Saturday, 9 December 2023
POLITICS

“แรมโบ้” ป้อง “บิ๊กตู่” ย้อน! วิสาร ถ้าว่างมากก็กลับไปลงพื้นที่บ้าง 

เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย วิจารณ์นายกรัฐมนตรีหนุนรัฐประหารเมียนมาร์ด้วยการที่รัฐบาลไทยส่งเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงไปร่วมในงานวันกองทัพเมียนมาร์ ทั้งที่ นายกรัฐมนตรี ยืนยันแล้วว่าไม่ได้ผลักดัน ให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม ว่า ขอให้นายวิสารรับฟังการชี้แจง และเหตุผลของนายกฯบ้าง ไม่ใช่ว่าจะเอาทุกประเด็นมาตีนายกฯเพียงอย่างเดียว ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน เข้าใจในนายกฯผิด 

การออกมาพูดทั้งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงจะทำให้นานาประเทศเข้าใจประเทศไทย ในทางที่ผิดพลาดได้ เช่นกัน ถ้านายวิสารมีความรักชาติบ้านเมืองมีจิตใจเป็นคนไทยแท้จริง ต้องรับฟังข้อมูลให้ชัดเจนก่อนกล่าวหาให้รัฐบาลเสียหาย ตนมองว่าหากช่วงนี้นายวิสารมีเวลาว่างมากขอให้ลงพื้นที่ทำประโยชน์ให้กับประชาชนบ้างในฐานะเป็น ส.ส.มากกว่าที่จะออกมาพูดแต่เรื่องที่ไม่เป็นข้อเท็จจริง  

วัน ๆ คิดแต่เรื่องที่จะปั้นเรื่อง สร้างเรื่องให้เกิดความเสียหายต่อรัฐบาลการที่นายวิสารให้ข่าวเท็จรายวันออกมามันได้ประโยชน์อะไรต่อประเทศบ้าง เรื่องระหว่างประเทศ ในภาวะช่วงนี้การพูดจาให้ข่าว ควรพึงระมัดระวัง อย่าเอามาพูดเล่นสนุกสนานแบบคันปาก ทางการเมืองไม่ได้ เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีควรมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมืองมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ตีกินหรือหวังผลทางการเมืองให้กับพรรคตัวเอง ควรฟังทางนายกฯทางกองทัพ ทางผู้ว่าราชจังหวัดและฝ่ายเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สักแต่พูดกล่าวหาใส่ร้ายให้ประเทศเป็นเป้าในสายตานานาชาติในทางลบ 

พฤติกรรมแบบนี้คนถึงประนามนายวิสารชอบโชว์พฤติกรรมแย่ ๆ ไปกรีดแขนในสภาฯอันทรงเกียรติ จนส่งผล กระทบในทางลบที่ประชาชนรับไม่ได้ ทำให้ฐานเสียงลูกสาวสอบตกนายก อบจ.ที่เชียงราย ความคิดการกระทำครั้งนั้น ผิดพลาดมาก จนทำให้กระแสตีกลับลูกสาว น่าสงสารลูกสาวที่สุด คนทำตัวประเภทนี้ที่เรียกว่า "พ่อรังแกลูก" ทั้งที่ลูกสาวกำลังกระแสดีมีโอกาสชนะสูงแน่นอน แต่แพ้เพราะการกระทำของพ่อแท้ ๆ

ก.แรงงาน “ตอบรับกระแสฮิต” จัดชุดใหญ่ไฟกะพริบเทรนสมองกล - หุ่นยนต์ มอบสถาบัน MARA จัดชุดใหญ่ 26 หลักสูตรเทรนสมองกล - หุ่นยนต์ มุ่ง EEC

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ กพร. เร่งดำเนินการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ผลิตกำลังแรงงานป้อนสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการพัฒนากำลังแรงงานในสาขาเทคโนโลยี การผลิตและหุ่นยนต์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ต้องเร่งฝึกอบรมเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความต้องการกำลังคนที่มีทักษะฝีมือจำนวนมากทั้งในระดับช่างปฏิบัติการและวิศวกร จึงมอบหมายให้ กพร.โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) ซึ่งเป็นศูนย์ Training Excellent Center ของกพร. ที่ตั้งอยู่ในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี ดำเนินการพัฒนาแรงงานในสาขานี้ ให้มีศักยภาพรองรับเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดสถาบัน MARA ตอบรับกระแสเรียกร้องของสถานประกอบกิจการและกำลังแรงงานในพื้นที่ EEC เปิดฝึกอบรมเพิ่มเติมตาม “โครงการพัฒนาทักษะแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” รุ่นที่ 4/2564 จำนวน 26 หลักสูตร ได้แก่ สาขาเทคโนโลยีอัตโนมัติ (1) Basic PLC Gx Works 2 (MITSUBISHI)   (2) Basic PLC CX Programmer (OMRON) (3) Basic PLC (SIEMENS) (4) Advance PLC (MITSUBISHI) (5) การออกแบบและเชื่อมต่อ HMI (GOT MITSUBISHI) กับ PLC (6) CC-Link (MITSUBISHI) (7) การควบคุมระบบขับเคลื่อนมอเตอร์เซอร์โว (MITSUBISHI) ด้วย PLC (8) การใช้ระบบควบคุมแบบชีเควนซ์ในงานอุตสาหกรรม (9) การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการผลิต (AI CIRA CORE) (10) การบำรุงรักษาหุ่นยนต์อุตสาหกรรม  

(11) การควบคุมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสำหรับการจับชิ้นงาน: ABB (12) การควบคุมหุ่นยนต์ป้อนชิ้นงานสำหรับเครื่องกลึง CNC ระดับ 1 (13) ช่างควบคุมหุ่นยนต์ Unibot (14) ช่างควบคุมห่นยนต์ FANUC (15) การใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมสำหรับงานเชื่อมระดับ 1 (16) การใช้ ROS ขั้นพื้นฐาน (Basic Robot Operating System) (17) การควบคุมหุ่นยนต์ลำเลียง (AGV) สาขาโปรแกรมการผลิต (18) การจำลองกระบวนการผลิตและวางแผนการผลิตด้วยโปรแกรม TECNOMATIX (19) การเขียนแบบเครื่องกล 2 มิติด้วยโปรแกรม AutoCAD (20) การใช้โปรแกรม SolidCAM for Milling Operation (21) การใช้โปรแกรม Solidwork for CAD (22) การใช้โปรแกรม NX for CAD สาขาเครื่องจักรกลเพื่อการผลิต (23) การใช้เครื่องวัดละเอียดทางมิติแบบอัตโนมัติ (24) การใช้เครื่องมือวัดสามมิติ CMM ระดับ 1 (25) ช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล CNC ระดับ 1 และ (26) GOM 3D scanner, Inspection & Reverse Engineering 

ทุกหลักสูตรใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชั่วโมง รับจำนวนจำกัดเพียง 20 คนต่อหนึ่งหลักสูตร ซึ่งคุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เป็นผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับสาขาที่สมัครหรืองานอื่นที่เกี่ยวข้อง เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dsd.go.th/mara และ www.facebook/dsdmara หรือติดต่อสอบถามที่เบอร์โทร 0 3827 6823, 063 193 2708 และ 092 279 4689” อธิบดีกพร. กล่าวทิ้งท้าย

“เพื่อไทย” จี้ “ประยุทธ์” เลิกสนับสนุนเผด็จการเมียนมา ก่อนไทยถูกประณามด้วย สวน “พปชร” รัฐบาลส่งคนร่วมวันทหารพม่าเป็นความโง่ไม่ใช่ความฉลาด ห่วง ภาวะการเงินการคลังของประเทศจะทรุดลงต่อเนื่องจนคนทนไม่ไหว

เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 64 นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังพาคนไทยลงเรือแป๊ะรั่วไหลลงทะเลไร้ชะตากรรม ส่งคนร่วมงานแสดงความยินดีกับกองทัพเมียนมา ขณะทั่วโลกประณามการเข่นฆ่าประชาชน ส่งผลเศรษฐกิจไทยร่วงสวนทางคำหวานที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลก่อนหน้าอ้างจะฟื้นเศรษฐกิจใน 2 ปี ความจริงประชาชนกำลังถูกผลักตามยถากรรม

"เริ่มจากเหตุการณ์แรก นายวันนา หม่อง ลวินตัวแทนของเมียนมาเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลบอกว่าเป็นการติดต่อขอเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนอยู่ชิดติดกันเท่านั้น ไม่ได้เป็นการรับรองการรัฐประหารแต่อย่างใด หรือการที่กองกำลังกระเหรี่ยงติดอาวุธ KNU ออกมาเปิดเผยเรื่องการส่งเสบียงของรัฐไทยไปสนับสนุนรัฐบาลเมียนมาร์ จนปรากฎหลักฐานกองข้าวปริศนา 700 กระสอบริมแม่น้ำสาละวิน ที่ภายหลังผบ.พัน.คร.341 ของเมียนมาร์ ยอมรับว่า ข้าวสารดังกล่าวเป็นของทหารเมียนมาที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเสบียงอาหารให้กับหน่วยทหารในพื้นที่กว่า 10 กองพัน แต่ฝ่ายไทยยังอ้ำอึ้งตอบไม่ตรงคำถามกันไปมา

"ในขณะที่ฮาน เลย์ มิสแกรนด์พม่า 2020 ได้พูดสุนทรพจน์เวทีประกวดแสดงเจตนารมณ์ที่บีบหัวใจและบีบน้ำตาของคนทั้งโลก เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจ หยุดการกระทำรุนแรงต่อประชาชนในประเทศ รวมถึงการขอให้นานาชาติโปรดหันมองเหตุการณ์ในประเทศเมียนมา เพื่อสะท้อนถึงการต่อสู้ของคนเมียนมาร์ว่า ขณะที่ทุกคนอยู่บนถนนเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น ตัวเธอเองก็ยืนอยู่บนเวที และกำลังเรียกร้องในประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน เธอพูดในแผ่นดินของประเทศไทยที่รู้ทั้งรู้ว่าชีวิตเธอหลังจากนี้ไม่ปลอดภัยแน่ถ้าต้องเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด วันนี้หากประเทศไทยยังคงร่วมและให้การสนับสนุนรัฐบาลเมียนมาร์อยู่ ประเทศไทยอาจถูกลูกหลงตามเมียนมาร์ในฐานะที่ไปให้การสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการ ถึงเวลานั้นจะลำบาก

"ตัดภาพมาที่ผู้นำประเทศไทยอย่างพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีประเทศไทย แทนที่จะบอยคอตการกระทำที่ป่าเถื่อนของรัฐบาลพม่าที่กระทำกับประชาชนเสียชีวิตจากการปราบปรามและสลายการชุมนุมของทหารพม่าจำนวนหลายร้อยศพ กลับส่งตัวแทนเป็น 1 ใน 8 ประเทศที่ไปเข้าร่วมแสดงความยินดีในงานพิธีสวนสนามวันกองทัพเมียนมาให้ทั่วโลกประณาม แทนที่จะดึงสติที่ไปไกลให้ฉุกคิด แต่นางสาวทิพานันทน์ ศิริชนะ คนในพรรคพลังประชารัฐกลับออกมาช่วยอุ้มว่า เพื่อกระชับสัมพันธ์ทางด้านการทหารของทั้งสองประเทศ การทำเช่นนั้นเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดและรักษาดุลอำนาจ มันคือความโง่ต่างหากชาญฉลาดตรงไหน ถ้าคนใกล้ตัวพล.อ.ประยุทธ์คิดได้แบบนี้เหมือนมีหัวไว้คั่นหูเท่านั้น ไม่ได้ดูทิศทางลมของทั่วโลกเลยว่ามันพัดไปทางไหน สถานการณ์แบบนี้มีใครไปกระชับสัมพันธ์กับเมียนมาร์บ้าง แทนที่นายกรัฐมนตรีของไทยจะให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนตามหลักการประชาธิปไตยซึ่งสำคัญกว่า กลับมาสนใจเรื่องผู้สื่อข่าวสาวนั่งไขว่ห้างขณะท่านให้สัมภาษณ์ในทำเนียบรัฐบาล ถึงขั้นมีคำสั่งห้ามนักข่าวคนนั้นเข้าทำเนียบ เพราะนั่งไขว่ห้าง จะตลกไปไหน นี่เรากำลังอยู่ในยุคไหนกัน

"ยิ่งสองสามวันที่ผ่านมา มีข่าวหลุดออกมาเรื่องรัฐบาลถังแตก ถึงขั้นจะมีการหารือถึงการจัดเก็บภาษีของประเทศที่ไม่เข้าเป้า จนทำให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ต้องออกมาให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่าได้สั่งให้ศึกษาที่จะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 7 เปอร์เซ็นต์ โดยจะยังไม่ขึ้นภาษีในช่วงนี้ และยืนยันว่ารัฐบาลไม่ถังแตก แต่การออกมาพูดแบบนี้ของนายสุพัฒน์พงษ์ ยิ่งทำให้คนยิ่งหวาดกลัว เพราะที่การที่รัฐบาลออกมาพูดเช่นนี้มันทำให้คนชักไม่มั่นใจเพราะรัฐบาลมักทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับการพูดเสมอ โดยนายแฮรี่ เอ็ดมุนด์ โมรอซ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก ออกมาแสดงความเห็นว่า แม้เศรษฐกิจไทยมีวี่แววจะฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่ยังมีผลกระทบด้านแรงงานอยู่ โดยช่วงไตรมาส 1/63 และ 2/63 พบว่ามีคนตกงานราว 340,000 ตำแหน่ง และในอนาคตมีแนวโน้มว่าปี 2583 แรงงานในตลาดจะเหลือ 35 ล้านคน จากปี 2563 ที่อยู่ราว 39 ล้านคน พล.อ.ประยุทธ์ยังยอมรับว่าการเงินการคลังประเทศไทยเสี่ยง รายได้ต่ำเป้า ใช้จ่ายสูง คาดต้องกู้อุดงบประมาณอีก 5 ปี

"ทำไมไม่มองบราซิลเป็นตัวอย่าง ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบราซิลหลังประธานาธิบดี ปรับคณะรัฐมนตรีไม่ลงตัว 3 ผู้นำเหล่าทัพของบราซิลลาออกทันที คาดว่าเกิดจากความไม่พอใจหลังจากความที่ล้มเหลวในการรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 โดยประธานาธิบดีโบลโซนาโร ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ และเคยระบุว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่สถานการณ์ล่าสุด ระบบสาธารณสุขทั่วประเทศเริ่มล่มสลายแล้ว เนื่องจากมีผู้ป่วยสะสมในโรงพยาบาลมากที่สุดในโลก แต่ไทยเป็นประเทศที่ประชาชนทนทานที่สุด สภาพไหนก็ทนได้ แต่ผู้มีอำนาจอาจจะคาดการณ์ผิด ห่วงสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศ เพราะสถานการณ์เวลานี้อาจจะทำให้ประชาชนลุกฮือเพราะเกินทนเหมือนประเทศเมียนมาร์ " นางสาวตรีชฎา กล่าว

.

ที่มา : https://www.posttoday.com/politic/news/649383


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ทำเนียบฯแจง ดูแล - อำนวยความสะดวกสื่อฯ ยันมีแนวปฏิบัติเท่าเทียมและทั่วถึง ยืดหยุ่น ไม่ละเลยมุ่งประโยชน์ของทุกฝ่าย โดยเฉพาะประชาชน ขอบคุณ

เมื่อวันที่ 1 เมษายน  2564 นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษก ขี้แจงข้อมูลเพื่อให้สื่อมวลชนทั้งในทำเนียบรัฐบาล และที่ไม่ได้เข้ามาปฏิบัติงานในทำเนียบรัฐบาลประจำ รวมถึงสาธารณชนที่สนใจเกี่ยวกับการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนภายในทำเนียบรัฐบาล ว่า ตลอดทุกสมัยที่ผ่านมา ผู้บริหารฝ่ายการเมืองและฝ่ายประจำ เจ้าหน้าที่สำนักโฆษกในฐานะผู้รับผิดชอบการดูแล และอำนวยความสะดวกสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าว และช่างภาพเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความราบรื่น และไม่มีปัญหานั้น ได้ทำงานร่วมกันด้วยดีมาโดยตลอด แม้จะมีจำนวนสื่อมวลชนสนใจเข้ามาทำข่าว ติดตามสถานการณ์ จำนวนมากนับหลายร้อยคน ซึ่งทำเนียบรัฐบาลก็เปิดกว้าง และอำนวยความสะดวกอย่างทั่วถึงและดีที่สุด ตามนโยบาย โดยทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ตามขอบเขตของตนเองด้วยความเหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ให้เกียรติ และเคารพสิทธิซึ่งกันและกันเสมอมา 

ในส่วนของการอำนวยความสะดวกนั้น จะเห็นได้ว่าสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลนั้นมีความใกล้ชิดกับแหล่งข่าวระดับสูงและมีสิทธิเสรีภาพอย่างมากในการปฏิบัติงาน ซึ่งแตกต่างจากในหลายประเทศ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดห้องปฏิบัติการสำหรับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด 3 ห้อง พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ โต๊ะทำงาน เก้าอี้ทำงาน เครือข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมทั้งระบบไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อให้สื่อมวลชนทำหน้าที่รายงานข่าวได้สะดวก มีการจัดระเบียบและกำหนดบริเวณให้สื่อมวลชน สามารถรายงานข่าวหรือสัมภาษณ์ผู้บริหารได้สะดวกและทั่วถึง 
.
ผู้อำนวยการสำนักโฆษกฯ กล่าวว่า  นอกจากนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความต้องการและความจำเป็นในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยได้ยืดหยุ่นบางระเบียบ เพื่อให้สื่อมวลชนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างสะดวก ตรงกับความต้องการให้มากที่สุด เช่น อนุโลมให้นั่งรอ หรือดักรอสัมภาษณ์ผู้บริหาร บริเวณหน้าตึกบัญชาการ พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประสานให้ความสะดวก เพื่อให้ทุกคนได้รับข้อมูลข่าวสารและรายงานให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้องชัดเจน และรวดเร็ว

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดการตรวจคัดกรองด้วยวิธีการที่ดีที่สุด (SWAB Test) ให้แก่สื่อมวลชน และกำหนดมาตรการป้องกันสื่อมวลชนจากการติดเชื้อโรคโควิด-19 ได้แก่ การรักษาระยะห่าง การตรวจวัดอุณหภูมิประจำวัน และการสวมหน้ากากอนามัย เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยและมั่นใจในการทำงานภายในทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีตระหนักในภาระหน้าที่และความสำคัญของสื่อมวลชน และยึดหลักปฏิบัติในการดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ผู้สื่อข่าวและช่างภาพทุกรายอย่างเต็มที่และเสมอภาคกัน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม 

“ท้ายนี้ สำนักโฆษกขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ทำงานร่วมกันมานาน จนเหมือนเพื่อน หรือญาติ ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวในฐานะเพื่อน แบะเพื่อนร่วมงาน สื่อเองมีน้ำใจกับสำนักโฆษกเสมอช่วยเหลือ มอบน้ำใจให้ ซึ่งสำนักโฆษกขอขอบคุณมา ฯโอกาสนี้ด้วย” ผู้อำนวยการสำนักโฆษกกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่าการชี้แจงดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีสื่อมวลชนรายหนึ่งทวิตข้อความพร้อมรูปภาพ นั่งรอทำจ่าวบริเวณบันได พร้อมเปรียบเปรยตัวเองเหมือนสุนัขหน้าสะดวกซื้อ จนมีผู้ เข้ามาแสดงความเห็นตำหนิการทำงานการดูแลสื่อมันชนของสำนักโฆษกฯ จึงได้มีการชี้แจงข้อเท็จจริง
.

“ทิพานัน” จวก “พิธา” โหนการเมืองเมียนมา หวังดิสเครดิตรัฐบาล-สุมไฟการเมืองไทย

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 นางสาวทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ประณามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าให้การสนับสนุนความรุนแรงและกองทัพที่เข่นฆ่าประชาชนชาวเมียนมา ว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตีความเกินเลย คำว่าสนับสนุนความรุนแรงและการเข่นฆ่าเป็นการปรักปรำ ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นสุภาพบุรุษ กล่าวหาใส่ร้ายโดยไร้หลักฐาน ต่อรัฐบาล เพราะไม่เคยมีผู้นำหรือผู้แทนในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเช่นนั้น 

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า หากนายพิธา ไม่ทราบและแยกแยะไม่ออกว่าการสนับสนุนความรุนแรงเป็นอย่างไร มีตัวอย่างให้เห็น คือ พรรคสนับสนุนให้นักการเมืองชายที่มีประวัติเกี่ยวข้องคดีใช้ความรุนแรงในครอบครัว ทำร้ายร่างกายผู้หญิงเป็นผู้นำ หรือกรณีที่ ส.ส. บางพรรค ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มที่กระทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยเผาพระบรมฉายาลักษณ์ และทำลายทรัพย์สินของทางราชการ และใช้ตำแหน่งประกันตัวผู้ต้องหา 

รวมถึงเคลื่อนไหวในสภาฯให้แก้ไขกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายให้พ้นจากความผิด และพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อต้องการให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาโดยประกาศจะใช้อำนาจ กมธ. เชิญประธานศาลฎีกา มาชี้แจง การกระทำเหล่านี้น่าจะเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลือผู้กระทำความผิดที่ใช้ความรุนแรงชัดเจนและยังเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ แถลงขอให้ทางการเมียนมา ยุติการใช้ความรุนแรง และปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวเพิ่มขึ้น และเตรียมที่จะหารือในเรื่องดังกล่าวในการประชุมอาเซียนซัมมิทในเดือนเม.ย.นี้ ในระหว่างนี้ไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และอำนวยความสะดวกแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สู้รบในเมียนมา ซึ่งตรงข้ามกับข้อกล่าวหาของนายพิธา ที่โจมตีรัฐบาลว่าให้การสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง แต่นายพิธา กลับฉวยโอกาสนำการเมืองระหว่างประเทศมาเป็นเครื่องมือเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล หาประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง 

“ไม่น่าเชื่อว่าคนไทยด้วยกันเอง นักการเมืองบางคนพยายาม โหนกระแสวิกฤตในเมียนมา มาตอมกลิ่มความขัดแย้งในสังคมและขยายผล พยายามทำร้ายและบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ แต่เชื่อว่าประชาชนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่หลงไปกับกระแสที่นักการเมืองพยายามเสี้ยมให้เข้าใจผิดรัฐบาล ที่หวังสุมไฟหวังให้เกิดสงครามกลางเมืองซ้ำเติมให้ประเทศบอบช้ำ” นางสาวทิพานัน กล่าว

นร. ต้องมาก่อน “ดร.กนก” ชี้เป้า! จัดซื้อ แนะ “ตรีนุช” เพิ่มเงิน “ครูชนบท”

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแนะนำหลักในการวางนโยบาย และแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติงาน ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ “นางสาวตรีนุช เทียนทอง” ที่เน้นย้ำให้เอาประโยชน์ของคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน และชั้นเรียนเป็นสำคัญ ผ่านภารกิจ 3 เรื่อง คือ  

1.) การกระจายอำนาจให้โรงเรียน โดยเฉพาะงบประมาณ

2.) การนำระบบฝึกหัดครูกับมาสร้างครูใหม่

และ 3.) เปลี่ยนวิธีการสอนของครูในชั้นเรียน เพื่อให้เกิดคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน

“นี่เป็นสิ่งที่ผม และอีกหลายคน หวังว่ารัฐมนตรีท่านนี้จะทำได้สำเร็จ และแม้จะไม่สามารถครอบคลุมทุกชั้นเรียนได้ ก็อาจกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมาย อาทิ จำนวนโรงเรียน หรือชั้นเรียน แล้วทุ่มงบประมาณอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ประสบความสำเร็จภายใน 2 ปี ตามอายุรัฐบาลนี้ และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ผมเสนอให้กำหนดเป็นโรงเรียนจำนวน 5,000 แห่ง และชั้นเรียนจำนวน 30,000 ห้อง เป็นเป้าหมาย ส่วนระบบฝึกหัดครูนั้น ก็ควรให้จัดทำโครงการฝึกหัดครูร่วมกับมหาวิทยาลัย ที่มากกว่า คณะศึกษาศาสตร์ เช่น ต้องมีคณะวิทยาศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ หรือคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น มาเข้าร่วมด้วย 10 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างครูพันธุ์ใหม่ จำนวน 4,000-5,000 คนในเวลา 2 ปีนี้ และบรรจุครูกลุ่มนี้ทดแทนครูเกษียณทั้งหมด ส่วนการกระจายอำนาจให้โรงเรียน ก็ควรทดลองปฏิบัติกับโรงเรียนที่คัดเลือกตามนโยบายยกระดับชั้นเรียนจำนวน 5,000 โรงเรียนไปพร้อมกันเลย”

นอกจากนี้ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีท่านนี้ ยังได้กล่าวเตือนถึงกับดักในกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่เรื่องของการจัดซื้อจัดจ้าง และการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ ที่ทำลายอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมาหลายท่านแล้ว
 
“กระทรวงแห่งนี้ มีงบประมาณกว่า 300,000 ล้าน ซึ่งถือว่ามหาศาล ดังนั้น ข้าราชการบางคน และเอกชนบางกลุ่ม ก็จะหาแนวทางในการเสนอโครงการใหม่ ๆ อยู่เป็นระยะ ๆ ในจำนวนเงินที่สูง และวางจุดมุ่งหมายอันเชื่อมโยงไปกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และยกระดับการบริหารให้มีประสิทธิภาพ แต่ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ โครงการเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การซื้ออุปกรณ์จำนวนมาก และเทคโนโลยีทันสมัย ที่มีราคาสูง รวมไปถึงการก่อสร้าง แต่มิได้มีการวางลำดับความสำคัญของการใช้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์สำหรับครู เพื่อการพัฒนาสาระวิชา และสร้างการสอนที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นเลย 

“ส่วนการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้ายครู และบุคลากรทางการศึกษา ส่วนใหญ่มักเป็นการย้ายตามความประสงค์ของครู หรือบุคลากรทางการศึกษา แต่ไม่ใช่ความจำเป็นของนักเรียน และโรงเรียน แต่อย่างใด ดังนั้น ก่อนการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย รัฐมนตรีต้องมีข้อมูลชัดเจนถึงความต้องการ และปัญหาจริงของโรงเรียนแต่ละแห่ง เพื่อบริหารจัดการการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย ให้ตรงกับความต้องการ และปัญหาของโรงเรียนนั้น ๆ นี่ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน และชั้นเรียนอย่างแท้จริง”

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังทิ้งท้ายถึง “วัฒนธรรมการบริหาร” ในกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องส่งเสริมให้ “คนเก่งและดี” มีความเจริญก้าวหน้า และได้รับบทบาทให้ช่วยทำงานสำคัญ ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง “ระบบบริหารของกระทรวงต้องรักษาครูที่ดี ที่เก่ง เป็นที่ต้องการของพื้นที่เอาไว้ ไม่ให้ลาออกหรือขอย้ายจากพื้นที่ที่นักเรียนต้องการ ด้วยการจูงใจและสนับสนุนครูเหล่านั้นอย่างเหมาะสมกับความสามารถ และประสบการณ์ เพื่อที่นักเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสจะได้ครูดี ๆ ที่มีคุณภาพสำหรับพวกเขา เช่น การปรับค่าตอบแทนครูในชนบทห่างไกล หรือโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีผลการสอนตามเกณฑ์มาตรฐาน ควรเพิ่มเงินพิเศษอีกเดือนละ 5,000 บาท นอกเหนือไปจากเงินเดือนประจำ และค่าตอบแทนอื่น ๆ ที่ระบบปัจจุบันกำหนดเอาไว้”

“ราเมศ” แจงหลังพบถูกสวมทวิตเตอร์ พร้อมเอาผิดให้ถึงที่สุด

1 เมษายน 2564 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้แอบอ้างด้วยการนำชื่อและรูปของตนไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายในโซเชียล โดยล่าสุดพบผู้ใช้ทวิตเตอร์แอคเคาท์ @thisisrealmynx มีการใช้ชื่อ และใช้รูปโปรไฟล์เป็นรูปของตน อีกทั้งทวีตข้อความบิดเบือน ซึ่งรายนี้ตนจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด 

พร้อมกับฝากเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการโพสต์หรือแชร์ข่าวต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียว่า หากมีการโพสต์ข้อความเพียงเพื่อความสนุก และบิดเบือน หลอกลวง จะเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนมาตรา 14 (2) ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนมาตรา 14 (5) ผู้ใดเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวข้างต้น 

ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 16 ผู้ใดนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลง ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี

‘บิ๊กตู่’ ส่งสารวันข้าราชการพลเรือน ‘ย้ำ’ข้าราชการตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สารเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 ว่า ข้าราชการ คือ ผู้ปฏิบัติงานราชการโดยคำนึงถึงความผาสุกของประชาชนและผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ จึงต้องตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของการเป็นข้าราชการที่ดี ซึ่งต้องเสียสละ อุทิศตน และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน โดยนำความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ มาใช้ในการจัดทำและให้บริการสาธารณะ สามารถบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ขปัญหาของประชาชน ตลอดจนสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศชาติ

เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน  1 เมษายน 2564 ขอแสดงความยินดีกับข้าราซการพลเรือนทุกคนที่ได้รับรางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2563 และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะดำรงไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีของข้าราชการ และประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นข้าราชการที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชน และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ข้าราชการรุ่นใหม่ต่อไป ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนข้าราชการพลเรือนทุกคนที่ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกภาคส่วน 

เพื่อช่วยให้ประเทศชาติฟันฝ่าอุปสรรคและช่วงเวลาอันยากลำบากจากการระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 และขอให้ทุกท่านพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้มีความพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลและวิถีการทำงานแบบปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติงานราชการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประชาชนมีความสุข
และประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนตลอดไป

ในโอกาสนี้ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล อีกทั้งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชีนี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ข้าราชการพลเรือนทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจที่เข้มแข็ง และสัมฤทธิผลในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ เพื่อร่วมกันเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนสืบไป

รายงานข่าวจากทำเนียบ ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019​ (โควิด-19) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม​ได้เห็นชอบตามที่​ ศบค.ชุดเล็กเสนอเรื่องการตรวจค้นหาเชื้อชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย

กรณีแรกเป็นกลุ่มกักตัว 7 วัน หากเป็นชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาจะต้องมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และยืนยันไม่มีรายงานการติดเชื้อคือเป็นลบ จึงสามารถเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งกลุ่มนี้จะตรวจผลโควิด-19 ครั้งที่หนึ่งในวันที่ 5 - 6 แต่สำหรับกรณีคนไทยที่เดินทางกลับบ้าน โดยไม่ได้มีการตรวจโควิด-19 ก่อนเดินทาง จะมีการตรวจหาโควิดแบบสวอปตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึงประเทศไทยและตรวจอีกครั้งในวันที่ 5 - 6 นี่คือกลุ่มกักตัว 7 วัน

ส่วนกลุ่มที่มีการกักตัว 10 วันจะมีการตรวจโควิดสองครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 3 - 5 และตรวจอีกครั้งวันที่ 9 - 10

ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่มีการกักตัว 14 วัน จะมีการตรวจหาโควิดโดยวิธีการสวอปสามครั้ง ครั้งที่หนึ่งคือวันที่เดินทางถึงประเทศไทยในวันแรก ครั้งที่สองในวันที่ 6 - 7 และครั้งที่สามคือวันที่ 12 - 13 ทั้งนี้ ทุกกลุ่มยังมีกำหนดด้วยว่าจะต้องอนุญาตให้มีระบบติดตามตัวจนครบ 14 วันถึงแม้ว่าจะออกจากสถานกักกันไปแล้ว

ทั้งนี้​ มาตรดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย. 2564 เป็นต้นไป


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

“เทพไท" เกาะติด เงินค่าตอบแทน อสม.เสนอรัฐบาลตั้งเป็นงบประมาณ จ่ายเดือนละ1,500 บาท ทุกเดือน

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่มีมติเห็นชอบโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน -  มิถุนายน 2564) กรอบวงเงินรวมไม่เกิน 1,575.4590 ล้านบาท นั้นว่า ต้องขอขอบคุณคณะรัฐมนตรี ที่เห็นความสำคัญในการทำงานของ กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เป็นด่านหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ชนบท 

แต่สิ่งที่พี่น้อง อสม.อยากได้มากที่สุด นั่นก็คือการปรับเพิ่มค่าตอบแทนให้กับ อสม.เดือนละ 1500 บาท โดยรัฐบาลตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีของทุกปี ซึ่งตนได้เคยเสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาลในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว และเห็นว่าการเพิ่มค่าตอบแทนให้กับ อสม.อีกเดือนละ 500 บาท จะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นเพียงเดือนละ 500 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับโครงการประชานิยม หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโควิดของรัฐบาลอีก และจะไม่เป็นภาระด้านงบประมาณของรัฐบาลแต่อย่างใด 

จึงขอเสนอให้รัฐบาลได้ประกาศเป็นนโยบายที่ชัดเจน ในการปรับเพิ่มค่าตอบแทนให้กับ อสม.อีกเดือนละ 500 บาทต่อคน รวมเป็นค่าตอบแทนเดือนละ 1,500 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ดีกว่ารัฐบาลจะชดเชยเยียวยาให้กับ อสม.เป็นครั้งคราว หรือคราวละ 3 เดือนบ้าง 5 เดือนบ้าง หรือ 12 เดือนบ้าง ซึ่งไม่มีความแน่นอน ไม่ได้เป็นการสร้างหลักประกัน และสร้างขวัญกำลังใจให้กับ อสม.แต่อย่างใด

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2564


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

"อนุทิน" ลุยยกระดับสิทธิ์ "บัตรทอง" พัฒนางานบริการประชาชน

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่สำนักพิมพ์ มติชน ในงานเสวนาพิเศษ "ร่วมทางเดียวกัน จาก 30 บาทรักษาทุกโรค สูตร 30 บาทรักษาทุกที่" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเปิดตัวหนังสือ “ระหว่างบรรทัด" นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโครงการบัตรทอง โดยระบุว่า  ในอดีตสิ่งที่ตนเกลียดมากคือคำว่าผู้ป่วยอนาถา เป็นผู้ป่วย เป็นคนไทยที่มีสิทธิ์ในชีวิต น้อยกว่า แต่โครงการบัตรทองได้เข้ามาทำลายภาพดังกล่าวจนหมด ทำให้คนไทยมีสิทธิ์ ในการรักษาพยาบาล เป็นสิทธิ์ที่จะได้รับการบริการจากภาครัฐ ในฐานะคนไทย

เมื่อย้อนกลับไป ในวันที่เดินหน้าโครงการ ไม่เคยกังวลเรื่องโรงพยาบาลจะล้มละลาย เพราะรัฐดูแลอยู่แล้ว ที่สำคัญยังเป็น Pilot Project ที่ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน และต้องทำให้สำเร็จ 20 ปีที่ผ่านมามีการปรับปรุงพัฒนาระบบของโครงการ จึงเป็นที่มาของคำว่า 30 บาทรักษาทุกที่เพราะรักษาทุกโรคอย่างเดียวไม่พอ ต้องรักษาทุกที่ งานสาธารณสุข ต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้ มีความขลัง ผู้บริหารที่เข้ามาดูแลกระทรวงฯ ต้องสานต่อ ส่วนตัว เมื่อได้เข้ามาทำงาน ก็พยายามทำให้ดีขึ้นและได้สื่อสารเสมอว่า ให้ใช้งานตนอย่างเต็มที่ เพราะเป็นรัฐมนตรี ที่มาจากหัวหน้าพรรค ในรัฐบาลผสม อย่างไรเสียคณะรัฐบาลก็ต้องฟังกัน กระทรวงสาธารณสุข มีอิสระในการทำงาน 

"ผมห้อยหลวงพ่อเลี๊ยบ ตอนที่รู้ตัวว่าต้องเข้ามาเป็นรัฐมนตรีฯ ซึ่งจริง ๆ  ผมตั้งเข็มมาทางนี้ไม่มีทางเลือกอื่นเลย เมื่อทราบผลการเลือกตั้งคนแรกที่ผมติดต่อคืออาจารย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะความตั้งใจแรกคือการดูแลยกระดับโครงการบัตรทอง ก็ต้องหวังพึ่งพาคนมีประสบการณ์ มีความสามารถ"

สำหรับ สปสช. สิ่งที่ขอคือการทำงานต้องต่อเนื่อง ไม่ขาดช่วง จะมีบางช่วงเวลาที่ สปสช.ไม่มีเลขาฯ บางคนทำงานได้ไม่นานก็ไป องค์กรที่ไม่มั่นคง ย่อมเดินหน้าลำบาก จากนี้ เหตุการณ์ข้างต้นต้องไม่เกิดขึ้น คนเก่าไป คนใหม่ต้องทำงานทันที เพราะนี่คืองานที่เกี่ยวกับสุขภาพของประชาชน จะสะดุดหยุดลงไม่ได้ ตอนแรกโครงการรักษาทุกโรค ก็ยังรักษาได้บางโรค แต่วันนี้ พัฒนา มาจนรักษาได้ทุกโรค โรคหายาก ก็ยังรักษา

ยิ่งกว่านั้น มะเร็ง ก็รักษาทุกที่ได้เช่นกัน มะเร็งเป็นโรคที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากที่สุด ปีนี้ไทยเพิ่มเครื่องฉายรังสี 7 เครื่อง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นศูนย์มะเร็งต่างๆทั่วประเทศไทยจะสามารถรับผู้ป่วยได้มากขึ้น ทำให้ประชาชนไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิวนาน ประชาชนได้รับความสะดวก จากนี้จะพัฒนาสถานที่ให้บริการ ต้องจอดรถได้มากขึ้น ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นทุกๆ ด้าน งานสุขภาพเป็นงานที่ต้องพัฒนา หยุดไม่ได้

ขนส่งยืดเวลาทำใบขับขี่ได้ก่อนนาน 6 เดือน

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกเปิดเผยว่า กรมฯ ได้ขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ (ใบขับขี่) ส่วนบุคคลและใบขับขี่รถสาธารณะ ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ทุกประเภท ให้สามารถยื่นคำขอต่ออายุใบขับขี่ได้ก่อนใบขับขี่สิ้นอายุไม่เกิน 6 เดือน จากเดิมกำหนดไว้เพียง 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป 

เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้ครอบครองใบขับขี่รถส่วนบุคคลและใบขับขี่รถสาธารณะมีจำนวนมากขึ้น ขณะที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งได้เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการให้บริการประชาชน รวมถึงได้นำระบบอบรมออนไลน์ e-Learning เข้ามาช่วยลดขั้นตอนแล้ว แต่ยังไม่สามารถรองรับความต้องการใช้บริการของประชาชนได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มระยะเวลาดำเนินการให้มากขึ้น จาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน

ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการเพิ่มประโยชน์และขยายโอกาสให้ผู้ได้รับใบขับขี่มีเวลาในการดำเนินการขอต่ออายุใบขับขี่มากขึ้น พร้อมขยายระยะเวลารับรองผลการอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ http://www.dlt-elearning.com จากเดิมมีอายุรับรอง 90 วัน เป็น 6 เดือนนับแต่วันที่ผ่านการอบรมให้สอดคล้องกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ได้รับใบขับขี่สามารถดำเนินการต่ออายุใบขับขี่ได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด

นอกจากนี้ยังได้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องการต่อใบขับขี่ สามารถเลือกอบรม e-Learning ทางเว็บไซต์ http://www.dlt-elearning.com ผ่านเว็บไซต์ได้ด้วยตนเองจากสถานที่ใดก็ได้ตลอด 24 ชม. โดยมีการอบรมทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล การอบรมต่ออายุใบขับขี่รถขนส่ง การอบรมต่ออายุใบขับขี่รถสาธารณะ และการอบรมต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล ที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป

เพื่อไทยติง “ประยุทธ์” ต้องมีมารยาทก่อนสั่งคนอื่น เย้ย! ใครกันแน่ที่มีปัญหา

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ตำหนินักข่าวนั่งไขว่ห้างระหว่างฟังการแถลงผลการประชุม ครม.ว่า ตามอารมณ์และวิธีคิดของพล.อ.ประยุทธ์ไม่ถูกจริง ๆ ก่อนหน้านี้นึกจะโยนเปลือกกล้วยใส่นักข่าวก็โยน นึกจะไล่ฉีดแอลกอฮอล์ใส่นักข่าวก็ฉีด แม้จะอธิบายว่าล้อเล่น ต้องการสร้างความเป็นกันเองกับนักข่าว แต่สังคมประเมินได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวพึงกระทำหรือไม่ บทจะโมโหโทโสฉุนเฉียวเจ้ายศเจ้าอย่าง แสดงอำนาจบาตรใหญ่ขึ้นมา สั่งนักข่าวห้ามนั่งไขว่ห้างก็สั่ง ทั้งที่หากว่ากันตามจริงบุคลิกภาพและภาษากายของ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะมีปัญหามาโดยตลอด 

ไม่ว่าจะในเวทีระดับประเทศหรือการปรากฏตัวในเวทีระหว่างประเทศ ประชาชนต้องอดทนมาโดยตลอด บุคลิกภาพสีหน้าแววตาภาษากายการควบคุมอารมณ์ที่แสดงออกของบุคคลระดับผู้นำประเทศ น่าจะต้องมีมาตรฐานที่สูงกว่านี้ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จะไปห้ามปรามหรือสั่งการใครให้มีมารยาท ต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน เพราะตราบที่การสั่งการสวนทางกับสภาพที่แท้จริงที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์แสดงออกต่อบุคคลอื่น คำสั่งการนั้นย่อมไม่เป็นผล” นายอนุสรณ์ กล่าว

ผบ.ทร. ตรวจเยี่ยมการฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564

พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เดินทางไปตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์ การฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ในการฝึกภาคทะเล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 ณ หาดบ้านทอน ค่ายจุฬาภรณ์ อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โดยมี พล.ร.ท.สมัย ใจอินทร์ รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้แทนผู้บัญชาการกองเรือยุทธการพล.ร.ท.สำเริง จันทร์โส ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 พล.ร.ต.สรไกร สิริกรรณะ รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ผู้แทนผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และ นาวาเอก อมร ซื่อตรง ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน / ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ ให้การต้อนรับการฝึกภาคทะเล นั้น เป็นการฝึกของกำลังทางเรือในการควบคุมทะเล และขยายอำนาจจากทะเลสู่ฝั่ง ตามแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ และแผนป้องกันประเทศในแต่ละด้าน 

โดยจัดตั้งกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกล ซึ่งเป็นกำลังเชิงรุก มีกำลังสำคัญ ประกอบด้วย หมวดเรือเฉพาะกิจโจมตีหมวดเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก และหมวดเรือสนับสนุน โดยหมวดเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ที่จัดให้มีการยกพลขึ้นยกในวันนี้ จัดกำลังประกอบด้วย หมู่เรือลำเลียง ได้แก่ เรือหลวงอ่างทอง เรือหลวงสีชัง และเรือหลวงสุรินทร์ หมู่บินลาดตระเวนและลำเลียง ได้แก่ เครื่องบินตรวจการณ์ชายฝั่ง เครื่องบินลาดตระเวน เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง และ เฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์ผิวน้ำ กำลังรบยกพลขึ้นยก ได้แก่ ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) ยานเกราะล้อยาง (BRT) รถฮัมวี่ (HMMWV) ปืนใหญ่ ขนาด 105 มม. พร้อมกำลังทหารนาวิกโยธิน จำนวน 700 นาย นอกจากนั้น ยังมีกำลังในส่วนอื่น ๆ อาทิ ชุดปฏิบัติการพิเศษ ชุดปฏิบัติการชายหาด และชุดแพทย์โรงพยาบาลสนาม

สำหรับ การฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบการปฏิบัติตามหลักนิยมในการปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก พ.ศ. 2564 ทดสอบแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ พ.ศ. 2563 และทดสอบความพร้อมกำลังทางเรือและกำลังรบยกพลขึ้นบกนาวิกโยธิน ในการปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบกโดยในการปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก จำเป็นจะต้องได้มาซึ่งการควบคุมทะเลและครองอากาศในพื้นที่ปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งห้วงเวลาที่กำหนดการค้นหาและลิดรอนทำลายกำลังทางเรือของข้าศึกทั้งเรือผิวน้ำและเรือดำน้ำไม่ให้เป็นภัยคุกคามเป็นภารกิจหนึ่งในการควบคุมทะเล โดยการปฏิบัติการในวันนี้เริ่มด้วย

เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ ทำการค้นหาและกำหนดตำบลที่เรือดำน้ำ เพื่อใช้อาวุธในการโจมตีทำลาย ในขณะเดียวกันเครื่องบินตรวจการณ์ชี้เป้าได้บินตรวจการณ์ และชี้เป้าหมายเรือข้าศึกเพื่อให้กำลังทางเรือใช้อาวุธทำลายจนได้การควบคุมทะเล และเมื่อได้การควบคุมทะเลในพื้นที่ปฏิบัติการแล้ว กองเรือเฉพาะกิจสะเทินน้ำสะเทินบก จะขอรับการสนับสนุนการกำหนดช่องทางเข้า - ออกเรือเล็ก จากชุดต่อต้านทุ่นระเบิดเคลื่อนที่ เพื่อทำลายทุ่นระเบิดที่ฝ่ายข้าศึกได้วางไว้ป้องกันพื้นที่ยกพล เมื่อชุดลาดตระเวนแทรกซึมเข้าพื้นที่ยืนยันพิกัดกำลังของฝ่ายข้าศึกได้แล้ว จะร้องขอการทำลายที่หมายด้วยปืนใหญ่เรือ เพื่อให้ข้าศึกหมดขีดความสามารถในการต่อต้านกำลังรบยกพลขึ้นบกที่จะขึ้นมาดำเนินกลยุทธ์บนฝั่ง

เมื่อพื้นที่บนบกกำลังต่อต้านถูกทำลายแล้ว ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) คลื่นแรก ได้เข้าปิดระยะ และขึ้นเกยหาด ตามด้วยยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) คลื่นที่สอง โดยทำการโจมตีเป้าหมายบนฝั่งอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเรือระบายพลแบบ LCVP จำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นคลื่นที่ 3 ได้เคลื่อนที่เข้าเกยหาดเพื่อทำการส่งกำลังรบดำเนินกลยุทธ์ ในขณะเดียวกันกำลังรบยกพลขึ้นบกที่บรรทุกมาบนเรือระบายพลขนาดเล็ก ได้เคลื่อนออกจากเรือ เพื่อเข้าทำลายข้าศึกบนหาด ต่อมา กำลังรบคลื่นที่ 4 ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์แบบต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ประกอบด้วย แบบ EZ แบบ ซูเปอร์ ลิงค์ และ แบบ เบลล์ 212 ทำการลำเลียงกำลังพลและยุทธโปกรณ์ สนับสนุนดำเนินกลยุทธ์บนฝั่ง ตามด้วยกองร้อยยานเกราะล้อยาง ที่ลำเลียงมาจากเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ที่แล่นมาเกยหาด ได้เคลื่อนจากเรือขึ้นฝั่งเพื่อสนับสนุนกำลังรบยกพลขึ้นบก ตามด้วยการส่งกลับสายแพทย์ กรณีมีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ อันเป็นการเสร็จสิ้นการปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกในวันนี้

นอกจากการฝึกภาคสนามและภาคทะเลที่จัดให้มีขึ้นในวันนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้นสู่พื้น แบบ HARPOON BLOCK 1C โดยเรือหลวงตากสิน การฝึกปฏิบัติการร่วมระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพอากาศ (LINK – E) และยิงอาวุธทางยุทธวิธี และยิงเป้าอากาศยาน ในพื้นที่ทะเลอันดามัน โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมสังเกตการณ์ โดยการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้นสู่พื้น แบบ HARPOON BLOCK 1C ในครั้งนี้ ได้ทำการยิงอาวุธปล่อยต่อเป้าที่ระยะ 55 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 100 กิโลเมตร 

นับเป็นการยิงไกลสุดที่เคยทำการยิงมาในภูมิภาคอาเซียน โดยใช้หัวระเบิดจริงซึ่งกองทัพเรือดำเนินการเองโดยไม่พึ่งพาประเทศเจ้าของอาวุธปล่อย หรือต่างชาติแต่อย่างใด โดยอาวุธปล่อยสามารถวิ่งชนเป้าได้อย่างแม่นยำ นับเป็นความสำเร็จของกองทัพเรือไทย อีกทั้งเป็นการสร้างความชำนาญ และเพิ่มองค์ความรู้ทางยุทธการให้มีความต่อเนื่องเป็นหลักประกันของชาติทางทะเลได้อย่างคุ้มค่า เพราะอาวุธปล่อยนำวิถีแบบ Harpoon ถือได้ว่าเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ป้องปรามและในวันที่ 9 เมษายน 2564 กองทัพเรือ จะจัดให้มีการฝึกสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง บริเวณสนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี 

โดยได้เชิญกองทัพบก และกองทัพอากาศ จัดกำลังเข้าร่วมการฝึกตามรายการต่าง ๆ ซึ่งกองทัพเรือได้ดำเนินการต่อเนื่องและได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกเหล่าทัพในทุกครั้ง ซึ่งจะทำให้ทราบถึงคุณลักษณะและขีดความสามารถของกำลังรบจากเหล่าทัพต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การวางแผนการใช้กำลังทางทหารและการปฏิบัติการรบร่วมที่มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลในการป้องกันประเทศในอนาคตตามวิสัยทัศน์กองทัพไทยที่เป็นกองทัพชั้นนำในภูมิภาค มีนวัตกรรมทันสมัย ปฏิบัติการร่วมอย่างมีประสิทธิภาพทุกมิติ” และสร้างความสมัครสมานสามัคคี อันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของกองทัพไทยในภาพรวม ตามคำขวัญของกองทัพเรือที่ว่า “พลังสามัคคี พลังราชนาวี”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top