Sunday, 6 July 2025
POLITICS NEWS

ศาลยังไม่ตัดสินคดีใบแดง ‘มุกดาวรรณ’ แต่ไต่สวนเสร็จแล้ว รอนัดอ่านคำพิพากษา

(29 ม.ค. 68) ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับ ‘มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 พรรคภูมิใจไทย ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ให้ใบแดง และศาลประทับรับฟ้อง พร้อมกับต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่

แต่วันนี้มีข่าวอื้ออึงไปทั่วเมืองนคร ว่า ศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษา ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าวออกมาจากบ้านฝ่ายผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง (ฝ่ายคัดค้าน) ก็นั่งสงบ และข้อเท็จจริง คือศาลยังไม่นัดอ่านคำพิพากษา ยังอยู่ในขั้นตอนการไต่สวนพยานฝ่ายค้าน (ผู้ถูกร้อง)

โดยศาลฎีกาออกประกาศนัดไต่สวนพยานคดีใบแดง ‘มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ สส.นครศรีฯพรรคภูมิใจไทย ฝั่ง ผู้ร้อง – คัดค้าน รวม  9 ครั้ง  23 ธ.ค. 67  สุดท้าย 29 ม.ค.68

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ศาลฎีกาได้ออกประกาศ แจ้งวันนัดพิจารณา คดีเลือกตั้งหมายเลขที่ ลต สส 5/2567  ระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  ผู้ร้อง  นางมุกดาวรรณ เลื่องสีนิล  (สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 พรรคภูมิใจไทย)  ผู้คัดค้าน เรื่อง ขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และเรียกค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้ง  ศาลฎีกามีคำสั่งให้ไต่สวนพยานผู้ร้อง วันที่ 23 -25 ธ.ค.2567, 20-21 ม.ค.2567, 27 ม.ค.2567  นัดไต่สวนพยานผู้คัดค้าน วันที่ 27-29 ม.ค.2567 รวมทั้งสิ้น 9 ครั้ง (ดูประกาศ)

ก่อนหน้านี้ศาลฎีกามีคำสั่งนัดตรวจพยานหลักฐานคดีนี้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ต่อมา วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ศาลฎีกาออกประกาศเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานเป็นวันที่ 17 ก.ย.2567  

สำหรับคดีนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนางมุกดาวรรณ เลื่องศรีนิล สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 พรรคภูมิใจไทย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.มาตรา 138 และมาตรา 139 ศาลฎีกาได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยเมื่อวันที่ 5 ก.ค.2567 จึงมีผลให้นางมุกดาวรรณ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา  คดีนี้ เป็นกรณีถูกร้องเรื่องการแจกเงินไปลงคะแนนให้ตัวเอง หัวละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 25,000 บาท และเรื่องการแจกเงินให้ไปฟังการปราศรัย

คดีของนางมุกดาวรรณ ถือเป็นคดีแรกที่ กกต.แจกใบแดงให้ สส.จึงเป็นคดีที่สังคมติดตามความคืบหน้ากันมาก อันจะเป็นการพิสูจน์ผลงานของ กกต.ด้วยกับคำร้องค้านผลการเลือกตั้งมากมายถึง 72 เขตเลือกตั้ง

ที่สำคัญถ้าศาลฎีกาให้ใบแดงมุกดาวรรณจริง นอกจากเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้งแล้ว ยังจะต้องชดใช้ค่าจัดการเลือกตั้งใหม่เป็นเงินหลายล้านบาทแล้ว และในการเลือกตั้งซ่อม ก็จะเป็นสนามที่ต่อสู้กันดุเดือด เข้มข้นแน่นอน เพราะจะเป็นสนามพิสูจน์ฝีมือนักการเมืองระดับหัวทั้งสองสามขั้ว

‘ธนาธร’ รับเสียใจ ‘ก้าวไกล’ อดร่วมรัฐบาลเพื่อไทย เชื่อถ้าได้เป็นรัฐบาล ประเทศไทยดีกว่านี้แน่

เมื่อวันที่ (29 ม.ค. 68) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ 'รายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ' ในหลากหลายประเด็น ช่วงหนึ่งเขาถูกถามถึงพรรคเพื่อไทยและการจับมือจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา

"ดูหลังผมสิครับ มีดปักเต็มเลย ไม่กล้านั่งพิงเลย ยังเจ็บอยู่ทุกวันนี้เลยครับ"

สรยุทธ สุทัศนะจินดา ถามว่า คุณถูกแทงข้างหลังเหรอครับ ?

"ก็ดูมีดสิครับ เต็มเลย"

เมื่อ สรยุทธ ถามถึงเรื่องที่ 'ทักษิณ ชินวัตร' เคยเตือน บอกให้ใจเย็น ๆ ธนาธร ยืนยันเราใจเย็นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่คิดจะทุบทุกอย่างภายในวันนี้ ค่อย ๆ ทำ พิถีพิถันในกระบวนการไปทีละขั้นตอน แต่เสนอปลายทางข้างหน้า แต่ไม่ใช่ปะผุแบบนี้ไม่ได้

เมื่อถูกถามว่าเป็นดีลฮ่องกง ใช่หรือไม่ 'ธนาธร' ยอมรับว่าใช่ เมื่อถามต่อว่า วันนั้นที่ไปคุยคิดจะร่วมกันไหม เขายืนยันว่า "ตอนนั้นแตกแล้ว"

"พวกเราเสียใจมากจริงๆ วันนั้นที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย" ยืนยันมาตลอดว่า หลังปี 66 ถ้าก้าวไกลได้ร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย ประเทศไทยจะดีกว่านี้

นายธนาธร ย้ำว่ายังยืนยันความคิดเดิม ถ้า 2 พรรคร่วมกัน เราพาประเทศไทยไปได้ไกลกว่านี้

"ผมกล้าพูดเหมือนกันว่าในประเทศไทย ไม่มีใครเสียใจกว่าผมแน่ ๆ เสียใจที่เราไม่มีโอกาสไปพัฒนาประเทศ ผมเชื่อว่า มันมีทั้งพลังของเพื่อไทยและก้าวไกล ณ วันนั้น ที่จะผนวกกันเพื่อพาประเทศไทยไปข้างหน้าได้ ผมเสียดายโอกาสตรงนี้มาก"

เมื่อ สรยุทธ ถามว่า เกิดจุดเปลี่ยนยังไงที่ทำให้ไม่ได้จับมือกัน 'ธนาธร' เผยว่าทุกคนรู้ดีว่า วาระหลัก ๆ มันไม่ใช่เรื่องการพัฒนาประเทศ แต่เป็นวาระเรื่องพาคุณทักษิณกลับบ้าน ย้ำอีกครั้งว่า พอไปเกิดดีลแบบนี้ทำให้การแก้ปัญหาที่โครงสร้างมันเป็นไปไม่ได้เลย

ส่วนเหตุผลที่ไปฮ่องกง แม้จะรู้แล้วว่าการจับมือเป็นไปไม่ได้แล้ว ธนาธร ระบุว่า "บางเรื่องยังพูดไม่ได้" เมื่อเกษียณทางการเมือง พูดคุยกับ 'ปิยบุตร แสงกนกกุล' ว่าจะเขียนหนังสือสักเล่ม

เมื่อถามอีกว่า จากนี้ไปจะสามารถร่วมงานกับ พรรคเพื่อไทยได้หรือไม่

ธนาธร ตอบว่า ต้องถาม ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกอย่างเดินมาถึงจุดนี้ เลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนต้องคว้า สส.ให้ได้มากกว่า 250 ที่นั่ง

"เอาหลังพิงประชาชน ถามว่าเขาจะเดินไปกับเราหรือเปล่า"

'นิพิฏฐ์' สะกิด 'อภิสิทธิ์' อย่าเพิ่มกำลังให้ศัตรู หลังเตรียมไปพัทลุงหาเสียง นายกอบจ. ให้คู่แข่งพรรค ปชป.

(28 ม.ค.68) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง โพสต์เฟซบุ๊กข้อความว่า ศึกนี้ผมไม่รบ ทราบว่า พรุ่งนี้ ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมาปราศรัยให้ผู้สมัครนายกฯอบจ.ท่านหนึ่ง ที่จ.พัทลุง

ท่านอภิสิทธิ์ ก็ทราบแล้วว่าผมทราบเรื่องนี้แล้ว และท่านก็ท่านทราบแล้วว่าผมคงจะเสียใจ เพราะผมอยากให้ท่านเป็นกลาง ทุกคนสมัครอิสระ ให้คนพัทลุงเขาแข่งขันกันเองดีกว่า มีคนโทรไปห้ามท่านแล้วแต่ท่านก็จะมา ผมไม่โกรธท่านหรอก ใจผมเลยจุดนั้นไปนานแล้ว ผมเคารพการตัดสินใจของท่าน แต่ท่านคงลืมอะไรไป 3-4 เรื่อง

1.ผู้สมัครนายกอบจ. ที่ท่านจะมาช่วยปราศรัยนั้น เขาลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว และ ไปขอสมัครลงในนามพรรคประชาชน แต่พรรคประชาชนไม่รับ เขาจึงลาออกจากพรรคประชาชน แล้วมาสมัครอิสระ แต่ความจริงไม่อิสระหรอก มีพรรคการเมืองหนึ่งเป็น 'อีแอบ' หนุนหลังอยู่ และประกาศว่าจะทำการเมืองสีขาว ถ้าพรรคนี้ทำการเมืองสีขาว แล้วคนพัทลุงยังเชื่ออีกก็น่าหัวเราะล่ะ

2.ท่านอภิสิทธิ์ ไม่ควรมาหรอก แม้ท่านประกาศว่า บัดนี้ ท่านไม่สังกัดพรรคใด ๆ แล้ว และท่านประกาศจะสังกัดพรรคเดียวเท่านั้น คือ ประชาธิปัตย์ แต่อย่าลืมว่า พัทลุงมีสส.ประชาธิปัตย์ 2 คน ถ้าท่านมาปราศรัยก็เท่ากับท่านเพิ่มกำลังให้กับพรรคหนึ่ง ซึ่งเคยต่อสู้กันมาอย่างหนักหน่วง แล้วน้อง ๆ ที่เขาเป็นสส.ประชาธิปัตย์ เขาจะรู้สึกอย่างไร

3.เชื่อผมเถอะ วันที่ท่านอภิสิทธิ์ มาปรากฏกายที่พัทลุง ท่านจะถูกห้อมล้อมด้วยคนจากพรรคอื่น ซึ่งเคยต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่มีคนประชาธิปัตย์ห้อมล้อมให้กำลังใจท่าน ดอกกุหลาบ หรือดอกไม้ที่ยื่นให้ท่านมาจากมือของคนที่ไม่เคยหยิบยื่นให้ท่านเลย เสียงตะโกนเชียร์มาจากปากของคนที่เคยก่นด่าท่าน คนที่รักท่านต่างหลั่งน้ำตา ด้วยความเสียใจ

4.ผมเข้มแข็งพอที่จะไม่น้อยใจ ผมกรำศึกแบบนี้มายาวนาน ผมเคยเป็นขุนพลข้างกายท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ ณ เวลานี้ สิ่งที่ผมต่างจากอดีตแม่ทัพของผม คือ “ผมไม่เพิ่มกำลังให้ศัตรู” ผมไม่ทรยศอดีตแม่ทัพ แต่ศึกครั้งนี้ ผมไม่ชักกระบี่สู้ตามแม่ทัพ

ศิลปินนักร้อง จำพวกเกลียด 112 จ้องล้มเจ้า ถึงคราวตัวเองฟ้องหมิ่นทันที - แถมใช้เพลงพระราชนิพนธ์หากิน

(28 ม.ค. 68) ข่าวโด่งดังในสังคมไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน คงหนีไม่พ้นประเด็นศิลปินนักร้องชายชื่อดัง “แอบคบชู้” จนนำไปสู่การฟ้องร้อง และถึงแม้ฝ่ายถูกฟ้องจะยอมความพร้อมชดใช้ค่าเสียหายในที่สุด แต่เรื่องราวเชิงลึกกลับไม่จบลงแค่นั้น เพราะมีประเด็น 112 โผล่ขึ้นมากลาง “สนามรักสนามแค้น” 

สำหรับสังคมไทย คนเป็นศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียง แค่ถูกจับได้ว่า “นอกใจภรรยา” ก็สร้างความมัวหมองให้กับอาชีพของตนเองได้แล้ว แต่หากสืบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือมีแนวคิด “ล้มล้างสถาบัน” ก็ย่อมจะถูกสังคมไทยต่อต้าน ก่นด่า และเลิกติดตามสนับสนุน ชีวิตอาจจะดับมืดลงทันทีถ้าชื่อเสียงและบารมีไม่แข็งแรงพอ ด้วยสถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ สมควรต้องปกปักรักษาเอาไว้ 

หากมองย้อนกลับไปในอดีต เราจะเห็นว่าศิลปินนักร้องไทยยุคสมัยก่อน จะรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนืออื่นใด จึงไม่ค่อยมีประเด็นที่ศิลปินนักร้องเข้าไปเฉียดใกล้คดี 112 ให้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของตัวเองต้องมีตำหนิ ซึ่งผิดกับศิลปินนักร้องจำนวนไม่น้อยในยุคสมัยนี้ นอกจากจะไม่จงรักภักดี ไม่คิดว่าการที่ประเทศไทยอยู่อย่างมั่นคงมาได้ยาวนานส่วนสำคัญก็เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังไปสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวคิดล้มล้างสถาบัน หรือไม่ก็แอบติฉินนินทาด้วยภาษาหยาบ ๆ คาย ๆ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ จนบางคนเข้าข่ายผิด 112 

สังคมไทยเรียกขาน “ศิลปินนักร้องล้มเจ้า” เหล่านี้ว่า “นักร้องสามกีบ” มีพฤติกรรมเด่นคือ ชอบแอบด่า แอบกัดเซาะ แสดงตนดูหมิ่นสถาบัน แต่พอจะถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีหมิ่นประมาทที่มีไว้ปกป้องพระมหากษัตริย์ ก็เที่ยวโห่ร้องตะโกนว่า 112 เป็นภัยต่อสังคม เป็นคดีทางการเมือง ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองใช้มาตรานี้มารังแกตนเอง 

ทางกลับกัน พอถูกใครมาดูหมิ่น เหยียดหยาม ก่นด่า หรือใส่ร้ายตนเองบ้าง ก็เที่ยวไปฟ้องร้องดำเนินคดีคน ๆ นั้นในข้อหา “หมิ่นประมาท” ทันที พฤติกรรมเช่นนี้จึงดูย้อนแย้ง เอาแต่ได้ และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจที่สุด ยังไม่นับที่นักร้องบางคนออกตัวว่า “เกลียดเจ้า” แต่กลับนำ “บทเพลงพระราชนิพนธ์” ไปร้องเพื่อทำมาหากิน เจอนักร้องแบบนี้ที่ไหน อย่าไปสนับสนุนให้เสียเวลาชีวิตเลย 

มันเป็นได้แค่ “ขี้กากมนุษย์” ไร้หลักการ ไร้อุดมคติ ไร้ความนับถือใด ๆ แม้แต่ตัวเอง 

‘ชัยวุฒิ’ แนะ รบ.ลองขึ้นรถไฟฟรีดูว่าทำให้ฝุ่นหายไปหรือไม่ ชี้ ควรคุมเข้มมาตรการลดการเผาอ้อย - ข้าวโพด

เมื่อวันที่ (27 ม.ค. 68) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงแนวทางที่รัฐบาลให้ประชาชนใช้รถไฟฟ้า และรถโดยสารได้ฟรี ลดการใช้รถยนต์ เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ในระยะเวลา 7 วัน ใช้งบ 140 ล้าน ว่า ให้ลองขึ้นรถไฟฟรีดูว่าทำให้ฝุ่นหายไปหรือไม่ หรือทำให้ตนเองหายคัดจมูกหรือไม่

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า คนที่ใช้รถส่วนตัวอยู่แล้วก็คงใช้เหมือนเดิม เพราะคนที่เดินทางโดยรถไฟฟ้าได้ ก็เพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าขึ้นลงได้สะดวก ส่วนคนที่ต้องใช้รถยนต์ก็เพราะเขามาขึ้นรถไฟฟ้าไม่สะดวก ตนเองมองว่า ให้ขึ้นรถไฟฟ้าฟรีก็คงไม่มีผลกับการลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนได้เท่าไหร่ เหมือนกับแก้ปัญหาไม่ถูกจุดและไม่ใช่ประเด็น

“พรรค พปชร. จะมีมาตราการในเรื่องการควบคุมการเผาอ้อย เผาข้าวโพด ซึ่งปัจจุบันมีเยอะมาก ซึ่งมาตราการที่เราอยากผลักดันมากที่สุดก็คือทางภาษี จำกัดการนำเข้าและเรื่องภาษีในการเผา ถ้ามีการเผาก็จะมีบทลงโทษในเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นมาตราการลดการเผา” นายชัยวุฒิ กล่าว

‘สกลธี’ ยก ‘ปักกิ่งโมเดล’ เป็นแนวทางแก้ปัญหาฝุ่นพิษ ชี้ ต้องทำทันที พร้อมมีแผนงานชัดเจน – เข้มงวด – ต่อเนื่อง

(27 ม.ค. 68) นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ว่า ปักกิ่งโมเดล 

ช่วงนี้เมื่อสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 รุนแรงมากโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองใหญ่ หลายท่านอาจจะเคยได้ยินการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 แบบ “ปักกิ่งโมเดล” แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ผมจะเล่าคร่าวๆ ให้ฟังครับว่าก่อนหน้านี้กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนเคยประสบปัญหา PM 2.5 อย่างรุนแรงพอๆ กับกรุงเทพฯ ช่วงนี้ แต่ทางเมือง + รัฐบาล ได้มีแผนและเริ่มบังคับใช้อย่างจริงจังประมาณช่วงปี ค.ศ 2013 เชื่อไหมครับว่าใช้เวลา 4-5 ปี พอหลังปี ค.ศ . 2017 ค่าฝุ่น PM 2.5 เริ่มลดลงได้ถึงประมาณ 35 % และยังเข้มงวดกวดขันอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เค้าไม่ได้ทำแค่ 1-2 ปีครับ ช่วงแรกที่เริ่มจะเห็นผลใช้เวลา 4-5 ปี และมีแผนระยะยาวพร้อมกวดขันและเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นเค้าก็รู้เหมือนเราแหละครับว่าสาเหตุของฝุ่น PM 2.5 มาจากอะไรเป็นหลัก คือ การเผา มลพิษอุตสาหกรรม การสันดาปของเครื่องยนต์เมื่อการจราจรติดขัด แต่ที่ต่างคือมีการวางแผนและบังคับใช้อย่างเข้มงวดสไตล์พี่จีนครับ 

หลายท่านที่เคยไปปักกิ่งจะทราบครับว่าปักกิ่งก็คล้ายๆ กรุงเทพฯ คือมีโรงงานอุตสาหกรรมทั้งในเขตกรุงปักกิ่งเองและวงรอบนอก แต่ที่ยิ่งกว่าเราคือเค้ามีโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งหนักกว่าเราอีกครับ เค้าทำยังไงครับ ??? ก็ปิดเลยสิครับ โรงไฟฟ้าถ่านหิน 4 แห่งทยอยปิดใน 4 ปี ปิดโรงงานก่อมลพิษหลายร้อยโรง โรงงานที่ยังเหลืออีกหลายพันโรงต้องปรับปรุงให้ผ่านมาตรฐานไม่ปล่อยมลพิษถึงจะอยู่ได้

ยังไม่พอครับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กรุงปักกิ่งเพิ่มสวนสาธารณะกว่า 30 แห่ง ทำให้ปัจจุบันประชาชนปักกิ่งมีค่าเฉลี่ยพื้นที่สีเขียว 1 คน ประมาณ 17 ตร.ม. (ในขณะที่คนกรุงเทพฯ ประมาณ 7 ตร.ม.) และยังคงมีแผนเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาลและกรุงปักกิ่งยังได้ทยอยเปลี่ยนรถโดยสารประจำทาง รถแท็กซี่ และรถที่เป็นของหน่วยงานราชการเป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด (EV) และเพิ่มโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุมทั่วถึงสร้างความสะดวกสบายและเข้าถึงง่ายให้ประชาชน

ส่วนเรื่องเผา สไตล์จีนเรื่องเข้มงวดไม่เป็นสองรอใครอยู่แล้วครับ มีการดำเนินการกวดขันและจับกุมอย่างเข้มงวดจริงจัง มีการตั้งตำรวจสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเพื่อดูแลในเรื่องนี้

ในเรื่องของการจราจร มีการใช้ทั้งการควบคุมมลพิษจากรถยนต์โดยการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า EV และผลักดันสถานีชาร์จใช้ครอบคลุมเมืองอย่างทั่วถึง รวมถึงการเน้นขนส่งทางรางและทางน้ำมากขึ้น (ซึ่งอันนี้ของเราผมงงมากเพราะผู้บริหาร กทม. ชุดปัจจุบันพยายามเลิกและผลักภาระในส่วนนี้ไปให้รัฐบาลทำแทน ) 

หรือเข้มขนาดที่ว่ากำหนดวันใช้รถเลขคู่เลขคี่ ซึ่งอันนี้บ้านเราคัดค้านกันมากแต่ถ้าถึงเวลาจำเป็นก็ต้องทำครับ นี่ยังไม่นับการเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจรเป็นระบบอัจฉริยะใช้ AI ทำให้การปล่อยสัญญาณจราจรลื่นไหลไม่ตามอำเภอใจของมนุษย์ 

จะเห็นได้ว่าเมืองปักกิ่งและรัฐบาลจีนได้ใช้ทุกกระบวนท่า ในการที่จะทำให้ค่าฝุ่น PM 2.5 ลดลงอย่างจริงจัง ที่สำคัญที่สุดคือเค้ามีแผนและเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง โดยใช้เวลาหลายปีถึงจะดีขึ้น แต่ของเราแค่มาแอคชั่นกันตามฤดูกาลพอฝุ่นหมดก็จบกัน 

เห็นด้วยครับว่าเรื่องฝุ่นต้องเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกหน่วยงานทั้งท้องถิ่นและส่วนกลางต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่น เช่น กทม. กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง…แต่ต้อง “ทำเลย” ครับ อย่ารอให้ถึงปีหน้า แล้วมาบ้ากันอีกที

‘อัครเดช’ ขอบคุณ!! ทุกความไว้วางใจ ส่งให้ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ขึ้นเบอร์ 1 ยัน!! ทำงานต่อไป สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง รักษาผลประโยชน์ของประเทศ

(26 ม.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่านที่ร่วมสนับสนุนให้กับพรรค ส่งผลให้ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ประจำปี 2568 โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับเงินอุดหนุนมาเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนเงิน 17,934,107.84 บาท (สิบเจ็ดล้านเก้าแสนสามหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยเจ็ดบาทแปดสิบสี่สตางค์)

โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย สส. และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกคน ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้ร่วมอุดหนุนภาษีให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งแสดงถึงความไว้วางใจ, ความเชื่อมั่น และความศรัทธาที่มีต่อพรรค โดยพรรคจะมุ่งมั่นทำหน้าที่ทั้งในส่วนของ สส. ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติในสภาผู้แทนราษฎร และในส่วนของรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายบริหาร อย่างสุดกำลังเต็มความสามารถ รวมทั้งจะพัฒนาพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เติบโตเข้มแข็ง เป็นที่มุ่งหวัง พึ่งพาของพ่อแม่พี่น้องประชาชนต่อไป ที่สำคัญพรรคจะขอยืนหยัดรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติและพ่อแม่พี่น้องคนไทยทุกคน โดยเฉพาะในส่วนของพลังงานและอุตสาหกรรมไทยที่พรรคมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลหลักในรัฐบาล

นายอัครเดช ย้ำว่า จากสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า พี่น้องประชาชนได้ให้ความเชื่อมั่นและเชื่อใจพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งในส่วนของการทำงานในด้านพลังงานและอุตสาหกรรม รวมถึงบทบาทของ สส. ในสภา ที่ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการทำงานผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ เช่น ร่าง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต หรือพ.ร.บ.สุรารวมไทย ที่ช่วยทลายทุนผูกขาด, ร่าง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า ที่มุ่งปกป้องผู้บริโภคและผู้ประกอบการชาวไทย พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ที่จะสร้างการศึกษาที่ตอบโจทย์ พื้นที่ ผู้ประกอบการ และผู้เรียน และร่างกฎหมายอื่นๆ ที่กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

“พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกคนที่ให้การสนับสนุนพรรค และขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องมาร่วมเป็นนายทุนให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ผ่านการอุดหนุนเงินภาษีประจำปีของตนเองให้กับพรรคด้วยการกรอกรหัส 229 ได้สูงสุดคนละไม่เกิน 500 บาท เพื่อให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีกำลังใจและมีเงินอุดหนุนที่มากขึ้น เพื่อนำเงินอุดหนุนเหล่านี้ไปสร้างเครือข่ายสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อมาทำประโยชน์ต่อประเทศชาติและคนไทย และเพื่อพัฒนาพรรคให้เข้มแข็ง เป็นเสาหลักที่พึ่งพิง และเข้าไปในสภาฯเพื่อสู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่องให้กับคนไทยทุกคนต่อไป” นายอัครเดช ระบุทิ้งท้าย

‘เอกนัฏ’ ขอบคุณทุกการสนับสนุน ส่งให้!! ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ได้อันดับ 1 พรรคที่ได้เงินอุดหนุนมากที่สุด ยัน!! มุ่งมั่นทำงานเพื่อปชช.

(26 ม.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวขอบคุณพ่อแม่พี่น้องและสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกคน ที่ได้ร่วมสนับสนุน ร่วมให้กำลังใจ และร่วมยืนหยัดเคียงข้างกับพรรครวมไทยสร้างชาติ จนทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง มาเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนเงินกว่า 17,934,107.84 ล้านบาท(สิบเจ็ดล้านเก้าแสนสามหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยเจ็ดบาทแปดสิบสี่สตางค์) ทั้งพรรคยังมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัด

นายเอกนัฏ ระบุต่อว่า ตนเองขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ในทุกช่องทาง ซึ่งตนเองได้อ่านทุกข้อความ และขอยืนยันว่าจะมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาประเทศชาติและเพื่อประโยชน์ของพ่อแม่พี่น้องคนไทยทุกคน โดยในกระทรวงอุตสาหกรรม ตนเองมีทีมการเมืองที่หนักแน่นเข้มแข็ง และมีข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ต้องขอขอบคุณข้าราชการทุกคนที่ช่วยกันขับเคลื่อนงานตามนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ อย่างมุ่งมั่น

ทั้งการ ‘รื้อ’...อุตสาหกรรมเถื่อนที่ทำผิดกฎหมาย ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ผลิตของด้อยคุณภาพ ทำธุรกิจอย่างไร้ความรับผิดชอบและทำร้ายชีวิตคนไทยและเศรษฐกิจประเทศไทย

‘ลด’...มลภาวะ ผ่านการออกมาตรการลดการเผาอ้อย, การติดตั้งอุปกรณ์ CEMS เพื่อมอนิเตอร์และลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศ

‘ปลด’...ล็อคข้อจำกัดทางกฎหมาย ขั้นตอนที่เป็นภาระกับผู้ประกอบการ เริ่มต้นด้วยการยกเลิกการขออนุญาตโรงงาน(รง.4) สำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ตามต่อด้วยการออกร่างพระราชบัญญัติโซลาร์ และร่างพระราชบัญญัติโรงงาน

‘สร้าง’...อุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ เพิ่มมูลค่า จัดระบบให้สะดวก สะอาด โปร่งใส ด้วยกติกาที่มีมาตรฐาน และการร่างพระราชบัญญัติจัดการกากอุตสาหกรรมใหม่ ตั้งกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน ช่วยธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ไทยให้ปรับตัวสู่ความยั่งยืนได้

"ตนเองต้องขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องและสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ทุกคนที่ช่วยกันขับเคลื่อนงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ จนทำให้คะแนนนิยมพรรคเพิ่มขึ้น และล่าสุดได้เป็นพรรคที่ได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองมากที่สุดเป็นอันดับ 1" นาย เอกนัฏ ระบุทิ้งท้าย

‘สาธิต’ โต้!! ‘พิธา’ ในฐานะอดีตรมช.สาธารณสุข และตัวแทนชาวระยอง ชี้!! อย่าวิจารณ์ด้อยค่าความเป็นจริง เพราะปล่อยให้อารมณ์ อยู่เหนือสติ

เมื่อวานนี้ (25 ม.ค. 68) นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความโต้กลับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เกี่ยวกับการอ้าง!! เคลมผลงานของคนระยอง เป็นของพรรคตัวเอง ในการมาปราศรัย ช่วยผู้สมัครนายกฯ อบจ.ระยอง ของพรรคประชาชน โดยได้ระบุว่า …

คุณ พิธา อยู่ระยองวันนี้ครับ

ผมอยากให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน(วัคซีน)ความเชื่อ ความหลงใหล และอารมณ์ที่อยู่เหนือ สติ สิ่งที่เขาด้อยค่า ด่า วิจารณ์ กับความเป็นจริงที่ผมทำ ที่ผ่านมาแล้วครับ 

ส่วนจะตัดสินใจ อย่างไรก็เป็นสิทธิ โดยแท้จริงของทุกท่านอีกนั้นแหละครับ

นายหัวไทร ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ประเมินแล้ว ขอฟันธง!! เขียนชื่อแปะข้างฝาได้เลย ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ นายกฯ อบจ.สงขลา

(26 ม.ค. 68) เข้าสู่โค้งสุดท้าย ถ้าเป็นมวยก็ยกฟ้าปลายๆแล้วสำหรับศึกชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.สงขลา ที่มีคนหาญกล้าลงชิงมากถึง 9 คนที่ถือเป็นประวัติการณ์ที่มีคนลงสมัครมากถึงขนาดนี้

เกมเดินมาถึงยกสุดท้ายแล้วสำหรับศึกชิงนายกฯ อบจ.สงขลา เริ่มเห็นเค้าเห็นลางว่า ใครจะเดินเข้าสู่ชัยชนะ ใครจะตกสวรรค์บ้าง

สำหรับ #นายหัวไทร ที่เฝ้าติดตามข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง หลังสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งเดินทางลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ก็พอประเมินออกว่า ใครจะเข้าวิน

วินาทีฟันธงได้เลยครับว่า ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เด็กบ้านปะโอ อ.สิงหนคร น่าจะได้รับความไว้วางใจจากชาวสงขลาให้เป็นนายกฯอบจ.คนต่อไป ต่อจาก ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ ที่ตัดสินใจไม่ไปต่อ

ไม่ใช่นั่งชี้นอนชี้แต่มีเหตุผลในการฟันธง ประการแรก คือความพร้อมของสุพิศเอง ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจสูงมากในการเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลาบ้านเกิด ยอมเสียสละหน้าที่ราชการในตำแหน่งอธิบดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ไต่เต้าจาก ซี 1 จนได้ ซี 10 กับอายุราชการที่ยังมีอีกหลายปี โอกาสคว้าเก้าอี้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ยังมีอยู่ แต่สุพิศ ก้าวกระโดดออกมาเสี่ยงลงชิงเก้าอี้นายกฯ อบจ.

ประการต่อมาสุพิศมีความพร้อมด้านทุนทรัพย์ ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรับช่วงต่อมาจากพ่อ ได้ทำงานรับเหมาใหญ่หลายงาน ทั้งงานในกรมชลประทาน และงานอื่นๆ จนถือว่าเป็นคนร่ำรวยคนหนึ่งของสงขลา

ประการที่สาม ด้วยหน้าที่การงาน และฐานะ ยอมสร้างบารมีขึ้นมาได้ เป็นที่ยอมรับของแวดวงราชการ และธุรกิจ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับการมีบริวารแวดล้อม เครือข่ายมากมายที่พร้อมสนับสนุนผลักดัน

ประการที่สี่ ต้องยอมรับความจริงว่า สุพิศลงสมัครได้รับการสนับสนุนด้วยดีจาก ‘นายกฯชาย เดชอิศม์ ขาวทอง’ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ รมช.สาธารณะสุข แม้จะอยู่ห่างๆสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่เป็นการห่างในเชิงยุทธวิธี เช่นเดียวกับ ‘พี่จ่า-นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีต รมช.มหาดไทย อดีตนายกฯอบจ.สงขลา ที่รักษาระยะห่าง แต่การเมืองมันกรี๊งกร้างกันได้ แต่มีสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ออกหน้าในพื้นที่อยู่แล้ว

ประการที่ห้า นโยบายบางอย่างถือว่าโดดเด่นในการสร้างเมือง เช่น ถนน อบจ.ต้องไม่เป็นหลุมเป็นบ่อแม้แต่หลุมเดียว และต้องชื่นชมในการหยิบนโยบายบางเรื่องของนายกฯไพเจนมาทำต่อ สานต่อ เมื่อเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดี เช่น พลิกนาร้างเป็นสวนปาล์ม เป็นต้น

แม้อาจจะขัดใจอยู่บ้างในช่วงแรกสำหรับการใช้สื่อโซเชี่ยลหาเสียงเข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เข้าใจว่าเป็นช่วงการปรับตัว แต่ช่วงหลังใช้สื่อมากขึ้น กระแสดีขึ้น

สำหรับผู้สมัครคนอื่นๆ ผมเชื่อตาม ‘นิด้าโพล’

นิด้าโพล สำรวจพบ ‘สุพิศ’ มีคะแนนนิยมสูงสุด ตามด้วย ‘นิรันดร์’ นายกฯแบบมาอันดับ 3

นิด้าโพลทำการสำรวจความคิดเห็นของชาวสงขลาต่อการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.) ซึ่งมีผู้ลงสมัครมากถึง 9 คน

ผลการสำรวจพบว่า ชาวสงขลา 26.36% เชื่อว่านายสุพิศ พิทักษ์ธรรม จากกลุ่มสงขลาพลังใหม่น่าจะมีโอกาสได้รับเลือก ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่าทุกคน

ตามด้วยนายนิรันดร์ จินดานาค จากพรรคประชาชน 16.44% ซึ่งห่างจากนายสุพิศถึง 10%

นายประสงค์ บริรักษ์ นายกแบน จากทีมสงขลาเข้มแข็ง ได้แค่ 14.13%

ส่วนคนอื่นๆคะแนนอยู่ที่ 1-5% เท่านั้น แต่ยังมีอึก 25.54% ที่ยังไม่ตัดใจว่าจะเลือกใคร

วันนี้วันที่ 19 แล้ว มีเวลาเหลือสำหรับการหาเสียงแค่ 12 วัน เพราะจะมีการหย่อนบัตรลงคะแนนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง กินขนมเชื่อก่อนได้เลยว่า นายสุพิศน่าจะได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ อบจ.สงขลา เว้นเสียแต่ว่า นายสุพิศสดุดขาตัวเอง ซึ่งในทางการเมืองวันเดียวก็มีโอกาสพลิกได้ ถ้าผิดพลาด กระแสจะไปเร็วมาก

ในสถานการณ์นี้นายสุพิศต้องประคองสถานการณ์ให้ได้ รักษาระดับเอาไว้ และสร้างกระแสดีดตัวเองให้พุ่งนำไว้เรื่อยๆ จนถึงวันหย่อนบัตร ก็เรียก ‘นายกฯ สุพิศ’ไว้ก่อนได้เลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top