Saturday, 5 July 2025
POLITICS NEWS

“นายกฯ ห่วงประชาชนหลังสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง สั่งด่วนทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 


มีความห่วงใยประชาชนจากสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้  ส่งผลให้อาจมีภัยอันตรายที่เกิดจากน้ำท่วมและจากพายุได้ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อม เพื่อเข้าไปดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนด้วยความเร่งด่วน อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกจะมีพายุฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและฝนตกหนักบางแห่ง และสำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงได้ จึงขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล หากมีฝนตกหนัก อาจมีปัญหาการจราจรติดขัดได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาในแต่ละพื้นที่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้รับทราบว่ามีการจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ ยานพาหนะ และเจ้าหน้าที่ให้มีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะจุดเสี่ยงที่มีน้ำท่วมขังและจุดเฝ้าระวังน้ำท่วมขัง อย่างไรก็ตาม หากมีฝนตกในปริมาณมากซึ่งอาจส่งผลให้มีน้ำท่วมขังบนผิวจราจรในบางพื้นที่ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้เตรียมจัดเจ้าหน้าที่หน่วยเบสของสำนักการระบายน้ำ และของสำนักงานเขตพื้นที่เข้าเร่งระบายน้ำเพื่อบรรเทาความดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถดำเนินการได้ 

“ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 8 - 10 พ.ค. 64  กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางแห่ง ภาคใต้มีฝนน้อยในระยะนี้ ส่วนในช่วงวันที่ 11 - 13 พ.ค. 64 ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น สำหรับภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงด้วย” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

ยก ราชกิจจาฯ “เสรีพิสุทธ์” ตรวจบ้านหลวง “นายกฯ” ต้องขออนุญาต “สำนักงานพระราชวัง” ผ่านทาง หลังราชกิจจา ประกาศโอนกำลังพล-หน่วย สังกัดหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ ปี 2562

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 จากกรณี กรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส  ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) ในฐานะประธาน จะลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม กรณีการอยู่บ้านพักรับรองในค่ายทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม

ตามที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นเรื่องให้ กมธ.ตรวจสอบตามความผิดฝ่าฝืน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 128 ที่รับผลประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท พร้อมทำหนังสือขออนุญาตจากกองทัพบกนั้น

รายงานข่าวแจ้งว่า การเดินทางไปยังบ้านพักรับรอง พล.อ.ประยุทธ์  ต้องใช้ทางผ่านเข้า-ออก กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานและเป็นพื้นที่ปิด ต้องทำหนังสือขออนุญาตไปยังสำนักพระราชวังเพื่อขอผ่านทาง  ส่วนรายละเอียดการเข้าพักบ้านหลวงของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึง ค่าน้ำ-ค่าไฟ  กองทัพบก เคยส่งข้อมูล ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และ สำนักงาน ป.ป.ช. ก่อนหน้านั้นแล้ว 

รายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2562 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชกำหนด โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562
              
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
 
โดยที่เป็นการสมควรโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์
              
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชกำหนดนี้เรียกว่า “พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562”

 มาตรา 2 พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้โอนบรรดาอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศกำหนด ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในพระองค์

มาตรา 4 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกำหนดนี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ราเมศ เผย ฝ่ายกฎหมาย นัดถก แก้ รธน เตรียมพร้อม เปิดสภา

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์  ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อเตรียมพร้อมเมื่อเปิดประชุมสภาว่า ขณะนี้อยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ช่วงที่ผ่านมา ส.ส.ทุกคนต่างลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ได้ยกร่างไว้เสร็จแล้ว จึงยังไม่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาเพื่อพูดคุยกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา คาดว่านายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิป ของพรรคจะได้มีการประสานเพื่อร่วมหารือกันต่อไป 

ในส่วนของฝ่ายกฎหมายพรรค โดยนายถวิล ไพรสณฑ์ ประธานคณะกรรมการกฎหมายได้มีการนัดประชุมทางออนไลน์ในวันพุธที่ 12 พฤษภาคมนี้เวลา 13.00 น เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับ ซึ่งมีบางฉบับที่ได้แก้ไขรายละเอียดเล็กน้อย ในร่างที่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง โดยจะให้เป็นไปเช่นเดิมคือ บุคคลที่พรรคสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เกิน 3 รายชื่อ โดยพรรคการเมืองจะไม่เสนอรายชื่อบุคคลดังกล่าวก็ได้ เพื่อเปิดให้สิทธิพรรคการเมืองดำเนินการตามที่เหมาะสม แต่บุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีร่างที่ยกร่างไว้ ต้องมาจากบัญชีพรรคการเมืองหรือ ส.ส.เท่านั้น 

ส่วนประเด็นอื่นๆทั้ง 6 ร่างยังเป็นเช่นเดิม พร้อมนำเสนอให้พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมพิจารณาในส่วนของพรรคชัดเจนว่าพร้อมผลักดันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตราอย่างเต็มที่ จึงเตรียมความพร้อมไว้เมื่อเปิดสภามาก็สามารถดำเนินการได้ในทันที

"เสกสกล" เผย ทนาย “บิ๊กตู่” เตรียมแจ้งความ "พรรคก้าวไกล" ทำเสื่อมเสีย เหตุโพสต์ภาพ “นายกฯคู่ ธรรมนัส” หลังรอดคดี แนะอย่าใช้วิชามารใส่ร้ายคนอื่น 

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่พรรคก้าวไกลโพสต์ภาพและข้อความทางเฟซบุ๊กของพรรค โดยเป็นภาพร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ คู่กับนายกรัฐมนตรี พร้อมวิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ศาลตัดสิน ว่าร.อ.ธรรมนัส ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งทุกคนต้องยอมรับ และไม่เกี่ยวข้องกับนายกฯ พรรคก้าวไกลไม่ควรนำมาเชื่อมโยงกล่าวใส่ร้ายป้ายสีนายกฯ

นายเสกสกล กล่าวว่า นายอภิวัฒน์ ขันทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และหัวหน้าทีมกฎหมายของนายกฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลและรวบรวมหลักฐาน และจะเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายกับพรรคก้าวไกล ในวันที่7 พ.ค.นี้ เวลา14.00 น. ที่สน.นางเลิ้ง ในกรณีนำภาพนายกฯมาโพสต์คู่กับ ร.อ.ธรรมนัสแล้วเขียนใส่ร้ายนายกฯนำไปโพสต์ในโชเซียล ซึ่งพรรคก้าวไกล ควรยอมรับคำตัดสินของศาลและยอมรับกติกาของบ้านเมือง ไม่ใช่มีเรื่องอะไรที่ทำให้พรรคตนเองไม่สมหวัง ไม่พอใจ ก็จะออกมาตำหนิ เมื่อเป็นพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน ควรทำเป็นตัวอย่าง แต่กลับคิดลบตลอดเวลา ซึ่งไม่ควรกระทำ 

“พรรคก้าวไกล ต้องมีจิตสำนึกทางการเมือง ไม่ควรเอานายกฯมาเกี่ยวข้อง เล่นทิ่มแทงเพื่อให้นายกฯเสียสมาธิที่จะทุ่มเททำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในภาวะวิกฤตโควิด พรรคการเมืองและนักการเมืองประเภทนี้ ไม่มีประโยชน์และไม่เป็นที่พึ่งพาของประชาชน จ้องแต่จะใส่ร้ายโจมตี สร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติประชาชน”

"ศรีสุวรรณ"ร้อง กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติว่าที่นายกเทศมนตรีช่องแค ปมเคยถูกไล่ออกจากราชการเหตุศาลสั่งจำคุกมาแล้ว

วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อให้วินิจฉัยว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลช่องแค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ เหตุพบข้อพิรุธเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนานกเทศมนตรีดังกล่าว บางรายว่าอาจมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เนื่อจากมีผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลช่องแค รายหนึ่งซึ่ง น่าจะเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตาม มาตรา50 แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 เนื่องจากในอดีตเคยรับราชการทหารอากาศ ได้เคยถูกปลดออกจากราชการ เพราะถูกศาลพิพากษาว่ากระทำความผิดอาญา ซึ่งศาลพิพากษาสั่งให้จำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี 3 เดือน โดยไม่รอลงอาญาและคดีถึงที่สุดแล้ว 
           
หลังจากนั้น จึงมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ออกจากยศทหารจากบุคคลดังกล่าวแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.50 ซึ่งเป็นวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เนื่องจากกระทรวงกลาโหมได้ปลดออกจากราชการเพราะกระทำความผิดอาญา ซึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก  

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า ดังนั้นเมื่อบุคคลดังกล่าว เคยถูกปลดออกจากราชการ เคยถูกจำคุก จึงอาจถือได้ว่าเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา50 แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 ที่บัญญัติไว้ความว่า “บุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คือ เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือ ถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ”  การที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเทศบาลตำบลช่องแค ได้ตรวจสอบคุณสมบัติและประกาศให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี และได้ออกหลักฐานการสมัครให้ด้วยนั้น ย่อมเป็นการขัดต่อกฎหมายข้างต้นและหรือขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายโดยชัดแจ้ง เพราะหลักฐานชี้ชัดว่าบุคคลดังกล่าวย่อมรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีคุณสมบัติจะลงสมัคร ดังนั้นเราจึงมาเพื่อให้กกต.วินิจฉัยเรื่องนี้ และหากใช่ก็ขอให้เพิกถอนเสีย พร้อมกับสั่งให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นโมฆะ และสั่งให้มีการเลือกตั้งตำแหน่งนายกเทศมนตรีเสียใหม่ รวมทั้งต้องดำเนินคดีเอาผิดบุคคลดังกล่าว ตาม มาตรา120 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 ต่อไป  

นฤมล ชี้ ! ดิจิทัล ทักษะรับอนาคต

วันที่ 7 พฤษภาคม 2564  ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมอภิปรายในงาน Microsoft APAC Public Sector Digital Summit-Empowering nations for a digital society ในประเด็น “สังคมและอนาคตของการทำงาน (Society and the Future of Work)” ผ่านระบบ Microsoft Teams Live งานนี้ได้รวบรวมผู้บริหารภาครัฐและผู้นำทางความคิดในอุตสาหกรรมที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เพื่อหารือเกี่ยวกับการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และจินตนาการใหม่ในการใช้ดิจิทัลเพื่อการทำงานในอนาคต 

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวอภิปรายว่า ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือกำลังแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หลายมาตรการ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ได้เน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะอาชีพไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่แรงงานในยุค New Normal รวมถึงได้ร่วมมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และสถาบันการเงินต่าง ๆ  เพื่อช่วยให้แรงงานที่ผ่านการฝึกอบรมได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ ด้วยความตั้งใจที่จะยกระดับกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ และเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานดิจิทัล รวมถึงให้ความช่วยเหลือแก่ประชากรซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ผู้ว่างงาน และผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดยดำเนินการภายใต้หลักการ “สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ”

รมช.แรงงาน กล่าวอีกว่า ทักษะด้านดิจิทัลถือเป็นทักษะแรงงานที่สำคัญสำหรับอนาคต เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีดิจิทัลและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดธุรกิจและอาชีพใหม่ ๆ ที่ต้องการการใช้ทักษะด้านดิจิทัลอย่างเร่งด่วน โดย กพร. ได้มีการจัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล (DISDA) ขึ้นมา เพื่อดูแลการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้แก่กำลังแรงงานและพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนากำลังคนให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อจัดทำหลักสูตรในการพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะด้านดิจิทัลให้แก่กำลังแรงงานทั้งระบบ 
โดยล่าสุดได้รับความร่วมมือจากบริษัท ไมโครซอฟท์ สนับสนุนองค์ความรู้ด้านทักษะเชิงดิจิทัล เพื่อช่วยยกระดับทักษะฝีมือให้แก่แรงงานไทยทั่วประเทศ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะช่วยเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน และเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างพลเมืองดิจิทัลเพื่อสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืน 

“การ Upskill Reskill และ Newskill เพื่อพัฒนากำลังคนให้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างชาญฉลาดในการประกอบอาชีพ จะทำให้เกิดการจ้างงานที่มีคุณค่าและรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกำลังคนในอุตสาหกรรมการผลิตและบริการที่จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

โฆษกรัฐบาล “ย้ำ” รัฐบาลไม่ปิดกั้นการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 โดยภาคเอกชน เสนอให้จัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่แตกต่างจากวัคซีนที่ภาครัฐนำเข้ามา และสามารถจัดส่งวัคซีนได้ทันภายในปี 2564 เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน พร้อมกำหนดค่าบริการฉีดวัคซีนฯใน รพ. เอกชน ต้องสมเหตุสม

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มี น.พ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานคณะทำงาน ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาถึงแนวทางในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 สำหรับใช้ในสถานพยาบาลของรัฐ และวัคซีนทางเลือกเพื่อนำมาให้บริการในสถานพยาบาลเอกชน โดยควรกำหนดให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าควบคุม ซึ่งสถานพยาบาลภาคเอกชนควรคัดเลือกวัคซีนโควิด-19 ทางเลือก ที่มีคุณลักษณะหรือยี่ห้อที่แตกต่างจากวัคซีนที่ภาครัฐนำเข้ามา และสามารถจัดส่งวัคซีนได้ทันภายในปี 2564  รวมทั้งในอนาคตกรณีที่มีการวิจัยและผลิตวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติม ก็สามารถนำเสนอวัคซีนทางเลือกรายการอื่นเพิ่มเติมต่อไปได้ 


นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะทำงานฯยังได้สรุปการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติมสำหรับภาครัฐ ประกอบด้วย Pfizer, Sputnik V และ Johnson & Johnson และในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของสถานพยาบาลเอกชนนั้น ที่ประชุมคณะทำงานฯมีความเห็นว่า ควรเป็นวัคซีนโควิด-19 ในรายการอื่น ๆ ที่ไม่ได้ให้บริการโดยภาครัฐและสถานพยาบาลของรัฐ เพื่อให้เป็นวัคซีนทางเลือกอย่างแท้จริง และไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับภาครัฐ เช่น Moderna, Sinopharm หรือวัคซีนอื่นที่มีการขึ้นทะเบียนต่อไปในอนาคต โดยขอให้มีการควบคุมราคาการให้บริการในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทางเลือกให้กับประชาชนในสถานพยาบาลเอกชนให้สมเหตุสมผล และมีราคาที่เหมาะสม ซึ่งที่ประชุมคณะทำงานฯได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ช่วยผลักดันให้มีบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายวัคซีนเข้ามาขึ้นทะเบียนในประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการจัดหาวัคซีนในสถานพยาบาลเอกชน นั้น องค์การเภสัชกรรมจะเป็นผู้บริหารจัดการและประสานกับบริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายวัคซีน โดยจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไม่ปลอดภัย (Product Liability) และสถานพยาบาลเอกชน/ภาคเอกชนที่ประสงค์จะนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ทางเลือก จะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องชำระเงินจองวัคซีนโควิด-19 ทางเลือกล่วงหน้าให้แก่องค์การเภสัชกรรมเต็มจำนวนมูลค่าการสั่งซื้อ (100%) รวมทั้ง จัดทำประกันสำหรับกรณีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยภาคเอกชนที่มีความประสงค์จะขอนำเข้าวัคซีนทางเลือก สามารถดำเนินการแต่งตั้งตัวแทนจากบริษัทวัคซีนต้นทางและยื่นหนังสือต่อองค์การเภสัชกรรม โดยที่ประชุมคณะทำงานฯเห็นควรมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) เพื่อดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนในการจัดหาวัคซีน ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดหาวัคซีนที่มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน

รมต.ประจำสำนัก ชวน ปชช. สวดมนต์อยู่บ้าน พร้อมกัน 11 พ.ค. นี้ - สร้างขวัญกำลังใจ สู้โควิด-19 

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่พบจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตหลายราย สร้างความวิตกกังวลแก่ประชาชน ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ตนจึงมอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์พร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติเห็นชอบกำหนดจัดพิธีดังกล่าว ขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส 

สำหรับการจัดพิธีในพื้นที่ส่วนกลาง จะจัดขึ้นที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร วัดไตรมิตรวิทยาราม เขตสัมพันธวงศ์ และ วัดพระเชตุพนวิมลมังคราราม เขตพระนคร ส่วนภูมิภาค กำหนดให้วัดในนามเขตปกครองหนต่างๆ ดังนี้ เขตปกครองหนกลาง ณ วัดพนัญเชิงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขตปกครองหนเหนือ ณ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ เขตปกครองหนตะวันออก ณ วัดพระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร และ เขตปกครองหนใต้ ณ วัดกระพังสุรินทร์ จังหวัดตรัง ในส่วนของวัดอื่นทั่วไปและวัดไทยในต่างประเทศให้พิจารณาจัดพิธีตามความเหมาะสม

นายอนุชา กล่าวว่า การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ครั้งนี้ เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชน รวมถึงเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติ ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกคนเผชิญอยู่ อาจทำให้เกิดความเครียด การสวดมนต์ ทำสมาธิจะช่วยทำให้จิตใจสงบมากขึ้น โดยขอให้ทุกคนมีสติ ใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มอลให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันเพื่อก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ โดยประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมพิธี ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่วัด ขอให้ติดตามการถ่ายทอดสดทางช่อง NBT และร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ไปพร้อมกันผ่านทางหน้าจอทีวีอยู่ที่บ้าน ลดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19

"ณัฐชา" จี้ "ตรีนุช" เร่งเบิกจ่ายงบครุภัณฑ์ 2.7 พันล้าน ให้ทันก่อนเปิดภาคเรียนปี 64

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคก้าวไกล​ กล่าวถึงความคืบหน้าหลังได้รับการร้องเรียนจากโรงเรียนหลายแห่งในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัดที่ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอนจำนวนมาก ซึ่งกำลังรอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดสรรงบประมาณดังกล่าวให้กับโรงเรียนเพื่อให้ทันต่อการเปิดภาคเรียนประจำปี 2564 ว่า สพฐ. ได้รับการจัดสรรงบครุภัณฑ์การศึกษาประจำปี ตาม พรบ.งบประมาณ 2564 ที่จำเป็นต่อการเรียนการสอนของนักเรียนให้กับโรงเรียนนั้น ตนได้ตรวจสอบงบประมาณที่ สพฐ. ได้รับเฉพาะครุภัณฑ์ จึงอยากถามไปยัง น.ส.ตรีนุช  เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ว่าเหตุใดจึงไม่เร่งรัดจัดสรรงบประมาณจำนวน 2,700 กว่าล้านบาทให้โรงเรียนที่รอคอยอุปกรณ์การสอน โดยขณะนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 8 เดือนแล้ว อีก 4 เดือนก็สิ้นปีงบประมาณ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็ได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโควิด-19

“ในฐานะผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน จะติดตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดและก็จะทำหนังสือทวงถามถึงน.ส.ตรีนุช และพล.อ.ประยุทธ์ ให้เร่งรัดจัดสรรงบประมาณที่เป็นภาษีอากรของพี่น้องประชาชนเพื่อมาดูแลบุตรหลานของพวกเขาให้มีอุปกรณ์การเรียนการสอน เด็กนักเรียนรออุปกรณ์การเรียนเหล่านี้อยู่” นายณัฐชา กล่าว

เพจไทยคู่ฟ้า ตีปี๊ปข่าวดี! ไทยได้สิทธิผลิตยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 เพจไทยคู่ฟ้าเผยแพร่ข้อมูลข่าวดี! ไทยได้สิทธิผลิตยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว
โดยมีเนื้อหาระบุว่า “อันที่จริงประเทศไทยมีเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่ที่ผ่านมาต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะติดปัญหาเรื่องสิทธิในการผลิต 

ล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญามีคำสั่งปฏิเสธคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรยาฟาวิพิราเวียร์ ด้วยเหตุผลที่ว่าคำยื่นขอสิทธิบัตรของบริษัทที่ยื่นขอเข้ามานั้น "ไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น"

ทำให้ปัจจุบันไม่มีผู้ใดมีสิทธิผูกขาดในยาชนิดนี้ ทั้งในโครงสร้างสารออกฤทธิ์หลัก ซึ่งไม่เคยมีการขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทย และรูปแบบยาเม็ด 

ดังนั้น หากองค์การเภสัชกรรมหรือบริษัทยาสามัญไทยรายอื่นต้องการจะผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อใช้ในประเทศก็สามารถทำได้

ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมได้ประสานสั่งซื้อวัตถุดิบสำหรับผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ไว้แล้ว 5 แหล่ง จากประเทศจีน 1 แหล่ง อินเดีย 4 แหล่ง ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีมาตรฐานและผู้ผลิตยาทั่วโลกใช้วัตถุดิบจากแหล่งต่าง ๆเหล่านี้ 

#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top