Thursday, 3 July 2025
POLITICS

นายกฯ ส่งสาร 89 ปี สถานปนาสำนักนายกฯ ย้ำความสำเร็จภารกิจอยู่ที่ร่วมมือร่วมใจด้วยหัวใจเป็นข้าราชการที่ดี เพื่อประโยชน์สุข พาปชช.ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีสารเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปีที่ 89 วันที่ 28 มิ.ย.2564 ผ่านเพจเฟซบุ๊กสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีว่า ตนขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรีทุกคน ตลอดระยะเวลา 89 ปี สำนักนายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญในการอำนวยการการบริหารราชการแผ่นดินในทุกมิติ เชื่อมประสานส่วนราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานในภาคส่วนอื่นเพื่อขับเคลื่อนการนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติอย่างมีเอกภาพ โดยมุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนกินดี อยู่ดีมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น 

รวมทั้งพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการบูรณาการภารกิจการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศชาติก้าวพันผ่านวิกฤติโรคระบาดและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสำเร็จในการขับเคลื่อนภารกิจของสำนักนายกรัฐมนตรีเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรในทุกสังกัด ที่ปฏิบัติงานด้วยหัวใจของการเป็นข้าราชการที่ดี มีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และมุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อผลักดันให้การปฏิบัติราชการสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนโยบายรัฐบาล

ในขณะเดียวกันสำนักนายกรัฐมนตรียังเป็นต้นแบบในการยกระดับคุณภาพการบริหารจัดการของภาครัฐปรับรูปแบบการทำงานตามแนววิถีใหม่ (New Normal) เน้นการทำงานเชิงรุก เพื่อให้การอำนวยการ กำกับ ติดตาม การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีเอกภาพ สามารถแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน อย่างทันท่วงที และเกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างยั่งยืนตลอดมา

“ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดซะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ผู้บริหารและบุคลากรในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีทุกท่าน ประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ เจริญก้าวหน้า ็ในหน้าที่ราชการมีกำลังกายกำลังใจที่ข้มแขง สมปรารณณาทุกประการโดยทั่วกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าและมั่นคงสืบไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

“บิ๊กตู่” ถกด่วน ศบศ. ด่วน เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบภายหลัง หลังยกระดับควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

ที่ตึกภักดีบดินทร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 หรือ ศบศ. เป็นการด่วนเพื่อหามาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ ภายหลังมีคำสั่งยกระดับมาตรการเป็นการชั่วคราว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งหมดรวม 10 จังหวัด จากเดิมกำหนดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ VDO Conference

โดยที่ประชุม รับทราบรายงานจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ( สศช.) ภายหลังรัฐบาลประกาศยกระดับมาตรการฯโดยประเมินว่าจะมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ 6 จังหวัด ได้แก่ กทม. นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ 4 จังหวัดภาคใต้ รวมทั้งการพิจารณารูปแบบการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการในระบบประกันสังคม เป็นผู้ประกันตนในมาตรา 33 ซึ่งคาดว่าภาครัฐจะพิจารณาให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 1-2 พันบาทต่อเดือน รวมถึงให้กองทุนประกันสังคมจ่ายค่าทดแทนกรณีเหตุสุดวิสัยร้อยละ 50 ในระยะเวลา 1 เดือน ขณะที่ผู้ประกอบการและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบ คาดว่าจะเป็นรูปแบบจ่ายค่าทดแทนในสาขาที่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต้องจับตาโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่จะเริ่มวันที่ 1 ก.ค.นี้ ว่าจะมีการปรับอย่างไรหรือไม่ หรือจะมีการพิจารณาเพิ่มวงเงินในมาตรการเราชนะ และ ม33 เรารักกัน ที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.2564 หรือไม่

ทั้งนี้ ก่อนการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้พูดคุยอะไรกับสื่อมวลชน ภายหลังถูกวิพากวิจารณ์อย่างหนักในการแถลงข่าวหลังประชุมทีมคณะแพทย์เมื่อวันศุกร์ที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา

คลังชง ครม. รับทราบแผนแก้หนี้สินประชาชน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมรายงานในที่ประชุม ครม. วันที่ 29 มิ.ย.นี้ รับทราบความคืบหน้านโยบายแก้หนี้ครัวเรือน โดยในส่วนของสถาบันการเงินของรัฐได้ทำไปแล้วหลายมาตรการ เช่น ธนาคารออมสิน ได้ออกมาตรการ ยกเว้นการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ และเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่วนธนาคารอื่นๆ ก็กำลังวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วเช่นกัน

ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้หนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาภายในปลายปีนี้นั้น และยังมีผู้สนใจลงทะเบียนในโครงการน้อย จากเป้าหมาย 4 ล้านสิทธินั้น ขอให้รอดูไปก่อนเพราะขณะนี้โครงการเพิ่งจะเริ่มต้น ส่วนเรื่องการเพิ่มวงเงินในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ให้ถึง 6,000 บาทต่อคนตามที่เอกชนเสนอนั้น ขอพิจารณาก่อนแต่ตอนนี้ยังยึดตัวเลขเดิมคือ 3,000 บาทต่อคน

ทั้งนี้ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หาทางแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนรายย่อยให้กับประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่

1.) หนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จำนวน 3.6 ล้านคน รวมถึงผู้ค้ำประกัน 2.8 ล้านคน

2.) หนี้ครู/ข้าราชการ 2.8 ล้านบัญชี

3.) หนี้เช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ 27.7 ล้านบัญชี

4.) หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 49.9 ล้านบัญชี และ 5.ปัญหาหนี้สินอื่น ๆ ของประชาชน 51.2 ล้านบัญชี

“ชวน” กรีด “ข้าราชการ” ยังโชคดี มีเงินเดือนประจำ ไม่เดือดร้อนเท่าประชาชน ย้ำ ต้องทำงานเพื่อบ้านเมือง อย่าท้อแท้ปัญหา พร้อมสั่งวางมาตรการเข้มงวด ป้องกันคลัสเตอร์สภา เดินหน้าประชุมต่อ

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า มี ส.ส. สอบถามเรื่องการขอเลื่อนประชุมสภาผู้แทนราษฎรออกไป แต่ตนได้ชี้แจงว่าได้ออกระเบียบวาระไปแล้วและได้สอบข้อเท็จจริงเรื่องวุฒิสมาชิกติดโควิด-19 ว่าไม่ได้เข้าไปในห้องประชุม และได้มีมาตรการที่เข้มงวดซึ่งทำมาอย่างต่อเนื่องและได้ผลดี พร้อมทั้งทำเรื่องขออนุญาตต่อ ศบค. ในการประชุมตลอดสมัยประชุมด้วยแล้ว จึงเดินหน้าประชุมตามปกติ เว้นแต่เกิดกรณีในความไม่สะดวกจะพิจารณาอีกครั้ง

ส่วนกรณีที่สมาชิกที่อยู่ต่างจังหวัด หากมีการเคลื่อนย้ายบางจังหวัดต้องมีการกักตัว จะส่งผลกระทบหรือไม่นั้น ตนเข้าใจว่ากักตัวผู้ใช้แรงงานไม่ได้กักตัวประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่ามีปัญหาหรือไม่ เราไม่รู้ว่าประกาศของแต่ละจังหวัดเป็นอย่างไร ตนเข้าใจว่า ส.ส. ส่วนใหญ่กังวลเรื่องนี้ แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้อะไรที่สามารถทำได้ก็ทำเพื่อให้งานไม่ค้าง แต่หากเป็นผลกระทบส่วนรวมก็ต้องว่ากันอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องการให้สภาเป็นแหล่งผู้ติดเชื้อจึงได้เข้มงวดมาตรการมาตลอด ในวันเสาร์อาทิตย์ก็มีการทำความสะอาด

เมื่อถามถึงกรณีที่จะต้องเปิดประชุมสภาทุกสัปดาห์ จะต้องมีการประเมินเป็นรายสัปดาห์หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า มีเจ้าหน้าที่ทางฝ่ายเลขาฯ สภาติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา แต่เราก็ต้องร่วมมือกันช่วยลดปัญหาให้แพทย์ พยาบาล บุคลากรด่านหน้า ดังนั้น มาตรการที่เราสามารถทำได้ง่ายที่สุดคือรณรงค์ให้ประชาชนป้องกันตนเองให้มาก โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย จึงประสานฝ่ายบริหารรณรงค์ให้ประชาชนทำหน้ากากผ้า เพราะต้องอยู่กับโควิดอีกยาว และลดขยะที่จะเป็นปัญหามลพิษ

นอกจากนี้ นายชวนยังถามด้วยว่า ที่มีกระแสข่าวว่ามีคนอยากติดเชื้อโควิดเพื่อเอาประกันนั้น มีด้วยหรือ

เมื่อถามว่าคณะกรรมาธิการหลายคณะได้งดประชุมไปเรียบร้อยแล้ว จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของ ส.ส. หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า หากไม่เสร็จกรรมาธิการก็สามารถขอขยายเวลาได้ ซึ่งคาดว่าจะงดไป 1-2 สัปดาห์เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรโควิดยังอยู่อีกนาน แนวทางที่ตนแนะนำในวิธีการทำงาน เช่น ประชุมออนไลน์ หากเลื่อนไปก็จะไม่จบสิ้น

เมื่อถามถึงกรณีข้าราชการสภาฯ อึดอัดและโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ถึงมาตรการของสภาฯ นายชวนกล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐสภาส่วนใหญ่ทำงานที่บ้าน และมีมาทำงานในวันที่มีการประชุมรัฐสภาที่ผ่านมา 3 วัน ยอมรับว่าเขาเหนื่อยและตนเห็นใจ แต่ต้องพูดตรง ๆ ว่าอีกมุมหนึ่งประชาชนน่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะคนไม่มีเงินเดือน คนมีเงินเดือนยังมีหลักประกัน มีแต่ข้าราชการที่ไม่มีปัญหา ดังนั้น ต้องมีส่วนร่วมทำงานให้กับบ้านเมือง ขออย่าไปท้อแท้ปัญหา เพราะคนอื่นเดือนร้อนกว่าเรา เราพยายามที่จะวางมาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้รัฐสภาเกิดคลัสเตอร์ใหม่ แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องยอม แต่จะไม่ยอมให้มีการย่อหย่อน ลดความเข้มข้นของมาตรการ

เมื่อถามถึงข้อเสนอให้ ส.ส. ตัดเงินเดือนตัวเองเพื่อช่วยโควิดนั้น นายชวน กล่าวว่า ขอแค่ให้อย่าทุจริตคอร์รัปชันก็พอ

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าสมาชิกวุฒิภา จะไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับบัตรเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ถือเป็นสิทธิที่สมาชิกรัฐสภาทำได้ตามสิทธิของกฎหมาย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“วิโรจน์” อัดรบ. ประเมินสถานการณ์พลาด ทำโควิดเลวร้าย คนป่วยตกค้างไร้เตียง นอนตายที่บ้าน หนุนล็อกดาวน์คู่มาตรการเยียวยา แนะหารือผู้เชี่ยวชาญหยุดวิธีคิดโง่เขลา จี้เลิกซื้อ “ซิโนแวค” เหตุกระตุ้นภูมิต่ำ ไม่กันสายพันธุ์เดลต้า

ที่พรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงถึงการที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์กรุงเทพฯและปริมณฑล ว่า การควบคุมการระบาดของโรคนั้นพบว่าแพทย์ 1 คน ต้องดูแลผู้ป่วยอย่างน้อย 30 ราย บุคลากรการแพทย์ต้องทำงานหนักวันละ 16 ชั่วโมง ต่อเนื่องกันมานานกว่า 3 เดือน แต่ผู้ติดเชื้อโควิด ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และแนวโน้มผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากกว่าผู้ที่หายป่วยกลับบ้าน ทางพรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยได้แล้วว่าในแต่ละวันผู้ติดเชื้อใหม่มีจำนวนตรวจที่แท้จริงเท่าใด และจากผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่ที่พบเป็นผู้ที่ได้รับวัคซัน 1 เข็มไปแล้วกี่ราย รับวัคซีนครบ 2 เข็มไปแล้วกี่ราย โดยแยกยี่ห้อวัคซีนแจ้งให้ประชาชนทราบด้วย และในจำนวนนี้มีบุคคลากรทางการแพทย์กี่ราย เพื่อให้ประประชาชนได้รับทราบสถานการณ์ที่แท้จริง ซึ่งรัฐบาลมักจะพูดเสมอว่าวัคซีนที่เอามาฉีดกันตาย ไม่กันติด ทั้งที่จริงๆแล้วมีการติดมากน้อยแค่ไหน 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ยืนยันว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นในกทม.ถ้ารัฐบาลรู้จักหน้าที่ในการทำงานอย่างแท้จริง สถานการณ์ไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้ หากรัฐบาลมีการเตรียมความพร้อมทุกอย่าง แม้จะอยู่ในสภานการณ์ที่ลำบากก็ไม่น่าจะเกินกว่าขีดความสามารถที่รัฐบาลจะรับมือได้ดีกว่านี้ ที่ผ่านมางบประมาณด้านสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาท ที่กันมาจากการเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท รัฐบาลนี้เบิกจ่ายได้เพียงประมาณ  9,556 ล้านบาท หรือ 21 เปอร์เซนต์เท่านั้น รัฐบาลจะอ้างว่าไม่มีงบประมาณไม่ได้ โครงการเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาลมีการกันเงินเอาไว้ 10,132 ล้านบาท จากเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท จากวงเงินสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาท เบิกจ่ายไปได้เพียงแค่ 178 ล้านบาทเท่านั้น คืบหน้าแค่ 1.8 เปอร์เซนต์ โครงการเพื่อรับสถานการณ์ฉุกเฉิน 10,497 ล้านบาท เบิกจ่ายไปได้เพียง 127 ล้านบาท คืบหน้าเพียง 8.5 เปอร์เซนต์  

โฆษกพรรคกก้าวไกล กล่าวต่อว่า ทั้งหมดนี้จึงสะท้อนได้ชัดว่า ที่ผ่านมารัฐบาลดูเบาต่อสถานการณ์ ประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป และละเลยไม่ตั้งใจในการทำหน้าที่ ขาดความรับผิดชอบต่อสาธารณชน จนประชาชนโดยเฉพาะในกทม. ต้องเดือดร้อนแสนสาหัส กระทบกับปากท้องการดำเนินชีวิต การทำมาหากิน ประชาชนทุกเพศทุกวัยเดือดร้อน  และสถานการณ์การฉีดวัคซีนก็ยังคงล้าช้า มีประชาชนถูกลอยแพเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าระบบจัดการฐานข้อมูลยังคงมั่วอยู่ ยิ่งให้โรงพยาบาลเข้ามากำหนดวันหนัดหมายใหม่ได้เอง เลื่อนคิวได้เอง โดยที่ระบบฐานข้อมูลยังไม่ได้จัดทำให้เชื่อมโยงกัน ระหว่างระบบการจองต่างๆ กับฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ยิ่งจะทำให้ระบบการจัดการฐานข้อมูลสร้างปัญหาให้กับการจัดการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเดือดร้อนกันมากยิ่งขึ้น  ซึ่งเรื่องนี้พรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดการปัญหาให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นปัญหาจะสะสมแและผู้ที่เดือดร้อนคือประชาชน

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า สำหรับวัคฉีนซิโนแวค ที่รัฐบาลยืนยันที่จะดำเนินการจัดซื้ออีก 28 ล้านโดสนั้น ถ้าต้องใช้งบฯ จะอยู่ที่ 15,372 ล้านบาทถึง 1,7500 ล้านบาท เรื่องนี้พรรคก้าวไกล ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีข้อท้วงติงจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ ในประเด็นประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวก และวัคซีนชนิดเชื้อตายอื่น ๆ ว่าอาจจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างจำกัด และไม่ความสามารถในการสร้างภูมิที่ไม่สูงเพียงพอ และมีแนวโน้มว่าอาจจะไม่สามารถรับมือกับเชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้ ซึ่งสายพันธุ์ดังกล่าวมีการคาดมายกันว่าจะเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในกทม. ภายในเดือน ก.ค.-ส.ค.นี้ 

นายวิโรจน์ กลาวต่อว่า การฉีดวัคซีนซิโนแวก หากรัฐบาลจอ้างว่าฉีด 3 เข็ม แล้วได้ภูมิในระดับน้องๆของ Mrna อย่างไฟเซอร์ พรรคก้าวไกล จึงได้เปรียบเทียบต้นทุนให้รัฐบาลได้ตรหนัก วัคซีนซิโนแวค 3 เข็ม ค่าใช้จ่ายต่อประชาชน อยู่ที่ประมาณ 1,647-1,875 บาทต่อคน เมื่อเทีบกับไฟเซอร์ 2 เข็มมีค่าใช้จ่ายเพียงแค่ 1,216 บาทต่อคน ไม่ว่าจะในแง่ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคหรือประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ การจัดซื้อวัคซีนชนิด mRNA น่าจะเป็นทางออกในการระงับการแพร่ระบาดจากเชื้อสายพันธ์เดลต้าที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด พรรคก้าวไกลยืนยันว่า การจัดซื้อวัคซีนชนิด mRNA ควรจะเป็นทางออกที่รัฐบาลเร่งพิจารณาและเชื่อว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองอย่างมีจริยธรรมมากกว่า รัฐบาลจะนอนคดไม่รู้นั่งขู้ไม่เห็นไม่ได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อสังเกตถึงประสิทธิภาพการแพร่ระบาดของวัคซีนซิโนแวคและวัคซีนเชื้อตายที่รัฐบาลนำมาฉีดให้กับประชาชน        

“คำถามที่รัฐบาลต้องชี้แจงกับประชาชนคือเหตุใดการส่งมอบวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดสจึงถูกเลื่อนไปส่งมอบในไตรมาส 4 ทั้งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้มีการเจรจาไว้ตั้งแต่ 20 เม.ย.ซึ่งการส่งมอบที่ล่าช้าถูกเลื่อนไป สวนทางกับประเทศอินโดนีเซียและประเทศฟิลิปปินส์ที่สั่งไป 50 และ 40 ล้านโดสตามลำดับ ซึ่งทั้งสองประเทศมีการแถลงว่าจะส่งมอบให้ในเดือนส.ค. ประเด็นข้อสงสัยนี้รัฐบาลควรเปิดเผยว่าในวันที่ลงนามจองวัคซีนกับไฟเซอร์เป็นวันที่เท่าไร หากมีการลงนามในสัญญาจองวัคซีนก่อนประเทศอินโดนีเซียและประเทศฟิลิปปินส์ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ประเทศไทยจะได้รับการส่งมอบวัคซีนช้ากว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เรื่องนี้รัฐบาลต้องชี้แจงอย่างเร่งด่วน จะไม่ทำตัวเป็นไม่รู้หรือทำตัวเงียบเนียนไม่ได้ ทั้งนี้วันที่ลงนามในสัญญาไม่ได้เป็นความลับใด ๆ ที่ประชาชนไม่อาจรู้ได้เลย ทั้งนี้เพื่อการเร่งการจัดหาวัคซีน พล.อ.ประยุทธ์ควรจะเข้าหารือกับทูตของประเทศสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยอย่างเร่งด่วนเพื่อขอความร่วมมือในการเร่งหาวัคซีนชนิด Mrna เพื่อใช้ในการควบคุมการระบาดปกป้องชีวิตและลดความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ด่านหน้า” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การล็อกดาวน์กรุงเทพฯ หากสภาวะอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตจริงๆ การล็อกดาวน์ก็เป็นมาตรการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ หากรัฐบาลมีการเตรียมตัวและใช้งบประมาณ 45,000 ล้านบาทได้ดีกว่านี้ก็ตาม รัฐบาลควรชี้แจงและเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดให้ประชาชนได้เห็นถึงความจำเป็น และมาตราการล็อกดาวน์ควรมาควบคู่กับการเยียวยาอย่างสมเหตุสมผลกับทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะการเยียวยาค่าเช่าตามจำนวนวันที่มีการล็อกดาวน์ นอกจากนี้รัฐบาลต้องประกาศให้ประชาชนทราบถึงภารกิจที่ชัดเจนว่ารัฐบาลจำเร่งดำเนินการอย่างไรในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ รวมถึงต้องมีการตรวจเชิงรุกและพบผู้ป่วยนั้นเป็นข่าวดี ไม่ใช่ข่าวร้ายเพราะจะเป็นการนำผู้ป่วยที่มีอาการเบาบางมารักษา ส่งผลให้อัตรการการเสียชีวิตลดลง ขณะเดียวกันก็จะเป็นการควบคุมการแพร่ระบาด ทั้งนี้รัฐบาลควรให้ผู้ป่วยที่มีอาการเบาบางสามารถรักษาตัวที่บ้านเองได้โดยมีระบบรายงานความคืบหน้าให้กับแพทย์เจ้าของไข้ทราบ และเมื่อมีอาการหนักขึ้นควรมีระบบไปรับมารักษาตัวที่โรงพยาบาล มีระบบให้จ่ายยาหรืออนุญาตให้หมอจ่ายยาเพื่อรักษาผู้ป่วยในตอนที่ยังมีอาการไม่หนักมาก รวมทั้งมีระบบการจัดส่งอาหารให้กับผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยได้กักตัวอยู่ที่บ้านได้อย่างมั่นใจ ทั้งนี้ขอให้เร่งติดตามวัคซีนแอสตราเซเนกาอีก 2,113,000 โดสมาให้ทันภายในวันที่ 30 มิ.ย.โดยเร็วที่สุด เพราะเป็นความหวังในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโควิดในพื้นที่กรุงเทพฯ 

“ความห่วงใยของพรรคก้าวไกลเกิดจากการที่ รมวมหาดไทย ให้ความเห็นว่าจะช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 หากประชาชนเดินทางกลับบ้านและช่วยแก้ปัญหาเตียงไม่พอได้ ซึ่งรมว.มหาดไทยอ้างว่าหากติดโควิดก็จะมีเตียงต่างจังหวัด ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันว่าเป็นวิธีคิดที่ขาดสติปัญญาอย่างมาก และการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการล็กดาวน์ แต่เป็นการกระจายโรคระบาดไปยังทั่วประเทศ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและยุติวิธีคิดที่โง่เขลาเช่นนี้โดยพลัน”นายวิโรจน์ กล่าว

ผบ.ทอ.ไม่หวั่น กมธ.ป.ป.ช. สอบแก้ 3 โครงการจัดหายุทโธปกรณ์ ยุค 'บิ๊กนัต' มั่นใจตรงตามระเบียบแป๊ะ ยันทำเพื่อประโยชน์สูงสุด ทอ. ใช้งบคุ้มค่า

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป.ป.ช.) เตรียมตรวจสอบความไม่โปร่งใสในการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพอากาศ 3 โครงการ มูลค่าเกือบ 3 พันล้านบาท ที่ถูกกล่าวหาว่ามีการดำเนินการผิดระเบียบและขัดต่อกฎหมาย ในลักษณะที่มีการเร่งรีบผิดปกติ และมีการสั่งการให้เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และขอบเขตของแต่ละโครงการขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักการจัดหาแบบเดิมที่ผ่านการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ

ล่าสุด พล.อ.ท. ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ (ทอ.) กล่าวชี้แจงต่อประเด็นดังกล่าว พลอากาศเอกแอร์บูล สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ให้นโยบายเรื่องดังกล่าวว่า ท่านทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของกองทัพอากาศ และยืนยันว่าเป็นการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โดยที่ผ่านมา ผบ.ทอ. ไม่อยากตอบโต้ให้เป็นประเด็น จนกลายเป็นโต้กันไปมา แต่หาก ทาง กมธ.ป.ป.ช จะตรวจสอบ คงเป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอน

เมื่อถามว่า ผบ.ทอ.เตรียมการอย่างไร หากกมธ.ป.ป.ช เชิญไปชี้แจงกรณีดังกล่าว พล.อ.ท. ฐานัตถ์ กล่าวว่า ท่านทราบอยู่แล้ว และยืนยันว่าที่ทำไปคิดถึงประโยชน์ที่คุ้มค่าของ ทอ. และยินดีชี้แจงต่อ กมธ ป.ป.ช.

เมื่อถามว่า หาก กมธ ป.ป.ช. เชิญไปชี้แจง ผบ.ทอ.จะไปด้วยตัวเอง หรือ ส่งผู้แทน พล.อ.ท. ฐานัตถ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ ผบ.ทอ. ว่าช่วงดังกล่าวติดภารกิจจำเป็นหรือไม่ แต่อย่างไรต้องชี้แจงอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา

"ผบ. ทอ. ไม่ได้กังวลอะไรเพราะทุกอย่างท่านทำด้วยความถูกต้องอยู่แล้ว ตาม พรบ. ในเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างปี 2560 และได้มีการตรวจสอบระเบียบครบถ้วน ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในรายระเอียดทั้ง 3 โครงการ พิจารณา" โฆษกทอ. กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 3 โครงการ ประกอบด้วย 

1.) โครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบป้องการทางอากาศ ระยะที่ 7 ( N-SOC C2)  

2.) โครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพ อากาศ(GBAD) และ 

3.) โครงการจัดหาทดแทนวิทยุพื้นดิน-อากาศ มีมูลค่ารวมเกือบ 3 พันล้านบาทถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการล้มเลิกแนวทางจัดหายุทโธปกรณ์เข้ามาประจำการตามแผนพัฒนากองทัพอากาศ ที่กำหนดไว้ในสมุดปกขาว ซึ่งจัดทำขึ้นในช่วงที่ พลอากาศเอก มานัต วงษ์วาทย์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ มีการกำหนดแนวทางการซื้อยุทโธปกรณ์เพื่อต่อยอดไปสู่การวิจัยพัฒนา หรือ “พีแอนด์ดี” เน้นการพึ่งพาตัวเองและเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ในประเทศ 

"วรวุฒิ" ชี้ ประกาศกึ่ง Lockdown ร้านอาหารเดือดร้อน รบ.ออกมาตรการ ผู้ประกอบการก้มหน้าทำตาม แต่ไม่มีแผนเยียวยารองรับ ย้ำต้องเร่งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการอย่างเท่าเทียม 

นายวรวุฒิ อุ่นใจ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่ออกมาเพิ่มเติมกลางดึกเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า นับตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 เกิดขึ้นในประเทศไทย ประชาชนและผู้ประกอบการส่วนหนึ่งได้ปฏิบัติตามคำสั่ง และคำแนะนำของรัฐบาล ด้วยหวังว่าจะช่วยให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้จะต้องเสียสละความสุขส่วนตัว รวมถึงรายได้ที่ต้องหายไปเกือบหมด 

แต่ระยะเวลากว่าหนึ่งปี ที่รัฐบาลออกมาตรการต่างๆ มาแก้ไขปัญหา กลับไม่สนใจกลุ่มคนที่เสียสละเหล่านี้ ผู้ประกอบการร้านอาหาร ธุรกิจบริการ และการท่องเที่ยว ล้วนขาดรายได้ จนหลาย ๆ รายต้องเลิกจ้างงาน และจำนวนไม่น้อยต้องปิดกิจการ เพราะรัฐบาลขาดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และจากประกาศกึ่ง Lock down ล่าสุด รัฐประกาศจะเยียวยาค่าจ้างครึ่งหนึ่งให้แรงงานในแคมป์ที่ถูกปิด แต่ร้านอาหารที่ต้องกลับโดนห้ามลูกค้านั่งทานที่ร้าน ยังไม่มีมาตรการเยียวยาใด ๆ รองรับ จึงอยากให้หันมาเยียวยาธุรกิจร้านอาหารด้วย เพราะนอกจากเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการระดับ SMEs แล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือลูกจ้างจำนวนมากในอุตสาหกรรมนี้ด้วย 

ผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ พยายามสื่อสารเรียกร้องขอความช่วยเหลือมาโดยตลอด แต่กลับโดนเพิกเฉยและไร้การเหลียวแลอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่ให้ความร่วมมืออย่างดีมาตลอด พรรคกล้า จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาการให้ช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันการระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างจริงจังและเสมอภาค เพราะต้องยอมรับว่าความรุนแรงของสถานการณ์ในตอนนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการของรัฐบาลที่ผิดพลาด รัฐบาลต้องเร่งช่วยเหลือด้านการเงินที่มากกว่าปัจจุบัน ก่อนที่ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจบริการ และธุรกิจ SMEs ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ต้องปิดตัวลง และส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว 

"โฆษกพปชร.” วอนรัฐบาล กระจาย “ฟ้าทะลายโจร" ระหว่างรอเตียง ช่วยบรรเทาอาการโควิด-19

น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวถึงสถานการณ์วิกฤตเรื่องเตียงผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีผู้ป่วยตกค้างต้องรอการช่วยเหลืออยู่ในที่พักอาศัย ว่า อยากขอให้รัฐบาลพิจารณาเลือกใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณยับยั้งการเติบโตของไวรัสโควิด-19 ตามที่มีผลงานวิจัยยืนยันไว้และปัจจุบันได้รับการลงทะเบียนในบัญชียาหลักเพื่อให้กับผู้ป่วยและคนในครอบครัวโดยด่วน ระหว่างรอการประสานจากโรงพยาบาล 

เพื่อเป็นการบรรเทาอาการและรักษาเบื้องต้น ก่อนอาการจะรุนแรงจนยากจะช่วยเหลือเมื่อถึงมือแพทย์โดยในผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยง ควรรับประทานตามคำแนะนำในฉลากยา ส่วนผู้ป่วยที่มีโรคตับ ไต หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีประวัติแพ้ฟ้าทะลายโจร ควรหลีกเลี่ยง และไม่ควรใช้ร่วมกับยาลดความดัน ทั้งนี้ขอให้เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งประสานความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยและครอบครัวโดยด่วน เช่นการสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของจำเป็นที่ต้องใช้ระหว่างการกักตัวรอการประสานจากเจ้าหน้าที่ เป็นต้น

“แรมโบ้” ป้อง”บิ๊กตู่” รู้ดีว่าต้องดำเนินการอย่างไร หลังออกมาตรการปิดแคมป์คนงาน ซัด “ชนินทร์” - “ชูวิทย์” อย่าดีแต่ปากทำประโยชน์ให้บ้านเมืองบ้าง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ วิพากษ์วิจารณ์การประกาศปิดแคมป์คนงาน ทำให้แรงงานหนีไปต่างจังหวัด หวั่นโควิดระบาดต่างจังหวัด ว่าที่ผ่านมามีการระบาดตามแคมป์คนงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งก่อนที่จะออกมาตรการการปิดแคมป์คนงานในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงขอความร่วมมือประชาชนงดเดินทางข้ามจังหวัด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และเชื่อมั่นว่ามาตรการนี้จะทำให้ยับยั้งการระบาดลงได้ นอกจากนี้นายกฯได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงไปช่วยกันดูแลแคมป์คนงานร่วมกับนายจ้างอย่างใกล้ชิดและมอบรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นการด่วนแล้ว ให้เตรียมกำลังสนับสนุนมาตรการของ ศบค. เพื่อจำกัดควบคุมโรคเฉพาะกลุ่มและกิจกรรมในพื้นที่เสี่ยงสูงอย่างเข้มงวด ไม่ให้ขยายออกนอกพื้นที่จนไม่สามารถควบคุม ทั้งนี้ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เข้าพื้นที่แล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้     

นายเสกสกล กล่าวว่า ขณะเดียวกันเช้าวันนี้ (27 มิ.ย.) ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกาศข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน สกัดการแพร่ระบาด โควิด-19 ปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด-เข้มงวด เป็น 10 จังหวัด มีผล 28 มิ.ย.นี้ ซึ่งทำให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้นในการดูแล นายกรัฐมนตรี ศบค.รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงรู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไร เมื่อประกาศมาตรการออกไปแล้ว จะต้องเร่งดำเนินการทันที นอกจากนี้ยังเตรียมมาตรการรองรับสำหรับแรงงานในแคมป์คนงานแล้ว โดยให้กระทรวงแรงงานดูแลค่าใช้จ่าย และงดชดเชยร้อยละ 50  แก่ลูกจ้างแทนผู้ประกอบการ โดยจะมีการเช็คชื่อคนงานทุกวัน มีการตรวจหาเชื้อเชิงรุกทุกแคมป์ จนเมื่อมั่นใจว่าปลอดภัย และหากได้รับวัคซีนจะปลดล็อกให้กลับมาทำงานได้  

“แม้ว่านายกฯ รัฐบาล จะมีมาตรการอะไรออกมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนและยับยั้งการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ทางพรรคเพื่อไทยไม่เคยเห็นด้วยกับมาตรการใดเลย จึงตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยไม่อยากให้สถานการณ์คลี่คลายลง เพียงเพราะอยากจะใช้โอกาสนี้นำมาตำหนิ กล่าวหา โจมตีนายกฯ และรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหา” นายเสกสกล กล่าว

นายเสกสกลกล่าวถึงนายชูวิทย์ที่ออกมานะบุว่านายกฯ แถลงข่าวชู 2 นิ้วเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมนั้น ขอชี้แจงว่าเป็นสัญลักษณ์ คือ V : Vaccination การฉีดวัคซีน และ Victory ชัยชนะ ซึ่งนายกฯ เคยใช้สัญลักษณ์เช่นนี้มาแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยนำเรื่องโควิดมาเป็นเรื่องตลก ขบขัน มีแต่อยากให้สถานการณ์คลี่คลายลง ซึ่งที่ผ่านมานายกฯ รัฐบาล สาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ได้ทำงานอย่างหนัก นายชูวิทย์ก็เห็นอยู่แล้ว 

“และการที่นายกฯ แถลงข่าวร่วมกับแพทย์นั้นตนเองมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน เพราะขณะนี้ยังมีคนที่ออกมาพูดให้เกิดความสับสนอยู่ เช่น พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยและแม้กระทั่งนายชูวิทย์ ที่นึกถึงแต่ตัวเอง วันๆไม่ทำประโยชน์เพื่อประชาชน หรือบ้านเมือง ดีแต่ใช้ปากพูดกล่าวหาจ้องจับผิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง โจมตี ตำหนิ คนทำงานอย่างเดียว จนเสียขวัญกำลังใจ พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ได้สงสารประเทศชาติประชาชน ดีแต่คอยซ้ำเติมมากกว่า” นายเสกสกลกล่าว

“สงคราม”ชี้มาตรการรัฐคือคำสั่งประหารผู้ประกอบการ อัดสั่งปิดแคมป์คนงานไร้แผนรองรับทำไวรัสกระจายทั่วไทย

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่ามาตรการล็อกดาวน์กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและจังหวัดชายแดนใต้สี่จังหวัด หลังจากที่เกิดโควิดระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีคลัสเตอร์ต่างๆ การประกาศปิดแค้มคนงานก่อสร้าง ห้ามทานอาหารในร้านเป็นเวลา 30 วัน รัฐบาลหยุดการะบาดของไวรัสโควิด-19 แต่มาตการที่ออกมากลับไม่พบว่ามีแผนงานรองรับ และสร้างผลกระทบที่หนักขึ้น เพราะล่าสุดพบว่าคนงานในแคมป์จำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา ดังนั้นมาตรการดังกล่าวไม่ต่างจากรัฐบาลกำลังส่งออกเชื้อไวรัสร้ายไปยังพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ มาตรการนี้จะส่งผลให้เชื้อไวรัสกระจายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาตรการบนฐานของความไม่รู้ ส่งผลให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น หากการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้ รัฐบาลจะทำอย่างไร การแก้ปัญหาไวรัสโควิดของรัฐบาลที่ผ่านมา 2 ปี ไม่ต่างจากการเลี้ยงไข้ เลี้ยงสถานการณ์ไวรัสเพื่อผลประโยชน์ ทางการเมืองมากกว่า เพราะสามารถใช้ทั้งอำนาจและงบประมาณได้อย่างเต็มที่

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการออกคำสั่งห้ามนั่งรับประทานอาหารในร้านรอบล่าสุดของภาครัฐ เหมือนคำสั่งประหารชีวิตผู้ประกอบการ มาตรการที่ออกมาเป็นมาตการที่ไร้ความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น รัฐบาลหวังแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่มองระยะยาวและผลกระทบที่จะเกิดตามมา เช่น การที่ร้านอาหารสามารถขายได้แค่เฉพาะการสั่งกลับบ้าน นั่นหมายถึงรายได้เขาจะลดลงเหลือแค่ 10% ของรายได้ปกติ ขณะที่ต้นทุนอื่นๆ ยังเท่าเดิม ในภาวะแบบนี้คงไม่มีใครอยู่ได้ ซึ่งท้ายที่สุดจะเกิดการเลิกจ้างครั้งใหญ่

“ปัญหาวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงระลอกแรก ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียด้านรายได้อย่างมาก โดยปัจจุบัน ผู้ประกอบการร้านอาหารจำนวนไม่น้อยต้องประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจนหลายรายต้องปิดกิจการ เพราะผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดกลางและเล็กที่เข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินของรัฐบาล แล้วผู้ประกอบการเหล่านี้จะฝ่าวิกฤตได้อย่างไร การออกมาตรการของรัฐบาลเป็นไปอย่างไร้ความยั้งคิด จึงเป็นการทำลายมากกว่าสร้างสรรค์” นายสงคราม กล่าว

“เสกสกล ”สวน “หญิงหน่อย” ใจมืดบอด ไม่เห็นความตั้งใจ นายกฯ 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย วิจารณ์มาตรการล็อกดาวน์ โดยรัฐบาลบริหารงานตามยถากรรม โยนภาระให้ประชาชน ว่า ประกาศข้อกำหนด ฉบับที่ 25 เป็นการใช้มาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมการระบาดไวรัสโควิด-19ในพื้นที่เป้าหมายเฉพาะ 10 จังหวัด  ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เป็นการสกัดกั้นไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้างโดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน สถานประกอบการ ที่พบว่ามีการแพร่ระบาดแบบกลุ่มก้อน รวมถึงการขอความร่วมมือประชาชนงดเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงนี้ เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อเป็นการยับยั้งการระบาดของเชื้อโควิด ไม่ใช่การล็อกดาวน์ และมาตรการดังกล่าวเลือกที่จะคุมเข้มในบางจุดที่จะเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ยืนยันว่านายกรัฐมนตรี ห่วงใยทุกคนและมาตรการที่ออกไปคิดดีแล้ว

ส่วนที่คุณหญิงสุดารัตน์และลูกทีม บอกว่านายกฯ บริหารตามยถากรรม จนทำให้สถานการณ์วิกฤตเตียงไม่พอ ทำให้รับผู้ป่วยมารักษาไม่ทันท่วงทีนั้น ยิ่งส่งผลให้มีผู้ป่วยหนัก และตายมากขึ้นนั้น นายกฯและทีมแพทย์ทราบดีถึงเหตุการณ์เตียงผู้ป่วยไม่เพียงพอ ซึ่งสาเหตุก็มาจากการระบาดที่มีจำนวนมากขึ้นนั่นเอง จึงได้ตัดสินใจควบคุมจุดที่มีการระบาดมากอย่างแคมป์คนงาน และที่ผ่านมาก็พยายามเสริมเตียงในโรงพยาบาลสนามหลายแห่ง เจรจาขอเตียงจากโรงพยาบาลเอกชนมาเสริมหรือการใช้พื้นที่ของทหารมาทำเป็นโรงพยาบาลชั่วคราว สิ่งเหล่านี้มีการดำเนินการมาแล้ว

นายเสกสกล กล่าวว่า คุณหญิงสุดารัตน์ บอกนายกฯบริหารแบบตามยถากรรม การล็อกดาวน์ โดยล็อกคนปิดการทำมาหากินเพียงอย่างเดียวโดยไม่ล็อกโรค จะไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ในเร็ววัน แต่คนจะตายเพราะโรคและพิษเศรษฐกิจ ถามว่าคุณหญิงสุดารัตน์ ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ และขณะนี้ ประเทศไทยกำลังจะเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แสดงให้เห็นแล้วว่า นายกฯคิดรอบด้าน ทั้งการควบคุมเชื้อโควิดและด้านเศรษฐกิจ แต่ไม่ว่านายกฯและรัฐบาลจะทำอย่างไร คุณหญิงสุดารัตน์ และฝ่ายค้านคงไม่เห็นด้วย แต่อย่าทำใจมืดบอดมองอะไรไม่ดีไปหมด เพราะประชาชนมองอยู่ อย่าให้เขาต้องเอือมระอากับนักการเมืองที่จ้องจะสร้างภาพ เอาแต่หาเสียงกับประชาชนอย่างเดียว ไม่นึกถึงประเทศชาติ ส่วนรวมเลย

ปชป. ขอบคุณทุกฝ่ายผลักดันแก้ไขรธน.สำเร็จ ยืนยันร่างที่13 ชอบธรรม หนุน "บัญญัติ" นั่งประธานกมธ.เพื่อพิจารณา 

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่า ขอขอบคุณสมาชิกรัฐสภาที่ได้ผ่านร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติมที่ทราบกันอยู่แล้วคือฉบับที่ 13 ที่ได้ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาในวาระที่1 เป็นร่างของพรรค ซึ่งมีการลงชื่อร่วมกันระหว่าง ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ต้องถือว่าเป็นความสำเร็จร่วมกันของทุกคนที่ได้ร่วมกันผลักดันให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

ในส่วนของพรรคก็จำเป็นที่จะต้องแสวงหาความเห็นพ้องร่วมกันจากสมาชิกรัฐสภาโดยเฉพาะในชั้นคณะกรรมาธิการคือวาระ2 และวาระ3ต่อไปและพรรคไม่ได้มีความกังวลใดๆทั้งสิ้นในส่วนของกระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งก็ต้องว่ากันตามกระบวนการของรัฐสภา โดยยึดหลักการระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ท้ายที่สุดแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมจะผ่านหรือไม่ก็อยู่ที่สมาชิกรัฐสภา แต่เชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาหลายฝ่ายจะเห็นพ้องต้องกันให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในส่วนของระบบเลือกตั้ง และยืนยันว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 13 เป็นร่างที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญภายใต้หลักการและเหตุผลคือการกำหนดให้มีส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คนและมีส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และมีหลักการที่สำคัญคือให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบที่จะมาตอบสนองความต้องการ ตอบเจตนารมย์ของประชาชนที่มีความต้องการเลือก ส.ส.เขตคนที่ประชาชนรัก ที่อยู่ในพื้นที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนและมีความต้องการที่จะเลือกพรรคที่ตนชื่นชอบเช่นกัน ไม่ว่าจะชื่นชอบพรรคดังกล่าวเพราะเรื่องนโยบายหรือเรื่องอุดมการณ์ 

ส่วนกระบวนการคำนวณสัดส่วนของส.ส.แบบบัญชีรายชื่อก็ได้กำหนดในร่างแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนให้ไปกำหนดหลักเกณฑ์ โดยการระบุไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ภายใต้หลักการ และเหตุผลหากมีการแก้ไขบางข้อความในส่วนอื่นๆที่ต้องมีการปรับแก้ข้อความเพื่อให้สอดคล้องต้องกัน กับหลักการและเหตุผลดังที่ได้กล่าวมา ในชั้นคณะกรรมาธิการก็สามารถดำเนินการได้แต่สิ่งสำคัญที่สุดต้องอยู่ภายใต้หลักการและเหตุผลคือให้มี ส.ส.เขตจำนวน 400 คนและ ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวน 100 คนและมีบัตรเลือกตั้งสองใบรวมไปถึงการกำหนดวิธีการคำนวณคะแนนให้ชัดเจน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง พรรคยืนยันยืนว่าต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญยืนยันที่จะดำเนินการควบคู่ไปกับการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชนให้อยู่ดีกินดีขึ้น  

เมื่อถามว่าในส่วนของการเลือกประธานคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระที่สอง หากมีหลายฝ่ายต้องการให้นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นประธาน พรรคจะมีความเห็นว่าอย่างไร  นายราเมศ กล่าวว่า หากกรรมาธิการให้เกียรติทางพรรคก็พร้อมที่จะสนับสนุนนายบัญญัติ เพราะเป็นบุคคลที่หลายฝ่ายให้การยอมรับ มีความเป็นกลาง ซื่อสัตย์สุจริต  คิดถึงประโยชน์ของ ปชช และ ประเทศเป็นที่ตั้ง มีประสบการณ์ ในทางการเมืองมาอย่างยาวนาน และเคยร่วมงานในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ที่ตั้งต้นการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญสมาชิกรัฐสภาหลายท่านทราบดีถึงความสามารถ มุมมอง แนวคิด ที่เป็นหลักให้กับสมาชิกมาโดยตลอด หากกรรมาธิการเห็นด้วยก็เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาในวาระที่สองเป็นอย่างมาก 

เมื่อถามว่ามีนักวิชาการมองว่าการแก้ระบบบัตรเลือกตั้งให้เป็น 2 ใบ เป็นประโยชน์กับพรรคการเมืองใหญ่มากกว่าเป็นประโยชน์กับประชาชน นายราเมศ กล่าวว่า รายละเอียดส่วนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อยังไม่มีการถกเถียงกัน และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประชาธิปไตย มองว่าอย่าไปคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองใดเพราะทุกพรรคการเมืองก็มีจำนวนอยู่ในส.ส. และส่วนในวาระที่ 2 ก็มีในส่วนของกมธ.แต่ละพรรคการเมือง เวทีนี้ต่างหากที่ทุกพรรคต้องมาพูดคุยว่าการแก้ไขระบบเลือกตั้งจะต้องเกิดประโยชน์กับระบบประชาธิปไตยและประชาชนนี้คือสาระสำคัญมากกว่า ส่วนร่างประชาชนก็อยู่ในกระบวนการของรัฐสภา ซึ่งได้แจ้งกลับไปในทางผู้ริเริ่มและก็ได้ไปให้ประชาชนลงลายมือชื่อ นี้เป็นส่วนของเป็นอีกร่างหนึ่งก็ต้องติดตามดูว่าจะดำเนินกระบวนการในขั้นตอนใด

พท.ซัด “ประยุทธ์” ประกาศปิดแคมป์คนงานทำผึ้งแตกรังอีกรอบ หวั่นโควิดระบาด ตจว.ซ้ำ แนะ 5 ทางออกแก้วิกฤต

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ ผอ.ศบค. ประกาศเตรียมปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและ 4 จังหวัดภาคใต้ เป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 มิ.ย.นี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความเข้าใจการบริหารภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินบ้างหรือไม่ การออกมาประกาศในลักษณะนี้ มีแต่สร้างความเดือดร้อนให้ภาคแรงงานหาเช้ากินค่ำ กระตุ้นให้ประชาชนเร่งเดินทางกลับภูมิลำเนา หนีการโดนกักตัว ทั้งนี้ การประกาศปิดแคมป์คนงานเพื่อควบคุมการระบาด ต้องประกาศแบบบังคับใช้ทันที โดยมีแผนการรองรับที่ชัดเจน ได้แก่ 1.รัฐบาลต้องออกคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานทันที และต้องดูแลประคองชีวิตทุกด้านอย่างครบถ้วน
2.รัฐบาลต้องพิจารณาปิดบริการขนส่งมวลชนเป็นการชั่วคราวประกอบกันในช่วงสั้นๆ เพื่อป้องกันการเดินทางกลับภูมิลำเนาในทันที และเพิ่มโทษเอาผิดกับเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่ทำหน้าที่ ควบคุมจุดตรวจในการดูแลประตูไปสู่จังหวัดต่างๆ 

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า 3.กรมควบคุมโรคต้องเข้าปิดพื้นที่ตามแนวทางบับเบิ้ล แอนด์ ซีล แล้วปูพรมตรวจคัดกรองทุกแคมป์ เพื่อแยกผู้ติดเชื้อไปสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามทันที 4.ผู้ที่ตรวจแล้วมีผลไม่ติดเชื้อ และไม่มีอาการป่วย ควรได้วัคซีนโควิด-19 ทันที โดยยังต้องกักตัวในแคมป์แยกสัดส่วน และต้องตรวจผลซำ้อีก 1 ครั้งหลัง 7 วัน 5.หากพื้นที่ใดสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จะต้องเปิดการทำงานในพื้นที่กลับมาทันที ไม่ต้องรอถึง 1 เดือน เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบมากเกินกว่าเหตุ  แต่ยังคงห้ามแรงงานเดินทางออกนอกพื้นที่

“ปรากฏการณ์ผึ้งแตกรังเกิดขึ้นหลายครั้ง พล.อ.ประยุทธ์นอกจากจะควบคุมการระบาดไม่ได้ ยังทำตัวเป็นภาระ ออกคำสั่งให้เกิดการกระจายตัวของผู้มีความเสี่ยง หนำซ้ำการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ยังแสดงออกแบบไร้ภาวะผู้นำ ไม่สำนึกรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตจากโควิดที่เพิ่มขึ้นทุกวันเลย” นายชนินทร์ กล่าว

พท.อัดมาตรการคัดกรองสภาฯ มีปัญหา หวั่นเกิดคลัสเตอร์ประชุมร่วมรัฐสภา ทำลายภาพลักษณ์ไทย จี้ อภ.กระชับขั้นตอนนำเข้าวัคซีนทางเลือก 

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวน้าพรรคพท. กล่าวว่า ที่รัฐบาลบอกกประชาชนว่าการ์ดอย่าตก วันนี้รัฐบาลกลับการ์ดตกเสียเอง วันนี้มีผู้ติดเชื้อจากโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น เสียชีวิตอีกจำนวนมาก เกิดคลัสเตอร์มั่วไปหมด โควิดวนไปทำเนียบก็หลายรอบ ไปสภาฯ ก็หลายหน ดังน้น ศบค.และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ต้องเร่งทำงานให้เหมือนสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องมีมาตรการที่เหมาะสม คำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน วันนี้มี ส.ว.ติดเชื้อโควิด และทราบผลหลังไปประชุมร่วมรับสภามาสองวัน คำถามคือมาตรการคัดกรองมีปัญหาหรือไม่ สภาฯ บอกให้เชื่อมั่น แต่ ส.ส.พูดกันว่าปล่อยให้คนเป็นไข้สูงสองวันมาประชุมร่วมได้อย่างไร สถานกาณ์ที่สุ่มเสี่ยงหากนำไปสู่คลัสเตอร์ประชุมร่วมรัฐสภา ไทยจะเสียภาพลักษณ์มากน้อยแค่ไน 

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า หลังๆ เสียงบ่นของแพทย์ พยาบาลและบุคลากรด้านสาธารณสุข มักถูกกำราบโดย ศบค.และ รมว.สาธารณสุขว่าอย่าพูดสะเปะสะปะ แต่การที่แพทย์ออกมาเปรียบเทียบว่าสภาพการทำงานด่านหน้า เหมือนหมู่บ้านบางระจัน ขอปืนใหญ่แต่ได้ปืนแก๊ป หวังพึ่งวัคซีนยี่ห้อเดียวเปิดประเทศไม่ได้ ปัญหาเตียงรองรับผู้ป่วยหนักไม่เพียงพอวนกลับมาอีกระลอก รถแทนที่จะมารับผู้ป่วยกลายเป็นมารับศพแทน ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งหาแนวทางแก้ไข
ส่วนเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ครบ 150 ล้านโดส ยังห่างไกลความเป็นจริง วันนี้วัคซีนมาน้อย มาไม่ครบ แพทย์ก็เริ่มไม่ไหว ถามว่ารัฐบาลจะรับผิดชอบอย่าไร 

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีการออกมาตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีนทางเลือกยี่ห้อโมเดอร์น่า ที่จะนำเข้าประเทศไทยในเดือนต.ค.อาจล่าช้าไม่ทันการณ์ว่า  สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่วิกฤติในขณะนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จะกระชับขั้นตอนการนำเข้าวัคซีนทางเลือกให้เร็วขึ้น ขั้นตอนการร่างสัญญาเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายของประเทศไทยและต่างประเทศ อาทิ สัญญาซื้อขาย สัญญาบริการ เพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณา คาดว่าจะมีการลงนามสัญญาซื้อขาย (Supply Agreement) ได้ในต้นเดือน ส.ค.นั้น อภ.มีบุคลากรระดับมืออาชีพ บริษัทคู่สัญญาก็มีความพร้อมเรื่องเอกสาร เพราะมีการจัดทำเอกสารเสนอขายวัคซีนเป็นปกติอยู่แล้ว น่าจะกระชับเวลาให้เร็วขึ้นได้

รวมถึงขั้นตอนการประสานงานกับโรงพยาบาลเอกชน เพื่อคาดการณ์การจองวัคซีน ความชัดเจนเรื่องราคาที่จําหน่ายให้กับโรงพยาบาล การประชุมบอร์ด การให้โรงพยาบาลแจ้งยืนยันจํานวนวัคซีนที่สั่งซื้อ การรับคำสั่งซื้อพร้อมงบประมาณจากโรงพยาบาล หากอภ.สามารถกระชับเวลาเพื่อให้การเซ็นสัญญาสั่งซื้อจากเดิม ที่คาดว่าประมาณเดือน ส.ค.สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น จะสามารถแบ่งเบาภาระของแพทย์ พยาบาล และบุลากรทางการสาธารณสุขได้

“สถานการณ์วันนี้เตียงล้น คนป่วยหนัก หากวัคซีนทางเลือกมาได้ไว จะเป็นกำลังเสริมกับวัคซีนที่มีอยู่ ด้วยศักยภาพของอภ. เชื่อมั่นว่าสามารถกระชับเวลาให้วัคซีนทางเลือกเข้ามาได้เร็วขึ้นได้ จะเป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ” นายอนุสรณ์ กล่าว

“อรรถวิชช์” หนุนนายกฯ “ไม่ปิดกรุงเทพ” วอนจัดระบบแรงงานต่างด้าว ไม่เอาผิดนายจ้างลูกจ้าง ตรวจเชิงรุก-รักษาฟรี จ่ายยาทันที กักตัวที่พัก จัดระบบส่งอาหารน้ำ ย้ำถ้าดูแลดี ป้องกันเคลื่อนย้ายออกต่างจังหวัดได้ พรรคกล้าพร้อมเป็นอาสาช่วย 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี กล่าวถึงมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ ปริมณฑล สกัดการแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า ต้องขอบคุณท่านนายกฯ ที่ไม่ล็อกดาวน์ ไม่ปิดกรุงเทพฯ แต่ปัญหาที่ต้องแก้ให้ตรงจุดคือ “แรงงานต่างด้าว”  กลุ่มนี้ระเบียบราชการหลายขั้นตอนกำกับอยู่ การทำผิดกติกาผิดกฎหมายยังมีอยู่มาก เมื่อเจ็บป่วย ก็เกิดการปิดบังข้อมูลที่แท้จริง จึงอยากให้ละเว้นการดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวทั้งนายจ้างและลูกจ้างไปก่อน แล้วเร่งจัดระบบลงทะเบียนออนไลน์แรงงานต่างด้าวที่เจ็บป่วย จำกัดพื้นที่ให้กักตัวเองในที่พัก ส่งอาหาร และยาต้านไวรัสทันที เชื่อว่าถ้าแรงงานมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ดี จะป้องกันการเคลื่อนย้ายออกต่างจังหวัดได้ด้วย 

"สถานการณ์ตอนนี้หมอไม่พอเตียงไม่มี จำเป็นต้องใช้วิธีการกักแยกตัวเองในที่พัก (self-isolate) ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้ผลในหลายประเทศ และย้ำนะครับว่า ต้องจ่ายยาทันทีเมื่อพบเชื้อ เพราะขณะนี้กว่าจะได้ยา ต้องเสียเวลาเข้าระบบนานมาก กระทรวงแรงงาน และ กทม. ต้องร่วมมือกัน การแจกอาหารน้ำดื่ม สำนักงานเขตสามารถรวมจุด มีอาสาสมัคร อสส. และจิตอาสาพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ พรรคกล้าเราก็พร้อมเป็นอาสาช่วยท่าน พร้อมสู้ภัยโควิดนี้ด้วยกัน" นายอรรถวิชช์ กล่าว 

เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวด้วยว่า ผ่านมาสองเดือนที่เราทำโครงการ “กล้าหาเตียง” และพบว่าสัปดาห์นี้บีบหัวใจที่สุด หาเตียงยากกว่าช่วงต้นเดือนมาก ยอดผู้ป่วยสะสมมาถึงจุดที่รัฐรับได้ไม่หมด ต้องเลือกเฉพาะเคสหนัก และเมื่อไม่รับผู้ป่วยมารักษา มากักตัว เขาเหล่านั้นก็ใช้ชีวิตปะปนกับคนทั่วไป เช้าเย็นยังต้องไปตลาดซื้อของมาทำกิน โรงพยาบาลเอกชนหลายที่ไม่รับตรวจ เพราะไม่มีเตียงให้ ไม่มีหมอพอ จึงอยากให้ ศบค. พิจารณาปัจจัยต่างๆ นี้ รวมถึงข้อเสนอของพรรคกล้า ก่อนออกรายละเอียดมาตรการที่จะบังคับใช้วันที่ 28 มิ.ย.นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top