Saturday, 5 July 2025
POLITICS

‘รวมไทยสร้างชาติ’ สวนกระแส ย้ำ จุดยืนไม่นิรโทษมาตรา 112 เด็ดขาด ‘เพื่อไทย’ ไร้ข้อสรุปโยนประชุมวิปรัฐบาลอีกรอบ ด้านพรรคอื่นยังสงวนท่าที

(16 ต.ค. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรประจำสัปดาห์นี้คงไม่มีเรื่องไหน วาระไหนที่จะสำคัญไปกว่าการเสนอรายงานของคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางการร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่ในเนื้อในมีการให้ความเห็นถึงการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญารวมอยู่ด้วย 

THE STATES TIMES ได้ทำการสำรวจความเห็นจากทุก ๆ พรรค และทุกฝ่ายทางการเมือง ดูเหมือนหลาย ๆ พรรคพยายามสงวนท่าที แต่หนึ่งพรรคแม้จะอยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนนั้นคือพรรครวมไทยสร้างชาติ

‘อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาแถลงหลังจากการประชุมพรรค ย้ำชัด ๆ ว่า

พรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอสงวนสิทธิ์ที่จะมีมติงดออกเสียงในการลงมติรายงานฉบับดังกล่าว ทั้งในชั้นการรับทราบ และการเห็นชอบรายงานฉบับดังกล่าวเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ

ด้วยเหตุผลว่าเป็นการยืนยันในมติเดิมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า จะไม่เห็นชอบในรายงานฉบับดังกล่าว เนื่องจากไม่มีความสมบูรณ์ ขาดข้อสรุปที่ชัดเจน ดังที่เคยได้แจ้งไปเมื่อมีมติพรรครวมไทยสร้างชาติในวันที่ 26 กันยายน 2567 ซึ่งในครั้งนี้รายงานที่พิจารณาก็ยังมีเนื้อหาเช่นเดิม

นอกจากนี้นายอัครเดชยังมีการย้ำจุดยืนและหยิบยกเอาอุทาหรณ์ข้อเท็จจริงที่เคยเกิดมาแล้วออกมา 

จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติชัดเจนว่าจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 โดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐและละเมิดต่อสถาบันหลักของชาติ

หากจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวมเอาผู้กระทำความผิดมาตรา 112 ด้วยแล้วมีความเสี่ยงว่าการกระทำดังกล่าวจะละเมิดต่อกฎหมาย เช่นที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องในทำนองเดียวกันมาแล้ว 

ขณะที่อีกฟากฝั่งทางการเมืองพรรคประชาชน โดยนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สมาชิกสภาผู้แทนแบบบัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหารพรรคออกมาแถลงว่า พรรคยังยืนยันในการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดมาตรา 112 

ท่ามกลางบรรยากาศที่ขมุกขมัว ทำให้พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลยังคงวุ่น จับต้นชนปลายไม่ถูก การประชุมพรรคที่นำโดยสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค ยังหาข้อสรุปในเรื่องรายงานนิรโทษกรรมไม่ได้ 

โดยที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติให้นำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล ที่จะจัดขึ้นในวันนี้(16 ต.ค. 67)เพื่อหาข้อสรุป 

เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการเมืองไทยในอนาคต เนื่องจากรายงานฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการตรากฎหมายนิรโทษกรรมในอนาคต ว่าจะรวมเอาผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 อยู่ในการนิรโทษกรรมหรือไม่

ผู้ที่สนใจการเมืองไทยกรุณาติดตามโดยพลัน

‘ชัยวุฒิ’ ยัน พปชร. กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง ปมคลิปเสียงคล้ายคนของพรรคตบทรัพย์ ‘บอสพอล’

(15 ต.ค. 67) ‘ชัยวุฒิ’ เผย ‘บิ๊กป้อม’ ทราบปมนักการเมืองเรียกรับผลประโยชน์แล้ว ขอความเป็นธรรม รอการตรวจสอบว่าเป็นใคร ยัน พลังประชารัฐไม่เกี่ยว  ย้ำคลิปเสียงคล้าย ‘สามารถ’ ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนเป็นเรื่องในอดีตก่อนเข้ามาอยู่พรรคหรือไม่ เพราะเคยถูกขับออก 

เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 67 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ  นายชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคลิปเสียงนักการเมืองเรียกรับผลประโยชน์จากผู้บริหาร ดิ ไอคอน ว่า พรรคพลังประชารัฐเราก็มีความห่วงใยต่อกรณีดังกล่าวนี้ ขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียหายทุกคน และขอให้ทุกคนได้รับเงินคืน รวมถึงผู้ที่กระทำความผิดต้องได้รับการลงโทษ 

เมื่อถามว่า มีการพาดพิงถึงคลิปเสียง ซึ่งมีการระบุว่าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า เราต้องตรวจสอบว่าเป็นเสียงใคร เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ ทั้งจากคนที่อัดคลิป และคนที่ปล่อยคลิปออกมา สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องพิจารณาว่าคลิปเสียงดังกล่าวอยู่ในช่วงเวลาใด เป็นช่วงที่บุคคลดังกล่าวมีตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ หรือเป็นแค่บุคคลธรรมดาที่ไปหลอกลวง ต้มตุ๋น ซึ่งความผิดนั้นมีความแตกต่างกัน โดยจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้ง

เมื่อถามว่า มีการระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2565  นายชัยวุฒิกล่าวว่า ต้องไปถามคุณพอลว่าได้จ่ายให้กับใครไปบ้าง วันนี้ต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจน ตนเองไม่อยากให้มีการรีบฟันธงว่าใครถูกหรือผิด ต้องพิจารณาว่า ผู้บริหารของดิไอคอนกรุ๊ปจ่ายให้ใครไปบ้าง และบุคคลดังกล่าวได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์หรือไม่อย่างไร 

นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า ตนเองเป็นห่วง เพราะว่ากฎหมายทั้งเรื่องของการขายตรง และการฉ้อโกงประชาชน มีมานาน โดยเจ้าหน้าที่จะต้องป้องกันและปราบปรามผู้ที่กระทำความผิด โดยเฉพาะเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นหลายปีก็น่าสงสัยผู้ที่มีอำนาจได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ 

เมื่อถามว่า ได้มีการต่อสายไปยังคนในพรรคของเราหรือไม่ ว่าใช่คนในเสียงหรือไม่ นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า ตนเองไม่ทราบ เพราะยังไม่มีการพูดคุยกัน ขณะเดียวกันตนเองก็ไม่ทราบว่า ขณะนี้บุคคลดังกล่าวอยู่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ

นายชัยวุฒิ  กล่าวต่อว่า นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐได้ไม่นาน และเคยถูกขับออกไปแล้ว 1 ครั้ง ก่อนจะกลับมาช่วยงานอีกครั้ง ซึ่งตนคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะใช่ช่วงหลังที่เข้ามาช่วยงานพรรค ส่วนในอดีตนายสามารถ ทำอะไรมาบ้าง เราไม่ทราบ เราต้องมีการตรวจสอบว่าทำผิดจริงหรือไม่ ก็ขอความเป็นธรรมให้เขาด้วย และขอความเป็นธรรมให้พรรคพลังประชารัฐด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค เป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นการกระทำที่ก่อนเข้ามาอยู่ที่พรรค 

เมื่อถามว่า เสียงที่ถูกปล่อยออกมาเป็นการถูกเอาคืนกรณียื่นศาลรัฐธรรมนูญ ตรวจสอบนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย นายชัยวุฒิกล่าวว่า การตรวจสอบนักการเมืองเป็นหน้าที่ของทุกฝ่าย ใครทำไม่ดีต้องถูกลงโทษ การที่เราตรวจสอบพรรคเพื่อไทย หรือตรวจสอบนายทักษิณ เป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ หากเขาทำไม่ถูกต้อง ก็เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องลงโทษหรือตัดสินเขา และยืนยันว่าไม่ใช่การแก้แค้นกัน ส่วนใครมาตรวจสอบนายสามารถ ก็เป็นหน้าที่ของทุกคนเช่นกัน 

เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐ จะมีการตรวจสอบเรื่องนี้ใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า แน่นอน เราไม่ต้องการให้มีคนไม่ดีอยู่ในพรรคอยู่แล้ว 

เมื่อถามว่า  แม้ว่าช่วงเวลาที่นายสามารถ กระทำเรียกรับผลประโยชน์นั้นจะไม่ใช่สมาชิกพรรคพลังประชารัฐแต่ ณ เวลานี้ บุคคลดังกล่าวเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐจะออกมาตรการได้หรือไม่   นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า ก็ต้องตรวจสอบว่ามีความผิดมากน้อยแค่ไหน และจะต้องดำเนินการตามข้อบังคับ โดยขอรอดูข้อเท็จจริงก่อน 

เมื่อถามว่า หากมีมลทินจริงสามารถขับพ้นพรรคได้ใช่หรือไม่  นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า โดยหลักการคนที่ไม่ดี หรือไม่มีจริยธรรมหรือทุจริตต่อหน้าที่ ทำงานการเมืองไม่ได้อยู่แล้ว ก็ขอให้ความมั่นใจกับทุกคนว่าพรรคก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และเรื่องดังกล่าวนี้ และขอให้ข้อเท็จจริงนั้นยุติก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าเบี่ยงประเด็น การติดสินบนหรือการเรียกรับผลประโยชน์มันมีอยู่ทุกวงการ แต่อยากให้ดูที่ข้อเท็จจริงว่าใครทำผิด หรือใครที่ปล่อยปละละเลยอย่างไร เมื่อมีคนมาร้องเรียนแล้ว  สคบ. หรือเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการ และหลอกลวงประชาชนมาเป็นเวลาระยะเวลาหลายปี ผู้ประกอบการเหล่าบอสต่างๆ มีความผิดจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ประชาชนได้คลายความวิตกกังวลและให้ความเชื่อมั่นกับกระบวนการยุติธรรมของเราต่อไป 

เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ทราบเรื่องแล้วหรือยัง  นายชัยวุฒิ  กล่าวว่า ตนเองยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่คิดว่าท่านทราบอยู่แล้ว

‘นักต้มตุ๋น’ ยุคใหม่ส่วนใหญ่ล้วนผ่าน ‘การทำศัลยกรรม’ หวังหลอกเหยื่อผ่านรูปลักษณ์ แต่ซุกไว้ด้วยจิตใจไม่รู้จักพอ!!

(15 ต.ค. 67) ทำไม นักหลอกลวง นักต้มตุ๋น นักอวดรวย ที่เป็นคนไทย แทบจะ 100% มักเป็นคนที่เสพติดการทำศัลยกรรมใบหน้า?

บทความนี้ไม่ได้จะบอกว่าทุกคนที่ทำศัลยกรรมใบหน้าเป็นคนไม่ดี แต่ตามประสบการณ์ที่พบเห็นมาหลายคดีความที่เกี่ยวกับการหลอกลวง, การต้มตุ๋น, แชร์ลูกโซ่, Forex-3D, แม่ค้าออนไลน์ขายทอง, ขายครีม, ขายกระเป๋าแบรนด์เนม หรือแม้แต่การหลอกลวงให้นำเงินมาลงทุน ไม่ว่า “นักฉ้อโกงระดับหัวหน้า” จะเป็นชาย หรือหญิง ก็มักจะทำศัลยกรรมใบหน้ามาอย่างโชกโชนทุกคน

เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่โจรมักจะ “เกลียดใบหน้าเดิมของตัวเอง” ตรงกัน หรือเพราะการทำศัลยกรรมใบหน้าสามารถบ่งชี้ได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูดีในสังคม เพื่อที่จะมีมากกว่าคนอื่น จนสามารถไปยืนในจุดที่มีผู้คนยอมรับ โดยไม่สนว่าจะได้รับความร่ำรวยมาด้วยวิธีการใด?! 

คนที่เกลียดความเป็นจริงของตัวเอง โดยเริ่มจากใบหน้า สรีระร่างกาย ฐานะความเป็นอยู่ หรือสังคมแวดล้อม ก็ย่อมจะหาทางหนีให้ห่าง และพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างชีวิตใหม่ เพื่อมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คน

ไม่ผิด ที่คนเราจะมีความทะเยอทะยานมุ่งหวังให้ชีวิตของตนเองสุขสบาย แต่ควรต้องอยู่ในกรอบของความดีงาม ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร และต้องไม่ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย โดยเลือกเส้นทางอาชญากร หรือเป็น “นักหลอกต้มสังคม” ที่คิดแสวงหาเงินทอง ความมั่งคั่ง ด้วยวิธีที่ไม่บริสุทธิ์ใจ

แต่คนที่เลือกทางลัด นิยมทางเร็ว เกลียดทางเก่า และเมินโลกสังคมที่ดูไม่โสภาของตัวเอง มักจะไม่กลัวความเจ็บปวดใด ๆ ในชีวิต เพราะชินชาที่ต้องพบเจออยู่ทุกวันอยู่แล้ว มีดหมอ เข็มแหลมคม จะผ่า หรือฉีด ร้อย ถัก เย็บ ให้ต้องเจ็บสักกี่ครั้งก็คือเรื่องธรรมดา เพราะโลกใบใหม่หลังลืมตาตื่นดูจากบนเตียงศัลยกรรมนั้นคือสิ่งที่จูงใจ และรอคอยมากกว่า 

การกล้าหาญที่จะหนีจาก “ใบหน้าเดิม” ที่เห็นตัวเองในกระจกมาทั้งชีวิต อาจถือได้ว่าเป็นความมุ่งมั่นเกินคนปกติในแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่บทสรุปว่าคนๆ นั้น ต้องกล้าทำในสิ่งที่ชั่วช้าสามานย์ต่อมา ส่วนประเด็นที่ว่าแล้วทำไมทุกครั้งที่มีข่าว “โจรหลอกต้มผู้คน” ตามสื่อช่องต่าง ๆ โจรมักจะ “ศัลยกรรมใบหน้า” แทบทุกรายนั้น ก็เพื่อจะบอกว่าแม้ทุกคนที่ศัลยกรรมหน้าอาจจะไม่ใช่โจร แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องระมัดระวัง 

ศัลยกรรมคือเครื่องหมายของความทะเยอทะยาน เจอคนดี ชีวิตก็ดี เจอคนผิด ชีวิตอาจพังทลาย 

รัฐบาลต้องแสดงออกว่า ได้กระทำเต็มที่แล้ว หาไม่แล้วเรื่องนี้ จะถูกนำไปโยงกับกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร ว่ามีเจตนาในการช่วยเหลือลูกน้องหรือไม่

(14 ต.ค. 67) ‘ปริญญา เทวานฤมิตรกุล’ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการดำเนินงานของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยต่อกรณี ‘พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับใน ‘คดีสลายการชุมนุมที่ตากใบ’ ใกล้จะหมดอายุความ ว่า เหตุการณ์ที่ตากใบเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และพฤษภาคม 2535 เป็นการเสียชีวิตของประชาชนจาก การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่ควรเกิดอีก เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนถูกลงโทษแต่ประการใด ซึ่งเหตุการณ์ตากใบก็ทำนองเดียวกัน 

เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วไม่มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐได้ แม้มีการให้เงินเยียวยาตอบครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บสาหัส แต่ความยุติธรรมของผู้เสียหายทั้ง 85 ชีวิต ที่ทวงถามมา 20 ปี เรื่องนี้รัฐบาลจะต้องแสดงออกอะไรบางอย่าง

เพราะหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของรัฐบาล จึงต้องกำชับเรื่องนี้เพราะเหลือเวลาอีกประมาณ 10 วันเท่านั้น แล้วรัฐบาลได้ดำเนินการเรื่องนี้ได้ตามความคาดหมายของประชาชนหรือไม่ สิ่งสำคัญคือเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของพล.อ.พิศาล โดยในส่วนการขึ้นศาลอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่หน้าที่ของรัฐบาลซึ่งมีอำนาจในการสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใคร เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้มีผู้เสียชีวิตนั้นรถคันแรกซึ่งขนมวลชนมาก็เห็นแล้วว่า มีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้น แต่จนกระทั่งคันสุดท้ายในการขนมวลชนกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากแต่กลับไม่สามารถดำเนินคดีเอาผิดผู้กระทำได้

"ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติมีนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นผู้บัญชา พึงกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการออกหมายแดง ประสานงานกับตำรวจประเทศอื่น ใน 10 วันนี้ถ้าหากรัฐบาลไม่ทำอะไรออกมา ตามที่ควรจะเป็นตามความคาดหวังของประชาชน หลัง 25 ต.ค.นี้จะเป็นเรื่องที่กระทบกับรัฐบาลได้ เพราะปล่อยให้อายุความขาดไปโดยไม่ทำอะไร จะจับตัวได้หรือไม่ เอามาขึ้นศาลได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่รัฐบาลต้องแสดงออกว่า ได้กระทำเต็มที่แล้ว หาไม่แล้วเรื่องนี้จะถูกมองทันที และจะนำไปโยงกับกรณีของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย ว่ามีเจตนาในการช่วยเหลือลูกน้อง หรือช่วยเพื่อนหรือไม่ ดังนั้นควรแสดงออกว่ารัฐบาลได้ดำเนินการในสิ่งที่ควรกระทำแล้ว" ปริญญา กล่าว 

เมื่อถามว่า ‘สมคิด เชื้อคง’ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่าการกระทำของพล.อ.พิศาลเป็นความผิดส่วนตัว มองเรื่องนี้อย่างไร ปริญญากล่าวว่า เรื่องการต้องข้อหาและต้องขึ้นศาลนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เนื่องจากพล.อ.พิศาล เป็นสส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคเพื่อไทย จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น ทางพรรคเพื่อไทยควรมีการตอบคำถาม ว่าจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยเป็นพรรครัฐบาลและอยู่ในช่วงของการสร้างผลงาน หลายเรื่องก็เห็นผลงานขึ้นมา ขณะนี้คะแนนนิยมของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกฯ ก็ดีขึ้น ถ้าเรื่องนี้ไม่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาจะถูกมองทันทีว่าเป็นการช่วยผู้ต้องหา ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีของรัฐบาล

จริงๆ ระยะเวลาที่เหลืออยู่ 10 วันนั้นเป็นเรื่องยากทีจะได้ตัวมาขึ้นศาล แต่สิ่งที่คนรอดูมากกว่าคือท่าทีของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย

ส่วนกรณีที่วันพรุ่งนี้ (15 ต.ค.67) พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมเพื่อขับ พล.อ.พิศาล ออกจากพรรค ถือเป็นการรับผิดชอบที่เพียงพอหรือเป็นแค่การเขวี้ยงงูให้พ้นคอหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า คงต้องรอดูท่าทีว่าพรรคเพื่อไทยจะมีมติอย่างไร ถ้าพูดอย่างไม่อ้อมค้อมพล.อ.พิศาลคงยากที่จะกลับมาทำงานทางการเมืองแล้ว เพราะถ้าลาหยุดการทำหน้าที่ของสส. จากกรณีถูกคดีสั่งฟ้อง เหมือนว่าตั้งใจที่จะหลบออกไปก่อนเพื่อรอให้คดีความหมดอายุ การกลับมาอีกครั้งหลังจากนี้ก็จะถูกตั้งคำถาม ว่าเป็น สส. แล้วทำไมถึงไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการรยุติธรรม ซึ่งศาลมีหมายเรียกก็ไม่มา จนกระทั่งออกหมายจับ เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการต่อสู้คดีแต่กลับเลือกที่จะหนี ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่พักจะต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร

เมื่อถามว่าในทางกฎหมาย พอจะมีทางที่จะยืดอายุความออกไปได้อีกหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า กฎหมายอาญาของไทยคดี ที่ทำให้มีคนเสียชีวิตจะมีอายุความ 20 ปี และจะขาดอายุความเมื่อ 1) ไม่ได้มีการฟ้องต่อศาลแต่ตรงนี้ก็ทำแล้ว ศาลรับฟ้องแล้ว 2) การเอาตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย ขึ้นศาลซึ่งส่วนนี้ทำให้มีการหลบออกไปให้พ้น วันที่ 25 ต.ค.2567 เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้น ครบ 20 ปีทำให้ในทางกฎหมายอาญา เท่ากับขาดอายุความ ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทางกฎหมายแต่เป็นคำถามใหญ่ๆ ว่า จากนี้ไปประเทศไทยจะเอาอย่างไร เมื่อมีเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทำให้ประชาชนเสียชีวิตเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องแสดงออกอะไรบางอย่าง จะปล่อยให้อายุความขาดไปเฉยๆ โดยบอกแต่เพียงว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล เกรงว่าหลัง 25 ต.ค.ไปแล้วผลเสียหายหรือว่าคำถามจะกลับมาที่พรรคเพื่อไทย

เมื่อถามว่าแปลว่าท่าทีหรือการดำเนินการของรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยยังไม่มีความชัดเจน พอที่จะนำตัวพล.อ.พิศาลกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า จริงๆ แล้วคงพูดไม่ได้ว่าจริงใจหรือไม่จริงใจ เขาอาจจะเข้าใจ จริงๆ ก็ได้ว่านี่เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ในฐานะอาจารย์ทางด้านกฎหมาย ก็ชี้ให้เห็นว่าพล.อ.พิศาล มีหมายเรียกให้มาขึ้นศาล การปฏิเสธหมายเรียกก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว พอไม่มาก็ออกหมายจับนี่จึงเป็นหน้าที่ที่จะต้องมาปรากฏตัว เพราะตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมายไทยถือว่าท่านยังบริสุทธิ์อยู่ แต่ที่ท่านหลบหนีอยู่ขณะนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีแปลว่าท่านมีอำนาจที่ทำอะไรบางอย่างซึ่งตนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง แต่คนมีความคาดหวังและหลัง 25 ต.ค.ผ่านไปแล้วอายุความขาด โดยที่รัฐบาลดูจะจริงจังน้อยไปบ้าง ผลเสียก็จะกลับมาที่รัฐบาลเอง

เมื่อถามย้ำว่าการที่ ไม่ทำอะไรที่เพียงพอเท่ากับเป็นการช่วยเหลือหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า ก็อาจจะถูกมองอย่างนั้นได้ ส่วนจะถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ แพทองธาร อาจจะถูกมองเช่นนี้ได้เช่นกัน 

‘อ.เพิ่มศักดิ์’ ฟาดใส่ ‘งานวิจัยที่บิดเบือน’ ชี้!! ‘กองทัพไทย’ คือ ‘ฝ่ายปกป้อง’ สงครามที่แท้จริง!! ไม่ใช่รบกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่ต้องต่อสู้กับความยากจน

(14 ต.ค. 67) ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้วิพากษ์วิจารณ์หนังสือ ‘ในนามความมั่นคงภายใน การแทรกซึมของกองทัพไทย’ ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ โดยได้ แสดงความคิดเห็นในรายการ ‘อิสรภาพแห่งความคิด กับ.. สำราญ รอดเพชร’ ทางช่อง Thaipost โดยมีใจความว่า …

หนังสือ ‘ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย’ นั้น มันมีปัญหาในเรื่องของกรอบทฤษฎีที่มันไม่ตรงกับแนวคิดเรื่องความมั่นคง และการวิจัยมันก็ไม่ได้มีความสมเหตุสมผล จากกระบวนการได้มาซึ่งความรู้

เรื่องของในนามของความมั่นคงภายใน ก็คือการแทรกซึมสังคมของกองทัพ ก็คือว่าถ้าเราเป็นฝ่ายซ้ายเนี่ย เราก็จะมองว่ากองทัพเป็นปฏิปักษ์ต่อชีวิตของเราใช่ไหม ทีนี้ถ้าเราย้อนกลับไปในทางรัฐศาสตร์ก็ต้องย้อนกลับไปต้องนานมาก 

สมัยสมเด็จพระนเรศวรฯ เนี่ยเราก็จะพบว่าภัยความมั่นคง ก็คือ พม่าใช่มั้ย ทีนี้พม่ามันก็เข้าตีเราสองทาง คือเข้าตีผ่านกําลังทางการทหาร คือเอาทหารมาบุก อีกประการนึงคือมันก็ส่ง ‘เสือหมอบแมวเซา’ หรือแม้แต่กระทั่งการติดสินบนข้าราชการ อันนี้ก็คือการแทรกซึมใช่ไหม ดังนั้นเนี่ย ‘ฝ่ายกองทัพ’ ก็คือ ‘ฝ่ายปกป้อง’

ในยุคสงครามเย็น ‘อาจารย์พวงทอง’ ยกบริบทของสงครามเย็นเนี่ยมันคือการต่อสู้กันระหว่าง ‘โลกเสรี’ กับ ‘โลกคอมมิวนิสต์’ ใช่ไหมครับแล้วก็ในทางปฏิบัติสงครามเย็นเนี่ย มันคือสงครามตัวแทน ก็คือรัฐมหาอํานาจ มันไม่ทําสงครามเองมันแย่งชิงพื้นที่แล้วก็จะพบว่า สงครามตัวแทนมันทําให้รอบโลกเกิดสงครามกลางเมืองทุกที่สงครามเกาหลี บ้านเราก็สงครามอินโดจีน หรือสงครามเวียดนาม สงครามกัมพูชาในไทยก็คือสงครามระหว่างกองทัพไทย กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ดังนั้น ‘ฝ่ายกองทัพไทย’ จึงเป็น ‘ฝ่ายปกป้อง’

พคท. รอ. หรือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยรักษาพระองค์ ไม่ใช่กลุ่มมวลชนจัดตั้งของ กอ.รมน. และกองทัพตามข้อเสนอในหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ (หน้า 202) ของพวงทอง ภวัครพันธุ์

แต่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ‘พระบาทสมเด็จพระภัทรมหาราช’ ทรงแผ่พระบารมียุติความขัดแย้งในสงครามกลางเมือง (Civil War) ระหว่างประชาชนคนไทยด้วยกันเอง

ในรัชสมัยของพระองค์ ความขัดแย้งทางสังคมที่มีความรุนแรงระหว่างคนไทยด้วยกันเอง มีต้นเหตุมาจากสงครามเย็น ที่เป็นสงครามความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ ผ่านสงครามตัวแทนที่เกิดขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลกในห้วงเวลาดังกล่าว

ในประเทศไทย ความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยและ พคท. เต็มไปด้วยความรุนแรงที่แผ่ขยายออกเป็นวงกว้างทั่วประเทศ เกิดเหตุความรุนแรง การชุมนุมประท้วง การก่อความไม่สงบ จนถึงการปะทะกันด้วยอาวุธจนมีการสูญเสียทั้งสองฝ่าย 

หลังจากความพ่ายแพ้ของโลกคอมมิสต์และ พคท. เกิดนโยบาย 66/23 ที่เปิดโอกาสให้ พคท. กลับเข้ามาร่วมกันพัฒนาสังคมไทยหรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย’

เมื่อประชาชนเคยถูกผลักไส หรือมีแนวคิดที่ต่างกันกับคนในชาติอีกส่วนหนึ่งได้กลับเข้ามาใช้ชีวิตในฐานะคนไทยอีกครั้ง การส่งเสริมอาชีพ ความเป็นอยู่ และชีวิตที่ดีของ อดีตแนวร่วม พคท. ในฐานะประชาชนไทย จึงเป็นเรื่องพึงกระทำทั้งในด้านศีลธรรมและเป็นหน้าที่อันพึงกระทำของรัฐ ไม่ใช่การจัดตั้งมวลชนของรัฐตามที่พวงทองกล่าวอ้าง

ดังพระราชดำรัสของพระภัทรมหาราช ต่อข้อทูลถามใน สารคดีของบีบีซี เรื่อง ‘Soul of a Nation - The Royal Family of Thailand’ (ศูนย์รวมใจของชาติ - พระราชวงศ์ไทย) ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินยังพื้นที่เตรียมการสร้างเขื่อนตามพระราชดำริว่า โครงการหลวงนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้พระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือพวกคอมมิวนิสต์ใช่หรือไม่ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า

"ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์หรือคนผู้หนึ่งผู้ใด แต่สู้กับความอดอยากยากจน เพื่อให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้น คนที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปด้วย ทุกคนก็จะมีความสุข"

การเกิดขึ้นของ พคท. รอ. จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามพระราชปณิธานในการแก้ไขปัญหาความอดอยากยากจน โดยการจัดหาที่ดินส่งเสริมอาชีพในอนาคต ให้พวกเขากลับมาเป็นประชาชนที่มีคุณภาพเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทยตราบจนทุกวันนี้ 

พคท. จึงไม่เคยถูกทำลายให้หมดสิ้นไปเสมือนหนึ่งไม่ใช่ประชาชนคนไทยด้วยกัน แต่พวกเขาคือ ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่ทรงยุติสงครามกลางเมืองระหว่างคนไทยด้วยกันเองด้วยพระบารมี

The king armed only with his moral authority รัชกาลที่ 9 เป็นกษัตริย์ที่มีเพียงพระราชสิทธิอำนาจทางศีลธรรมเป็นอาวุธ

(14 ต.ค. 67) นิตยสารไทมส์ (Time Magazine) ได้กล่าวยกย่อง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของคนไทย   

‘อุ๊งอิ๊ง’ พาไทยผงาด ในเวทีประชุม ‘สุดยอดผู้นำอาเซียน’ ลั่น!! พร้อมเป็นเจ้าภาพ จัดประชุมแก้ปัญหา ในเมียนมา

(12 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ ‘เสียงจากใจ…ไทยคู่ฟ้า’ ทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย  สรุปภาพรวมภารกิจของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการเดินทางเยือนสปป.ลาว ในช่วงระหว่างวันที่ 8-11 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และกำลังจะมีสมาชิกใหม่คือ ติมอร์เลสเต การเดินทางครั้งนี้ มีส่วนราชการ นักธุรกิจไปร่วม การประชุมเพื่อรวมประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวม700ล้านคน จะทำให้มีพลังและอำนาจต่อรอง โดยการประชุมได้พูดคุยกรอบร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และค้ามนุษย์ น้ำท่วม หมอกควัน PM2.5 โดยในวันแรกเป็นการเยือนสปป.ลาว ในฐานะแขกของสปป.ลาว อย่างเป็นทางการ ได้รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีลาว และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลลาวอย่างสมเกียรติ และที่ประชุมหารือปัญหาสำคัญของประเทศไทย-ลาว ที่ได้ร่วมกันจับมือแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ปัญหาหมอกควันและยาเสพติดระหว่างชาติ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาแม่น้ำโขงเพื่อป้องกันอุทกภัยระหว่างกันในอนาคต

จากนั้นในวันที่ 9-11 ต.ค.นายกฯได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 44-45 และการประชุมอื่น รวมทั้งการพบปะผู้นำแต่ละชาติที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้นกว่า20การประชุม อาทิ การประชุมแบบเต็มคณะ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนอกจากนี้ยังมีการประชุมครั้งที่ 45 ซึ่งเป็นการหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน ซึ่งผลของการประชุมเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอย่างยิ่ง การประชถมอาเซียนบวกสาม

นายจิรายุ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีความหลากหลาย อาทิการประชุมสุดยอดอาเซียน - จีน ครั้งที่ 27 และการประชุมสุดยอดอาเซียน - เกาหลีใต้ ครั้งที่ 25 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียน กับเกาหลีใต้และการประชุมสุดยอดอาเซียน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 27 และการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ครั้งที่ 21 และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 19  นอกจากนี้นายกฯ ของไทย ได้หารือทวิภาคีเพื่อแนะนำตัว และสร้างความคุ้นเคยกับผู้นำ 12 ประเทศ ได้แก่ บรูไนฯ กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา รวมทั้ง  รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯและนาย Klaus Schwab ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร WEF ที่เชิญนายกรัฐมนตรีไปร่วมการประชุม WEF ที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี2568 รวมถึงพูดคุยกับนายกฯแคนาดา 

นายจิรายุ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ ถือว่าประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการนำเสนอและผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน รวมทั้งการส่งเสริมความเชื่อมโยง ซึ่งนายกฯ ได้หยิบยกเรื่องการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างกัน และการขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน 

ส่วนในหลายเวทีการประชุมและการหารือกับประเทศต่าง ๆ ไทยและประเทศคู่เจรจา ยังตอบรับที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการลักลอบค้ายาเสพติด และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การรับมือภัยพิบัติ การบริหารจัดการน้ำ และการแก้ไขปัญหาหมอกควันและ PM2.5 รวมทั้งการรับมือ การเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศจากทั้งประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจา และจะเป็นประโยชน์การส่งเสริมการกินดีอยู่ดี และความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน 

ขณะที่นายกฯกล่าวในเวทีอาเซียนวันสุดท้ายของการประชุมว่า จะส่งเสริมสันติภาพ ในภูมิภาคนี้ซึ่งในส่วนของเมียนมา ไทยเสนอตัวเป็นสถานที่จัดการประชุมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในเดือนธันวาคมปีนี้ เพื่อส่งเสริมความพยายามของอาเซียนในการช่วยกันแก้ไขปัญหาในเมียนมาโดยสันติด้วย 

นายจิรายุ กล่าวสรุปว่าการประชุมทั้ง 4 วันครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามสื่อมวลชนต่างชาติ และประเทศคู่เจรจาให้ความสำคัญกับประเทศไทย และได้นำปัญหาและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน มาพูดคุยกันจนเป็นรูปธรรมเพื่อนำไปสู่ การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของแต่ละประเทศต่อไป โดย โดยในปีหน้าประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียนครั้งที่ 46 ต่อไป

‘อัครเดช’ ตอบ ‘สนธิญาณ’ เผย พรบ.ประชามติ ยึดตามรัฐธรรมนูญ 60 ย้ำจุดยืนพรรค!! ไม่แก้ 112- คงปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โต้ข้อกล่าวหาจากสนธิญาณ ยันหลักเกณฑ์ประชามติของพรรคยึดเกณฑ์รับรองรัฐธรรมนูญปี 60 ย้ำจุดยืนพรรคไม่แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 รัฐธรรมนูญ และคงไว้ซึ่งการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด 

(11 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีนาย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ออกมาตั้งคำถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติทรยศต่อจิตวิญญาณของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาหรือไม่?

โดยนายอัครเดช เปิดเผยว่า จากการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ในชั้นวุฒิสภานั้น ได้มีการแก้ไขในสาระสำคัญให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมีออกเสียงข้างมาก 2 ชั้น คือ ได้รับความเห็นชอบเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ และเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง 

จากข้อมูลการลงประชามติรัฐธรรมนูญล่าสุดมีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 50ล้านคน ดังนั้นหากจะได้รับความเห็นชอบจากการทำประชามติจะต้องได้รับเสียงเห็นชอบจากผู้มีสิทธิไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน ซึ่งเป็นไปได้ยากหรือแทบไม่ได้เลย เพราะในการลงประชามติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 หรือ รัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกง ที่ผ่านมา มีผู้เห็นชอบ 16.8ล้านคน จากยอดผู้มาใช้สิทธิ์ลงประชามติ 29.7ล้านคน เท่านั้น

ซึ่งถ้าใช้หลักเกณฑ์ของวุฒิสภา จะต้องได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง นั่นคือ 25 ล้านเสียง จาก 50 ล้านเสียง จะเห็นว่าถ้าใช้หลักเกณฑ์วุฒิสภา รัฐธรรมนูญฉบับปี60ที่เรียกกันว่าฉบับปราบโกงก็ไม่ผ่านการเห็นชอบในการออกเสียงประชามติจากพี่น้องประชาชน

ดังนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงใช้หลักเกณฑ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิคือ 29.7 ล้านเสียง ซึ่งคำนวณออกมาแล้วคือประมาณ 15 ล้านเสียงถึงจะได้รับการรับรอง โดยในครั้งนั้นมีผู้เห็นชอบ16ล้านเสียงจึงได้รัฐธรรมนูญฉบับปี60มาซึ่งก็เป็นหลักเกณฑ์เดิมที่ใช้รับรอง รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ในสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

ดังนั้น การที่พรรครวมไทยสร้างชาติ  มีความเห็นให้ใช้เกณฑ์ตามร่างที่ผ่านการลงมติของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และจะขอเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการร่วมที่ตั้งขึ้นใหม่ที่พรรคส่งนายวิทยา แก้วภราดัยไปผลักดันประเด็นที่มีสาระสำคัญว่า จะต้องได้รับเสียงเห็นชอบมากกว่าการออกเสียงไม่ประสงค์ลงคะแนน และเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ จึงเป็นการยืนยันเจตนารมณ์เดิมของผู้มารับรองรัฐธรรมนูญในการออกเสียงประชามติในปี พ.ศ. 2560 อย่างชัดเจน

หากแก้ไขตามมติของวุฒิสภาจะทำให้การลงประชามติให้เห็นชอบเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้ในเชิงปฏิบัติ และทำประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้ อาจถึงทางตันทางการเมืองได้และอาจเกิดวิกฤติการเมืองในอนาคตได้อีกด้วย จึงขอยืนยันข้อเสนอของพรรครวมไทยสร้างชาติยังสอดคล้องกับการออกเสียงประชามติเมื่อครั้ง 'ลงประชามติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560' 

ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พรรครวมไทยสร้างชาติ จะมีพฤติกรรมดังที่นายสนธิญาณได้กล่าวหาแต่อย่างใดและถือเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมกับพรรค

และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ประกาศจุดยืนอย่างหนักแน่นและต่อเนื่อง ว่าจะต้องไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องไม่มีการแก้ไขในหมวดที่ 1 และ 2 รวมถึงต้องคงไว้ซึ่งการปราบปรามทุจริตอย่างเด็ดขาดเช่นเดิม

ตนขอยืนยันว่าพรรครวมไทยสร้างชาติยังสานต่อจิตวิญญาณและเจตนารมณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน รักษาไว้ซึ่ง 3 สถาบันหลักของชาติ  ซื่อสัตย์สุจริต และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างถึงที่สุด

'แพทองธาร' พบ 'บลิงเคน' ถก ความร่วมมือในภูมิภาค เน้นความมั่นคง – การทหาร - การค้าการลงทุน

'แพทองธาร' หารือ 'แอนโทนี บลิงเคน' รมว.ต่างประเทศ สหรัฐ พร้อมร่วมมือด้านความมั่นคง การทหาร ส่งเสริมการค้าการลงทุน เทคโนโลยีเพื่อลดความเสี่ยงภัยพิบัติ ถก ความร่วมมือระดับภูมิภาค ยุติขัดแย้ง

(11 ต.ค.67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 เวลา 17.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เข้าหารือกับนายแอนโทนี เจ. บลิงเคน (H.E. Antony J. Blinken) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 โดยนายกรัฐมนตรียืนยันเจตนาของรัฐบาลไทย ที่จะทำงานร่วมกับสหรัฐ ส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของทั้งสองประเทศที่เป็นปัญหาเร่งด่วนของประชาชน เช่น เรื่องยาเสพติด การหลอกลวงทางออนไลน์ และปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ 

ส่วนความร่วมมือ ทางด้านความมั่นคง ประเทศไทยมุ่งมั่นดำเนินการต่อไป ในความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศโดยเฉพาะการฝึกร่วม เช่น คอบร้าโกลด์ และการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันทางการทหาร และการศึกษา รวมถึงการรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ โดยไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหายาเสพติด และพร้อมที่จะเพิ่มความร่วมมือกับสหรัฐในการเพิ่มเทคโนโลยีและอุปกรณ์ ใหม่ ๆ เพื่อต่อสู้กับองค์กรค้ายาเสพติด และอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการหลอกลวงทางออนไลน์

“สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยและสหรัฐ จะร่วมกันส่งเสริมการค้า และการลงทุนให้มากขึ้นรวมทั้งความร่วมมือด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติรูปแบบต่างๆ โดยประเทศไทยจะทำงานร่วมกับสหรัฐในการเพิ่มเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญใหม่ ๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายจากภัยพิบัติ”

นายจิรายุ กล่าวว่า ทั้งสองประเทศได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในระดับภูมิภาค กับสหรัฐ ในหลายมิติ โดยประเทศไทยพร้อมเป็นสะพานเชื่อม (bridge builder) เพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในระดับภูมิภาค และระดับโลก และพร้อมให้การสนับสนุนบทบาทเชิงสร้างสรรค์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อสันติภาพ และยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ในขณะนี้ 

ทั้งนี้ สหรัฐยังเห็นถึงความสำคัญของบทบาทอาเซียน ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหรัฐอเมริการวมทั้งความสัมพันธ์ในระดับประชาชนต่อประชาชนระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาด้วย 

โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกายังได้แสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีในโอกาสดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย รวมทั้งได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้ด้วย

ยอมใจ!! ‘นักการเมืองพรรคส้ม’ ขยันสร้างเรื่องฉาว แถม ‘ไร้ความสามารถ – ขาดผลงาน’ 14 ล้านเสียงเริ่มเบือนหนี

ทำไมเรื่องฉาวโฉ่ เรื่องหลอกต้มสังคม เรื่องน่าละอาย จึงมีแต่นักการเมืองพรรคส้ม..พรรคเดียว 

แทบจะทุกวันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นข่าวของนักการเมืองแย่ ๆ ทำในเรื่องไม่ดี ๆ ที่คนอื่นไม่กล้าทำกัน สำหรับสังคมไทยก็มักจะเกิดขึ้นกับ 'นักการเมืองพรรคส้ม' พรรคเดียว ตามหน้าฟีดเฟซบุ๊กจะมีข่าวให้คนเอาไปเมาท์ไปก่นด่ากันไม่จบไม่สิ้น 

ถือเป็น 'พรรคเซเลบริตี้' ประจำสังคมไทยยุคใหม่ แต่ดังในทางเสื่อม จนสังคมเอือมระอาและเบื่อหน่าย แม้แต่คนที่เคยอยู่ใน 14 ล้านเสียง จากที่พูดคุยกับคนเหล่านี้จำนวนไม่น้อยถึงวันนี้ก็หูตาสว่างกันมากแล้ว ด้วยเรื่องแย่ ๆ เรื่องเดิมยังไม่ทันจบ กลิ่นเหม็นเน่ายังไม่ทันจางหายไปจากโซเชียล เรื่องใหม่กับนักการเมืองในพรรคคนใหม่ ก็ผลัดเปลี่ยนมาสร้างเรื่องที่น่าอับอายต่อทันที จนช่องข่าวแทบทุกค่าย ยกเว้นค่าย 'น้อยสีหัวใจแอบส้ม' นำเสนอข่าวคาว ๆ แทบไม่ทัน 

ประสาคนรักบ้านเกิด รักสังคมไทยแบบผม หรือคนไทยอีกมากมายที่เราต่างก็เสียภาษี ไม่ได้รู้สึกดีที่เรามีนักการเมืองคุณภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้ เห็นข่าวแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น พฤติกรรมแย่ ๆ ทั้งในและนอกสภา การแอบอ้าง การเอาดีเข้าตัวผลักความชั่วให้คนอื่น การสร้างภาพตบตาคนโง่ว่าตนนั้นเป็นนักการเมืองที่ดี และการได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ไม่ไกลไปกว่าเด็กมัธยมปลาย ผมรู้สึกเสียดายเงินภาษีที่ต้องไปแบ่งจ่ายให้กับนักการเมืองพรรคนี้ ถึงวันนี้ผมก็ยังมองไม่เห็นประโยชน์ หรือผลงาน ที่นักการเมืองเหล่านี้สร้างทำให้กับสังคมไทยเลยแม้แต่น้อย เพราะมีแต่เรื่องคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ หรือไม่ก็ยกเลิก 112 

คนเราเมื่อมีมาตรฐานที่ต่ำ ความคิด การกระทำ ก็ย่อมจะไม่สูง เรื่องต่ำ ๆ สกปรก เรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ก็จะเกิดขึ้นในมโนสำนึก และมักจะดึงดูดคนในมาตรฐานเดียวกันให้มาอยู่รวมกัน ถ้าจะมีข้อดี ก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ของผู้คนในสังคมไทยมากถึง 14 ล้านเสียงได้เป็นอย่างดี เพื่อให้เราสามารถคะเนได้ว่าเรามีคนไทยร่วมชาติมีความคิดกันอย่างไร แต่โชคดีที่คนที่กาเลือกพรรคนี้ไม่ได้มีสูงเกินครึ่งของจำนวนคนไทยทั้งประเทศ มิเช่นนั้นประเทศไทยของเราอาจจะยากลำบากกว่านี้ 

เพราะนอกจากเราจะมีนักการเมืองที่โง่เง่า ทำงานไม่เป็น สร้างแต่ข่าวฉาว ๆ และน่าอับอายชาวโลกรายวัน เรายังมีเพื่อนร่วมชาติที่เบาปัญญาไม่ต่างกันมาช่วยสนับสนุนให้ความชั่วนั้นเติบโต หากเป็นเช่นนั้น ประเทศไทยคงจะเกิดสงครามกลางเมืองไปนานแล้ว ผมยังเชื่อว่าคนไทยฝั่งที่เลือกจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และไม่ได้เป็น “เด็กเช็ดรองเท้าให้ตะวันตก” เหมือนพรรคการเมืองไร้ความสามารถพรรคหนึ่ง ยังมีอยู่มากล้นในผืนแผ่นดินไทย 

ผู้บริหารวอร์นเนอร์มิวสิคฯ เข้าขอโทษศาลรัฐธรรมนูญ ปมโพสต์ภาพแอปเปิลเน่าด้อยค่า ‘ตุลาการศาล รธน.’

ศาลรัฐธรรมนูญ แจงผู้บริหารบริษัทวอร์นเนอร์มิวสิคฯ เข้าขออภัยต่อคณะตุลาการแล้ว กรณีเผยแพร่รูปภาพตัดต่อและถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม กระทบต่อตุลาการศาล รธน.จะนำเหตุการณ์เป็นบทเรียนและเครื่องเตือนใจไม่ให้เกิดขึ้นอีก

(10 ต.ค.67) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ออกเอกสารข่าวเผยแพร่ ระบุว่า ผู้แทนบริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้าพบเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงความเสียใจและขออภัยต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีเผยแพร่ภาพและข้อความที่ไม่เหมาะสม ซึ่งตามที่ปรากฏข่าวเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 เพจเฟซบุ๊ก Warner Music Thailand ซึ่งเป็นบัญชีโซเชียลทางการของบริษัทดังกล่าวได้โพสต์รูปของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ดัดแปลงตัดต่อโดยใช้ผลแอปเปิลเน่าสีเขียวแทนใบหน้าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และมีถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมประกอบภาพ ต่อมาในวันที่ 11 สิงหาคม เพจ ดังกล่าวได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งได้ลบภาพกับข้อความข้างต้นออก

ซึ่งบริษัทได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้น และแสดงความเสียใจ และขออภัยในวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. โดยมี นายคาล นิทัศน์ คงขำ กรรมการ ผู้มีอำนาจของบริษัทดังกล่าวพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าพบนายสุทธิรักษ์ ทรงวิไล เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและผู้บริหารของสำนักงาน เพื่อแสดงความเสียใจและขออภัยต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางบริษัทระบุว่าจะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนและเครื่องเตือนใจเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก

‘อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี’ ผนึกกำลัง ’รวมไทยสร้างชาติ’ เสนอกฎหมาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ ปฏิรูปเครดิตบูโร

(10 ต.ค. 67) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้ริเริ่มเสนอกฎหมายเครดิตบูโรภาคประชาชน และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติยื่น 'ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ...) พ.ศ. …' หรือ 'กฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโร' 

ในการนี้ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้ริเริ่มเสนอกฎหมายเครดิตบูโรภาคประชาชนร่วมกับนาย อนุชา บูรพชัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าว  

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวว่า “ร่างกฎหมายฉบับประชาชนและร่างฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติมีเนื้อหาตรงกัน โดยมีสาระสำคัญคือ ลูกหนี้จ่ายหนี้ครบปิดบัญชี หรือ ผ่อน 6 เดือนติดต่อกันลบประวัติทันที และเปลี่ยนการแสดงผลเป็นคะแนนเครดิต (Credit Scoring) แทนการแสดงประวัติทั้งหมด รวมถึงฟรีค่าธรรมเนียมในการเช็กคะแนนเครดิตของตนเองด้วย ที่สำคัญที่สุดคือการลบประวัติผู้ที่มีประวัติเสียในเครดิตบูโรจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นทันที

โดยกฎหมายเครดิตบูโรฉบับประชาชนได้รับการสนับสนุนจากองค์กรของผู้บริโภคโดยปัจจุบันมีประชาชนร่วมลงชื่อเสนอกฎหมาย ราว 6 พันคน มาวันนี้ได้แรงหนุนจากส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติด้วย ทำให้กฎหมายเข้าสู่สภาได้เร็วขึ้นมาก 

กฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโรฉบับนี้จะเปลี่ยนโฉมการประเมินการให้สินเชื่อใหม่ ช่วยให้ประชาชนฟื้นตัวได้เร็วไม่ถูกแช่แข็ง สร้างการแข่งขันเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร และทำให้ธนาคารมีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้นในการประเมินสินเชื่ออีกด้วย โดยประชาชนสามารถมีส่วนร่วมเสนอกฎหมายได้ผ่าน เว็บไซต์ของรัฐสภา หรือ www.changeblacklist.org 

นายอนุชา บูรพชัยศรี เปิดเผยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นถึงความสำคัญของการปฏิรูประบบข้อมูลเครดิตบูโรมาโดยตลอด เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบจากการเก็บข้อมูลเครดิตบูโรไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน ซึ่งจำนวนประมาณ 50% เกิดจากความยากลำบากในการดำเนินชีวิตการประกอบธุรกิจในช่วงสถานการณ์โควิด

การปฏิรูปการจัดเก็บข้อมูลเครดิตบูโรในครั้งนี้ เป็นการให้โอกาสในการพลิกฟื้นวิถีชีวิต และการประกอบธุรกิจของประชาชน จากเดิมหากมีประวัติที่ไม่ดีถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของเครดิตบูโร ประชาชนจำนวนมากสูญเสียความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ มีความจำเป็นต้องไปใช้บริการสินเชื่อนอกระบบ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เงินกู้นอกระบบ

เงินกู้นอกระบบนี้เองที่สร้างปัญหาแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด การทวงหนี้ที่โหดร้าย 

นายอนุชา กล่าวต่ออีกว่า นอกจากการแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโรในครั้งนี้แล้ว ตนและพรรครวมไทยสร้างชาติมีความเห็นว่าจะต้องมีการดำเนินการด้านอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ดังนี้

1.ต้องมีการปรับปรุงแนวคิดของการอนุมัติสินเชื่อของประเทศไทย รวมถึงแก้ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อโดยเฉพาะในรายย่อย
2.หลักการเกี่ยวกับสินเชื่อต้องใช้มาตรฐานสากลเพื่อให้เหมาะสมกับทุก ๆ บริบท 
3.แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโรในครั้งนี้แล้ว แต่จะต้องไม่ไปสร้างความเชื่อที่ผิดโดยเฉพาะในเรื่องความจำเป็นในการมีวินัยทางการเงิน การกู้ หรือขอสินเชื่อจะต้องไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายเกินตัว และต้องป้องกันไม่ให้เกิด Moral hazard ทางการเงินโดยเฉพาะเรื่องการกู้เงินและการชำระหนี้

ถ้าดำเนินการตามสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว ตนมั่นใจว่าจะทำให้เกิดผลดีกับระบบสินเชื่อในภาพรวม และก็เป็นผลดีกับทั้งลูกหนี้ และสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากคาดว่าร่างกฎหมายเครดิตบูโรฉบับนี้จะเข้าข่ายที่เป็นกฎหมายการเงิน ดังนั้นจึงต้องผ่านการรับรองจากนายกรัฐมนตรี จึงมีขั้นตอนที่อาจจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามตนในฐานะ สส. พรรคร่วมรัฐบาล และกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร หรือ วิปรัฐบาล จะติดตามความคืบหน้าของกฎหมายฉบับนี้อย่างใกล้ชิด

“นายณัฐวุฒิ ต้องออกมาชี้แจง (เรื่องเงินบริจาค 42 ล้าน) เพราะการชุมนุมเมื่อปี 2552 ต่อเนื่องปี 2553 ณัฐวุฒิ รับผิดชอบทางการเงิน โดยผมกับพี่วีระ ยินยอมโดยดุษฎี”

'จตุพร' สาปแช่งคนเลวอมเงินบริจาคขอให้ฉิบหาย เปิดชื่อ 'ณัฐวุฒิ' ดูแลเงินม็อบปี 52-53 บี้รีบแถลงอธิบายให้สิ้นกังขาเพื่อหยุดปลุกปั่นคนอม 42 ล้าน ระบุไม่เคยยุ่งเงินม็อบ ชี้เลิกชุมนุมไม่เคยมีรายงานให้รับรู้ใช้จ่ายอะไร ลั่นให้เวลาติ่งเพื่อไทยลบโพสต์ 7 วัน ถ้าเมินเฉยเจอฟ้อง ถึงเป็นร้อยเป็นพันคดีก็จะฟ้อง

เมื่อวันที่ (9 ต.ค. 67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ระบุ 'นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ' เป็นแกนนำ นปช. มีหน้าที่ดูแลเงินบริจาคม็อบปี 52-53 ส่วนมีใครอมเงิน 42 ล้านหรือไม่ ควรออกมาอธิบายข้อเท็จจริง ให้พวกติ่งพรรคเพื่อไทยหยุดพฤติกรรมก่อกวนใส่ร้าย

นายจตุพร กล่าวว่า พวกติ่งเพื่อไทยนำคำพูดของ 'หนุ่มโคราช' มาขยายความถามถึงเงินบริจาค 42 ล้านช่วงคนเสื้อแดงชุมนุมหายไปไหน ซึ่งตนเคยบอกให้ไปถามทักษิณ ชินวัตรว่า มอบหน้าที่ให้ใครดูแล และยังบอกเป็นนัยอีกว่า ตนกับนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีต ประธาน นปช. ไม่ได้ดูแลเรื่องเงิน แต่ตลอดช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมายังถูกยัดข้อหา กล่าวร้าย รุมยำกินฟรีตนอยู่ทุกวัน

"ผมอยากบอกว่า หลายวันที่ผ่านมา นายณัฐวุฒิ ต้องออกมาชี้แจง (เรื่องเงินบริจาค 42 ล้าน) เพราะการชุมนุมเมื่อปี 2552 ต่อเนื่องปี 2553 ณัฐวุฒิ รับผิดชอบทางการเงิน โดยผมกับพี่วีระ ยินยอมโดยดุษฎี ไม่มีใครไปติดใจอะไร อีกอย่างตลอดการชุมนุมไม่เคยถามว่า ใช้จ่ายเรื่องอะไร ไม่ว่าเงินจะมาในรูปแบบใดก็ตาม และหลังการชุมนุม (ณัฐวุฒิ) ก็ไม่เคยมารายงานว่าใช้จ่ายเรื่องอะไรบ้าง ผมกับพี่วีระ ไม่เคยไปสอบถาม ข้อเท็จจริงมีอยู่เท่านี้"

นายจตุพร กล่าวว่า ถึงวันนี้พวกติ่งเพื่อไทยไปขุดเรื่องราวเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาร่วม 14 ปี แล้วแต่งเสริมเป็นนิยายว่า ตนเอาเงิน 42 ล้านไป ซึ่งตนหวังให้นายณัฐวุฒิ คนดูแลเงินได้ชี้แจงติ่งเพื่อไทยให้รับรู้ เพราะตนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเงินบริจาคด้วย แต่พวกติ่งยังเหิมเกริมอีก ดังนั้น ตนให้เวลา 7 วันลบโพสต์ต่าง ๆ ที่กล่าวหาตน ถ้าไม่ทำจะฟ้องทุกคนเป็นร้อยเป็นพันคดีก็จะทำ

"ผมหวังให้คนมีหน้าที่ดูแลเงินได้อธิบาย แต่ไม่อธิบาย ส่วนการชุมนุมปี 2557 เป็นอีกคนดูแลเรื่องเงิน ซึ่งไม่ใช่ผมอีก แต่ที่ผมจะบอกว่า ถ้าข้อมูลพวกเวรชาติชั่วพวกนี้เป็นจริง ทำไม บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยจึงไม่พูดตอบโต้ เพราะทุกคนรู้เต็มอก แล้วผมไม่เคยติดใจและยังไม่เคยสอบถามด้วยว่า ใช้อะไรไปบ้าง เพราะ (การชุมนุม) มีความตายมากขนาดนั้น จึงไม่มีอารมณ์ไปสนใจอะไรอื่น"

อีกทั้งกล่าวว่า ถึงวันนี้พวกคนอุบาทว์นำเรื่องเงิน 42 ล้านมาปั่นสนุกสนานกันใหญ่ ส่วนอีกคนหนีไปอยู่ลาว แล้วท้าตีท้าต่อยกับตน ดังนั้น ตนให้เวลา 7 วันลบโพสต์และใครยังปั่นความเท็จเรื่องเงินบริจาคจะถูกฟ้องให้หมด เพราะเรื่องอื่นวิจารณ์ตนได้ แต่เรื่องอมเงินบริจาคเป็นคนเลวที่สุด

นายจตุพร ย้ำว่า นายณัฐวุฒิ ที่มีหน้าที่ดูแลเงินบริจาคต้องออกมาชี้แจง ซึ่งไม่เกี่ยวกับตนหรือพี่วีระ แล้วยังไม่เคยสงสัยอะไร และไปเกี่ยวข้องเรื่องเงินด้วย ดังนั้น ต้องไปถามที่ปรึกษานายกฯ อย่างไรก็ตาม ถ้าแกนนำพรรคเพื่อไทยโผล่ออกมาอธิบายด้วยแล้ว ตนจะได้อธิบายให้หนักกว่านั้นอีก แม้ตนจะมีขีดเส้นไว้ว่าอะไรควรพูด ไม่ควรพูดก็ตาม

"ผมบอกได้เลยว่า คนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินบริจาคคือ ณัฐวุฒิ ไม่ใช่ผมและพี่วีระ เหตุที่ระบุชื่อพี่วีระ เพราะวันนั้น สามเกลอแทบจะเบ็ดเสร็จการชุมนุมในทางปฏิบัติ แต่เรื่องผ่านมา 14 ปี พวกชาติชั่วหนีคดีมาสร้างเรื่องเท็จปลุกปั่นใส่ร้าย โดยคนมีหน้าที่เรื่องเงินกลับไม่ออกมาอธิบายเลย"

นายจตุพร สาปแช่งคนอมเงินบริจาคช่วงชุมนุมคนเสื้อแดงว่า ขอให้ฉิบหาย อีกทั้งเรื่องนี้ตนเคยฟ้องอดีตดาราเป็นคดีหมิ่นประมาท ใส่ความเป็นตัวอย่างมาแล้วและชนะคดีในศาล นอกจากนี้ ถ้ามีข้อเท็จจริงว่า ตนอมเงินจริงแล้ว พวกแกนนำเพื่อไทยต้องเรียงหน้าออกมาถล่มตนตลอดเวลา 14 ปีที่ผ่านมาอยู่แล้ว

"พวกเขารู้กันหมดเรื่องเงินบริจาค ใครมาเบิกก็ไปที่ณัฐวุฒิคนเดียว ไม่ได้มาเบิกที่ผมเลย ซึ่งเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แต่ผ่านมา 14 ปีโยนใส่เฉยเลย แล้วผมไปยุ่งอะไร แต่คนที่รับผิดชอบกรณีชุมนุมก็มีชีวิตอยู่ทั้งนั้น ย่อมรู้ถึงการอมเงินที่เป็นเรื่องอุบาทว์ชาติชั่วนี้

นายจตุพร เรียกร้องว่า หากเรื่องราวไม่ได้เป็นตามที่ตนพูด และถ้านายณัฐวุฒิ ไม่ได้รับผิดชอบ มีหน้าที่ดูแลเงินบริจาคจากการชุมนุมแล้ว ต้องออกมาแถลงเรื่องราว โดยตนไม่ได้ใส่ร้ายอะไรใคร ดังนั้น หากเห็นว่า ไม่ใช่ให้ออกมาเถียง

“เมื่อวันนี้ พะ-นะ-ท่าน เป็นที่ปรึกษานายกฯ แล้ว ช่วยอธิบายให้พวกบรรลัย คนพวกนี้ที่ปั่นเรื่องเท็จใส่ร้ายด้วย” นายจตุพร บี้ให้นายณัฐวุฒิ ไม่ควรนิ่งเงียบ ต้องแถลงชี้แจงความจริงให้ปรากฏด้วย

‘เจือ ราชสีห์’ ยื่นหนังสือ ‘กมธ. คมนาคม วุฒิสภา’ หนุนสร้างสะพานข้ามทะเลสาบ เชื่อมสงขลา – สิงหนคร

9 (ต.ค. 67) นายเจือ ราชสีห์ ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พลังงาน เข้ายื่นหนังสือ ต่อนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. ประธานกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา เรื่องขอความอนุเคราะห์สนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เพื่อเชื่อมอำเภอสงขลากับอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา

โดยระบุว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดสงขลาและนักท่องเที่ยว ประสบกับปัญหาและความเดือดร้อน ในการข้ามฟากไป มา ระหว่างอำเภอเมืองสงขลา ไปยังอำเภอสิงหนคร ด้วยแพขนานยนต์

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณา ลักษณะทางภูมิศาสตร์จังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นเมืองที่สำคัญประกอบไปด้วย สถานศึกษา ศูนย์ราชการ และศูนย์การค้าทางเศรษฐกิจมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ แต่ไม่สามารถเดิน ทางเข้าออก ไปยังตัวเมืองสงขลาได้อย่างสะดวก เพราะเส้นทางการเดินทางมีเพียงแค่ 2 ทาง คือ เดินทางผ่าน สะพานติณสูลานนท์ มีระยะทาง 20 กิโลเมตร และการเดินทางโดยการใช้แพขนานยนต์ จากฝั่งหัวเขาแดง ไปอำเภอสิงหนคร ไปยัง อำเภอเมืองสงขลา ซึ่งปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และนักท่องเที่ยว ใช้วิธีการเดินทางด้วยแพขนานยนต์ เพื่อข้ามทะเลสาบ เนื่องจากมีระยะทางที่ใกล้กว่า สามารถลดระยะเวลาการเดินทางได้ จึงทำให้มีผู้ใช้บริการแพขนานยนต์เป็นจำนวนมากที่ต้องมารอต่อแถวเข้าคิวเพื่อซื้อตั๋ว โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนช่วงเวลาเช้าและช่วงเวลาเย็น 

ดังนั้น จึงส่งผลให้เกิดปัญหา – อุปสรรคในการเดินทางของพี่น้อง ประชาชนเป็นอย่างมาก พี่น้องประชาชนชาวสงขลาและนักท่องเที่ยวจึงมีความต้องการให้ดำเนินการก่อสร้าง สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เพื่อเชื่อมอำเภอเมืองสงขลากับอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ซึ่งโครงการดังกล่าวสามารถช่วยให้พี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว ได้รับความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางสัญจรไป-มา ประหยัดเวลา ระยะทาง และลดค่าใช้จ่ายประจำวันได้ ตลอดถึงสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสงขลาได้เป็นอย่างมาก

นายเจือ กล่าวระบุเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงได้นำส่งเรื่องมายังประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา นำเรื่องดังกล่าวบรรจุเข้าที่ประชุมคณะกรรมาธิการ พร้อมกับเชิญตนเองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท, อธิบดีกรมทางหลวง, อธิบดีกรมเจ้าท่า, ผู้ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร, ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา, นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา, โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสงขลา, นายกเทศมนตรีนครสงขลา และ นายกเทศมนตรีเมืองสิงหนคร เข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว

ทางด้านนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กล่าวว่า หากเป็นความเดือดร้อนของประชาชนหรือส่วนรวม ทางคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา ยินดีรับเรื่องไว้ และจะพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งอาจจะมีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือ จากนั้นจะรายงานให้ทราบต่อไป

‘ศาสตรา’ ให้อภัย ‘อดีตด้อมส้ม’ หลังรุดขอขมา เตือน!! อย่าหลงเป็นเหยื่อ ‘นักการเมือง’ ขยันปั้นข่าวเท็จ

(9 ต.ค. 67) นายศาสตรา ศรีปาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา เขต 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความว่า “น้องคนนี้ เคยเป็นด้อม“ สารภาพที่เคยด่าผมเสียหาย เพราะไม่รู้จัก วันนี้กลับใจแล้ว  

นายศาสตรา ระบุว่า ก่อนหน้านี้ น้องคนดังกล่าว ได้โพสต์ข้อความ หมิ่นประมาท ทำให้เสียหาย และได้ให้การตักเตือนไปทางข้อความ ด้วยความเป็นห่วงเพราะดูแล้วยังเป็นวัยรุ่นเยาวชน  

“ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ 1ปี น้องคนนี้จึงได้ติดตามผม จากการทำงานในช่องทางต่างๆ ตัดสินใจเดินทางมาหาที่บ้าน เพื่อ ขอขมา สารภาพว่า เป็นแฟนตัวยงไปแล้ว พร้อมสัญญาจะไม่ทำอีกจะคิดรอบคอบกว่านี้ ผมจึงได้บอกน้องไปว่า อย่าให้ใครโพสต์ปั่น จูงจมูกเรา อย่าเชื่อไปทุกเรื่อง เพราะนักการเมืองบางพรรคเก่ง social ถนัดสร้างข่าวปลอม จนวันนี้เยาวชนไทยเข้าใจผิด สร้างความเกลียดชังในสังคม บานปลาย ไปไกลหลายเรื่องแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง”

นายศาสตรา ย้ำว่า ที่สำคัญอย่าสร้างนิสัยให้ตัวเองเป็น “เกรียนคีย์บอร์ด” ของแท้อย่าเก่งแค่หลังจอ มีอะไรถามกันได้ตรง ๆ เพราะตนเอง ก็มาจากประชาชน ประชาชนตากแดด ไปเลือกมาเป็นตัวแทนของเขา ดังนั้น จึงต้องทำงานอย่างหนักให้คุ้มค่ากับคนที่เลือกมา ส่วนจะถูกใจ หรือไม่ถูกใจใครนั้น ตนเองก็พร้อมน้อมรับมาพัฒนาและปรับปรุง 

“ตัวผมเองประชาชนก็ต้องวิจารณ์ได้ โดนตำหนิได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย สิ่งที่ต้องระวังที่สุด คือ การหมิ่นประมาท อะไรของจริง อันไหนของปลอม นักการเมืองมีทั้งคนดี คนเลว เหมือนกับทุกอาชีพ ให้ดูเป็นรายบุคคล ข้อนี้สำคัญ” นายศาสตรา กล่าว พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า

ลูกผู้ชาย กล้าทำ - กล้ารับ 

เมื่อเห็นน้องเขาเข้าใจดีแล้ว ตนจึงให้อภัยและอยากให้เคสนี้เป็นตัวอย่างกับน้อง ๆ เยาวชน คนรุ่นใหม่ การเข้ามาศึกษาการบ้าน หาข้อมูลทางการเมือง เป็นสิ่งที่สมควรที่เราต้องทำเป็นอย่างยิ่ง แต่จำไว้ให้ดีจะต้องหาข้อมูลให้รอบด้าน และก่อนตัดสินอะไรต้องมีใจที่เป็นธรรม 

และหวังว่าเยาวชนคนไทย กำลังหลักของชาติ เมื่อเขาไปศึกษาเพิ่มได้ข้อมูลใหม่ๆ จนเขากลับใจ เมื่อสำนึกสิ่งที่ทำ แล้วสัญญาจะเก็บไว้เป็นบทเรียน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราต้องช่วยกันคืน ลูกหลาน ของเราที่น่ารัก สู่สังคมไทย ด้วยข้อมูลที่เป็นจริง 

ก่อนกลับผมจึงมอบหนังสือชื่อว่า ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ความจริงที่ถูกบิดเบือน ไปให้น้องท่านนี้อ่าน หนังสือเล่มเขียนโดย ผศ.ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เพื่อเป็นข้อมูลจริงให้เยาวชน คนหนุ่มสาว ของประเทศไทยต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top