Saturday, 5 July 2025
POLITICS NEWS

‘พรรคสามนิ้ว’ มีพฤติกรรมยกเลิก 112 และคิดล้มล้างการปกครอง เห็นเจตนาชัดเจน!! ถึงการเป็น ‘พรรคการเมืองอันตราย’

(24 ก.พ. 68) พรรคการเมืองพรรคหนึ่งในสังคมไทย เที่ยวโฆษณาบอกผู้คนว่า “เป็นคนรุ่นใหม่” เข้ามาเพื่อที่จะให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น จะไม่มีพฤติกรรมโกงกิน คอรัปชั่น หรือมีนิสัยเลว ๆ เหมือนที่นักการเมืองรุ่นเก่าในอดีตเคยทำไว้อย่างแน่นอน 

ใครเลือกเราเข้ามา ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม

ใช่ครับ ตั้งแต่มีพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่พรรคนี้เข้าสภามา ประเทศไทยในสายตาของผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึก “ไม่เหมือนเดิม” จริง ๆ เพราะมันแย่ลงมาก เสื่อมทรามลงอย่างเห็นได้ชัด เด็กวัยรุ่นก้าวร้าวมากขึ้น ไหว้ผู้ใหญ่ไม่เป็น มีทัศนคติในการใช้ชีวิตที่บิดเบี้ยว ไม่รู้จักบุญคุณคน ลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ ใช้ชีวิตแบบแหกกฎระเบียบข้อบังคับของสังคม ถือดีว่าตัวตนนั้นจะทำสิ่งใดก็ได้แบบไร้ขอบเขต ที่สำคัญมีแนวคิดที่ชิงชังสถาบันกษัตริย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนผืนแผ่นดินไทย นึกจะจาบจ้วงล่วงละเมิดก็กระทำกันตาม ๆ กันมา มีการ “ชูสามนิ้ว” เป็นสัญลักษณ์สะท้อนกลุ่มก้อนที่มีแนวคิดเดียวกัน ว่าข้านี่แหละเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ต้องการให้มีสถาบันกษัตริย์ หรืออยากให้มีการ “ล้มล้างการปกครอง” แบบเดิม ๆ ให้หมดหายไปจากประเทศไทย

ตลอดหลายปีที่ “พรรคการเมืองสามนิ้ว” เข้ามา “กินเงินเดือน” จากภาษีของประชาชน กลับใช้เล่ห์เพทุบายหลอกใช้เด็กให้กระทำการผิดกฎหมาย 112 จำนวนมาก หลายคนต้องหนีลี้ภัยไปต่างประเทศ จำนวนไม่น้อยก็ต้องติดคุก หมดอนาคตลงนับจากนั้น

ภาพลักษณ์การเป็น “พรรคการเมืองสามนิ้ว” ที่แสดงความกลิ้งกลอก หลอกใช้เด็กให้กระทำการจาบจ้วงสถาบันแทน ถือเป็น “พรรคการเมืองที่โหดร้าย” ไร้ความจริงใจต่อเพื่อนมนุษย์ หลอกทุกคนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นพรรคการเมืองที่แอบดีลกับตะวันตก หวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในแผ่นดินชาติของตนเอง 

นักการเมืองภายในพรรค ยังแยกกันไปเผยเจตนา “ยกเลิก 112” ผ่านการโพสต์ข้อความ และในการชุมนุมสาธารณะนับครั้งไม่ถ้วน มีหลักฐานเป็นภาพข่าวพร้อมข้อความ และคลิปวิดีโอมากมาย เห็นชัดถึง “เจตนาร้าย” ต่อสถาบันกษัตริย์ไทย ซ้ำยังนำการยกเลิกมาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ทั้งหมดคือพฤติกรรมของ “กลุ่มคนอันตราย” ที่แฝงตัวมาในคราบนักการเมืองในสภา 

ปล่อย “พรรคสามนิ้ว” ไว้ “ประเทศไทย” จะไม่ดีเหมือนเดิม 

สมุทรปราการ-ลุยแล้ว!! ชัยรัชต์พงษ์ ผู้สมัครหมายเลข 3 ลงพื้นที่หาเสียงชุมชนหลังวัดหนามแดง ประชาชนจำนวนมากให้การต้อนรับ

นายชัยรัชต์พงษ์ กุลรัตนจินดา หรือเฮียน้อย ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 พร้อมด้วยคณะสมาชิกในนามกลุ่มบางแก้วรวมพลัง

ลงพื้นที่หาเสียงภายในชุมชนหลังวัดหนามแดง ต.บางแก้ว อ.บางพลี สมุทรปราการ โดยมี นางสาวพัชรากร กุลรัตนจินดา หรือปลัดพัช สตรีอาสาพัฒนาบางแก้ว ร่วมลงพื้นที่ช่วยหาเสียงในครั้งนี้

พร้อมทั้งเดินชู้ป้าย แจกแผ่นพับแนะนำตัวผู้สมัคร และชูนโยบายในการบริหารงานและแผนพัฒนาการขับเคลื่อนท้องถิ่นของกลุ่มบางแก้วรวมพลัง ในสโลแกน โปร่งใส เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา 

โดยทางด้าน นายชัยรัชต์พงษ์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 กล่าวว่า ตนเองได้มีโอกาสลงพื้นที่มาพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชน ภายในชุมชนหลังวัดหนามแดงเพื่อขอคะแนนเสียงเข้าไปพัฒนาบริหารงานท้องถิ่น กับ 11 นโยบายเปลี่ยนบางแก้วให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ 1 ศูนย์พิทักษ์เมืองบางแก้ว ปลอดภัย 24 ชม. 2 โรงพยาบาลบางแก้วและศูนย์ฟื้นฟูผู้สูงอายุ 3 โรงพยาบาลสัตว์บางแก้ว 4 ศูนย์สร้างอาชีพเพื่อผู้สูงอายุสตรีและผู้ด้อยโอกาส 5 ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังน้ำท่วม 6 ซ่อมแซมบ้านผู้ยากไร้

7 สำนักทะเบียนราษฎร์เทศบาลเมืองบางแก้ว 8 การพัฒนาด้านการศึกษา 9 นวัตกรรมการจัดการขยะสู่เมืองสะอาดไร้ขยะตกค้าง 10 การบริการสาธารณะ และ 11 การพัฒนาการจัดการเมือง (Smart City) นอกจากนี้ กลุ่มบางแก้วรวมพลังยังมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและพร้อมเข้ามาบริหารงานท้องถิ่นพัฒนาเมืองบางแก้วให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้ กลุ่มบางแก้วรวมพลัง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากพี่น้องประชาชนชุมชนหลังวัดหนามแดงและอวยพรขอให้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้

ทั้งนี้ขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนพี่น้องประชาชน และเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป อย่าลืมออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว ในวันอาทิตย์ ที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2568 ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น ณ. หน่วยเลือกตั้งที่ท่านมีรายชื่ออยู่

‘ลอรี่ พงศ์พล’ แจง!! การขนย้ายกากพิษ ‘วินโพรเสส’ เป็นผลงาน ‘รมว.เอกนัฏ’ พร้อมแบ่งปัน!! หาก ‘สส.ฝ่ายค้าน’ ต้องการเคลม แค่ให้เป็นประโยชน์กับปชช.

(24 ก.พ. 68) จากกรณีการอ้างถึงการขนย้ายอลูมิเนียมดรอสในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นที่พูดถึงในโซเชียลมีเดีย ว่าเป็นผลงานของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ สส.ฝ่ายค้านในพื้นที่ ตามที่มีการกล่าวอ้างนั้น นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด เพื่อคุมเข้มและติดตามการขนย้ายตะกรันอลูมิเนียมหรืออลูมิเนียมดรอส ล็อตแรกทั้ง 7,000 ตัน ในทุกขั้นตอน 

โดยได้เริ่มขนย้ายเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา นำไปบำบัดกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการโดยบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี 
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้อำนาจทางกฎหมายตามอำนาจศาลเบิกเงินประกันของโรงงาน จำนวน 4 ล้านบาท มาดำเนินการขนย้ายอลูมิเนียมดรอส จำนวน 7,000 ตัน ซึ่งปัจจุบันมีการขนย้ายไปแล้วกว่า 4,600 ตัน และมีแผนระยะยาว โดยจะดำเนินการของบกลาง จำนวน 40 ล้าน เพื่อขนย้ายกรดพิษอื่นๆ อีกกว่า 23,000 ตันออกจากพื้นที่ให้ครบถ้วน 

 "การแก้ไขมหากาพย์กากอุตสาหกรรม ที่วินโพรเสสที่ยืดเยื้อมายาวนานเป็นสิบปี ทำให้คลี่คลายในเวลาแค่ 5 เดือนแรก หลังจาก รมว.เอกนัฏ เข้ามารับช่วงตำแหน่ง ย่อมสะท้อนการขับเคลื่อนโดยภาครัฐที่เอาจริงเอาจัง ซึ่งประชาชนนั้นคงจะทราบดี ซึ่งไม่ว่า สส. ฝ่ายค้านในพื้นที่ ต้องการเคลมอ้างถึงการลงมาจัดการขนกากดังกล่าว ทางกระทรวงอุตสาหกรรมไม่มีปัญหา แค่ให้ผลลัพธ์เป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่มากที่สุด การบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์สามารถเข้ามาพบปะหารือกันได้ แต่การนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมต่างๆ ควรนำเสนอข้อมูลบนพื้นฐานขั้นตอนอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดกระแสความไม่พอใจได้ 

ซึ่งหาก สส. ฝ่ายค้านในพื้นที่ท่านใด อยากมีส่วนร่วมในการทำงานในหลายๆจังหวัดที่กระทรวงอุตสาหกรรม ลงไปพังทุนสีเทา ปราบสินค้าไม่ได้มาตรฐานปราบโรงงานเถื่อน ก็สามารถแจ้งมากับ ทีมชุดตรวจการสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรมได้เสมอ" นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

‘อังคณา’ ถาม!! ‘ทักษิณ’ ขออภัยตากใบ แล้วจะคืน ศพคนถูกอุ้มฆ่าไหม ย้ำ!! ต้องการ ความจริง ความยุติธรรม ต้อง ‘นำตัวคนผิดมาลงโทษ’ ให้ได้

(24 ก.พ. 68) จากกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาประธานอาเซียน กล่าว “ขออภัย” ต่อเหตุการณ์สลายชุมนุมที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี เมื่อปี 2547 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ รวมถึงสูญหายจำนวนมาก ระหว่างการลงพื้นที่ชายแดนใต้ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์

ช่วงเย็นวันเดียวกัน (23 กุมภาพันธ์) ที่บ้านศรียะลา จ.ยะลา นายทักษิณกล่าว “ขออภัย” ต่อโศกนาฏกรรมปี 2547 อีกครั้งว่า วันนี้บอกกับ จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานีแล้ว อยากจะบอกพี่น้องมุสลิมชาวยะลาว่าตอนช่วงผมเป็นนายกฯผมมีความตั้งใจอยากแก้ปัญหา แน่นอนว่าคนทำงานมีผิด มีพลาดบ้าง หากมีผิด มีพลาด หรือมีสิ่งไหนที่พี่น้องชาวมุสลิม ซึ่งเป็นคนรักสันติสุขและรู้จักให้อภัยกัน ผมก็ขออภัยด้วยที่อาจทำอะไรผิดพลาดไปในอดีต แต่ต้องให้รู้ว่าไม่มีความคิดที่เลวร้าย ตั้งใจ แต่อาจจะไม่ถูกใจ หรือผิดพลาดบ้าง ก็ขออภัยด้วย และขออวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมที่กำลังจะเข้าสู่เดือนรอมฎอนมีแต่ความสุข ได้บรรลุในสิ่งที่ท่านอยากทำตามพระเจ้าในช่วงเดือนรอมฎอน ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า

ขณะที่ นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ระบุถึงเรื่องนี้ว่า ขออภัยตากใบ แล้วจะคืนศพคนที่ถูกอุ้มฆ่าให้ญาติไหม จะคืนความเป็นธรรมโดยนำคนผิดมาลงโทษไหม หรือแค่ขอโทษตอนหมดอายุความ #การบังคับสูญหายไม่มีอายุความ สิ่งที่เหยื่อต้องการคือ #ความจริงและความยุติธรรม

‘ทักษิณ’ ลงใต้!! ‘วันนอร์’ ไหว้สวย รอต้อนรับ บาดลึกไปถึงขั้วหัวใจ คนสามจังหวัดชายแดนใต้

(24 ก.พ. 68) เสียงระเบิดดังสนั่นสนามบินนราธิวาส ก่อน ทักษิณ ชินวัตร ลงเครื่องเพียงไม่กี่นาที และภายในอาคารสนามบินก็มี “วันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนอยู่ในนั้นด้วย เพื่อรอรับการมาเยือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบ 20 ปีของทักษิณ

ต้องยอมรับความจริงว่า ไฟใต้รอบใหม่เกิดจากน้ำลายของทักษิณ ที่พ่นออกมาช่วงเป็นนายกรัฐมนตรี ”โจรกระจอกแค่ 20 กว่าคน“

คำว่าโจรกระจอก หมายถึงคนที่ไม่ได้มีจุดยืน หรืออุดมการณ์อะไร ไม่ใช่กลุ่มคนที่มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน ผู้นำได้ข้อมูลที่ผิดพลาด นำมาสู่การตัดสินใจในเชิงนโยบายผิดพลาด และก่อปัญหาใหญ่

ทักษิณได้ข้อมูลผิดพลาด นำมาสู่การตัดสินใจยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) หน่วยงานด้านการพัฒนา จิตวิทยามวลชน ยุบ พ.ต.ท.43 กองกำลังผสมพลเรือน ทหาร ตำรวจ ที่มีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

4 มกราคม 2547 เสียงปืน เสียงระเบิดแผดก้องขึ้นกับปฏิบัติการ”ปล้นปืน“ในค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเสียงปืน เสียงระเบิดไม่เคยเงียบหาย 20 ปีเต็ม กับงบประมาณ 3 แสนล้านที่ต้องสูญเสียไป รวมถึงเลือดเนื้อ ชีวิต ทรัพย์สิน การสูญเสียโอกาส สูญเสียผู้นำครอบครัว มีผู้บาดเจ็บพิการเกิดขึ้นมากมาย บ้างต้องอพยพครอบครัวหนีเอาตัวรอดไปปักหลักทำมาหากินในจังหวัดอื่น

นี้คือผลงานที่ทักษิณเอื้อนเอ่ยแค่คำว่า ”ขออภัย“ แต่น้ำเสียงคนในสามจังหวัดภาคใต้ต้องการให้ทักษิณ ”ขอโทษ“ โดยเฉพาะความประมาทเลินเล่อของเหตุการณ์ตากใบ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 80 คน

20 ปีผ่านไป บาดแผลในใจของพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังหยั่งลึก ร้าวรานใจยิ่งนัก แม้ทักษิณจะยังเรียกหาสันติสุขด้วยความมั่นใจในการจับมือกับมาเลเซีย และความร่วมมือของคนในพื้นที่ ความสงบสุข สันติสุขจะเกิดขึ้นในไม่ช้าแค่ปีสองปีนี้

แต่คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คงจะร้าวรานใจยิ่งนักกับภาพที่ปรากฏ ”วันนอร์“ ซึ่งเป็นบุคคลที่พี่น้องมุสลิมนับถือเป็นตัวแทนของพระเจ้า กลับไปต้อนรับ ยกมือไหว้ทักษิณ ซึ่งน่าจะไม่เหมาะสมยิ่งนัก เพราะวันนอร์แบกตำแหน่งประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎรไปด้วย หรือน้ำตาของวันนอร์ได้เหือดแห้งไปแล้ว หลังได้รับตำแหน่ง แต่น้ำตาของพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังนองหน้ากับเหตุการณ์ที่ทักษิณก่อไว้ มันบาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ

ยิ่งเห็นภาพวันนอร์ไปยืนต้อนรับและยกมือไหว้ทักษิณมันยิ่งปวดลึก เช้าวันนี้วงน้ำชากาแฟในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดใกล้เคียงคงจะคุยกันถึงเรื่องนี้เป็นแน่แท้ แม้ทักษิณจะบินกลับมานอนกลับฝันดี แต่เชื่อว่า คนของพรรคประชาชาติหลายคนคงนอนฝันร้าย เมื่อหลับฝันถึงภาพล้มสบายของพรรคประชาชาติกับปรากฏการณ์ ‘ไหว้ทักษิณ’ ในวันนี้

สลับภาพกลับไปในวันที่วันนอร์เปิดบ้านให้ ”บิ๊กโจ๊ก“ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.นำสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ประธาน ป.ป.ช.)เข้าพบ ก็น่าจะเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม เมื่อฝ่ายหนึ่ง (บิ๊กโจ๊ก)ล่ารายชื่อ 25000 ชื่อ ยื่นถอดถอนสุชาติพ้น ป.ป.ช.โดยยื่นผ่านวันนอร์ และเสียงที่พูดคุยกันหลุดออกมาคือพอจะมีช่องทางตีตกคำร้องขอถอดถอนได้ ทั่วๆที่ไม่ใช่หน้าที่ในการตีตกคำร้อง มีหน้าที่แค่ตรวจสอบความถูกต้องของผู้ร่วมลงชื่อ และเป็นไปรษณีย์ส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้กรรมการ ป.ป.ช.ด้วยกันเลือกสุชาตินั่งเป็นประธานเก้าอี้ร้อนอยู่จนถึงวันนี้

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชช.) กล่าวว่า พรรคประชาชนอยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอนนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากกรณีคลิปหลุดเป็นเรื่องจริง ซึ่งมีมติพรรคแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการรวบรวม เพราะเรามีประมาณ 141 คน เป็นจำนวนที่เฉียดฉิว แต่มั่นใจว่าเพียงพอ

ปรากฏการณ์ทั้งสอง เป็นเรื่องของการวางตัวที่ไม่เป็นกลาง ไม่เหมาะสมยิ่งของ ‘วันนอร์’ ในฐานะประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ

‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ลั่น!! ‘พรรคประชาชน’ ชนะเลือกตั้งปี 70 ได้แน่ ยัน!! สมัยนี้ ไม่ไปร่วมรัฐบาล ย้ำ!! มีข้อมูลแน่น พร้อมอภิปราย

(23 ก.พ. 68) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาชน ร่วมบรรยายในหัวข้อ "การเมืองไทย ในทรรศนะ เท้ง-ณัฐพงษ์" ว่า วันนี้พูดคุยหัวข้อการขับเคลื่อนงานทางการเมือง โดยเฉพาะที่มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมถึงเตรียมพูดเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานทางการเมืองของพรรคประชาชนและผลงานช่วงที่ผ่านมานับจากพรรคก้าวไกลถูกยุบจนถึงปัจจุบัน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของสมาชิกพรรคให้เดินทางต่อ ถึงความคืบหน้าในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญสะดุดลง เนื่องจากมีการข่มขู่ว่าหากเดินหน้าลงมติ จะมีการยื่นร้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ  พร้อมกล่าวถึงกระบวนการคัดเลือก สว.ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ เชื่อว่าหากเป็นไปตามหลักฐานที่ปรากฏ ชี้ว่ากระบวนการเลือก สว. ครั้งนี้ไม่โปร่งใส

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เปิดเผยว่ามีการได้รับข้อมูลจากคนในพรรคร่วมรัฐบาล แต่ขอไม่เปิดเผยชื่อหรือรายละเอียด ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองบุคคลดังกล่าว โดยชี้ประเด็นการอภิปรายไม่มั่นใจไปที่ความไม่โปร่งใส ในการบริหารราชการแผ่นดิน และรอยร้าวของคนในพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาได้

ส่วนกรณี 44 สส.ถูกยื่นตรวจสอบจริยธรรม นายณัฐพงษ์เปรียบ “หยักไหล่” แล้วเดินหน้าทำงานฝ่ายนิติบัญญัติต่อไป เชื่อว่าทุกคนไม่มีข้อกังวลใจว่าจะหลุดหรือไม่หลุดจากตำแหน่ง เพราะหากมีความกังวลการเดินหน้างานในสภาผู้แทนราษฎรจะหยุดชะงักลง ทุกการกระทำและการแสดงออกสะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้กังวลใจในส่วนนี้ และไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องปกติที่ใครจะต้องโดน

หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงการที่ปรับวิธีการสื่อสารเกี่ยวกับนโยบายของพรรคว่า ไม่ได้หมายความว่าจะสูญเสียหลักการ หรือทำให้หลักการน้อยลง แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมาต้องทำการบ้านหนักเรื่องการสื่อสารกับฝ่ายเห็นต่าง ซึ่งในวันอังคารที่ 25 ก.พ.นี้พรรคประชาชนจะเปิดแคมเปญ รับสมัคร สก. เปิดสนามเลือกตั้ง กทม. ส่วนบุคคลที่จะส่งชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. อยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุย

"เชื่อว่าจุดแข็งของพรรคประชาชนมี สส.ในสภาฯ ทำให้ผลักดันวาระต่างๆได้ พร้อมวิเคราะห์จุดแข็งของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. ว่ามีความตั้งใจทำงาน แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหา คือการแก้ไขปัญหาฝุ่นPM2.5" นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ถ้าพรรคประชาชนยังตั้งใจทำงานในการเลือกตั้งปี 2570 เชื่อว่าชนะการเลือกตั้งได้ ถ้าชนะเลือกตั้งมาแล้วกลุ่มชนชั้นนำจะยอมให้เป็นรัฐบาลหรือไม่ไม่สามารถตอบได้แต่หน้าที่ขณะนี้คือเดินหน้าต่ออย่างเต็มที่ โดยหยิบยกคำพูดของนายปิยบุตร แสงกนกกุล  อดีตเลขาฯพรรคอนาคตใหม่ กล่าวไว้ว่าจะต้องชนะการเลือกตั้ง เพื่อนำใบอนุญาตใบที่1 ในการรัฐบาลให้ได้ก่อน และประกาศชัดเจนในสมัยรัฐบาลชุดนี้ไม่ไปร่วมรัฐบาลแน่นอน

“สิ่งที่เกิดขึ้นในการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศเสียเวลาไปเยอะ โดยเฉพาะการสลับขั้วการเมืองไปมา แต่สิ่งที่จะทำให้ผลักดันนโยบายเชิงโครงสร้างอย่างแรกหนีไม่พ้นการได้เสียงจากประชาชนเกิน 20 นั้นเสียงเพื่อทำให้มีพลังมากพอที่จะผลักดันวาระต่างๆได้ ดังนั้นในสภาสมัยนี้ไม่มีวันไปร่วมรัฐบาลแน่นอน และมั่นใจว่าเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาไม่มีใครย้ายค่าย ตอนที่ยุบพรรคอนาอนาคตใหม่มาก้าวไกลทุกคนมาด้วยกันทุกคน“ นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงการจับขั้วทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าอยู่ที่ข้างหน้าพรรคภูมิใจไทยออกมาประกาศจุดยืนตัวเองอย่างไร และจุดยืนแต่ละพรรคการเมือง ยกตัวอย่างครั้งหน้าว่าหากจำเป็นต้องจับมือกับพรรคร่วม ต้องลงนามMOU การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องอยู่ในวาระตกลง  ส่วนโอกาสการยุบสภานั้นชี้ว่าอยู่ที่รอยร้าวของพรรคร่วมรัฐบาลเอง หากเกิดเอ็กซิเดนท์ทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสยุบสภาสูง

ช่วงท้าย นายณัฐพงษ์ ได้เปิดใจถึงเรื่องส่วนตัวแบบไม่เคยพูดที่ไหน  ยอมรับว่าเป็นคนพูดน้อย เซฟโซนที่สุดคืออยู่บ้าน กับครอบครัว กับภรรยา อยู่เฉยๆ ถ้าอยู่เฉยๆ แล้วไม่ได้พูดอะไร ขอให้รู้ไว้ว่าเป็นการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง ตอนที่มีชื่อเสนอเป็นหัวหน้าพรรค ก็ปรึกษาภรรยา ภรรยาก็บอกว่าทำได้ วันหนึ่งถ้าไม่รับอาจจะเสียใจหรือไม่

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวว่า ตนและภรรยายังไม่อยากมีลูก เพราะคุยกับภรรยาแล้วว่ามีแล้ว ในสังคมของเรา ถือว่ามีแล้วลำบาก ไม่ใช่เพราะฐานะเราไม่สามารถมีได้ แต่ไม่อยากส่งลูกไปเรียนพิเศษ อยากให้ใช้ชีวิตธรรมดา เพราะเราเองก็เรียนโรงเรียนรัฐบาล อยากให้มีสังคมตามความเป็นอยู่ที่แท้จริง

นอกจากนี้ สส.กทม.พรรคประชาชน ยังอัพเดทงานช่วง 1 ปีครึ่ง นำโดยนางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์, นายภูริวรรธก์ ใจสําราญ, นายณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ และนางสาวรักชนก ศรีนอก เช่น การขับเคลื่อนแก้ปัญหาฝุ่นPM2.5 ที่เคยเสนอญัตติด่วนเพื่อเสนแแนะแนวทางแก้ปัญหาต่อรัฐบาลแล้ว ,ปัญหาเรื่องผังเมืองสืบเนื่องถึงปัญหาการจราจรติดจัด ที่หารือสำนักจราจร กทม. ซึ่งหวังว่าจะมีการนำระบบ AI มาใช้แก้ปัญหา และเสนอการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการแก้ไขปัญหาโดยตรง 

‘สว.สงขลา’ ฟันธง!! ระเบิดสนามบินที่นราธิวาส เป็นฝีมือของ ‘บีอาร์เอ็น’ ชี้!! ไม่ต้อนรับ การกลับมาแก้ปัญหาไฟใต้ ของ ‘อดีตนายกรัฐมนตรี’

(23 ก.พ. 68) นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยถึงระเบิดแสวงเครื่อง ที่เกิดขึ้นในสนามบินจังหวัดนราธิวาส ก่อนที่ คณะของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคณะจะเดินทางมาถึงประมาณ 50 นาทีว่า ประเด็นที่ 1 เป็นการแสดงออกจาก ขบวนการแบ่งแยกดินบีอาร์เอ็น ที่แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจ และไม่ต้อนรับการ เดินทางลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ บีอาร์เอ็น กล่าวหาว่า เป็นผู้จุดชนวนของไฟใต้ ในครั้งที่เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2547  และเป็นผู้ที่เรียก ขบวนการบีอาร์เอ็นว่าเป็นโจรกระจอก เป็นผู้ยุบ ศอ.บต. และ.พตท. 43  และก่อนหน้านี้ หลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปพบกับ นายอันวาร์ อิบราฮิบ นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย เพื่อขอความร่วมมือในการ ปราบปราม ขบวนการบีอาร์เอ็น ที่มีฐานที่มั่นอยู่ใน รัฐกลันตัน และรัฐตรังตานู ประเทศมาเลเซีย โฆษกบีอาร์เอ็น ก็ออกมา ข่มขู่ว่าหากมีการให้รัฐบาลมาเลเซียเข้ามากดดันบีอาร์เอ็น สถานการการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจจะรุนแรงมากขึ้น

“เป็นที่น่าสังเกตว่า การวางระเบิดคาร์บอมบ์ ครั้งนี้ บีอาร์เอ็น ต้องการเพียงการแสดงถึงสัญลักษณ์ให้รู้ว่า ไม่ต้องการให้ ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นผู้กำกับการดับไฟใต้ คาร์บอมบ์ลูกดังกล่าว จึงเป็นเพียงระเบิดขนาดเล็ก ที่ไม่มี สะเก็ดระเบิด ไม่ต้องการทำลายล้างแต่ต้องการสื่อไปยัง ทักษิณ ชินวัตร และ รัฐลบาลเท่านั้น” นายไชยยงค์ ระบุ

นายไชยยงค์ ระบุว่า ประเด็นที่ 2 ระเบิดแสวงเครื่อง ที่เป็นคาร์บอมบ์ สามารถหลุดรอดจากการตรวจของเจ้าหน้าที่ แสดงให้เห็นความหย่อนยาน ความบกพร่อง ของท่าอาการยานและหน่วยงานความมั่นคง ที่มีหน้าที่ในการ รักษาความปลอดภัย ที่ปล่อยให้รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยาน ซึ่งแนวร่วมของบีอาร์เอ็น ได้นำระเบิดแสวงเครื่อง ไปติดตั้งไว้ในขณะที่รถยนต์คันนี้ จอดอยู่นอกพื้นที่ของท่าอากาศยาน ระเบิดที่แนวร่วม นำมาติดตั้งในรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยาย จึงเป็นระเบิดขนาดเล็กที่ต้องการให้เกิดเสียงดัง แต่ไม่ต้องการสร้างความเสียหายให้เจ้าหน้าที่ จึงมีเพียงเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการ หูอื้อ แน่นหน้าอกเพียง 4 ราย

“ถ้าแนวร่วมบีอาร์เอ็น ติดตั้งระเบิดแสวงเครื่อง ที่มีน้ำหนัก 20 กิโลกรัม และมีการใส่สะเก็ดระเบิด อานุภาพการทำลายล้างก็จะทำให้รถยนต์ที่เป็นคาร์บอมบ์แหลกและต้องมีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บล้มตายหลายคนและต้องมี เจ้าหน้าที่ทั้งท่าอากาศยานและกอ.รมน.ภาค 4 ต้องกลายเป็นเป้าหมายในความสูญเสียที่เกิดขึ้น การวางระเบิดเพื่อต้อนรับ ทักษิณ ชินวัตร และคณะในครั้งนี้จึงเป็นการส่งเสียงเตือนให้อดีตนายกรัฐมนตรี ถอยจากการเข้ามาวุ่นวายในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น” นายไชยยงค์ ระบุ

นายไชยยงค์ ระบุด้วยว่า ประเด็นที่ 3 การเดินทางลงพื้นที่ จ.นราธิวาส โดยมี หมุดหมายที่โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง เพราะในปี 2547 ที่ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการจับกุม มะแซ อุเซ็ง อดีต เลขาธิการ บีอาร์เอ็น เจ้าของแผน บันได 7 ขั้นได้ที่นี้ โดยยึดเอกสารได้ที่โรงเรียนแห่งนี้ พร้อมทั้งการออกหมายจับนายมะแซ อุเซ็ง ในข้อหา อั้งยี่ ซ่องโจร และแบ่งแยกดินแดน ดังนั้นโรงเรียนแห่งนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ ที่เคยเป็นศูนย์รวมการ แบ่งแยกดินแดน การนัดหมาย พบปะกับผู้นำศาสนา ณ โรงเรียนสัมพันธ์วิทยาของทักษิณ ชินวัตร จึงมีนัยทางการเมืองของการดับไฟใต้ในครั้งนี้

นายไชยยงค์ ระบุว่า เช่นเดียวกับการเดินทางไปยังวัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เนื่องจากวัดดังกล่าวเจ้าอาวาสซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของเจ้าคณะภาค 18 เป็น ที่เคารพของชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่เป็น ศูนย์รวมของพี่น้องชาวไทยพุทธ การเดินทางมานมัสการเจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา พบพบปะชาวไทยพุทธ จึงเป็นการได้คะแนนเสียงและได้รับการต้อนรับจากประชาชนในพื้นที่ค่อนข้างมาก

ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานอาเซียน ให้สัมภาษณ์ ขณะลงพื้นที่ รร.สัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

(23 ก.พ. 68) ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานอาเซียน ให้สัมภาษณ์ ที่ รร.สัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ถึงการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ 
ว่า มีความตั้งใจที่อยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้น

‘อัครเดช’ แถลงชัด!! แก้กม.ค้าของเก่า ไม่ส่งผลกระทบต่อ ‘ซาเล้ง - ร้านขายของเก่า’ที่ดี พร้อมเตรียมเพิ่มโทษ!! ‘จำคุก’ ร้านของเก่าที่ไม่ทำตามกฎหมาย ลดปัญหา รับซื้อของโจร

(22 ก.พ. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้มีการพิจารณา พ.ร.บ.ควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ.2474 โดยได้เชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ค้าของเก่า อธิบดีกรมการปกครอง มาร่วมให้ข้อมูล โดยในที่ประชุมได้มีการพิจารณาถึงการแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าว

การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีสาเหตุมาจากปัจจุบันมีการลักขโมยทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และของทางราชการเป็นจำนวนมาก ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และงบประมาณของประเทศอย่างสูง และเมื่อทาง กมธ.อุตสาหกรรม ได้พิจารณาถึงปัญหาดังกล่าวพบว่ามีสาเหตุจาก พ.ร.บ.ควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ.2484 ยังมีช่องว่างทางกฎหมายจากบทลงโทษที่ไม่มีประสิทธิภาพในหลายส่วน เช่น 

การกำหนดโทษกรณีผู้รับซื้อของเก่าไม่บันทึกข้อมูลการรับซื้อมีโทษปรับเพียง 2,000 บาท โดยที่ผ่านมาร้านรับซื้อของเก่าที่รับซื้อของโจรยอมที่จะโดนปรับ 2,000 บาท เนื่องจากโทษปรับดังกล่าวน้อยกว่ากำไรที่จะได้รับจากการค้าของโจร ทำให้เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ในส่วนของกรมการปกครองในการปฏิบัติงานเป็นอย่างยิ่ง กรณีนี้ทาง กมธ.อุตสาหกรรม และกรมการปกครอง มีความเห็นตรงกันว่าจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายในส่วนบทลงโทษร้านรับซื้อของเก่าที่ไม่บันทึกข้อมูลผู้ขายให้มีโทษจำคุกจากเดิมมีเพียงโทษปรับ เพื่อลงโทษร้านรับซื้อของเก่าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด กฎหมายฉบับนี้จะเป็นการปกป้องร้านรับซื้อของเก่าที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะไม่ต้องถูกข้อกล่าวหาเรื่องรับซื้อของโจรอีกด้วยถ้าลงบันทึกการรับซื้อถูกต้อง 

ความกังวลเรื่องบันทึกการรับซื้อ ได้มีการหารือกับตัวแทนผู้รับซื้อของเก่าว่าควรจะมีการปรับปรุงรูปแบบการบันทึกข้อมูลจากเดิมที่เป็นการบันทึกแบบจดด้วยมือลงสมุดเพียงอย่างเดียวในอนาคตจะเพิ่มเป็นรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยี เช่น การลงบันทึกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ลงบันทึกผ่านเว็บไซต์หรือผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น เพื่อง่ายและเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ร้านรับซื้อของเก่าและมีความชัดเจนเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของของเก่าที่ถูกนำมาขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดได้ในกรณีที่ทรัพย์นั้นหรือของเก่าที่นำมาขายนั้นถูกโจรกรรมหรือถูกขโมยมา

ซึ่งในพ.ร.บ.จะไม่มีการกำหนดการลงบัญชีรับซื้อในพ.ร.บ.ให้มีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่จะให้เป็นหน้าที่ของกรมการปกครองต้องหารือร่วมกับผู้ประกอบการหรือตัวแทนร้านรับซื้อของเก่า เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและมีประสิทธิภาพในการติดตามผู้กระทำความผิดโดยจะออกเป็นกฎกระทรวงต่อไป

นอกจากนี้ยังมีผู้ไม่หวังดีได้ให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงว่า ผู้รับซื้อของเก่ารายย่อย หรือรถซาเล้งที่ตะเวนรับซื้อของเก่าจะได้รับผลกระทบจากการแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง กฎหมายฉบับนี้จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ไปยังผู้ตระเวนรับซื้อของเก่าหรือซาเล้งแต่อย่างใด เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้เฉพาะร้านรับซื้อของเก่าเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับรถซาเล้งแต่อย่างใด

ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนและทรัพย์สินของราชการมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นและยังจะเป็นการปกป้องร้านรับซื้อของเก่า ที่ดีและปฏิบัติตามกฎหมาย แต่สำหรับผู้ที่จะได้รับผลกระทบคือโจร รวมถึงร้านรับซื้อของเก่าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคือมีเจตนารับซื้อของโจรเพื่อหากินกับทรัพย์สินของทางราชการและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนที่ถูกลักขโมยมาขาย

โดยปัจจุบันกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างการเสนอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร บรรจุลงในระเบียบวาระของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จะทำให้การลักทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนและราชการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ 

ตนขอฝากไปยังร้านรับซื้อของเก่าที่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าไม่ต้องกังวลกับการแก้ไขกฎหมายค้าของเก่า เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการปกป้องท่าน และที่สำคัญรถซาเล้งจะไม่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใด โปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลผู้ไม่หวังดีที่ปลุกปั่นข่าวที่ไม่เป็นความจริง

‘สว.’ ลุกลี้ลุกลน!! ล้ำหน้า ถึงขั้นจะถอดถอน ‘พ.ต.อ.ทวี’ รัฐมนตรียุติธรรม หลัง ‘ดีเอสไอ’ จ่อรับเป็นคดีพิเศษ จากการถูกร้องเรียน ‘ฮั้ว’ จัดทำโพย

(22 ก.พ. 68) สว.ออกอาการลุกลี้ลุกลนเกินเหตุ ล้ำหน้าถึงขั้นจะถอดถอนรัฐมนตรียุติธรรม โดยไม่ได้ดูข้อเท็จจริงการได้มาของตัวเอง

ลุกลี้ลุกลนเกิน สว.ชุดน้ำเงิน หลังดีเอสไอ จ่อรับไว้เป็นคดีพิเศษ จากการถูกร้องเรียน ‘ฮั้ว’ จัดทำโพย และผลการเลือกเป็นไปตามโพย 138 คน จาก 140 คน ติดสำรองอยู่อีก 2 คน

ลุกลี้ลุกลน เพราะเมื่อข่าวจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอออกมาว่า จะขอรับทำเป็นคดีพิเศษ สมาชิกวุฒิสภาสายน้ำเงินที่กำลังจัดสัมมนากันอยู่ที่หวดสวนสน หัวหิน กลางคืนร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน แต่พอมีข่าวดีเอสไอจะรับทำเป็นคดีพิเศษ รีบแจ้งกำหนดการแถลงข่าวโต้ดีเอสไอทันทีในเวลา 10.00 น.

เดิมให้ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา แถลงเพียงคนเดียว แต่พอเช้าขึ้นมาถึงเวลาแถลงข่าวตามนัด สว.เดินมายืนเรียงหน้ากันเต็มหมด รวมถึงมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภาด้วย เข้าใจว่าได้มีการประเมินสถานการณ์แล้ว ‘ค่อนข้างแรง’ ต้องตั้งการ์ดดี ๆ กับข้อกล่าวหาหนัก ‘อั้งยี่-ซ่องโจร’ อันเป็นคดีอาญา ไม่ใช่คดีผิด พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาอย่างเดียวแล้ว สมาชิกวุฒิสภากะเล่นหนักถึงขั้นถอดถอนรัฐมนตรียุติธรรม

สำหรับเนื้อหาในหนังสือลับด่วนที่สุด ซึ่งดีเอสไอแจ้งไปยัง กกต. ระบุว่า การสืบสวนปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีขบวนการจัดตั้งให้ได้มาซึ่ง สว. มีการวางแผนให้มีผู้สมัครระดับอำเภอ กลุ่มละ 5 คน รวม 100 คน ในระดับอำเภอ 928 อำเภอ ค่าตอบแทนระดับอำเภอ 5,000 บาท ระดับจังหวัด 10,000 บาท ระดับประเทศ 4 หมื่นถึง 1 แสนบาท และถ้าได้ สว.มากกว่า 120 คน จะได้เพิ่มจำนวน 100,000 บาท

หลังจากวันที่ 16 มิ.ย.67 ภายหลังผ่านการคัดเลือกระดับจังหวัด ขบวนการได้นัดหมายผู้สมัครระดับประเทศ ไปจัดทำโพยฮั้ว สว. ในพื้นที่ 3 จังหวัด มีการจ่ายมัดจำ 2 หมื่นบาท ส่วนที่เหลือจะได้รับหลังการรับรองผลการสืบสวนยังพบโพยฮั้ว สว. มีหมายเลข จำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน รวม 140 คน โดยพบผู้สมัครอยู่ในขบวนการประมาณ 1,200 คน สำหรับโพยฮั้ว 2 ชุด พบว่าเป็นผู้ได้รับเลือก 138 คน และอยู่ในลำดับสำรอง 2 คน

ดีเอสไอประสงค์ที่จะรับดำเนินการสอบสวนในส่วนที่พบการกระทำผิดทางอาญาไว้ดำเนินการ เนื่องจากกลุ่มขบวนการมีการวางแผนที่สลับซับซ้อน กระทำการอุกอาจมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ยังไม่ได้พิสูจน์ทราบอีกจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้วิธีการรวบรวมหลักฐานเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบร่องรอยการติดต่อสื่อสาร เส้นทางการเงิน สถานที่จัดประชุม วางแผน สถานที่พบปะติดต่อ พิสูจน์ทราบกลุ่มบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที ที่เข้ามาร่วมสนับสนุนการ กระทำความผิดของกลุ่มขบวนการ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความพร้อมด้านบุคลากร และเครื่องมือทางด้าน เทคโนโลยีที่จะใช้ในการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ทราบเครือข่าย และองคาพยพของกลุ่มขบวนการทั้งหมด นอกจากนี้ พยานสำคัญอาจจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการให้ความคุ้มครองพยาน เพราะเหตุที่พยาน อาจเกรงกลัวต่ออันตรายแก่ชีวิตร่างกาย

ประเด็นคือ สมาชิกวุฒิสภา ควรจะได้พิจารณาข้อเท็จจริงให้แจ่มชัดว่า ข้อกล่าวหาเป็นอย่างไร ผิดกฎหมายไหนบ้าง แล้วพิจารณาข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงว่า มีฮั้วจริงไหม มีโพยให้เลือกจริงหรือไม่ นัดไปรวมพลกันสามจังหวัดเพื่อรับโพย และซักซ้อมกันจริงหรือไม่ รับเสื้อสีเหลือง นั่งรถตู้มาด้วยกันจริงหรือไม่

แต่สมาชิกวุฒิสภาชุดสวนสนกลับรีบลุกขึ้นมาตอบโต้ และชี้ไปด้วยว่าดีเอสไอไม่มีอำนาจทำคดีนี้ ซึ่งอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดีเอสไอจะรับส่วนไหนไปทำ แต่กลับออกอาการเกินเหตุ จริงๆ ก็แค่ยุงรำคาญตอนหัวค่ำ แต่กลับ ยิงสลุตออกไปถึงขั้นจะยื่นถอดถอนรัฐมนตรีทวี สอดส่อง มันล้ำหน้านะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top