Tuesday, 1 July 2025
NEWS

'รัสเซีย-จีน' เตรียมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรทางทหาร ข่าวลือนี้มีความเป็นไปได้แค่ไหน? และหากว่าเป็นเรื่องจริง ใครได้รับผลกระทบบ้าง?

เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวลือหนาหูออกมาจากที่ประชุมยุทธศาสตร์ในเครมลินว่า วลาดิเมียร์ ปูตินมีความคิดที่จะจับมือเป็นพันธมิตรด้านการทหารกับจีน เพื่อสร้างแสนยานุภาพคานอำนาจของสหรัฐ และชาติพันธมิตร NATO หลังจากที่ถูกคว่ำบาตรหนักจากพันธมิตรชาติตะวันตก

แหล่งข่าวรัสเซียเปิดเผยว่า ปูตินออกความเห็นกลางที่ประชุมในเรื่องนี้ไว้ว่า ถึงแม้ตอนนี้รัสเซียจะยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผนึกกำลังกับกองทัพจีนในตอนนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ในเชิงทฤษฎี เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้

ถ้าเปิดแง้มๆมาแบบนี้ ก็แสดงว่าการผนึกพันธมิตรการทหารร่วมกันระหว่างรัสเซีย - จีน มีโอกาสเป็นไปได้ถ้าจำเป็นจริง ๆ

และการผนึกกำลังร่วม รัสเซีย-จีน ก็จะสร้างความกังวลให้กับประเทศในแถบยุโรปไม่น้อย อาจลามมาถึงย่านเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะเขตพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ที่จะทำให้เกิดบรรยากาศมาคุ ตึงเครียดยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะหากมองในแง่กองกำลังทหาร ถึงแม้รัสเซีย และ จีน จะไม่ใช่เบอร์ 1 ของโลก แต่จากการจัดอันดับของ US News สื่อข่าวของสหรัฐ ให้รัสเซียเป็นเบอร์ 2 ส่วนจีนตามมาไม่ห่างเป็นเบอร์ 3 ถ้าเบอร์ 2 กับ เบอร์ 3 รวมกันได้จริง ก็ยากที่จะต่อกร

แต่คำถามคือ รัสเซีย - จีน กลายเป็นพันธมิตรเนื้อแท้ต่อกันได้จริง ก็อาจเขย่าบัลลังก์ชาติมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกก็ได้ แต่ทำไมถึงไม่คิดจะร่วมมือกันตั้งแต่แรก ก็อาจเข้าตำรา หมี - มังกร อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

ถึงแม้ว่าทั้ง 2 ประเทศจะดูเหมือนเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันในแง่เศรษฐกิจ การค้า และมีเมกาโปรเจคท่อก๊าซไซบีเรียส่งตรงถึงจีนที่มีความยาวเกือบ 4,000 กิโลเมตร กับสัมปทานน้ำมัน 30 ปีที่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านเหรียญ และที่สำคัญคือ ใช้เงินหยวน-รูเบิล เป็นสกุลเงินหลักในการซื้อขาย

ในแง่การทหาร ดูผิวเผินก็เหมือนจะไปด้วยกันได้ เนื่องจากทางรัสเซียมีการแชร์เทคโนโลยีข้อมูลด้านอาวุธกับจีน ส่วนจีนก็สั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ SU-35 และขีปนาวุธรุ่นล่าสุด S-400 จากรัสเซีย การซ้อมรบร่วมกันก็มีอย่างต่อเนื่อง เวลาเจอหน้ากันระหว่าง 2 ผู้นำ ปูติน - สี่ จิ้นผิง ในเวทีโลกก็แลดูชื่นมื่น

แต่การผสานเป็นพันธมิตรด้านการทหารจนเป็นเนื้อเดียวกันระหว่างหมีขาว และมังกรแดงนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

เพราะการเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นขนาดนั้น มันก็ต้องไปด้วยกันได้ทุกเรื่อง และแสดงจุดยืนไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะผิดหรือถูกนั่นเป็นเรื่องที่คุยกันหลังบ้านทีหลัง ดังเช่น นโยบายของกลุ่ม NATO EU หรือ Five Eyes แต่เรายังไม่เห็นภาพนั้นชัดเจนระหว่าง รัสเซีย - จีน ไม่ว่าจะเป็นกรณีการผนวกไครเมีย จีนก็ไม่ได้ยืนข้างรัสเซีย ส่วนข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ทางรัสเซียก็ขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย

แถมรัสเซียยังเปิดดีลซื้อขายอาวุธกับอินเดียในช่วงที่จีนและอินเดียมีข้อพิพาทกันอย่างรุนแรงในเขตอัคไซชิน บริเวณรอยต่อชายแดนเทือกเขาหิมาลัย ที่จีนมองว่าเป็นการหักหลังของรัสเซีย และความไม่พอใจของชาวจีนก็ลามไปถึงงานฉลองครบรอบ 160 ปีกรุงวลาดิวอสต็อค เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ชาวเน็ตจีนพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงว่า เมืองวลาดิวอสต็อคนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ถูกกองทัพรัสเซียมาแอบยึดไปตอนช่วงสงครามฝิ่นต่างหาก

เรื่องการผนึกกำลังกันระหว่างรัสเซีย - จีน เคยมีกระแสมานานแล้ว ที่เคยทำให้บารัค โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐหัวเราะหยันว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะลึก ๆ แล้ว 2 ประเทศนี้ไม่เคยไว้ใจกัน ถ้าคบค้าซื้อขายกันตรง ๆ แบบหมูไป ไก่มา ก็พอได้ แต่ถ้าจะให้ร่วมหัวจมท้าย แบบไปไหนไปกันนั้นยากที่จะเกิดขึ้น

ลองคิดดูว่า มีหรือที่รัสเซียจะยอมเอากระดูกมาแขวนคอ ด้วยการออกเรือรบมาช่วยจีนยันกับเรือรบสหรัฐในย่านทะเลจีนใต้ แล้วเรื่องอะไรที่จีนจะยอมส่งทหารสนับสนุนรัสเซียในประเทศบ้านแตกอย่างซีเรียให้ขาดทุนเปล่า ๆ ปลี้ ๆ แต่ในทางกลับกัน ออสเตรเลียยอมควักเงิน ออกทุนส่งทหารไปหนุนกองทัพสหรัฐในสงครามอาฟกานิสถาน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

แม้แต่มองในแง่พันธมิตรด้านการค้า ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่รัสเซียก็ไม่อยากพึ่งพาจีนมากจนสุดตัว เพราะหากใครที่ได้ลองทำธุรกิจ ซื้อขายกับจีนก็คงพอรู้อยู่ในความละเอียดถี่ถ้วน (เขี้ยว) และคงไม่มีประเทศไหนที่อยากจะเอาเศรษฐกิจของตัวเองไปผูกกับจีนจนกระทั่งกลายเป็นลูกไก่ในกำมือ เพราะอาจนำมาซึ่งข้อต่อรองที่ไม่พึงประสงค์ในภายหลัง

ดังนั้นการกำเนิดพันธมิตรกู้โลก รัสเซีย - จีน จึงไม่ต่างจากความเห็นของปูตินในที่ประชุมยุทธศาสตร์เรื่องการผสานกองทัพระหว่างรัสเซีย-จีน เป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติจริงคงต้องเหลือไว้เป็นแผนสุดท้ายที่สิ้นสุดทางเลือกแล้วจริง ๆ

แต่หลังจากที่รัสเซียโดนสหรัฐ และ EU เล่นงานอ่วมตั้งแต่ประเด็นการผนวกดินแดนไครเมียในปี 2014 กับจีนที่โดนสหรัฐบี้หนักเรื่องสงครามการค้าในสมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมพ์ และหากทีท่าอันเป็นปฏิปักษ์แบบสุดขั้วของสหรัฐต่อ รัสเซีย และ จีน ที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามยังคงดำเนินอยู่เช่นนี้ต่อไปอีก 5 - 10 ปีข้างหน้า การผนึกพันธมิตรผิดฝาระหว่าง รัสเซีย - จีน อาจไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดเดียว ดังคำพูดที่ว่า ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร

ในเมื่อโลกนี้ไม่เคยมีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร ดังนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น


แหล่งข่าว

https://www.themoscowtimes.com/2020/12/02/is-putin-really-considering-a-military-alliance-with-china-a72207

https://apnews.com/article/beijing-moscow-foreign-policy-russia-vladimir-putin-1d4b112d2fe8cb66192c5225f4d614c4

https://www.usnews.com/news/best-countries/power-rankings

https://thediplomat.com/2020/08/is-putins-russia-seeking-a-new-balance-between-china-and-the-west/

https://indianexpress.com/article/explained/explained-why-160-year-old-vladivostok-has-a-chinese-connection-6493278/

https://www.reuters.com/article/us-ukraine-crisis-china-idUSKBN1520AN

เตือนแล้วนะ!! '16-12-2020' ห้ามป่วย - ห้ามตาย - ห้ามพลาด!! 'คนละครึ่ง' เฟส 2 ล็อคเวลา 06.00 น. – 23.00 น. ครบ 5 ล้านสิทธิ์ ปิดเครื่องลูกเดียว

ถึงเวลาของคนที่ไม่ทันเฟสแรกกับโครงการคนละครึ่ง เพราะพรุ่งนี้ได้เวลาของเฟส 2 ที่เปิดให้ลงทะเบียนกันได้แล้ว

กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ระบบการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 พร้อมเปิดรับลงทะเบียนสำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีก 5 ล้านคน ในวันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563

โดยคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนจะต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีบัตรประจำตัวประชาชน และไม่ใช่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 23.00 น. จนกว่าจะครบ 5 ล้านสิทธิ โดยผู้ที่ถูกตัดสิทธิจากการไม่ใช่สิทธิโครงการคนละครึ่งระยะแรกสามารถลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้ สำหรับผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งกลุ่มเดิมสามารถกดปุ่มยืนยันการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 เป็นต้นไป

การลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการนี้มีขั้นตอนเช่นเดียวกับโครงการคนละครึ่งระยะแรก คือ

1.) ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.คอม โดยกรอกข้อมูลชื่อ - สกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน รหัสหลังบัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด และเบอร์โทรศัพท์ที่จะติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

2.) รอรับ SMS แจ้งผลการลงทะเบียน

และ 3.) ติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตน และเมื่อดำเนินการครบก็สามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อรับสิทธิเงินร่วมจ่ายจากรัฐร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,500 บาท

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม พ.ศ.2564 ระหว่างเวลา 06.00 น. – 23.00 น. ซึ่งผู้ได้รับสิทธิจะต้องเริ่มใช้จ่ายภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ตนได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิหรือวันที่เปิดให้เริ่มใช้จ่ายตามโครงการ มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิและไม่สามารถลงทะเบียนได้อีก

สำหรับผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งกลุ่มเดิมสามารถกดปุ่มยืนยันการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยจะใช้จ่ายวงเงิน 3,000 บาทเดิม ได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2564 และใช้จ่ายวงเงินเพิ่มอีก 500 บาท ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม พ.ศ.2564

ซึ่งปุ่มยืนยันการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จะปรากฏเตือนบนหน้าแอปพลิเคชันทุกครั้งจนกว่าผู้ได้รับสิทธิเดิมจะกดยืนยันรับสิทธิ และปุ่มดังกล่าวจะไม่มีวันหมดอายุ (แผนภาพตัวอย่างปุ่มยืนยันการเข้าร่วมโครงการสำหรับผู้ได้รับสิทธิเดิมปรากฏตามด้านล่าง)

รัฐมั่นใจ !! หนี้สาธารณะ 7.8ล้านล้านบาท เอาอยู่!! ชี้อยู่ในกรอบวินัยคลัง ไม่หลุด 60% ต่อ GDP

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. รับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นจริงในรอบ 6 เดือน ระหว่างเดือนเม.ย. - ก.ย.63 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้ โดย ณ วันที่ 30 ก.ย.63 มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ 49.53% ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลัง ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 60%

สำหรับสถานะหนี้สาธารณะคงค้างมีจำนวน 7,848,155 ล้านบาท คิดเป็น 49.34% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากปี 62 ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 41.10% เนื่องจากหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ เพื่อนำไปพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และการสร้างขีดความสามารถของประเทศผ่านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับหนี้สาธารณะจำนวน 7,848,155 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้รัฐบาลโดยตรงจำนวน 6,267,230.04 ล้านบาท คิดเป็น 79.86% ของหนี้สาธารณะทั้งหมด โดยหนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเงินกู้ภายใต้พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงินโดยมีรัฐบาลค้ำประกัน

ขณะที่หนี้ที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง คือหนี้ที่หน่วยงานเป็นผู้รับภาระหรือมีแหล่งรายได้อื่นที่ไม่ใช่งบประมาณมาชำระหนี้มีจำนวน 1,580,925.84 ล้านบาท คิดเป็น 20.14% ของหนี้สาธารณะทั้งหมด

โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ 49.53% ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลัง ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 60%

ผลการจับฉลากฟุตบอล ‘ช้าง เอฟเอ คัพ 2020’ รอบ 16 ทีมสุดท้าย สุดดุ! ทีมใหญ่โคจรเจอกันเอง ท่าเรือ วัดคม บุรีรัมย์ฯ ส่วน ชลบุรี ดวล สุพรรณฯ

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 ณ ชั้น 24 อาคารเฉลิมพระเกียรติ การกีฬาแห่งประเทศไทย มีพิธีจับสลากการแข่งขัน “ช้าง เอฟเอ คัพ 2020” รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งผลการจับสลากประกบคู่แข่งขัน มีดังต่อไปนี้

.

การท่าเรือ เอฟซี พบ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

เมืองเลย ยูไนเต็ด พบ (ผู้ชนะ ระหว่าง สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด กับ สุโขทัย เอฟซี)

ชลบุรี เอฟซี พบ สุพรรณบุรี เอฟซี

อุดร ยูไนเต็ด พบ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด พบ สมุทรปราการ ซิตี้

สงขลา เอฟซี พบ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี

ตราด เอฟซี พบ เชียงใหม่ เอฟซี

เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด พบ หนองบัว พิชญ เอฟซี

.

ทั้งนี้จะเห็นว่า มีทีมใหญ่จากไทยลีก 1 ที่โคจรมาเจอกันเอง อาทิ การท่าเรือ เอฟซี พบ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ชลบุรี เอฟซี พบ สุพรรณบุรี เอฟซี และเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด พบ สมุทรปราการ ซิตี้

การแข่งขัน ช้าง เอฟเอ คัพ 2020 รอบ 16 ทีมสุดท้าย จะทำการแข่งขันกันในวันที่ 13 มกราคม 2564 โดยทีมที่ชนะเลิศรายการนี้ จะได้รับเงินรางวัล 5 ล้านบาท และยังได้รับสิทธิ์ร่วมแข่งขันฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ในปี 2022

กล่าวสำหรับฟุตบอลเอฟเอ คัพ ถือเป็นรายการฟุตบอลถ้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ เกิดขึ้นเพื่อเฟ้นหาสุดยอดทีมสโมสรฟุตบอลของเมืองไทยในแต่ละยุคสมัย เต็มไปด้วยสโมสรอันเก่าแก่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผลัดกันครองแชมป์อันศักดิ์สิทธิ์รายการนี้

ปลดล็อก 'กัญชา'​ หลุดพ้นยาเสพติด มีผลวันนี้​ (15 ธ.ค.63)​

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563​ ความว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 วรรคหนึ่ง และมาตรา 8 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษออกประกาศไว้ดังนี้

ข้อ 1. ให้ยกเลิก (1) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2561(2) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ข้อ 2 ให้ยาเสพติดให้โทษที่ระบุชื่อดังต่อไปนี้ เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม

หมายความว่า 'กัญชา'​ (cannabis) พืชในสกุล Cannabis และวัตถุหรือสารต่างๆ ที่มีอยู่ในพืชกัญชา เช่น ยาง น้ำมัน ยกเว้นวัตถุหรือสารดังต่อไปนี้ เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตในประเทศ ไม่จัดเป็น ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5​ ตั้งแต่...

(ก) เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน และราก

(ข) ใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย

(ค) สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออล (cannabidiol, CBD) เป็นส่วนประกอบและต้องมี สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก (ง) กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชาและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก นอกจากนี้ยังมียาเสพติดอีก 4 ชนิดโดยให้มีผลวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563

เริ่มแล้ว!! บีทีเอส เขียวเหนือวิ่งยาวยัน​ 'คูคต'​ สตาร์ทบ่ายโมง​ 16 ธันวาคม 2563 พร้อม​ 'จอดแล้วจร'​ 2​ จุด 'สถานีแยก คปอ.'​ และ 'สถานีคูคต' ฟรีจอด 1,755 คัน

บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งว่า บริษัทจะปรับรูปแบบการเดินรถไฟฟ้า เพื่อรองรับเส้นทางส่วนต่อขยายใหม่สายสีเขียวเหนือ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต​ เพิ่มอีก 7 สถานี ได้แก่ สถานีพหลโยธิน 59 สถานีสายหยุด สถานีสะพานใหม่ สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ สถานีแยก คปอ. และสถานีคูคต ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2563 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป

โดยบริษัทฯ จะจัดรูปแบบการเดินรถ และแบ่งระยะเวลาการให้บริการเป็น 2 ช่วงหลักดังนี้

1.) ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า ตั้งแต่เวลา 07.00 – 09.00 น. และช่วงเวลาเร่งด่วนเย็น ตั้งแต่เวลา 16.30 – 20.00 น. ในวันจันทร์-ศุกร์ การให้บริการระหว่างสถานีหมอชิต (N8) ถึงสถานีสำโรง (E15) จะมีความถี่ระหว่างขบวน 2 นาที 40 วินาที

ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถสังเกตจากป้ายด้านหน้า และด้านข้างขบวนรถ เสียงประกาศบนชั้นชานชาลา ในขบวนรถ และจอประกาศบนสถานี

2.) ช่วงนอกเวลาเร่งด่วนในวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.30 น. และเวลา 20.00 น. จนถึงเวลาปิดให้บริการ ในวันเสาร์ และวันอาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ รถทุกขบวนจะวิ่งตั้งแต่สถานีเคหะฯ ถึงสถานีคูคต โดยจะมีความถี่ 6 นาที 30 วินาที

ส่วนการเดินรถไฟฟ้าสายสีลมนั้น รูปแบบและความถี่ในการเดินรถยังคงเหมือนเดิม โดยช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าและเย็น จะมีความถี่ของการเดินรถ 3 นาที 45 วินาที

นอกจากนี้ยังมีการทดลองเปิดให้บริการฟรีอาคารจอดแล้วจร​ 'สถานีแยก คปอ.'​ และ 'สถานีคูคต'​ ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วง หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต ในวันและเวลาเดียวกันอีกด้วย​ โดยทั้ง 2 แห่ง สามารถจอดรถได้ จำนวน 1,755 คัน

ส่วนสาเหตุที่เปิดใช้ฟรี เนื่องจากทางกทม. ยังไม่เก็บค่าโดยสาร ทาง รฟม.จึงยังไม่เก็บค่าจอดจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

นิวเยียร์...เคลียร์สุข!! รัฐบาลขอร้องคนไทย​การ์ดอย่าตก​ ไม่ปิดกั้นกิจกรรมปีใหม่​ แต่ต้องยึดมาตรการป้องโควิด-19​ จริงจัง

อึมครึมแต่ยังคึกคักได้​ เพราะที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการจัดกิจกรรมต่างๆในช่วงปีใหม่ว่า...

"รัฐบาลไม่ได้ปิดกั้น แต่ขอให้ปฎิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ที่รัฐกำหนดขึ้น ซึ่งการจัดงานต้องวางแผนและแจ้งคณะกรรมการควบคุมโรคประจำจังหวัด โดยขอให้ประชาชนที่เข้าร่วมงานให้ความร่วมมือด้วย โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องการให้มีการทำความสะอาด (บิ๊ก คลีนนิ่ง) ก่อนจัดกิจกรรม สร้างความมั่นใจว่ามีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และฉลองปีใหม่อย่างมีความสุข"

ครม. เคาะกฎหมายคุมอาคารเอกชนต้องทำประกันภัย คุ้มครองชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ขั้นต่ำ 1 แสนบาทต่อคน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคาร หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และจำนวนเงินเอาประกันภัย ที่เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร หรือผู้ดำเนินการ ต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร

โดยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และจำนวนเงินเอาประกันภัย ที่เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครอง หรือผู้ดำเนินการ ต้องทำประกันภัย เพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน อันเนื่องมาจากการก่อสร้างอาคาร สภาพอาคาร การบำรุงรักษาอาคาร หรือการใช้อาคาร โดยยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคารที่เจ้าของอาคารฯ ต้องทำการประกันภัยฯ พ.ศ. 2548

สำหรับสาระสำคัญ คือ กำหนดให้การก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย รื้อถอน หรือการใช้อาคารของเอกชน ต้องทำประกันภัยต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก กำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัย กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ไม่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาล ไม่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อคน รวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาทต่อครั้ง และคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก ไม่น้อยกว่า 500,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งการได้รับค่าสินไหมทดแทน ไม่เป็นการตัดสิทธิ์ผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่น

'คมนาคม'​ ยัน​ แผนรถเมล์ไฟฟ้า​ แก้​ PM2.5​ชัวร์!! ด้าน​ ​'ศักดิ์สยาม'​ กำชับ​ 'ขนส่ง'​ ไม่พร่องตรวจสภาพรถ​ ขนานจี้​ 'กรมเจ้าท่า'​ เดินเครื่องเรือไฟฟ้าให้ว่อง

ตอนนี้แทบทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ​ PM2.5​ พยายามเข้ารับมือกันอย่างหนัก​ โดยล่าสุด​ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เผยถึงกรณีที่ถูกถามว่า​ หากมีรถเมล์ใหม่จะแก้ปัญหาฝุ่นPM.2.5 ได้หรือไม่? ศักดิ์สยาม ได้กล่าวว่า...

"แก้ได้แน่นอน รถเมล์รุ่นใหม่ใช้ระบบไฟฟ้า ไม่ทำให้เกิดมลพิษ และเราก็พยายามดำเนินการในส่วนที่กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบ เพราะรถเมล์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 จึงต้องปรับปรุงสภาพให้พร้อม

"ส่วนในช่วงโควิด ที่มีการชัตดาวน์ ไม่มีปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 เราไม่ได้ห้ามใช้รถยนต์ แต่ต้องดูแลไม่ให้เกิดมลภาวะ"

อย่างไรก็ตาม​ การแก้ปัญหา​ PM2.5 ในส่วนของคมนาคมนั้น​ ตนได้สั่งการให้กรมขนส่งทางบก ตรวจสอบสภาพรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กรมเจ้าท่ากำลังพัฒนาเรือขนส่งในแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นระบบไฟฟ้าอีกด้วย

'เอนก' ชวนปชช.มองไทยใหม่​ 'ไม่ด้อยพัฒนา'​ เชื่อรัฐเตรียมสร้างยานอวกาศไปดวงจันทร์ คาดพร้อมส่งไปโคจรอีก 7 ปี ข้างหน้า​

ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดโครงการ​ '​วัคซีนเพื่อคนไทย'​ โดยปิดรับบริจาคทุนวิจัย 500 บาท จากคนไทย 1 ล้านคน เป็นเงินจำนวน 500 ล้านบาท เพื่อเร่งวิจัยและผลิตวัคซีนโควิด-19 จากใบพืชเพื่อทดสอบในมนุษย์ได้ทันภายในเดือน มิ.ย.2564

อีกทั้งเปิดตัว 'ทีมไทยแลนด์'​ ร่วมลงนามความร่วมมือวิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนป้องกันโรคจากไวรัสโควิด-19 ระหว่างองค์การเภสัชกรรม กับ บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด และบริษัท คินเจน ไบโอเทค จำกัด

นอกจากนี้ ดร.เอนก ได้เปิดเผยอีกว่า "วันนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า นอกจากเรื่องการผลิตวัคซีนที่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญแล้ว เรายังมีบริษัทคนไทยที่สามารถผลิตได้แม้กระทั่งยุทโธปกรณ์อย่างรถถังและเรืออีกด้วย

“นอกจากนี้​ ไทยยังจะเป็นชาติที่ 5 ของเอเชีย ที่จะสามารถผลิตยานอวกาศและส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้ ถัดจากจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ฉะนั้นเพื่อให้บรรลุโครงการใน 7 ปี อาจมีการขอความร่วมมือและสนับสนุนจากประชาชนในการระดมทุน เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะเปลี่ยนวิธีคิดของคนไทยว่า ไทยไม่ใช่ประเทศที่ด้อยพัฒนาอีกแล้ว เราเป็นประเทศที่มีอนาคต มีโอกาส และมีความหวัง”

'วราวุธ'​ ส่งกระเช้าปีใหม่ถึงคนไทย ตั้งเป้าปี 64 สำรวจที่ทำกิน​ หวังมอบสิทธิให้ปชช. ใช้ประโยชน์ในปี 65 พร้อมกำชับ ทุกอุทยานดูแลนักท่องเที่ยวช่วงปีใหม่

ที่ทำเนียบรัฐบาล วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงของขวัญปีใหม่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ว่า 

"เราได้วางแผนสำรวจพื้นที่ของคณะกรรมการนโยบายนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ทส.ให้จบสิ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ในปี 2564 เพื่อให้ปี 2565 จะได้มีการมอบสิทธิในการทำกินให้กับประชาชน เพื่อดำเนินการให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การปลูกต้นไม้ภายใต้โครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ซึ่งปัจจุบันปลูกต้นไม้ไปได้กว่า 30 ล้านต้น โดยปี 2564 หวังว่าจะเพิ่มปริมาณการปลูกต้นไม้ในประเทศเพื่อรักษาคุณภาพป่าไม้ของประเทศ และรักษาคุณภาพของอุทยานที่เป็นสถานท่องเที่ยวสำคัญของประเทศทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชนได้ท่องเที่ยว"

อย่างไรก็ตาม วราวุธ​ ได้กำชับทุกอุทยานแห่งชาติให้เตือนและฝากข้อระวังกับประชาชนที่ไปเที่ยวในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นจุดที่มีความเสี่ยงและบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะการเดินทางผจญภัยบนพื้นที่สูงที่อาจจะทำให้เกิดอาการป่วย ซึ่งได้กำชับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
 

กทม.แอ็คชั่นแล้ว! ‘ผู้ว่าฯ อัศวิน’ สั่งโรงเรียนในสังกัดไม่ต้องให้ นร.เข้าแถวเช้า พร้อมจัดทำ ‘ห้องปลอดฝุ่นส่วนกลาง’ ในทุกโรงเรียน

วันนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า ได้สั่งการให้โรงเรียนสังกัด กทม. ทั้ง 437 แห่ง ไม่ต้องทำกิจกรรมเข้าแถวหน้าเสาธงเหมือนที่เคยทำตามปกติ แต่ให้ทำอยู่ภายในห้อง หรือหน้าห้องเรียนแทน พร้อมกันนี้ ยังเตรียมจัดทำ ‘ห้องปลอดฝุ่น’ ในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน 292 ศูนย์ จำนวน 1,000 ห้อง และห้องเรียนเด็กเล็กในสังกัด กทม. ทั้ง 437 แห่ง รวมทั้งจัดทำห้องปลอดฝุ่นส่วนกลางในทุกๆ โรงเรียน สำหรับเป็นสถานที่ให้เด็กๆ ได้รอผู้ปกครองกลับบ้านอีกจำนวนกว่า 1,500 ห้อง

ทีเส็บ ดันโครงการ 'ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า'​ ปลุกตลาดไมซ์คึกคัก​ ฝ่าโควิด-19 คาดปีหน้าโตประมาณ 3.5% สร้างรายได้กว่า 30,000 ล้านบาท

จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดเผยว่า การจัดโครงการ 'ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า' รณรงค์ให้องค์กรเอกชนเร่งจัดประชุมสัมมนาและให้รางวัลพนักงานเดินทางในประเทศ กระตุ้นให้เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ไปยังชุมชนในภูมิภาคต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงสถานการณ์โควิด 19 นั้นนับว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก 
.
ขณะนี้มีองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการตลอดระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 20 ตุลาคม 2563 จำนวน 1,049 กลุ่ม คิดเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมไมซ์ทั้งสิ้น 62,555 คน กระจายการจัดงานไปยัง 50 จังหวัดในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ก่อให้เกิดรายได้แก่ธุรกิจประมาณ 130 ล้านบาท
.
“โครงการฯ นี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยผ่านการจัดประชุมสัมมนาและกิจกรรมไมซ์ในประเทศ ขณะที่ตลาดไมซ์ต่างประเทศยังไม่สามารถเข้ามาทำกิจกรรมในไทยได้ เนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 19 อย่างไรก็ดี คาดว่าในปี 2564 นี้ ตลาดไมซ์จะเติบโตประมาณ 3.5% สร้างรายได้กว่า 30,000 ล้าน จากจำนวนนักเดินทางไมซ์ในประเทศประมาณ 10 ล้านคน” จิรุตถ์กล่าว

ด่วน!! สั่งประหารชีวิต​ 'บรรยิน'​ พร้อมพวก คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา ...แต่ให้การเป็นประโยชน์ลด​ 1​ ใน​ 3​ เหลือ​ 'คุกตลอดชีวิต'​ ส่วนจำเลย​ 2 ลดเหลือ 33​ ปี​ 4​ เดือน

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอดีตเจ้าของสำนวนโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ หมายเลขดำ อท.69/2563 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3

น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐเป็นโจทก์เเละโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี อดีต รมช.พาณิชย์, นายมานัส ทับทิม อายุ 67 ปี, นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี, นายชาติชาย เมณฑ์กูล อายุ 31 ปี, นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี และ ด.ต.ธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปี ทั้งหมดภูมิลำเนา จ.นครสวรรค์ เป็นจำเลยที่ 1 - 6

ในความผิด 9 ข้อหา ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 289, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปถึงแก่ความตาย มาตรา 309, 313, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มาตรา 310, ฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป มาตรา 139, 140, ฐานเป็นซ่องโจร

โดยสมคบกันเพื่อกระทำผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต มาตรา 210, ฐานร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใดโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มาตรา 213, ฐานร่วมกันซ่อนเร้น ทำลายศพเพื่อปิดบังการตายและสาเหตุการตาย มาตรา 199, ฐานร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเพื่ออำพรางคดี

ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นจนถึงแก่ความตายฯ ลงโทษประหารชีวิต, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 289(4)(7) ลงโทษประหารชีวิต, ฐานแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานฯ จำคุก 1​ ปี สวมเครื่องแบบเจ้าพนักงานฯ จำคุก 1 ปี, ซ่อนเร้นทำลายศพฯ จำคุก 4 ปี

...แต่จำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 ทุกข้อหาคงจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้นตลอดชีวิตสถานเดียว

ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานสนับสนุนให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 4 - 6 มีความผิดฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายฯ​ (เรียกค่าไถ่) ลงโทษประหารชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต โดยจำเลยที่ 1 ให้นับโทษต่อจากคดีโอนหุ้นจำคุก 8 ปี ของศาลอาญากรุงเทพใต้


เครดิตภาพ : ไทยรัฐออนไลน์

ประกาศเคอร์ฟิวแบบ Hard Shutdown ทั่วประเทศเยอรมนี ตั้งแต่วันพุธที่ 16/12/2020 เป็นต้นไป​​

อย่างที่รู้กันว่า เมื่อไม่กี่ ชม ที่ผ่านมา รัฐบาลกลาง และผู้นำรัฐต่างๆของเยอรมันได้มีการประชุมถึงมาตรการที่เข้มงวดขึ้น และท้ายที่สุดก็ได้มีข้อตกลงกันออกมาว่า Hard Shutdown หรือเคอร์ฟิวแบบเข้มงวดที่จะเริ่ม มีผลบังคับใช้ระหว่างวันพุธที่ 16 ธันวาคมนี้ ถึงวันที่ 10 มกราคม 2021

ซึ่งหลักๆแล้วมาตรการที่ออกมาใหม่ ก็คล้ายกับต้นปีที่ผ่านมา ดังนี้ครับ:​

ร้านค้าทั้งหมดควรปิดตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคมถึง 10 มกราคม ยกเว้นร้านค้าที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิตของประชาชน กล่าวคือ ซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ตลาดรายสัปดาห์ รวมถึงร้านค้าปลีกอาหาร (ร้านเอเชียเป็นต้น) บริการรับ-ส่งอาหาร ตลาดเครื่องดื่ม ร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพ ร้านขายยา​ ร้านขายของสำหรับเด็กทารก, ร้านขายยา, ร้าน / ช่างแว่นตา, ร้าน / ช่างเครื่องช่วยฟัง, ปั้มน้ำมัน, เวิร์คช็อป / อู่รถยนต์, เวิร์คช็อป / อู่จักรยาน, ธนาคารและธนาคารออมสิน

(Einzelhandel für Lebensmittel, Wochenmärkte für Lebensmittel, Direktvermarkter von Lebensmitteln, Abhol- und Lieferdienste, Getränkemärkte, Reformhäuser, Babyfachmärkte, Apotheken, Sanitätshäuser, Drogerien, Optiker, Hörgeräteakustiker, Tankstellen, Kfz-Werkstätten, Fahrradwerkstätten, Banken und Sparkassen)

จำกัดการติดต่ออย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกับโรงเรียนและศูนย์รับเลี้ยงเด็กในช่วงเวลาดังกล่าว เด็ก ๆ ควร "ได้รับการดูแลที่บ้านให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้" ดังนั้นโรงเรียนจึงจะถูกปิดหรือพักการเรียนภาคบังคับ โดยเสนอให้เลี่ยงไปที่การดูแลฉุกเฉินและการเรียนทางไกลแทน (Notfallbetreuung und Distanzlernen) ​

เช่นเดียวกันสำหรับศูนย์รับเลี้ยงเด็ก โดยควรจะมีการเพิ่มเติมการให้บริการดูแลเด็กสำหรับพ่อแม่ และพ่อแม่ควรจะมีสิทธิ์ในการขอพักร้อนแบบที่ยังได้รับเงินเดือนปกติ (bezahlter Urlaub) เพื่อดูแลลูกในช่วงนี้ได้ ​

งานฉลองคริสต์มาสควรจัดขึ้นใน "แวดวงครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุด"​

ในวันคริสต์มาสตั้งแต่วันที่ 24 ถึง 26 ธันวาคม ทางรัฐจะอนุญาตให้มีการพบปะกับบุคคลเป็นจำนวนมากที่สุด 4 คนจาก "กลุ่มครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุด" รวมถึงบุตรหลานที่มีอายุไม่เกิน 14 ปี ​ จากเอกสารระบุว่า ​ กลุ่มครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุด ได้แก่ คู่สมรสและคู่ชีวิต (Lebenspartner) เช่นเดียวกับญาติสายตรงและสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา ตามมติดังกล่าว ​ อนุญาตให้มีการพบปะกันได้มากกว่า 2 ครัวเรือน หรือมากกว่า 5 คน หากเป็นกลุ่มคนดังกล่าว ​

วันส่งท้ายปีเก่าและวันปีใหม่ (Silvester und Neujahr) จะมีการห้ามการชุมนุมทั่วประเทศ และห้ามจุดพลุในที่สาธารณะ ซึ่งจะถูกกำหนดโดยเทศบาล และห้ามมีการขายพลุและดอกไม้ไฟอื่น ๆ ในปีนี้​

ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ - ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคมถึง 10 มกราคม หากมีการละเมิดจะถูกปรับเงิน​

งานด้านศาสนาของคริสตจักรในโบสถ์ มัสยิด วัดต่างๆ ตลอดจนการประชุมของชุมชนศาสนาอื่น ๆ จะได้รับอนุญาตก็ต่อเมื่อสามารถรักษาระยะห่างขั้นต่ำ 1.5 เมตรไว้ได้ ​ นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดบังคับใส่หน้ากาก ห้ามมิให้มีการร้องเพลงของชุมชน ​ หากคาดว่าจะมีการร้องเพลงอย่างเต็มรูปแบบ (สมาชิกวงมาทุกคนว่าง่ายๆ) จะมีการลงทะเบียนผู้ที่มาเยี่ยมชม​

ตามเอกสารนี้ จะมีการใช้มาตรการป้องกันพิเศษสำหรับบ้านพัก / ดูแลคนชรา ตลอดจนการบริการดูแลเคลื่อนที่ ​ รัฐบาลกลางจะให้ความช่วยเหลือพวกเขาด้วยหน้ากากป้องกันทางการแพทย์ ตลอดจนจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่าทดสอบโคโรนาอย่างรวดเร็ว (Corona-Schnelltests)​

นอกจากนี้รัฐต่างๆจะมีการบังคับการทดสอบหลายครั้งต่อสัปดาห์สำหรับเจ้าหน้าที่ในสถานดูแล / บ้านพักคนชรา ​ ในภูมิภาคที่มีตัวเลขเฉลี่ยผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ​ ผู้เข้าเยี่ยมจะต้องมีการแสดงผลการทดสอบโคโรนาเชิงลบในอนาคต​

บริษัทที่ให้บริการดูแลด้าน body care / Körperpflege จะต้องปิดให้บริการ นั่นรวมถึง ช่างทำผม สตูดิโอเครื่องสำอาง ร้านนวด และสตูดิโอสัก อย่างไรก็ตามการรักษาที่จำเป็นยังคงเป็นไปได้ ซึ่งนั่นหมายถึง ​ การทำกายภาพบำบัด ergo และ logotherapy รวมถึงการดูแลเท้า ( Physio-, Ergo und Logotherapien sowie Fußpflege)​

บริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการ Shutdown จะได้รับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น โดย "Überbrückungshilfe III / Bridging Aid III" ควรมีมูลค่าสูงสุดที่ 500,000 ยูโร ​ ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ที่ 200,000 ยูโร จำนวนเงินสูงสุดนี้มีไว้สำหรับบริษัทที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการ Shutdown

 

เพิ่มเติมนะครับ:

มีคนถามเข้ามาถึงมาตรการที่ออกด้านบนของรัฐของตน เลยเข้ามาเพิ่มให้ว่า ท้ายที่สุดแนะนำให้ทุกคนเช็คเวปของรัฐที่ตนอาศัยนะครับ ที่รู้แน่ๆ ณ ตอนนี้มี 3 รัฐ คือ

ใน Baden-Württemberg ประกาศออกมาตรการจำกัดการออกจากบ้านตั้งแต่วันเสาร์ที่ 12/12/2020 กล่าวคือ ถ้าไม่มีเหตุสำคัญ ห้ามออกจากบ้าน

ในรัฐ Sachsen เริ่มมาตรการ Lockdown ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14/12/2020 แล้ว คือ มีผลบังคับใช้ก่อนหน้าที่รัฐตกลงกัน และประกาศวันนี้เป็นเวลา 2 วัน

Markus Söder มุขมนตรีของรัฐบาวาเรีย / Bayern (CSU) ได้ประกาศออกมาตรการจำกัดการออกนอกบ้านในช่วงเวลากลางคืนอย่างเข้มงวดตั้งแต่เวลา 3 ทุ่มถึงตี 5 โดยมีผลบังคับใช้ทั้งรัฐ Bayern

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี Merkel และหัวหน้ารัฐต่างๆ จะทำการปรึกษาหารือกันอีกครั้งในวันที่ 5 มกราคม 2021 เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มเติมที่จะมีผลบังคับใช้หลังจากวันที่ 11 มกราคม 2021

มุมบ่นของอินทรีล่าสาร / สรุปบทความโดยย่อ

​​​อย่างที่คาดคิดกันไว้ว่า Hard Shutdown เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ยังไงเสียสำหรับคนที่อยู่ในเยอรมนี เราก็เคยเจอกันมาแล้วรอบนึง รอบนี้ก็หวังว่า จะไม่ตื่นตระหนกกันจนเกินไปนัก ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ลดลง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ทางรัฐจะต้องออกมาตรการเด็ดขาดแบบนี้ออกมา แต่มันก็ไม่ได้ต่างกับตอนต้นปีที่เราเคยเจอ เพราะฉะนั้นก็ขอให้ทำตามาตรการของรัฐกันอย่างเคร่งครัด เลี่ยงการพบปะผู้คนกันให้มากที่สุด ช่วยกันทำตัวมีความรับผิดชอบต่อสังคม นี่เป็นสิ่งที่เราช่วยกันได้คนละไม้คนละมือนะครับ และก็ขอให้เราพยายามอดทนกันอีกนิดครับ แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น วัคซีนก็จะออกมาให้เริ่มไล่ฉีดกันแล้ว สถานการณ์เดือนต่อเดือนก็จะค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆ เราก็ยังพอจะเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์กันนะครับ อย่าเครียดกันเกินไปนัก เดี๋ยวมันก็ผ่านไปครับ

จนกว่าจะถึงเวลาที่เราได้รับวัคซีนนั้น เราก็ยังจะต้องช่วยกันรักษากฏ AHA(A+L) เช่นเดิมนะครับ

​Abstand halten / การรักษาระยะห่าง ​

Hygiene beachten / การปฏิบัติตามกฏสุขอนามัย ​

Alltagsmaske (Mund-Nasen-Bedeckung) /ใส่หน้ากากทุกวัน(ปิดปากและจมูก) ​

รวมถึงเสริมเข้าไปอีก 2 ตัว คือ A - App สำหรับแอปเตือนเรื่อง Corona และ L - Lüften = การเปิดหน้าต่างระบายอากาศสม่ำเสมอเพื่อระบายอากาศ ​​​


อ้างอิง:​

https://cutt.ly/qhPXADG

https://cutt.ly/shP721E

ขอบคุณแหล่งที่มา : Facebook เยอรมันอินไซต์ - Germany Insights


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top