และได้ย้ายผู้ต้องขังที่ติดเชื้อไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น จึงขอสร้างความเข้าใจต่อสังคมว่า กรมราชทัณฑ์ ไม่ได้มีนโยบายหรือสั่งการให้ปิดบังข้อมูลสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานแต่อย่างใด อีกทั้งยังได้มีหนังสือกำชับให้เรือนจำและทัณฑสถานปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด


ที่มา : https://mgronline.com/crime/detail/9640000047088?fbclid=IwAR1ILYC8wAHUbpLACpL7AJp16CVi2Ci_uuGuihdKUWCFoWhv8fGXza4j1xM
 

“ศิริภา” งง คกก.โรคติดต่อ กทม. ปฏิเสธ รพ.เอกชนยื่นมือช่วย ตรวจโควิด-19 แทนที่จะได้ช่วยลดภาระ-เร่งจำกัดการระบาดเชิงรุก แนะการฉีดวัคซีนควรทำควบคู่กับการตรวจหาเชื้อ

นางสาวศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ กระทรวงแรงงาน จะเปิดให้บริการตรวจโควิด-19 แก่ผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบ และประชาชนทั่วไป ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง ถึงวันที่ 31 พ.ค.นี้ว่า 

ส่วนตัวขอเรียกร้องให้มีการขยายระยะเวลาตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดงออกไปอีก เนื่องจากเป็นที่พึ่งสำคัญในการตรวจคัดกรองเวลานี้ ที่มีกลุ่มเสี่ยงใหม่จำนวนมากเกิดขึ้นทุกวันและยังไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง โดยเฉพาะพื้นที่เขตดินแดงเองก็เป็นเขตที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด และสามารถช่วยแบ่งเบาภาระการตรวจคัดกรองในพื้นที่อื่น ๆ และใน รพ. เพราะแม้ว่าจะมีการตั้งจุดคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงแต่ต้องยอมรับความจริงว่าจำนวนบุคลากรจากสำนักอนามัย ของ กทม. และ บุคลากรทางการแพทย์ของ รพ.รัฐ ในเขตพื้นที่เสี่ยงนั้นมีไม่เพียงพอ และจากที่พยายามประสานติดต่อขอเข้าตรวจคัดกรองโควิด-19 ให้กับกลุ่มเสี่ยงก็พบว่าคิวการตรวจคัดกรองตาม รพ. ต้องรอนานถึง 2 วัน  

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาที่โรงพยาบาลเอกชนอาสาพยายามยื่นมือขอเข้ามาช่วยคัดกรองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่กลับถูกกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครปฏิเสธ ทำให้การตรวจคัดกรองโควิด-19 เป็นไปอย่างล่าช้าทั้งที่การตรวจหาเชื้อควรทำอย่างเชิงรุกและเป็นหนทางสำคัญที่จะสามารถจำกัดการแพร่ระบาดไม่ให้ลุกลามเป็นวงกว้างได้ 

ดังนั้นจุดตรวจของสนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดงโดยกระทรวงแรงงาน จึงเป็นเสมือนจุดตรวจหลักที่รองรับกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้รับคิวตรวจจาก รพ. และ จุดคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่ ที่มีการตรวจน้อยมากต่อวัน เมื่อเทียบกับอัตราผู้ติดเชื้อ 

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเข้าใจว่าคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครต้องการมุ่งทรัพยากรไปในการฉีดวัคซีนเป็นหลัก แต่คณะกรรมการต้องทำความเข้าใจว่าทั้งสองอย่างนั้นต้องทำไปควบคู่กัน เพราะการฉีดวัคซีนไม่ได้ทำให้ประชาชนชนกลุ่มเสี่ยงที่อาจติดโควิดหายจากโควิดได้ ยิ่งไม่ได้รับการตรวจ ก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคหรือไม่ ก็ยิ่งจะแพร่โรคให้กับคนอื่นอีก และหากทรัพยากรที่ทาง กทม. มีไม่เพียงพอก็ควรเปิดทางให้กับเอกชนที่มีความพร้อมเข้ามาช่วยเหลือในเขตพื้นที่ที่จำเป็นอย่าง ดินแดง ห้วยขวาง บางเขน จตุจักร ลาดพร้าว ที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุดของกรุงเทพมหานคร โดยขอให้มองว่าสถานการณ์แบบนี้เป็นสถานการณ์วิกฤตที่ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกันและให้ความสำคัญกับชีวิตของประชาชนให้มากที่สุด ไม่ใช่เวลามาแบ่งแยกหน้าที่กัน ว่าหาก รพ.เอกชนพร้อมก็ควรสนับสนุน

“บิ๊กตู่” ติดตามกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำเพิ่มต่อเนื่อง กำชับราชทัณฑ์ประสานสาธารณสุขดูแลผู้ต้องขังด้วยมาตรฐานเดียวกับผู้ป่วยภายนอก คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่เสี่ยงจำกัดการแพร่ระบาด

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่มีรายงานผลการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงและยังพบผู้ป่วยยืนยันในกลุ่มผู้ต้องขังเพิ่มสูงขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามกรณีนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทราบถึงมาตรการต่าง ๆ ที่กรมราชทัณฑ์ดำเนินการทั้งในการตรวจคัดกรอง การแยกผู้ต้องขังแรกเข้า การแยกผู้ป่วยออกไปรักษาในโรงพยาบาลสนามของราชทัณฑ์ แต่ก็ได้กำชับว่าขอให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อดำเนินการตามมาตรการควบคุมและรักษาโรค เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปในมาตรฐานเดียวกับประชาชนทั่วไปที่อยู่นอกเรือนจำ 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ ให้มากและเร็วที่สุด เพื่อประสิทธิภาพในการจำกัดวงการแพร่ระบาด รวมไปถึงความปลอดภัยของทั้งผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายในเรือนจำด้วย โดยให้สาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ของจังหวัดพื้นที่เสี่ยงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

“เนื่องจากปัจจุบันเรือนจำหลายแห่งมีผู้ต้องขังอยู่หนาแน่น มีความแออัด ด้วยพื้นที่จำกัด ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค นายกรัฐมนตรีมีข้อห่วงใยในส่วนนี้จึงกำชับให้ทางราชทัณฑ์ประสานงานกับสาธารณสุขในเขตพื้นที่ให้เข้ามาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับประชาชนภายนอก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขัง แม้จะเป็นผู้เคยกระทำผิดจนต้องขัง แต่เมื่อป่วยต้องได้รับการดูแล” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

“แรมโบ้” ขอบคุณ “หญิงหน่อย” ช่วยรณรงค์ให้ ปชช.ฉีดวัคซีน เตือน ไม่ควรใช้จังหวะนี้เหน็บแนมรัฐบาล ชี้ ปชช.ฉลาด ไม่ต้องแสแสร้งหาคะแนน

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย ออกมาชวนคนไทยฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แม้ไม่พอใจรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ โดยระบุว่าขอขอบคุณคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ออกมารณรงค์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่มองว่าคุณหญิงสุดารัตน์ไม่มีความจริงใจ แต่อยากจะใช้จังหวะนี้เหน็บแนม โจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมถึงการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ด้วย 

นายเสกสกล กล่าวว่า หากคุณหญิงสุดารัตน์มีความจริงใจที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาจริง ขออย่าพูดในเรื่องที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เกิดความสับสนในตัวนายกฯ และรัฐบาล รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ เพราะที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนัก ทั้งดูแลผู้ป่วย รวมถึงการจัดหาวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชน 

“แม้คุณหญิงสุดารัตน์จะไม่เห็นว่านายกฯ รัฐบาล ทำงานแก้ไขปัญหาอย่างไร แต่ตนเองมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นการทำงานและยังไว้วางใจให้แก้ไขปัญหาอยู่ ดังนั้นอย่าเหมารวมว่าประชาชนไม่พอใจรัฐบาล และขณะนี้ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปได้มีวัคซีนทยอยเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก หากคุณหญิงสุดารัตน์จริงใจอยากจะช่วยก็ขออย่าพูดอะไรที่กระทบกับคนทำงาน อย่ามาตีกินทางการเมือง และคุณหญิงสุดารัตน์เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในเวลานี้เห็นประเทศเกิดวิกฤตโควิดเช่นนี้ ควรออกมาช่วยเหลือกันมากกว่าจะมาตำหนิ เพราะจะทำให้ประชาชนหมดความศรัทธา เบื่อหน่ายได้ และหากเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคการเมืองที่คุณหญิงก่อตั้งขึ้นมาอาจไม่มีใครได้รับเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นผู้แทนประชาชนแม้แต่คนเดียว เพราะประชาชนฉลาดพอที่จะมองออกว่า พรรคไทยสร้างไทย มีความจริงใจต่อประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเพียงเสแสร้งเพื่อหาคะแนนเข้าพรรคตนเอง ถ้าเป็นเช่นนี้ คงตบตาหลอกประชาชนไม่สำเร็จแน่นอน” นายเสกสกล กล่าว

‘เกศปรียา’ ตั้งข้อสังเกต ทำไมรัฐบาลนี้บริหารสถานการณ์โรคระบาดแบบทำให้คนทั้งประเทศกลัววัคซีนไปได้

‘เกศปรียา แก้วแสนเมือง’ รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ เผยว่า ถ้าศึกษาข้อมูลจริง ๆ วัคซีน COVID-19 น่าจะไม่อันตรายเท่า วัคซีนบาดทะยัก วัคซีนพิษสุนัขบ้า ที่เราฉีดกันอย่างสบายใจมาเนิ่นนานแล้ว ชนิดใครโดนสัตว์เลี้ยงกัด หรือเกิดอุบัติเหตุตะปูตำก็เดินเข้าคลินิคไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าและบาดทะยักได้ ไม่ได้มีใครวิตกกังวลมากมายก่อนการรับวัคซีน ถามว่าวัคซีนทั้งสองมีโอกาสแพ้มั้ย ก็ต้องบอกว่ามีโอกาสแพ้ ซึ่งอาจจะเยอะกว่าวัคซีนโควิดด้วยซ้ำดูจากวิธีการผลิตวัคซีน โดยอธิบายง่าย ๆ ได้ว่า วัคซีนพิษสุนัขบ้าและบาดทะยักใช้พิษจากเชื้อที่เพาะมาทำวัคซีน แต่วัคซีนโควิด-19 ใช้รหัสพันธุกรรมบางส่วนจากเชื้อที่หมดสภาพ (inactive) มาทำวัคซีน

แต่ประเด็นคือ ทำไมรัฐบาลถึงบริหารสถานการณ์โรคระบาดแบบทำให้คนทั้งประเทศกลัววัคซีนไปได้ขนาดนี้ ระดับคนมีการศึกษาระดับสูงสุดปริญญาเอกยังปฏิเสธที่จะฉีดวัคซีน ตนวิเคราะห์ว่าน่าจะมาจากการขาดความเชื่อมั่น ที่นายกรัฐมนตรีส่งสารไปสู่ประชาชน การที่พลเอก ประยุทธไม่ยอมฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ทั้งครั้งเเรกเเละครั้งที่สอง ทั้งที่ครั้งเเรกมีข่าวจะฉีดเป็นคนเเรก โดยอ้างอิงจากข่าวในเว็บไซต์ https://www.prachachat.net/politics/news-618072 แต่กลับเบี้ยวไม่มาตามนัด ทั้งที่ทาง รพ.บำราศนราดูร จัดเวทีเตรียมพร้อมไว้ฉีดซิโนเเวคให้เเล้ว เเต่ไม่มา โดย ศ.บ.ค. มาให้ข่าวอ้างว่า ซิโนเเวคไม่เหมาะกับคนอายุเกิน 60 ปี เเต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศ.บ.ค. กลับ ออกมายืนยันว่าคนที่มีอายุ เกิน 60 ปีสามารถฉีดได้ และครั้งที่สองที่พลเอกประยุทธ์ให้ข่าวจะฉีดเเอสตร้าเซเนก้า ทาง รพ.เดิม ก็จัดเตรียมพิธีการกันไว้อย่างดี แต่พอถึงวันก็ไม่มาฉีดอีก โดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ https://www.bbc.com/thai/thailand-56369384 อีกทั้งมีข้ออ้างว่ายุโรปบอกว่าเเอสตร้าเซเนก้า จะทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือด พฤติกรรมผิดคำพูดไม่มาตามนัดไม่ใช่วิสัยของผู้บริหารที่ดี การโลเลเป็นการทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลให้ประชาชนไม่มีความมั่นใจในวัคซีน

ดังนั้นถือเป็นความผิดพลาดขั้นสูงสุดของพลเอกประยุทธและรัฐบาล เพราะสาเหตุสำคัญที่มาจากเพราะความไม่เขื่อมั่นในข้อมูลที่รัฐบาลแถลงกลับไปกลับมา ซึ่งการแถลงแต่ละเรื่องออกมาทำให้คนรู้สึกว่ามีวาระซ่อนเร้น ไม่เปิดเผยข้อมูลที่ประชาชนควรทราบ เพื่อประโยชน์ในการอยู่ในอำนาจแบบเห็นแก่ตัว การอยู่ในอำนาจของรัฐบาลเป็นประเด็นสำคัญอันดับหนึ่งในการตัดสินใจทุกเรื่อง อย่างวัคซีนในช่วงการระบาดรอบที่ 2 เมื่อประชาชนทวงถามว่า ทำไมไทยไม่มีวัคซีนขนาดเพื่อนบ้านแบบกัมพูชา ลาว ยังมีปริมาณการฉีดวัคซีนมากกว่าไทย เป็นเพราะรัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดไม่ร่วมกับโครงการจัดหาวัคซีนขององค์การอนามัยโลก (COVAX) ใช่หรือไม่ แทนที่รัฐบาลจะออกมาขอโทษประชาชนว่าตัดสินใจผิดพลาดต่อไปนี้จะเปิดเสรีให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้ กลับให้โฆษก ศ.บ.ค. ออกมาให้ข่าวเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ว่า วัคซีนจะมาช้าหรือเร็วแทบไม่มีผลกับคนไทยเพราะเรามีหน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยไว้ดูแลอนามัยส่วนตน ไม่ต้องเจ็บตัวจากการฉีดวัคซีน ซึ่งข่าวสารตรงนี้มีการทำเป็นอินโฟกราฟิกเผยแพร่ไปในวงกว้าง ประกอบกับข่าวอันตรายของผลข้างเคียงของวัคซีน ที่ไม่มีภาครัฐออกมาอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ด้วยการเปรียบเทียบวัคซีนโควิด-19 กับวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า หรือวัคซีนบาดทะยัก

การบริหารจัดการจัดหาวัคซีนก็จัดการในลักษณะที่ทำให้ประชาชนมองว่าไม่โปร่งใส ล่าช้า และน่าสงสัยว่าจะทำเพี่อผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ขอร้องว่า เว้นซักเรื่องหนึ่งได้ไหม เพราะเรื่องนี้มันมีผลกระทบมากมายกับชีวิตประชาชนทั้งประเทศโดยตรง ถ้าอยากมีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ไปทับซ้อนกับเรื่องซื้ออาวุธที่รัฐบาลทหารถนัด เพราะอาวุธเหล่านั้นซื้อมาไม่ได้มีประโยชน์อะไร และไม่มีผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน กล่าวคือให้ไปหาผลประโยชน์กับของที่ซื้อมาไว้แล้วไม่ได้ใช้นั่นเอง แต่วัคซีนซื้อมาใช้กับประชาชนทั้งประเทศ ควรบริหารจัดการโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนในชาติสักเรื่องได้มั้ย 

เกศปรียา กล่าวต่อว่า เห็นรัฐบาลนี้ชอบอ้างว่าเข้ามาปล้นอำนาจไปจากประชาชนเพราะความรักชาติ และไปตำหนิทุกคนที่เห็นต่างว่าไม่รักชาติ แต่ดูพฤติกรรมที่รัฐบาลบริหารสถานการณ์โรคระบาดคราวนี้ พบว่าการตัดสินใจทำแต่ละอย่างดูเหมือนไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเลย แบบนี้เรียกรักชาติกว่าคนอื่นก็ได้เหรอ

ข้าราชการเชิงรุก​ -​ เปิดศึก​ Apple​ VS​ FB | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช EP.4

โดย​ อ.ต้อม -​ กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง

สำหรับ​ EP.4 นี้​ ชวนคิดไปกับการทำงานของข้าราชการเชิงรุก​ และอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ของ​โลกแห่งการสื่อสาร...

4.1 วิเคราะห์การทำงานเชิงรุก พ่อเมืองลำปาง ‘ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร’ เหตุใดชาวลำปางกว่าสองแสนคน จึงพร้อมใจลงทะเบียนฉีดวัคซีน

4.2 ใหญ่ ฟัด ใหญ่ นโยบายใหม่ Apple เมื่อทุกความลับต้องเป็นความลับ กับจุดจบการล้วงข้อมูลของ Facebook และเหล่าโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม 

.

.

รมว.สุชาติ ลุยปทุมธานี ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่แรงงานในสถานประกอบการ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของแก่ลูกจ้างที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ บริษัทแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.ปทุมธานี 

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม มอบสิ่งของและให้กำลังใจลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ บริษัทแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.ปทุมธานี โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การจัดงานในวันนี้ผมต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการ ในการอนุเคราะห์ด้านสถานที่ในการตรวจคัดกรองฯ และการประชาสัมพันธ์แก่สถานประกอบการในสวนอุตสาหกรรม การดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการแก่ลูกจ้างภายในบริษัทฯ ซึ่งสำนักงานประกันสังคม จังหวัดปทุมธานี ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลการุณเวช ปทุมธานี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อบูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงความร่วมมือจากสถานพยาบาล ต่อการสัมผัสเชื้อได้รับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เพื่อให้ทราบผลภายใต้ 24-48 ชั่วโมง โดยบริษัทแห่งนี้ เป็นสถานประกอบการหนึ่งที่อยู่ในแผนการตรวจ มีเป้าหมายผู้ประกันตนที่เข้ารับการตรวจ จำนวน 3,205 คน ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยลูกจ้างในสถานประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ

โฆษก ศรชล.แจง พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด บนเรือต่างชาติ ศรชล. สงขลา เข้มสั่งทอดสมอที่จุดกักกันโรค ด้าน สธ.สงขลา ส่งเรือ BOA DEEP C เป็น รพ.สนาม

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 พล.ร.ต.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ชี้แจงกรณีพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 บนเรือ BOA DEEP C ศรชล.ได้รับรายงานจาก ศรชล.ภาค 2 ว่าจากการประสานนายสันติ รักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าเรือน้ำลึก จว.สงขลา ทราบว่า เรือ BOA DEEP C สัญชาติ Norway พร้อมลูกเรือจำนวน 29 คน ได้ออกเดินทางจากประเทศอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. โดยผ่านทางประเทศสิงคโปร์ และเดินทางมาถึงท่าเรือน้ำลึกเจ้าพระยาสากลจำกัด จ.สงขลา เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 64 เวลาประมาณ 08.00 น. โดยทาง จนท.ด่านท่าเทียบเรือได้ตรวจสอบเอกสารประจำเรือต่าง ๆ และเอกสาร การตรวจโรคโควิด-19 (TEST COVID-19) ของคนประจำเรือ และทำการ SWAB เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 

พล.ร.ต.ปรกครอง กล่าวว่า และในเวลา 17.00 น. เรือได้ออกจากท่าเทียบเรือเพื่อเดินทางไป อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จนกระทั่งเวลาประมาณ 22.00 น. เรือ BOA DEEP C ได้รับแจ้ง ผลการตรวจ SWAB ปรากฏว่าพบลูกเรือติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 6 ราย ประกอบด้วย ชาวยูเครน 2 คน โปแลนด์ 2 คน อินเดีย 1 คน และ รัสเซีย 1 คน ซึ่ง สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสงขลา ได้แจ้งให้เรือเดินทางกลับมาที่จ.สงขลา และไปจอดทอดสมอบริเวณจุดจอดกักกันโรค ตามที่ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสงขลา กำหนด ตั้งแต่ 12 พ.ค.64 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงและห้ามเรือเดินทางไปส่งลูกเรือบนแท่นผลิต  หรือท่าเรือภายในประเทศ 

ทั้งนี้หากเรือประสงค์เดินทางกลับประเทศต้นทางสามารถแจ้งความประสงค์ให้ทราบและสามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้สาธารณสุขจังหวัดสงขลาได้กำหนดให้เรือ BOA DEEP C เป็นโรงพยาบาลสนาม เนื่องจากคนประจำเรือเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด และกลุ่มคนที่ติดเชื้อยังไม่มีอาการรุนแรง ซึ่งจะแยกผู้ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อออกจากกัน และเฝ้าสังเกตอาการทุกวัน 

“ศรชล. ได้สั่งการให้หน่วยงานในศรชล. ภาค 2 ในพื้นที่ จ.สงขลา จัดเรือออกตรวจสอบเพื่อเฝ้าระวังมิให้มีการขนถ่ายคนและสิ่งของจากเรืออื่นไปยังเรือดังกล่าวหรือการขนถ่ายคนและสิ่งของจากเรือดังกล่าวไปสู่เรืออื่น รวมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติงานของ จนท.ควบคุมโรค ตามที่ได้รับการประสาน รวมถึงสั่งการให้ ศรชล.จังหวัด และ ศคท.จังหวัดทั้ง 5 จังหวัดปฏิบัติตามข้อกำหนด ที่ออกตามพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างเคร่งครัด ในการขอเข้าราชอาณาจักรผ่านด่านทางน้ำที่ไม่เข้าเงื่อนไขตามคำสั่ง ศบค. ต้องขออนุญาตจาก ศปก.ศบค. เท่านั้น” โฆษกศรชล. กล่าว

เคลียร์ดราม่า!! 'ติดโควิดจากเหงื่อ-ไม่ระวังตัว' ปมร้าว 'หมอทวีศิลป์-ทีมนักตบหญิงไทย' หลังสื่อดังสื่อสารผิด

จากกรณีทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ติดเชื้อโควิด ถึง 22 จาก 37 คน ระหว่างเตรียมแข่งขันวอลเลย์บอลรายการใหญ่ของโลก “เนชั่นส์ลีก” ที่อิตาลี ต่อมาโลกออนไลน์พากันแชร์ข้อความของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.ที่แถลงข่าวประจำวันที่ 13 พ.ค. 64 ตอนหนึ่งว่า “นักกีฬาในชุดนี้เป็นบทเรียนของเราอย่างดีถึงแม้ฉีดไปแล้ว แต่ถ้าไม่ระมัดระวังตัวในการที่ใส่หน้ากากผ้าหน้ากากอนามัย การอยู่ในพื้นที่แออัดระยะใกล้ชิด การเล่นกีฬาแล้วมีสารคัดหลั่งก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้”

ต่อมา อรอุมา สิทธิรักษ์ นักวอลเลย์บอลทีมชาติไทย ออกมาโพสต์เชิงตอบโต้ พร้อมตั้งคำถามว่า “ทุกคนทำดีที่สุดแล้วนะ ระวังตัวกันแล้วแต่มันก็ยังเกิดขึ้น แต่คุณหมอมาพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ จะให้ฝึกซ้อมยังไงไม่ให้เหงื่อออกละช่วยบอกหน่อยคะ นักกีฬาทุกคนก็ทำหน้าที่เพื่อชาติรักชาติเช่นกันนะคะ” ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้น ('อรอุมา' ถามกลับ 'หมอทวีศิลป์' ซ้อมยังไงไม่ให้เหงื่อออก-ทุกคนระวังตัวที่สุดแล้ว)

ล่าสุด ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA โพสต์เฟซบุ๊ก "Warat Karuchit" ระบุว่า หมอทวีศิลป์ โทษนักวอลเลย์บอล ว่าติดโควิดเพราะไม่ระวังตัว และติดโควิดกันทางเหงื่อจริงหรือ?

เรียน คุณอรอุมา สิทธิรักษ์ Onuma Sittirak ในฐานะทีมงานสื่อสารของคุณหมอทวีศิลป์ ผมขออนุญาตชี้แจงแทนคุณหมอดังนี้นะครับ คุณหมอทวีศิลป์ ไม่ได้มีเจตนาที่จะตำหนิทีมวอลเลย์บอลหญิงใด ๆ เลยครับ เป็นเพียงการอธิบายว่ากรณีนี้ เป็นตัวอย่างเพื่อให้คนอื่น ๆ ที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว ได้เรียนรู้ว่า แม้ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังติดเชื้อได้ ถ้าไม่ระมัดระวังตัว ซึ่งคุณหมอไม่ได้เจาะจงต่อว่าใครเป็นพิเศษว่าไม่ระมัดระวังตัว เพราะคำว่า ไม่ระมัดระวังตัวที่คุณหมอขยายความต่อก็คือ การไม่ใส่แมสก์ อยู่ในที่แออัด ใกล้ชิด ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการเล่นกีฬา แต่การเก็บตัวในแคมป์ การอยู่ใกล้กัน ทานอาหารร่วมกัน ก็สามารถติดเชื้อได้ แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม แต่ที่ทำให้คุณอรอุมาเข้าใจผิด อาจจะเป็นเพราะโพสต์ข่าวของเพจ Ch3ThailandNews ของช่อง 3 (ที่คุณอรอุมาแชร์มา) ได้ถอดคำพูดของคุณหมอออกมา "ผิด" (misquote) ถึง 2 จุดสำคัญคือ

1.) ประเด็นเรื่อง "ไม่ระวังตัว" เพจข่าวช่อง 3 ถอดคำพูดคุณหมอว่า "นักกีฬาในชุดนี้จะเป็นบทเรียนอย่างดี ฉีดไปแล้วไม่ระวังตัว" แต่แท้จริงแล้วคุณหมอพูดว่า "เพราะฉะนั้นนักกีฬาชุดนี้ก็จะเป็นบทเรียนของเราอย่างดีว่า ถึงแม้ฉีดไปแล้ว แต่ถ้าไม่ระมัดระวังตัว..." (นาทีที่ 25.47) ซึ่งความหมายต่างกันเลยนะครับ ประโยคของข่าวช่อง 3 อ่านแล้วรู้สึกเหมือนคุณหมอพูดเจาะจงว่า นักกีฬาวอลเลย์บอลนั้น ไม่ระมัดระวังตัว แต่ประโยคที่คุณหมอพูดหมายถึง เป็นตัวอย่างว่า ใครก็ตาม แม้ว่าว่าฉีดไปแล้ว แต่ไม่ระมัดระวังตัว ก็จะติดเชื้อได้

2.) ประเด็นเรื่อง "เหงื่อ" ประโยคสำคัญที่คุณหมอพูด ผมจะขอถอดออกมาทีละคำนะครับ กรุณาฟังในนาทีที่ 26.04 ในลิงก์การแถลงข่าวด้านล่างนะครับ คุณหมอพูดว่า "การเล่นกีฬาแล้วมี... สารคัดหลั่งอะไรทั้งหลายออกมาเนี่ย ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้" ซึ่งในคำพูดของคุณหมอ ไม่มีคำว่า "เหงื่อ" เลยแม้แต่น้อย คุณหมอจึงไม่ได้หมายความว่า ในการเล่นกีฬาแล้วมีเหงื่อ จะทำให้ติดเชื้อโควิด แต่อาจจะมีสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก ติดตามพื้น อุปกรณ์ จากการพูดตะโกนกันในสนาม หรืออื่น

แต่เพจข่าวช่อง 3 กลับถอดคำพูดของคุณหมอออกมาเป็นคุณหมอพูดว่า "เหงื่อสารคัดหลั่ง" ซึ่งทั้งถอดเทปผิด และผิดหลักการทางวิชาการแพทย์ด้วย เนื่องจากโควิดนั้น ติดจาก "สารคัดหลั่ง" ตามที่คุณหมอพูดเท่านั้น และ "เหงื่อ" ไม่ใช่ "สารคัดหลั่ง" ที่มีเชื้อโควิด (ดูภาพจาก รพ.จุฬา ครับ)

ดังนั้นคุณหมอจึงไม่มีทางที่จะหมายถึงว่า ติดโควิดกันทางเหงื่อแน่นอน เพราะคุณหมอทราบข้อมูลทางการแพทย์นี้ดี จึงขอเรียนชี้แจงคุณอรอุมามาตามข้อมูลนี้ และขออภัยหากมีคำพูดใดในการแถลงวันนี้ ที่ทำให้คุณอรอุมาและทีมวอลเลย์บอลหญิงต้องเกิดความไม่สบายใจ ซึ่งคุณหมอก็เสียใจที่เกิดการเข้าใจผิดนี้ขึ้นครับ และผมขอให้เพจ Ch3ThailandNews แก้ไขข้อความของคุณหมอทวีศิลป์ให้ถูกต้องด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ และทั้งผมและคุณหมอทวีศิลป์ ขอเป็นกำลังใจให้ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติไทยทุกคนที่มอบความสุขให้กับคนไทยมาตลอดครับ จากแฟนคลับคนหนึ่งเช่นกันครับ

จากนั้น ผศ.ดร.วรัชญ์ โพสต์อีกว่า "เห็นบางคอมเมนต์บอกว่า คุณหมอทวีศิลป์ไม่ควรยกตัวอย่างเฉพาะเจาะจงไปที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คือ ต้องขอความกรุณากลับไปดูเทปนะครับ คุณหมอไม่ได้เป็นผู้ยกตัวอย่างทีมวอลเลย์บอลหญิงครับ แต่เป็นการ "ตอบคำถาม" ที่มีสื่อถามเรื่องของการติดเชื้อในกรณี "ทีมวอลเลย์บอลหญิง" ขอบคุณครับ

ทั้งนี้ ผศ.ดร.วรัชญ์ โพสต์เพิ่มเติมว่า ล่าสุด คุณอรอุมา ลบโพสต์แล้ว ก็น่าจะแสดงว่าได้รับทราบคำชี้แจงแล้ว ขอบคุณมากครับ ส่วนโพสต์ข่าวของช่อง 3 ก็ลบออกแล้วเช่นกัน และยังบอกว่า

คุณอรอุมา ได้ส่งข้อความมาทาง Inbox และได้คุยกันสั้น ๆ เป็นอันว่าทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันแล้วครับ คุณหมอก็ได้รับทราบและสบายใจขึ้นแล้ว ต้องขอบคุณคุณอรอุมา และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในทีมหายป่วยโดยเร็วนะครับ พวกเราทุกคนเป็นทีมเดียวกันครับ


ที่มา: https://www.naewna.com/local/572922

“สนธิญา” ยื่นหนังสือถึง “สิทธิโชติ” อธ.ศาลอาญา ตรวจสอบ “เพนกวิน” โพสต์เฟซพาดพิงสถาบันผิดเงื่อนไขประกันตัวหรือไม่

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสนธิญา สวัสดี ที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน (สภาผู้แทนราษฎร) และอดีตผู้สมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือเรื่องร้องเรียนถึงนาย สิทธิโชติ อินทร วิเศษ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเพื่อให้ พิจารณากรณีที่ นาย พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฏร 1 ในจำเลยคดีปักหมุดสนามที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยกำหนดเงื่อนไข ได้โพสต์เฟซบุ๊ก "สาส์นแรกแห่งอิสรภาพ" เพื่อให้อธิบดีศาลอาญา วินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดต่อเงื่อนไขที่ระบุไว้ในคำขอประกันตัวหรือไม่ 

นายสนธิญา เปิดเผยว่า ตนเองเดินทางมาวันนี้ ในฐานะที่ตนเองเป็นประชาชนชาวไทยคนหนึ่ง หลังได้อ่านข้อความที่นายพริษฐ์ โพสต์เฟสบุ๊คแล้ว รู้สึกไม่สบายใจ และอาจเข้าข่าย ผิดเงื่อนไขการขอปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะข้อความที่ปรากฎ มีลักษณะพาดพิงสถาบัน ทั้งนี้ตนเองจึงได้ทำหนังสือยื่นถึงอธิบดีศาลอาญา เพื่อให้พิจารณาใน 2 ประเด็น ประเด็นแรก คือ การตรวจสอบว่าเฟซบุ๊คที่มีการเผยแพร่ข้อความลักษณะดังกล่าวเป็นของนายพริษฐ์หรือไม่ และ เนื้อหาข้อความเข้าข่ายผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวขอศาลหรือไม่ เพื่อให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาใช้ดุลยพินิจเพื่อดำเนินการต่อไป
 

ศรีสุวรรณ จี้ กสทช. สอบ ไทยพีบีเอส อ้างนำเสนอ 4 ข่าวปลอม

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงาน กสทช. พหลโยธิน ซ.8 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กสทช. เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบและเอาผิด กรณีที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสนำเสนอข่าวและรายการที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เป็นเท็จ คลาดเคลื่อนอย่างซ้ำซาก ทั้ง ๆ ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ควรจะเป็นสื่อต้นแบบที่สังคมไว้วางใจและคุ้มค่ากับเงินภาษีที่รัฐจ่ายให้ปีละกว่า 2,000 ล้าน

การเสนอข่าวและรายการที่กลายเป็นเฟกนิวส์มี 4 เรื่อง คือ

1.) การนำเสนอสกู๊ปข่าวรายงานตัวเลขที่ผิดพลาดหลายจุดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีต่อเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้

2.) การแปลข่าวชาวอินเดียเช่าเครื่องบินเหมาลำมายังประเทศไทยอย่างผิด ๆ

3.) การปล่อยให้ผู้ดำเนินรายการ “คุยให้คิด” กล่าวหา รมว.สาธารณสุขว่าขัดขวางไม่ให้เอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 และ

4.) ล่าสุดผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวได้เผยแพร่ข่าวหญิงสาวที่เข้ารับวัคซีนซิโนแวคที่ จ.อุดรธานี แอบอ้างภาพของผู้ป่วยรายหนึ่งที่โรงพยาบาลหนองม่วง จ.ลพบุรี ที่มีอาการแพ้ยา มีผื่นแดงเต็มตัว มาเผยแพร่ควบคู่กันจนเกิดความเข้าใจผิด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าไทยพีบีเอสนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันของสังคมอย่างมาก

การเสนอข่าวที่ผิดพลาดในลักษณะดังกล่าวบ่อยครั้ง ชี้ให้เห็นถึงคุณภาพในการทำงานของสื่อไทยพีบีเอสที่อาจขาดความเที่ยงตรงและความรับผิดชอบต่อสาธารณชนโดยชัดแจ้ง อันเข้าข่ายการฝ่าฝืน ม.43 (1) ประกอบ ม.42 (1) (2) แห่งพรบ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย 2551 และข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมของวิชาชีพเกี่ยวกับการผลิตและเผยแพร่รายการ 2563 ข้อ 5 (5.1, 5.2) ข้อ 7 (7.2) และข้อ 13 13.2) และข้ออื่น ๆ 

ยังเป็นการกระทำที่อาจขัดต่อกฎหมายและหรือขัดต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ซึ่งสำนักงาน กสทช. มีอำนาจดำเนินการตาม พรบ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551 ม.40 ประกอบ ม.39 รวมทั้งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยว่าด้วย จริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ 2553 ประกอบธรรมนูญสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ 2563 อีกด้วย

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความมาร้องเรียนต่อสำนักงาน กสทช. เพื่อให้ใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อลงโทษผู้บริหารหรือกองบรรณาธิการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ตามครรลองของกฎหมายต่อไป นอกจากนั้น สมาคมฯ ยังได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยัง รมว.กระทรวงการคลัง เพื่อขอให้ตรวจสอบคณะกรรมการนโยบายว่าเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริหารและกองบรรณาธิการข่าวในการประเมินผลงานประจำปี ตาม ม.50 หรือไม่ และขอให้พิจารณาปรับลดเงินภาษีที่ต้องจ่ายให้ไทยพีบีเอสให้ลดลง เพื่อนำไปปรับเป็นรายได้ของแผ่นดินเพิ่มมากขึ้น 

“ประยุทธ์” เปิด รพ.บุษราคัม รับสะเทือนใจเห็นภาพจนท.หลับฟุ้บคาโต๊ะ ขอชื่นชมจากใจ บอกวันนี้อาจทำได้ไม่ดีที่สุดแต่ไม่ได้เลวร้ายที่สุด เชื่อโควิดลามคุกคลี่คลายเร็ว ๆ นี้ ย้ำฉีดวัคซีนตามแผน โยน สธ. แจงหาวัคซีนให้เด็กต่ำกว่า 18 ก่อนเปิดเทอม

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ชัยขาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช. สาธารณสุข พร้อมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขให้การต้อนรับ

โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาเปิดโรงพยาบาลบุษราคัมในวันนี้ ซึ่งทราบดีอยู่แล้วว่าการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 หลายประเทศก็ยังมีความรุนแรงและมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่และต้องการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามหลายแห่งเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง โดยวันนี้ได้มีการจัดตั้งโรงบาลบุษราคัมเพิ่มขึ้นอีก เกิดจากความร่วมจากทุกส่วนภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามวันนี้มีปัญหาอยู่บ้างตามสถานการณ์ แต่เราต้องประเมินตามสถานการณ์ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน โดยสถานการณ์จะเป็นตัวชี้วัดว่าจะต้องทำอะไรเพิ่มเติม เช่น การเพิ่มสถานที่คัดกรองการฉีดวัคซีน โดยต้องใช้บุคลากรปฏิบัติงานอีกหลาย 10,000 คน จึงต้องมีการประสานงานที่ดี แต่เรายังรับได้อยู่เมื่อเทียบกับหลายประเทศในโลกนี้ ดังนั้นขออย่าท้อแท้อย่าสิ้นหวังและอย่ามัวขัดแย้งกัน โดยเฉพาะเรื่องสังคมต่าง ๆ ไม่เช่นนั้นจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย แม้ว่าเราอาจจะทำได้ไม่ดีที่สุด แต่ไม่ได้เลวร้ายที่สุดและทำงานตามสิ่งที่เราต้องทำ ซึ่งได้มีการพิจารณาสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคน และยังมีอีกหลายหมื่นคนทำงานในท้องถนนในพื้นที่และในชุมชนต่าง ๆ ขอให้นึกถึงและให้กำลังใจคนเหล่านี้ด้วยที่เสียสละเป็นด่านหน้า พร้อมจะติดเชื้อได้ตลอดเวลา และสิ่งที่ตนสะท้อนใจและไม่สบายใจที่เห็นภาพเจ้าหน้าที่ด่านหน้า นั่งและนอนหลับใต้โต๊ะ กลับบ้านไม่ได้ ต้องเสียสละ จึงขอยกย่องคนเหล่านี้ด้วยใจจิง ดังอะไรที่จะเป็นกำลังใจให้กับคนเหล่านี้ก็ขอให้สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ด้วย ซึ่งนี่คือคนไทย นี่คือประเทศของเราและระบบสาธารณสุขของเรา ดังนั้นขอชื่นชมและคนเหล่านี้สร้างผลงานมาหลายสมัยแล้วโดยเฉพาะการรับมือโรคระบาด ทุกคนเสี่ยงอันตรายและเหน็ดเหนื่อย แต่ยังคงมุ่งมั่นทุ่มเท ขอยกย่องทุกคนอย่างใจจริง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันมีผู้นำหลายประเทศ ผู้แทนท่านทูตหลายประเทศด้วยกันมีการพูดถึงประเทศไทย ชื่นชมในการจัดการของประเทศไทยในการแก้ปัญหาโควิด ซึ่งหลายประเทศยังควบคุมไม่ได้มากนัก และเราพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางที่ไทยเคยปฏิบัติ มีอะไรช่วยเหลือแนะนำได้ ซึ่งเราเป็นประเทศหนึ่งในโลกใบนี้ และเป็นมนุษย์ที่อยู่ในโลกเดียวกันเราต้องช่วยกัน นอกจากนี้ขอบคุณฝ่ายความมั่นคงดูแลชายแดนวันนี้ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี เชื่อว่าหากร่วมมือกันประเทศไทยของเราจะต้องเอาชนะโรคร้ายครั้งนี้ไปให้ได้อย่างแน่นอน 

จากนั้นนายกรัฐมนตรี รับเงินและสิ่งของสนับสนุนจากภาคเอกชน ก่อนเดินเยี่ยมชมศูนย์สั่งการ รวมถึงห้องพักผู้ป่วยในพื้นที่ดูแลผู้ติดเชื้อเฟส 1 โซนสวนหย่อม โซนผู้ติดเชื้อปกติ โซนผู้ติดเชื้อที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ จุดรับส่งผู้ติดเชื้อ และห้องน้ำ โดยนายกฯ ได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่พร้อมสอบถามถึงการทำงาน

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้มาให้กำลังใจและตรวจเยี่ยม และมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขจัดโรงพยาบาลลักษณะเช่นนี้ไว้รองรับคนไข้หลายระดับตามอาการ เพื่อให้เกิดความพร้อมและรองรับสถานการณ์ และช่วยแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลหลัก วันนี้ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำให้โรงพยาบาลบุษราคัมนี้เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในวันนี้ เราวางใจยังไม่ได้และอยากให้ใช้มาตรการทางสังคมช่วยดูแลด้วย ผ่านชุมชนและผู้นำชุมชนต่าง ๆ ทั้งนี้ตนเข้าใจว่าคนหาเช้ากินค่ำมีความจำเป็นและมีความเสี่ยงสูง จึงต้องมีมาตรการตัวเองด้วย ซึ่งเข้าใจว่าช่วงนี้อาจลำบากมาก รัฐ บาลไม่นิ่งนอนใจ จึงต้องดูในด้านเศรษฐกิจด้วยว่าจะดูแลกันอย่างไรแต่ทุกอย่างทำด้วยงบประมาณรัฐ ดังนั้นอาจทำได้ไม่เร็วมากนัก เพราะมีระเบียบ กติกาและกฎหมาย ดังนั้นจะทำให้ทุกคนพอใจเลยทั้งหมดคงไม่ได้ 

นายกฯ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามขอให้ร่วมมือและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้หมดกำลังใจ ส่วนการฉีดวัคซีนนั้น ยืนยันว่าต้องฉีดโค้กให้ได้ในเวลาที่วางไว้ถ้าไม่มีปัญหาใด ๆ ฉีดวัคซีนที่อนุมัติมาแล้ววันนี้ยังไม่มีที่ไหนแจ้งว่ามีปัญหา จึงยังคงเป็นไปตามแผน ขณะเดียวกันขอให้ทุกคนเข้าระบบหมดพร้อมให้เร็วที่สุด ซึ่งเดิมกำหนดให้แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ด่านหน้า แต่วันนี้เพิ่มกลุ่มย่อยจำนวนมากและจัดให้เหมาะสม กลับวัคซีนที่มาจากต่างประเทศ โดยย้ำว่าเดือนมิ.ย. จะมีวัคซีนเข้ามาอีกและวัคซีนจะเข้ามาเพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นฝากให้ทุกคนช่วยกันไปฉีดวัคซีนไม่ต้องให้ใครมาเรียกหรือมาจ้างสิ่งเหล่านี้เพื่อตัวเราเองยืนยันว่ารัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการติดเชื้อจำนวนมากในกรมราชทัณฑ์พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่ วันนี้อยู่ในพื้นที่ควบคุมและจำกัด โดยได้ซีลพื้นที่แล้ว หาที่กระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีมาตรการลงไป ซึ่งคิดว่าเกิดขึ้นได้ เพราะเป็นพื้นที่แออัด แต่เชื่อว่าเดี๋ยวก็จะคลี่คลายได้ ซึ่งเมื่อป่วยก็มีเตียงรักษา อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับต่างประเทศถือว่าเรายังน้อยกว่ามาก แต่แม้จะน้อยตนก็ไม่มีความสุข เพราะไม่อยากให้ไม่มีเลย 

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการฉีดวัคซีนให้คนอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากใกล้ที่โรงเรรยนจะเปิดเทอมแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องถามจากกระทรวงสาธารณสุข เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัคซีน ซึ่งต้องฟังทางการแพทย์ที่มีข้อกำหนดอยู่แล้วไม่ฟังหมอแล้วจะฟังใคร 

เมื่อถามถึงการตรวจหาเชื้อเชิงรุก จะมีอุปกรณ์ที่เพียงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พออยู่แล้ว และจะหาเพิ่มเรื่อย ๆ เพื่อเสริมให้อีก แต่สิ่งสำคัญคือขอให้มาตรวจและมาฉีดตามคำแนะนำของแพทย์และสาธารณสุข ไม่นั้นรัฐทำทางเดียวไม่สำเร็จ

สำหรับโรงพยาบาลบุษราคัม จะสามารถรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 1,200 คน และสามารถเพิ่มเติมได้ 3,000-5,000 เตียง รองรับผู้ป่วยสีเหลืองที่เล็กน้อยจนถึงปานกลาง ทั้งจากโรงพยาบาลสนาม และสายด่วนในกทม.และปริมณฑล หากเกิดผู้ป่วยอาการหนักจะส่งไปยังโรงพยาบาลที่มีความพร้อม ทั้งนี้ยังมีเจ้าหน้าที่หมุนเวียนปฏิบัติงานรวม 780 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top