Tuesday, 1 July 2025
NEWS

หลังจากโควิด-19 ยังระบาดไม่เลิก ทำให้วิถีการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home กลายเป็นอีกทางเลือกของผู้คน พร้อมๆ ไปกับวิถีการเรียน และการเสพความบันเทิง ซึ่งเริ่มเป็นวัฒนธรรมใหม่ของหลายๆ คน ที่ต้องมาจบลงที่บ้านด้วยเช่นกัน

ฉะนั้นเมื่อการทำงาน การเรียน และบันเทิง ถูกบีบให้เกิดขึ้นในบ้าน ทำให้ผู้คนเริ่มมองหากลุ่มเทคโนโลยีที่ใช้ภายในบ้าน ซึ่งสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมดังกล่าวได้แบบครบจบ

เทคโนโลยี ‘สมาร์ทมอนิเตอร์’ (Smart Monitor) หรือจอภาพอัจฉริยะ กลายเป็นอีกนวัตกรรมที่ดูเหมือนผู้เล่นในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีต่างพัฒนาออกมากันมากขึ้น เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายภายในบ้านได้บนช่วงเวลาเดียวกัน

ล่าสุดซัมซุง ได้เปิดตัว สมาร์ทมอนิเตอร์รุ่น M5 และ รุ่น M7 นวัตกรรมจอภาพที่มาพร้อมกับความสามารถรอบด้าน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงาน เรียน รวมถึงรับชมคอนเท้นต์เพื่อความบันเทิงแบบครบ จบบนหน้าจอเดียว

สำหรับ Samsung M5 และ M7 ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งการทำงาน เรียน รวมถึงรับชมคอนเทนต์เพื่อความบันเทิงต่างๆ ที่บ้านของตัวเอง โดยสมาร์ทมอนิเตอร์ทั้ง 2 รุ่นสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ PC ได้ และยังมีฟีเจอร์ที่สนับสนุนการเรียนและทำงานทางไกล รวมไปถึงฟีเจอร์ Smart Hub หรือศูนย์รวมความบันเทิง แบบเดียวกับซัมซุงสมาร์ททีวีด้วย

สมาร์ทมอนิเตอร์ทั้ง 2 รุ่น สามารถเลือกเชื่อมต่อได้ทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ส่วนตัวได้เพียงแค่กดปุ่ม Tap View[1] App Casting หรือ Apple AirPlay 2 ไม่เพียงเท่านั้นผู้ใช้ยังสามารถใช้งาน Samsung DeX เพื่อประสบการณ์การใช้หน้าจอที่สมบูรณ์ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังเพิ่มความสามารถในการทำงานและการเรียนที่บ้านผ่านแอปพลิเคชัน Microsoft Office 365 ได้ตรงจากมอนิเตอร์โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับพีซี เพียงใช้ Wi-Fi ก็สามารถเรียกดู แก้ไข พร้อมเก็บเอกสารเหล่านั้นไว้บนคลาวด์ได้ง่ายยิ่งขึ้น และแม้ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่บ้านก็ยังสามารถเรียกดูโน้ตบุ้คที่อยู่ที่ทำงานได้ด้วยการเข้าถึงระยะไกล (Remote Access)

ไม่เพียงเท่านั้นยังใช้พอร์ต USB Type-C (เฉพาะรุ่น M7) ในการรับ-ส่งข้อมูล และเชื่อมต่อจอภาพพร้อมทั้งจ่ายไฟสูงสุดได้ถึง65Wแสดงให้เห็นว่าด้วยการเชื่อมต่อเพียงครั้งเดียวนี้ ส่งผลให้บริเวณรอบหน้าจอมอนิเตอร์นั้นเรียบร้อยและเป็นระเบียบ ซึ่งนอกจากลำโพง2ชาแนลที่ติดตั้งมาในหน้าจอ ยังมีพอร์ตUSBและบลูทูธ4.2ให้ผู้ใช้สามารถต่ออุปกรณ์อื่นๆ ได้อีกด้วย

ผู้ใช้สามารถรับชมความบันทิงแบบไร้ขีดจำกัดได้ด้วยSamsung Smart Hubในการรับชมคอนเทนต์โปรดทั้งในNetflix, HBOและYouTubeโดยไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้ PCหรือแล็ปท็อปแต่อย่างใด ส่วนรีโมทควบคุมกับลำโพงในตัวนั้นก็ช่วยให้เวลาสบายๆ ของคุณนั้นสบายได้มากขึ้นไปอีก ด้วยตัวช่วยอัจฉริยะBixbyทำให้ใช้ระบบสั่งการด้วยเสียงเพื่อสับเปลี่ยนการใช้งานแอปต่างๆ หรือควบคุมวิดีโอ

สมาร์ทมอนิเตอร์ M5 และ M7ยังถูกออกแบบมาให้รับชมคอนเท้นต์ได้สบายตายิ่งขึ้นด้วย Adaptive Picture ซึ่งเป็นเซนเซอร์ตรวจจับแสงรอบข้างเพื่อปรับความสว่างให้เข้ากับสภาพแวดล้อมภายในห้องโดยอัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้จะทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์รับชมที่ดีที่สุดในทุกๆ สภาพแวดล้อม ลดอาการดวงตาอ่อนล้าจากการจ้องหน้าจอเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังมีโหมด Special Eye-Saver เพื่อลดแสงสีฟ้าอีกด้วย

สำหรับสมาร์ทมอนิเตอร์ ทั้ง 2รุ่น วางจำหน่ายแล้วที่ร้านค้าJIB, Advice, IT City, Banana ITโดยM7มีขนาดหน้าจอ32นิ้ว (ราคา 12,900) รองรับความละเอียดระดับUltra-High Definition (UHD) ส่วน Smart Monitor M5 มีขนาดหน้าจอ 27 นิ้ว (ราคา 7,450) และ 32 นิ้ว (ราคา 8,550) รองรับความละเอียดระดับ Full HD (FHD)

กลายเป็นอีกประเด็นที่น่าจะทำเอาทีมโฆษก ศบค.ต้องกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ หลังจาก 'ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์' เจ้าของแนวคิด "การแก้ปัญหาของประเทศไทยอาจไม่ต้องอยู่กันเป็นรัฐเดี่ยวหรือรวมศูนย์ก็ได้ การแก้รัฐธรรมนูญอาจแก้มาตรา 1 ด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร"

กลายเป็นอีกประเด็นที่น่าจะทำเอาทีมโฆษก​ ศบค.ต้องกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่​ หลังจาก​ 'ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์'​ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เจ้าของแนวคิด​ "การแก้ปัญหาของประเทศไทยอาจไม่ต้องอยู่กันเป็นรัฐเดี่ยวหรือรวมศูนย์ก็ได้ การแก้รัฐธรรมนูญอาจแก้มาตรา 1 ด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร"

พูดง่ายๆ​ ก็คือ​ เธอผู้นี้เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 1 ซึ่งเท่ากับ ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก 'ราชอาณาจักร'  เป็น 'สหพันธรัฐ'​

โดยล่าสุด​ ดร.ชลิตา​ ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก​ Chalita Bundhuwong เกี่ยวกับการนำสถานการณ์โควิด-19 ในมาเลเซีย​ของ​ ศบค. มาสร้างความชอบธรรมในการมอบอำนาจแก่ทหารไทยตามชายแดน​ว่า

#ขอให้ทวีศิลป์อีกสักสเตตัสนะคะ

...ศบค. หมอทวีศิลป์ และผู้ช่วยโฆษกหมอนางงามทั้งหลาย พยายามปั่นเรื่องความรุนแรงของการติดโควิด-19 ในประเทศมาเลเซียมา 2-3 ครั้งแล้ว

โดยเอามาโยงกับเรื่องการรักษาความมั่นคงชายแดนของไทย เราสงสัยว่าทีมโฆษกไม่รู้สึกย้อนแย้งเวลาพูดบ้างเหรอ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2563 มามันน้อยๆ มาก เป็นสีเหลืองกันทั้งนั้น และส่วนใหญ่ติดจากสาเหตุหรือมาจากคลัสเตอร์อื่นไม่ใช่การข้ามแดนมา

ไม่มีใครปฏิเสธว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อในมาเลเซียสูงมากในแต่วัน และเราก็ไม่อยากให้มีคนข้ามแดนมาโดยไม่ผ่านการกักตัว แต่ทีมหมอโฆษกช่วย​ 'ลดความโอหัง'​ แล้วหันมาทำความเข้าใจเหตุปัจจัยตัวเลขนี้ของมาเลเซียสักหน่อยดีไหม?

รู้บ้างไหมว่ามาเลเซียทำการตรวจเชิงรุกประชาชนไปแล้วกี่ล้านคน (เยอะมากนะคะ) การแพร่เชื้อในแต่ละภูมิภาคในมาเลเซียสาเหตุที่แตกต่างกันอย่างไร และเคยตระหนักไหมว่ามาเลเซียกำลังสั่งซื้อวัคซีนอยู่กี่สิบล้านโดส (เรื่องวัคซีนนี่น่าอายมากๆ จนเราอยากเอาปี๊บคลุมหัวเมื่อคิดถึงของประเทศไทย)

...ตอนนี้รัฐไทยกำลังเอาเรื่องโควิดในมาเลเซียมาให้ทหารสร้างอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการชายแดน โดยขาดการตรวจสอบการและมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่อย่างรุนแรง

(ปล. ขอบคุณ อ.รุสนันท์  Rose Rosenun ที่ช่วยอัพเดทสถานการณ์ในมาเลเซียให้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ ศบค.พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ในมาเลเซียนั้นมันตื้นเขินเพียงใด)


ที่มา: เฟซบุ๊ก​ Chalita Bundhuwong

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ได้มีการประชุมกันครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2563

โดยมีวาระการพิจารณาผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ และที่ประชุมมีการลงมติให้ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งมีกรณีถูกร้องเรียนในการร่วมคณะของมหาวิทยาลัยการกีฬาไปดูงานในภาคพื้นยุโรปโดยที่ไม่มีตำแหน่งใดๆในมหาวิทยาลัยกีฬาเลยนั้น

ทั้งนี้ในการดำเนินการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ คณะกรรมการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ไม่มีการแจ้งประกาศ กำหนดวิธีการ ขั้นตอน และแนวปฏิบัติในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ไปยังหน่วยงานในสังกัดทั้งสำนักงานอธิการบดี คณะ วิทยาเขต และโรงเรียนกีฬา เพื่อให้มีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ โดยการให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ตามหลักธรรมาภิบาล ทำให้บุคลากรเสียสิทธิในการเสนอชื่อสมควรดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ

นอกจากนั้น การทำหน้าที่ 3 ตำแหน่งในเวลาเดียวกันของรักษาการอธิการบดี ซึ่งต้องไปทำหน้าที่ของรักษาการนายกสภามหาวิทยาลัย (นายกสภาฯ ลาออกไปเสียก่อน) เนื่องจากอธิการบดีเป็นอุปนายกของสภามหาวิทยาลัยด้วย จึงอาจเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนกันด้วย อีกทั้งรักษาการอธิการบดี ซึ่งทำหน้าที่รักษาการนายกสภามหาวิทยาลัย ถูกร้องเรียนก่อนหน้านี้หลายเรื่อง ซึ่งมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่1638/2563 เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ว่า เมื่ออธิการบดีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ย่อมมีลักษณะเป็นคู่กรณีในการพิจารณาทางปกครอง ซึ่งจะดำเนินการให้มีคำสั่งทางปกครองที่เกี่ยวข้องภายใต้อำนาจของสภามหาวิทยาลัยไม่ได้

ดังนั้นกระบวนการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ และมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2563 ที่มีมติให้ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ เป็นนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ จึงน่าจะขัดหรือแย้งต่อ ม.19 วรรคสาม ของ พรบ.มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ 2562 ดังได้กล่าวแล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ เพื่อสั่งให้มีการทบทวนการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัยดังกล่าว ในวันพุธที่ 20 ม.ค.63 เวลา 10.00 น. ณ. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถ.ราชดำเนินนอก เขตป้อมปราบฯ กทม.

กระทรวงการคลัง เปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง รอบเก็บตก 1.34 ล้านสิทธิ เริ่มวันที่ 20 มกราคม 2564 ระหว่างเวลา 06.00 น. - 23.00 น.

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงาน เศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะนำสิทธิที่เหลือของโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จำนวนรวม 1.34 ล้านสิทธิ มาเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพิ่มเติมในวันพุธที่ 20 มกราคม 2564

สำหรับการลงทะเบียนรอบเพิ่มเติมนี้ ผู้ที่ถูกตัดสิทธิโครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จากการไม่ใช้สิทธิภายใน 14 วัน สามารถลงทะเบียนได้ โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.คอม ระหว่างเวลา 06.00 น. - 23.00 น. จนกว่าจะครบจำนวน ซึ่งผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จและได้รับข้อความ SMS แจ้งยืนยันการได้รับสิทธิแล้วจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” รวมทั้งยืนยันตัวตนให้เรียบร้อยจึงจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ ทั้งนี้ จะเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2564 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564

นอกจากนี้ สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 18 มกราคม 2564 เวลา 21.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 13,655,380 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 66,967 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 34,260.9 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 32,760.1 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สงขลา เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช ตามลำดับ

โฆษกกระทรวงการคลังยังขอเน้นย้ำให้ประชาชนและร้านค้าปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการ และอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนตามโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ ของผู้ไม่หวังดีที่เสนอจะช่วยหาประโยชน์จากโครงการโดยไม่ได้ทำการซื้อขายสินค้าจริง เนื่องจากภาครัฐยังติดตามตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากตรวจพบจะดำเนินการระงับการจ่ายเงินทั้งฝั่งร้านค้าและประชาชนทันที รวมทั้งจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย

วิปรัฐบาล เสนอช่วงเวลาอภิปราย 4 วัน ให้ครม. พิจารณา ตั้งแต่ช่วงวันที่ 16 - 19 ก.พ. เป็นเวลา 4 วัน ย้ำ หากมีไฮไลท์อะไร ให้อภิปรายตั้งแต่วันแรกๆ ส่วนการพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ รัฐสภาจะนำเข้าพิจารณาวาระ 2 ช่วงวันที่ 24-25 ก.พ.

นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่าขึ้นอยู่กับฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายเมื่อใด ถ้ายื่นในวันที่ 25 ม.ค. คาดว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะจัดการอภิปรายได้ในช่วงกลางเดือนก.พ.

โดยวิปรัฐบาลได้เสนอช่วงเวลาอภิปราย 4 วัน ไปให้ครม.พิจารณา ได้แก่ ช่วงวันที่ 16 - 19 ก.พ. เป็นเวลา 4 วัน รวมกับวันลงมติ วันที่ 20 ก.พ. อีก 1 วัน รวมทั้งหมดเป็น 5 วัน หากฝ่ายค้านอยากได้เวลา 7 วัน คงต้องคุยกัน แต่คงเป็นไปได้ยาก เวลา 5 วันถือว่ามากแล้ว ถ้ามีไฮไลท์อะไร ให้อภิปรายตั้งแต่วันแรกๆ ไม่ใช่เอาแต่น้ำก่อน ส่วนเนื้อไว้ทีหลัง

ส่วนการพิจารณาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญนั้น คาดว่าร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รัฐสภา จะนำเข้าพิจารณาวาระ 2 ได้ ช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. จากนั้น จะปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 28 ก.พ. จึงคาดว่ากลางเดือนมี.ค.จะเปิดสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาลงมติร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในวาระ 3 รวมถึงพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประชามติด้วย แต่คงใช้เวลาเปิดสมัยวิสามัญไม่นาน ขณะนี้สภาฯมีโปรแกรมพิจารณาทั้งร่างกฎหมายต่างๆ กระทู้ต่างๆแน่นเอี๊ยด โดยจะต้องเร่งพิจารณาร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เสร็จโดยเร็ว

อุบัติเหตุเหมืองทองระเบิดที่จีน มีคนงานติดอยู่ภายในกว่า 22 คน ผ่านไป 1 สัปดาห์เหมือนจะหมดหวังผู้รอดชีวิต แต่แล้วก็มีปาฎิหารย์ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงสัญญาณขอความช่วยเหลือจากผู้รอดชีวิตภายในเหมืองจนได้

ในช่วงเวลานี้ ที่เมืองจีนกำลังติดตามข่าวอุบัติเหตุเหมืองทองหูชาน ในมณฑลชานตง ซึ่งเป็นเหมืองทองของบริษัท ชานตง อู๋ไชหลง บริษัทเหมืองทองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน ได้เกิดระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา ความรุนแรงของแรงระเบิดทำให้เหมืองถล่มปิดทางออก และระบบสัญญาณสื่อสารภายในเหมืองถูกตัดขาด แต่ข่าวร้ายที่สุดของเหตุการณ์นี้คือ มีคนงานเหมืองติดอยู่ข้างในถึง 22 คน

หลังจากที่ทีมกู้ภัยจีน พยายามขุดเจาะ มองหาสัญญาณชีพของคนงานเหมืองที่ยังติดอยู่ภายใน ด้วยการส่งเชือก อาหาร กระดาษ ปากกา เข้าไปในโพรง ที่คาดว่าจะส่งถึงคนงานเหมือง ผ่านไปนานถึง 1 สัปดาห์ ก็มีเสียงเคาะโลหะดังจากภายใน และมีจดหมายผูกปลายเชือกส่งกลับมาให้ถึงทีมกู้ภัยว่า พวกเขายังมีชีวิตอยู่ กำลังรอความช่วยเหลือ โปรดอย่าท้อถอยที่จะตามหาพวกเขา

ข้อความในจดหมายของคนงานเหมืองทำให้ทราบถึงสถานการณ์ภายในเหมือง ว่ามีคนงานในกลุ่มนี้อยู่ 12 คน ยังไม่มีใครเสียชีวิต แต่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน ซึ่งคนงานเหมืองก็ได้ระบุให้ช่วยส่งยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ และผ้าพันแผล มาให้เพื่อนที่บาดเจ็บด้วย

ส่วนคนงานเหมืองที่ยังสูญหายอีก 10 คนนั้น ยังคงไม่รู้ชะตากรรม

แต่ก็ถือว่าเป็นข่าวดี และเป็นความหวังสำหรับครอบครัวของชาวเหมือง และทีมกู้ภัยว่าอาจพบคนงานที่เหลืออีก 10 คนเช่นกัน

อุบัติเหตุในอุตสาหกรรมทำเหมืองของจีน มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และหลายครั้งก็จบลงด้วยความสูญเสียของคนงานเหมืองเป็นจำนวนมาก ที่ส่วนมากเกิดจากความบกพร่องเรื่องการปฏิบัติตามขั้นตอนตามมาตรฐานความปลอดภัย

อุบัติเหตุในเหมืองครั้งร้ายแรงที่สุดของจีน ที่เคยมีบันทึกไว้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1942 ที่เหมืองถ่านหินในเมืองเปิ่นซี มณฑลเหลียวหนิง เมื่อเกิดการระเบิดของแก๊ส และถ่านหินภายในเหมือง ทำให้คนงานเหมือง 1,549 คน เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น นับเป็นอุบัติเหตุในเหมืองครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก

และในปี 2020 ที่ผ่านมา ก็เกิดอุบัติเหตุในเหมืองของจีนถึง 9 ครั้ง ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม เมื่อมีก๊าซพิษคาร์บอนมอนนอกไซด์ รั่วภายในเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่ง ในมณฑลฉงชิ่ง ทำให้มีคนงานเหมืองเสียชีวิตถึง 23 คน

ส่วนเหตุการณ์เหมืองทองคำระเบิดที่ชานตงในครั้งนี้ นับเป็นอุบัติเหตุในอุตสาหกรรมเหมืองครั้งแรกของปี 2021 ที่กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมจีน ถึงมาตรฐานความปลอดภัยของเหมืองจีน และการประสานงานที่ล่าช้าของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจีน ทำให้ทีมกู้ภัยเข้าไปถึงพื้นที่ช้ากว่าที่ควรจะเป็นถึง 30 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ

จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้บริหารของเหมืองทอง สาขาชานตง ถูกไล่ออก 2 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น และนายกเทศมนตรี ก็โดนไล่ออกเช่นกัน


แหล่งข่าว

https://gulfnews.com/world/asia/12-workers-trapped-a-week-ago-in-china-mine-blast-are-alive-send-note-to-rescuers-1.1610960903984

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55700021

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (19 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 171 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,594 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 70 ราย รักษาหายเพิ่ม 150 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,356 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,168 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 171 ราย เป็น ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากไต้หวัน 1 ราย ,ตุรกี 1 ราย ,เบลเยียม 1 ราย,สหราชอาณาจักร 1 ราย ,ฝรั่งเศส 2 ราย ,สาธารณรัฐเช็ก 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 1 ราย ,ญี่ปุ่น 2 ราย ,มาเลเซีย 2 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 33 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 125 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 441 ราย รักษาหายแล้ว 386 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.17 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.46 แสน เสียชีวิต 26,282 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.62 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.22 แสน ราย เสียชีวิต 605 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.35 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.18 แสน ราย เสียชีวิต 2,973 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.03 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.66 แสน ราย เสียชีวิต 9,909 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,127 ราย รักษาหายแล้ว 58,868 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,539 ราย รักษาหายแล้ว 1,402 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ศาลอาญา สั่งจำคุก 87 ปี ‘อัญชัญ ปรีเลิศ’ อดีตข้าราชการซี 8 กรมสรรพากร ใช้ยูทูปและเฟซบุ๊ก แพร่ข้อมูลหมิ่นเบื้องสูง ผิด ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่ลดโทษเหลือ 29 ปี 174 เดือน

ศาลอาญา สั่งจำคุก 87 ปี ‘อัญชัญ ปรีเลิศ’ อดีตข้าราชการซี 8 กรมสรรพากร ใช้ยูทูปและเฟซบุ๊ก แพร่ข้อมูลหมิ่นเบื้องสูง ผิด ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่ลดโทษเหลือ 29 ปี 174 เดือน

เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (19 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.3065/2562 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นางอัญชัญ ปรีเลิศ อดีตข้าราชการกรมสรรพากร ซี 8 เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14

โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2558 โดยอัยการศาลทหารกรุงเทพอาศัยอำนาจตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 37/2557 เรื่องความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหารลงวันที่ 25 พ.ค. 2557 ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 38/2557 เรื่องคดีที่ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่างเกี่ยวโยงกันให้อยู่ในอำนาจของศาลทหาร ได้ยื่นฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้ใช้งานเว็บไซต์ www.youtube.com ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงได้

โดยการใช้นามแฝง anchana siri, มารี รูท, un un และเป็นผู้ใช้งานเว็บไซต์ Facebook.com ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยใช้นามแฝงว่า Petch Prakery กระทำความผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกันในระหว่างประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมจำเลยได้ พร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้กระทำผิดหลายรายการยึดเป็นของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระหว่างที่ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติทั้งสองฉบับใช้บังคับต่อศาลทหารกรุงเทพเป็นคดีดำที่ 194/2559 เหตุเกิดที่แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน, แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน จำเลยให้การรับสารภาพ

ภายหลังหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีคำสั่งที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 ก.ค. 2562 ให้คดีซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลทหารกรุงเทพ 65 สำนวน รวมถึงสำนวนคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงมีหนังสือโอนคดีนี้มายังศาลยุติธรรมและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลทหารกรุงเทพ

ในวันนี้ นางอัญชัญ อดีตข้าราชการกรมสรรพากร จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมทนายความและบุคคลใกล้ชิดหลายคน

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1) (3) (5) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม ฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์พระราชินีหรือรัชทายาท กับฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นเท็จและเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 87 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 29 ปี 174 เดือน


ที่มา : mgronline

วันนี้คงมีประเด็นตอบโต้กันหนักหน่วง หลังจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เปิดประเด็นวัคซีนโควิด ที่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจากบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เข้ามาเกี่ยว จนทำให้ถูกวิจารณ์ และโต้กลับจากผู้เห็นต่าง

ล่าสุด ก้าวไกลต้อ’เริ่มออกมาเคลื่อนไหว เพื่อป้องนายธนาธร โดย นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึง การให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน กรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จัดรายการผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อคืนนี้ โดยมีการพูดถึงที่มาที่ไปของวัคซีนโควิด-19 และอธิบายความเชื่อมโยงของผลประโยชน์ของบริษัทผู้ผลิตวัคซีน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวท่อนนึงว่า หากต้องการให้ทุกสิ่งทุกเป็นไปอย่างที่ตนคิดก็ให้เข้ามาบริหารประเทศให้ได้ก่อน

"ผมอยากสื่อสารไปยังนายอนุทินว่าคุณไม่ควรพูดอะไรที่ขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริง คุณเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ยังซื้อหูเง่าจากพรรคที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งแรกเพื่อเสริมพรรคตัวเองอยู่เลยและการเข้าถึงอำนาจบริหารของคุณเองก็ใช้วิธีที่คุณคุ้นเคยเพื่อขออำนาจมาตลอด

"ดังนั้นหากการเข้าสู่อำนาจบริหารประเทศด้วยวิธีการแบบที่คุณอนุทินทำมาตลอดชีวิตทางการเมือง เราคงไม่ทำครับมันไร้ศักดิ์ศรี

"แม้การสู้กันในเกมที่เป็นกติกาของพวกคุณจะยากแต่อย่างน้อยภูมิใจ เพราะไม่ต้องเอาลิ้นไปติดขนหน้าแข้งใคร" ณัฐชา กล่าว

คนเนรคุณสองแผ่นดิน!! 'ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์' จวก 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' ด้อยค่า ด่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เลิก แต่ตัวเองไม่เคยเสียสละทำอะไรเพื่อแผ่นดิน

“ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์” ดีกรี ด็อกเตอร์ ด้าน Psychometrics and Quantitative Psychology จากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่พยายามดิสเครดิตสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เลิก แต่ตัวเองไม่เคยเสียสละทำอะไรเพื่อแผ่นดิน โดยเฉพาะกับกรณีบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่เปิดขึ้นมาแล้วมีแต่ขาดทุน ทั้ง ๆ ที่การขาดทุนนี้คือกำไร เพราะพระเจ้าแผ่นดินทรงเสี่ยงที่จะลงทุนไปมากมาย เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม

ไอ้ตี๋เนรคุณสองแผ่นดิน มีสันดานจ้องหาเรื่องด่าอย่างเดียว

โดยเอากำพืดสันดานธุรกิจในครอบครัวที่เป็นเทคโนโลยีชั้นต่ำ กำไรสูงสุด โดยการยอมเป็นขี้ข้าญี่ปุ่น มาโดยตลอด (เพราะรับจ้างผลิตแต่สินค้าเทคโนโลยีชั้นต่ำ พอสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี ก็อาศัยจังหวะเลย์ออฟพนักงานเอาตัวรอด เยี่ยงนายทุนเลวๆ ได้)

การผลิตยาที่เป็นชีววัตถุ อันมีเทคโนโลยีขั้นสูงมาก ที่ไม่มีโรงงานยาโรงงานไหนในประเทศไทยกล้าลงทุน เพราะไม่รู้ว่าจะคุ้มทุนหรือไม่

มีโรงงานเดียวในประเทศไทยที่ผลิตและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงขนาดนี้ได้

บริษัทของครอบครัวที่ออกมาด่าก็ไม่มีปัญญาจะทำได้หรอกครับ ได้แต่เห่า คิดแต่กำไร ขาดทุน ไม่ได้คิดถึงประเทศและประชาชนหรอก มันก็แค่นายทุนนิยมสามานย์ก็แค่นั้น

ไม่ใช่โรงงานบางคน แค่มาจากทำหนังหุ้มเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ไปจนสายไฟในรถยนต์ แต่ถามว่าป่านนี้สามารถผลิตเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลสำหรับรถวิ่งได้เองได้หรือไม่ คำตอบคือยังหลังเขา เป็นแค่คนผลิตอะไหล่ให้เขา ไม่ได้พึ่งพาตนเองได้หรอกครับ

แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงคิดและทำอย่างที่เรียกว่าขาดทุนคือกำไร สยามไบโอไซนส์ ขาดทุนมาเยอะมาก ห้าร้อยกว่าล้านบาท ไม่มีกำไรอะไรเลยสักนิดเดียว เพื่ออะไร

เพื่อเวลาที่เกิดวิกฤติอย่างโควิดนี่อย่างไรครับ เราถึงผลิตวัคซีนเองได้ โดยเขาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ เพราะเราทำได้เอง เราเก่งพอที่จะรับความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงมาได้ มาทำเองได้ พึ่งพาตนเองได้ ในราคาที่ถูกกว่า เข้าถึงได้มากกว่า

ขาดทุนคือกำไร พระเจ้าแผ่นดินทรงเสี่ยงที่จะลงทุนไปมากมาย เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม โดยเฉพาะเวลาวิกฤติเช่นนี้ ทำให้เราเข้าถึงวัคซีนได้ในราคาที่ถูกมากที่สุด เพราะเรารับถ่ายทอดนวัตกรรมที่เป็นพรมแดนแห่งความรู้ของโลกแล้วเราทำต่อเองได้ ผลิตเองได้

นวัตกรรมใหม่ขนาดนี้ เสี่ยงสูงมาก ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าเจ้าไหน จะสำเร็จก่อนหรือหลัง มีเป็นร้อยๆ เจ้านะครับที่ทำวิจัยวัคซีนโควิด-19 ถ้าประเทศไทยมีเงินถุงเงินถังก็ซื้อทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรมมาไว้ก่อนทั้งหมด แต่ใครจะไปเสียเงินมากมายขนาดนั้น และถ้าจะต้องเสียขนาดนั้น ก็จะมีเสียงนกเสียงกา เสียงห่าเสียงเหว ออกมาเห่ามาหอนอีกว่าไม่คุ้มอีก

แล้วอีกอย่างการพัฒนาวัคซีนก็มีขั้นตอนต้องทดสอบหลายขั้น จนมั่นใจว่าได้คุณภาพมาตรฐานจริงๆ

รัฐบาลจะไม่ซื้อกับสยามไบโอไซนส์ก็ได้แหละครับ แต่จะต้องซื้อในราคาที่แพงกว่านี้มาก และในเวลานี้ก็ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อได้ ประเทศร่ำรวยเขาลงเงินจองไปหมดแล้ว

ทำไมไม่เอาเงินของครอบครัวมันที่ร่ำรวยนักหนา จากการบุกรุกที่ป่าไม้ จากการโกงภาษีเรือยอชท์ จากการกดขี่เอาเปรียบไล่ออกพนักงาน จากการจ่ายสินบนที่ดินของพระราชา มาผลิตและซื้อวัคซีนแจกจ่ายประชาชนบ้าง

ไม่เห็นมันจะทำห่าอะไรเลย นอกจากเห่า

มือไม่พาย ยังเอาปากสำราก เอาตีนราน้ำ

เอาเวลาไปเตรียมจบที่คุกเถิด ไอ้คนเนรคุณสองแผ่นดิน

สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เตรียมขึ้นทะเบียนห้องแล็บทดสอบตามมาตรฐานการจัดการห้องแล็บที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของสากล สำหรับทดสอบกัญชาเป็นรายแรกของประเทศไทย ภายในเดือนมี.ค. 2564 นี้

นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษา รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เตรียมขึ้นทะเบียน ห้องแล็บศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นห้องแล็บทดสอบตามมาตรฐานการจัดการห้องแล็บที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของสากล สำหรับทดสอบกัญชาเป็นรายแรกของประเทศไทย ภายในเดือนมี.ค. 2564 นี้

ทั้งนี้ การรับรองห้องแล็บของ สวทช. ครั้งนี้จะเป็นไปตามมาตรฐาน มอก.17025-2561 หรือมาตรฐาน ISO/IEC 17025-2017 เพื่อวิเคราะห์สารสกัดจากกัญชา ซึ่งถือว่าเป็นห้องปฏิบัติการที่มีความน่าเชื่อถือ โดยกระบวนการตรวจประเมินความสามารถห้องปฏิบัติการ ดำเนินการโดยคณะผู้ตรวจประเมินของสมอ. ที่มีความเชี่ยวชาญ

“การได้รับการรับรองมาตรฐาน จะมีส่วนสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าที่ผ่านการทดสอบจากห้องแล็บนี้ ว่ามีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด มีความปลอดภัยต่อการนำไปใช้ ขณะเดียวกันก็สามารถนำผลการทดสอบมาใช้เพื่อส่งสินค้าออกนอกประเทศ โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบซ้ำจากคู่ค้าหรือประเทศปลายทาง ทำให้เกิดความคล่องตัว น่าเชื่อถือ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย”

‘กระทรวงแรงงาน’ เตือนแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง อย่าหลงเชื่อนายหน้าเถื่อน หลอกเดินเรื่องทำเอกสารต่อวีซ่า/ขออนุญาตทำงาน พร้อมเผยกระบวนการมีทั้งคนไทยและคนต่างด้าวหลอกลวงกันเอง อาศัยความไม่รู้ข้อมูล และชูความสะดวกสบายเป็นจุดขาย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายและมาตรฐานสากล และการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจแรงงานกลุ่มเสี่ยงและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงานอย่างเข้มงวด เพื่อขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล และยกระดับประเทศไทยสู่ Tier 1 ในปี 2564

“กระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญในการดูแลคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยทั้งของผู้ใช้แรงงานไทย และแรงงานต่างด้าว อย่างเท่าเทียมกัน จึงขอเตือนให้แรงงานต่างด้าวหาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจใช้บริการนายหน้าที่อ้างว่า สามารถติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าว และหน่วยงานราชการไทย เพื่อดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทาง การต่ออายุวีซ่า และใบอนุญาตทำงานได้ เนื่องจากปัจจุบันเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ทำให้ต้องมีมาตรการลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น เว้นระยะห่างจากผู้อื่น เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อ แรงงานต่างด้าวและนายจ้างจึงหันไปใช้บริการสาย/นายหน้าให้ดำเนินการแทน มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสูงเกินจริง และอาจถูกหลอกลวงได้ ซึ่งนายจ้างและแรงงานต่างด้าวสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศที่ถูกกฎหมายกับกรมการจัดหางานได้“ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า บริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ (บริษัทนำเข้า) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 250 แห่ง เป็นผู้รับอนุญาตฯ ที่บริษัทตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 75 แห่ง และส่วนภูมิภาค 175 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มกราคม 2564)

“กรมการจัดหางาน จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจัง หากพบผู้กระทำผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ หรือสามารถหาลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวให้กับนายจ้าง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง จะต้องระวางมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 600,000 - 1,000,000 บาท ต่อคนต่างด้าว 1 คน หรือทั้งจำทั้งปรับ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานฯที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ได้ที่ www.doe.go.th หรือแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ ที่ถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวง สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการด้วย

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 รอบสองว่า น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อเนื่องจากการเคลื่อนไหวปีที่แล้ว

ที่มีการชุมนุมกดดันรัฐบาล และได้ยกระดับการชุมนุมขึ้นตามลำดับ จึงทำให้มีการนัดชุมนุมอีกครั้ง น่าจะมาจากเหตุผล​ 5​ ประการ คือ

1.กลุ่มคณะราษฎร กำลังถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินการจับกุมแกนนำ โดยใช้ข้อหาการกระทำผิดมาตรา 112 จากการชุมนุมทางการเมืองในหลายครั้งที่ผ่านมา

2.กลุ่มคณะราษฎรต้องการเคลื่อนไหว เพื่อตอบโต้การจับกุมแกนนำจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ต้องการให้เป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียวจึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวกดดัน ตอบโต้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย

3.เป็นการเคลื่อนไหวภาคประชาชนควบคู่กับการเคลื่อนไหวในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยกเลิกการใช้มาตรา 112 คู่ขนานกับข้อเรียกร้องของพรรคก้าวไกลและกลุ่มคณะก้าวหน้า ที่ต้องการให้มีการแก้ไข มาตรา112

4.เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อรักษามวลชน หลังจากว่างเว้นการชุมนุมมาตั้งแต่ช่วงปลายปี และได้ประกาศว่าจะยกระดับการชุมนุมหลังปีใหม่ แต่เมื่อติดสถานการณ์โควิด19 ระบาดรอบสอง จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุมใหม่

5.กลุ่มคณะราษฎรได้ปรับรูปแบบการชุมนุม โดยเน้นการชุมนุมในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าปริมาณ โดยหวังขยายผลการชุมนุมทางออนไลน์ มากกว่าการชุมนุมบนท้องถนน

ส่วนตัวเชื่อว่าการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร กำลังรอคอยเวลา สั่งสมมวลชน เมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิด19 ลดน้อยลง ก็จะมีการระดมมวลชนยกระดับการชุมนุมขึ้นมาอีก และจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าจากการเคลื่อนไหวประเด็นการยกเลิกมาตรา 112 กับกลุ่มผู้สนับสนุนให้มีการบังคับใช้มาตรา 112 อีกต่อไป ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น จึงอยากจะให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และผู้รับผิดชอบ ไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท หรือประเมินมวลชนต่ำเกินไป ต้องเตรียมมาตรการรับมือกับการชุมนุมของมวลชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย

‘ธนกร’ จวก ‘ธนาธร’ มือไม่พายก็อย่าเอาเท้าราน้ำ แจงวัคซีนโควิดไม่ใช่เอาเร็วเข้าว่า แต่ต้องได้มาตรฐาน เพราะประเทศไทยไม่ใช่หนูทดลอง ย้ำนายกฯ พูดชัด เปิดกว้างท้องถิ่น-เอกชนจัดหาได้ ย้อนอย่าความจำสั้น รัฐบาลเสียเวลาแก้ปัญหาม็อบเพราะใครแอบสนับสนุน

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ประเทศไทยยังไม่มีการเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 เพราะรัฐบาลประมาทที่ไม่ได้เร่งจัดหาตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมทั้งครอบคลุมประชาชนน้อยกว่าว่า รัฐบาลพยายามจัดหาวัคซีนที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ว่าคว้าได้ก็รีบคว้าไว้ก่อน แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนด้วย

เหมือนกับที่ท่านายกฯ พูดไว้ว่า จะไม่ยอมให้ประเทศไทยเป็นหนูทดลองเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้ตัดโอกาสการพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ในการจัดหาวัคซีน และเปิดกว้างให้ท้องถิ่นและภาคเอกชนสามารถจัดหาวัคซีนเองได้ด้วย แต่ต้องผ่านมาตรฐานของ อย. โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ครอบคลุมประชาชนให้ได้มากที่สุด และเร็วที่สุดอยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่นายธนาธรระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะรับผิดชอบไหวหรือไม่หากประชาชนเกิดอาการแพ้วัคซีน หรือวัคซีนมีประสิทธิภาพไม่ได้ตามเป้าหมายนั้น นายธนกรกล่าวว่า นายธนาธรสับสนกับคำพูดตัวเองอยู่หรือเปล่า ตอนแรกก็บอกว่าให้จัดหาวัคซีนให้เร็ว ซึ่งรัฐบาลก็กำลังดำเนินการอยู่ แต่ก็มาบอกว่าจะรับผิดชอบอย่างไรถ้าวัคซีนประสิทธิภาพไม่ได้ตามเป้าหมาย

ตกลงแล้วนายธนาธรจะเอาอย่างไรกันแน่ จะเอาเร็ว หรือเอาชัวร์กันแน่ คุยกับตัวเองให้รู้เรื่องและตกผลึกก่อนแล้วค่อยออกมาวิจารณ์จะดีกว่า เพราะมีแต่จะยิ่งทำให้ประชาชนสับสนและกลายเป็นตัวตลกไปเปล่าๆ ซึ่งตนไม่แปลกใจที่การเลือกตั้งนายกอบจ.ที่ผ่านมา ผู้สมัครของคณะก้าวหน้าจะไม่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเข้ามา ก็เพราะประชาชนเขาอาจจะสับสนกับคำพูดของนายธนาธรที่ไปช่วยหาเสียงหรือไม่ว่า สุดท้ายนายธนาธรต้องการสื่อสารอะไรกันแน่

ส่วนกรณีที่นายธนาธรระบุว่า ถ้าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ ต้องเดินเกมตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2563 และไม่นำเรื่องวัคซีนโควิดมาหวังผลสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองก่อนผลประโยชน์ของประชาชนนั้น นายธนกรกล่าวว่า นายธนาธรแกล้งลืมหรือความจำสั้น ครึ่งแรกของปี 2563 รัฐบาลก็ทำงานมาตลอด แต่มีนักการเมืองบางคน พรรคการเมืองบางพรรคไม่ใช่หรือ ที่สนับสนุนให้มีการชุมนุมเรียกร้องบนท้องถนน

ซึ่งถ้าช่วยกันตั้งแต่ตอนนั้น ไม่หน้าอย่างแต่ลับหลังอย่าง รัฐบาลก็คงบริหารจัดการสถานการณ์ได้เร็วกว่านี้ อย่าเอาดีใส่ตัว แต่เอาชั่วโยนใส่ให้คนอื่นแบบมั่วๆ เมื่อนายธนาธรไม่เคยคิดจะช่วยมาตั้งแต่ต้น อย่างน้อยก็น่าจะสำนึกบ้างโดยไม่ออกมาสร้างความสับสน หรือเอาเท้าราน้ำให้เสียเวลาเปล่าๆ จะดีกว่า

หลังจากมีการปั่นกระแสถึง บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งจะเป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 ราคาย่อมเยาว์ เพื่อให้คนไทยได้ใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพอย่างแพร่หลาย ในเชิงเกี่ยวเนื่องกับการเอื้อผลประโยชน์เอกชนที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ถือหุ้นหลัก จนเกิดความเข้าใจผิด

บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งจะเป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 ราคาย่อมเยาว์ เพื่อให้คนไทยได้ใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพอย่างแพร่หลาย ในเชิงเกี่ยวเนื่องกับการเอื้อผลประโยชน์เอกชนที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ถือหุ้นหลัก จนเกิดความเข้าใจผิดของประชาชนจำนวนไม่น้อย

ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Boriphat Sangpakorn ได้โพสต์บอกเล่าข้อเท็จจริงของ “สยามไบโอไซเอนท์” ดังนี้

“2562 ครบรอบ 10 ปี สยามไบโอไซเอนซ์ ตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนกระทั่งปีปัจจุบัน บริษัท #ยังไม่เคยทำกำไรแม้แต่บาทเดียว และยังขาดทุนสะสมมาแล้วไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งกินทุนไปแล้วถึง 1/5

สยามไบโอไซเอนซ์ ผลิตยาประเภท biosimilars ซึ่งเป็นยาที่เป็นโปรตีน ไม่ใช่ยาเคมีสังเคราะห์ ดังนั้นหลักการผลิตยา จึงเป็นการผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึง(ไม่สามารถก๊อปร้อยเปอร์เซ็นได้เหมือนยาเคมี) การผลิตยาชีววัตถุจึงเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไทยไม่เคยทำมาก่อน

จุดกำเนิดของสยามไบโอไซเอนซ์ มาจากการที่อาจารย์หมอจากมหาวิทยาลัยมหิดลไปจูงมือสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาทำ โดยสำนักทรัพย์สินออกทุนทั้งหมด และคณะแพทย์ฯ ศิริราช เป็นหุ้นส่วนฝ่ายการวิจัยและพัฒนา

ดังนั้นในส่วนของสำนักทรัพย์สินจึงได้จดทะเบียนบริษัทเอเพ็กซ์เซล่ามาดูแลการจัดจำหน่าย(ขาดทุนทุกปี ปีละ 20-30 ล้าน เพิ่งรับรู้กำไรปีแรก 2561 จำนวน 4 ล้านบาท และ 2562 กำไร 39 ล้านบาท รวมๆ แล้วเฉพาะเอเพ็กซ์เซล่า ก็ยังขาดทุนสะสมร่วมร้อยล้านบาทอยู่)

ด้านสยามไบโอไซเอนซ์ สำนักทรัพย์สินมอบหมายให้อาจารย์เสนาะ อูนากูล เป็นประธานกรรมการ ซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นกรรมการ SCC จึงทำให้มีการดึงทีมบริหารจาก SCC มาดูแลสยามไบโอไซเอนซ์ เนื่องจากต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีการผลิต เพราะเป็นเทคโนโลยีการผลิตยาชีววัตถุ เป็นสิ่งที่ภายในประเทศไม่เคยมีมาก่อนเลย

ความใหม่ของเทคโนโลยีและองค์ความรู้ จึงส่งผลให้สยามไบโอไซเอนซ์ต้องแสวงหาพันธมิตร คือร่วมมือกับ CIMAB รัฐวิสาหกิจของคิวบา เพราะประเทศคิวบาเป็นชั้นแนวหน้าของโลกในอุตสาหกรรมยาชีววัตถุ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งความร่วมมือในส่วนนี้จึงขยายผลให้มีการร่วมทุนกันตั้งบริษัทเอบินิสแยกมา ทำโรงงานผลิตเพื่อป้อนยาชีววัตถุให้กับคิวบาและการส่งออกไปต่างประเทศ ด้วยสัดส่วนการลงทุน 70/30 (สยามไบโอไซเอนซ์/คิวบา)

ดังนั้นตัวโรงงานของสยามไบโอไซเอนซ์จึงมาตราฐานสูงมาก เพราะนายทุน(ทุนลดาวัลย์) กระเป๋าหนัก จึงออกแบบโรงงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมสูง ได้มาตราฐานทั้ง PIC/S และ GMP ต้นทุนโรงงานจึงสูงหลายพันล้านบาท บริษัทต้องเพิ่มทุนไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ปัจจุบันทุนจดทะเบียนกว่า 4.8 พันล้านบาท เรียกว่าลงทุนชาตินี้ กำไรชาติไหนก็ช่าง

ภายใต้พื้นที่ 36 ไร่ ของที่ตั้งโรงงาน ภายในตัวโรงงานได้จัดเนื้อที่ 1,600 ตารางเมตร สำหรับเป็นห้องปฏิบัติการเพื่อการวิจัย การวิเคราะห์และควบคุมคุณภาพ โดยครอบคลุมวิธีการทดสอบและตรวจวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับยาชีววัตถุในทุกด้าน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพและทางเคมี (physico-chemical), ลักษณะทางชีวภาพ (biological), และ ลักษณะทางชีวกายภาพ (biophysical analysis) โดยโรงงานออกแบบมาเพื่อให้มีความผสมผสานกับสิ่งแวดล้อมโดยมีพื้นที่มากกว่า 30% เป็นพื้นที่สีเขียวและเป็นโรงงานที่ไม่มีการปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อม (Zero Emission)

ปัจจุบันยาชีววัตถุวิจัยสำเร็จแล้ว 6 รายการ และได้รับการรับรองแล้ว 2 รายการ คือ ยาเพิ่มเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล(filgrastim) และยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง(erythropoieth-alfa) โดยมีสายการผลิตอยู่ที่ 1 ล้านโดสต่อปี สามารถทดแทนความต้องการภายในประเทศได้ 1/4 ทำให้รัฐหั่นต้นทุนการนำเข้ายาลงมาได้กึ่งหนึ่ง กล่าวคือประหยัดเงินงบประมาณแผ่นดินปีละ 3 พันล้านบาท แม้ปัจจุบันสยามไบโอไซเอนซ์จะขาดทุนต่อปีที่ 70 ล้านบาท ต่อไปก็ตาม

การผลิตวัคซีนโควิท เป็นความร่วมมือระหว่างอังกฤษกับไทย โดยที่ฝ่ายอังกฤษเป็นผู้เลือกเอง เพราะฝ่ายนั้นเขามีฐานการวิจัยและการอุดหนุนจากองค์การอนามัยโลกอยู่แล้ว ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงมีหน้าที่เอาโรงงานที่มีอยู่ในมือใส่พานประเคนให้เลือก

ผมจำไม่ได้ว่าอ่านเจอที่ไหนว่าไทยเสนอไปกี่โรงงาน ซึ่งเข้าใจว่าหนึ่งในนั้นมี บริษัทองค์การเภสัชกรรม เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ รวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง องค์การเภสัชกรรมร่วมทุนกับโซนาฟี่ปาสเตอร์(บริษัทผลิตวัคซีนอันดับต้นๆ ของโลก จากฝรั่งเศส) ทำโรงงานผลิตวัคซีนในไทยมานาน 20-30 ปีมาแล้ว แม้ชื่อบริษัทจะมีคำว่าชีววัตถุ แต่ไม่ได้ผลิตยาชีววัตถุ เพราะผลิตเพียงแค่วัคซีน

วัคซีนโควิท มีด้วยกันตามที่เข้าใจตอนนี้ คือ 3 ชนิด กล่าวคือ ชนิด mRNA อย่างของไฟเซอร์ในอเมริกา การดูแลรักษาและขนส่งยุ่งยาก แม้จะผลิตได้จำนวนมาก แต่ก็ยังต้นทุนสูง

ชนิดไวรัส vector แบบของแอสตราเซนเนกา ของอังกฤษ ผมไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเป็นยังไง แต่คิดว่าหลักการคงคล้ายๆ กับวัคซีนอีโบล่าที่มหาวิทยาลัยมหิดลวิจัยสำเร็จแหละมั้งครับ อันนี้การดูแลไม่ยุ่งยาก ต้นทุนจึงไม่สูง ยิ่งหากผลิตในโรงงานภายในประเทศ ก็ทุ่นค่าขนส่งไปได้มาก

และสุดท้ายชนิดไวรัสเชื้อตาย เป็นวัคซีนที่ใช้หลักการทั่วๆ อย่างวัคซีนพิษสุนักบ้า เป็นต้น ก็จะเป็นวัคซีนตามความหมายที่เราเข้าใจทั่วๆ ไป อันนี้ก็จะเป็นวัคซีนจากทางจีน ที่ทางซีพีไปซื้อบริษัทลูกเอาไว้เป็นข่าวมาหลายวันก่อนนี้ แต่ก็มีข้อจำกัดที่การผลิตแต่ละรอบจะได้น้อยกว่าสองชนิดที่กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นโดยเปรียบเทียบก็จะได้จำนวนโดสน้อยกว่า

มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าแอสตราเซนเนกา ถ้าหากจะต้องเลือกโรงงาน ระหว่างโรงงานของสยามไบโอไซเอนซ์กับขององค์การเภสัชกรรม ย่อมต้องเลือกโรงงานที่ทันสมัยที่สุด ความพร้อมในการผลิตสูงที่สุด (โรงงานต้นแบบของ KMUTT ซึ่งเป็นโรงงานยาชีววัตถุแห่งที่สองของไทย ผมไม่คิดว่าจะเป็นตัวเลือกด้วยซ้ำ เพราะเป็นโรงงานที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานการผลิตเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ในขณะที่สยามไบโอไซเอนซ์ มีโรงงานที่หนึ่ง โรงงานที่สอง และเข้าใจว่ากำลังจะทำโรงงานที่สามด้วยมั้งครับ ดังนั้นกำลังการผลิตติดตั้งจึงมีเหลือเฟือ)

การที่รัฐบาลอนุมัติงบ 6 พันล้าน เป็นการจัดซื้อจัดหาจากแอสตราเซนเนกา ดังนั้นจึงจ่ายเงินให้แอสตราเซนเนกา ไม่ได้จ่ายเงินให้สยามไบโอไซเอนซ์ เพราะสยามไบโอไซเอนซ์แค่รับจ้างผลิตให้แอสตราเซนเนกา ไม่ได้รับจ้างรัฐบาลไทย

ส่วนความร่วมมือระหว่างแอสตราเซนเนกา กับรัฐบาลไทย ที่จะมีความร่วมมือในการวิจัย-การผลิต-การถ่ายทอดองค์ความรู้ อันนี้เป็นผลพลอยได้นอกเหนือจากการทำสัญญาซื้อวัคซีน

ขณะเดียวกันผู้ใช้เฟซบุ๊ก Vee Chirasrestha ก็ได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมถึงกรณี ธนาธรพยายามใส่ความสยามไบโอไซน์ว่า

การที่ธนาธรบอกว่า สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นเสมือนบริษัทที่ ผูกขาด การผลิต ในเชิงที่ต้องการให้คนเข้าใจว่าสถาบันผู้ถือหุ้นเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ผู้เดียว

โดยในไลฟ์ของธนาธรบอกเองว่า สยามไบโอไซน์ ขาดทุนมาตลอด 10 ปี ร่วม 500 ล้านบาท คล้ายกับให้คนคิดต่อไปว่าบริษัทอยู่ได้ด้วยการที่รัฐบาลเอาเงินภาษีประชาชนไป อุ้ม เอาไว้

ความจริงคือ ถ้า เป็นบริษัทอื่น ขาดทุนขนาดนี้ ป่านนี้คงปิดไปแล้ว

แต่ด้วยเพราะในหลวงทรงมีพระราชปณิธานที่จะผลิตยาราคาถูกให้คนไทย เราจึงยังมีองค์กรที่ "มีความพร้อม" ในการผลิตวัคซีน ในขณะที่สิงคโปร์แม้จะมีโรงงาน แต่ก้ไม่ได้เป็นฐานการผลิต

นั่นไม่ใช่เพราะเอสซีจีมีคอนเน็คชั่นกับทางอ็อกซ์ฟอร์ดเท่านั้น แต่เป้นเพราะโรงงานที่ได้มาตรฐานและมีความพร้อมในการผลิตของสยามไบโอไซน์

สยามไบโอไซน์เกิดขึ้นจากพระราชดำริและแนวคิดของแพทย์มหิดล สำนักงานทรัพย์สินเป็นผู้ออกทุนทั้งหมด ขณะที่แพทย์ศิริราชเป็นหุ้นส่วนการวิจัยและพัฒนา

ผลงานการผลิตของสยามไบโอไชน์ สามารถลดต้นทุนการผลิตยาต่างๆ ลงได้มากกว่าครึ่ง ซึ่งศักยภาพนี้เองที่ทำให้ทางอักฤษเลือกที่จะผลิตวัคซีนร่วมกับเราโดยที่รัฐบาลได้ซื้อสิทธิบัตรมาเพื่อสามารถผลิตฉีดให้คนไทยได้ฟรี

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระราชปณิธานของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ ที่ว่า "ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือ พลเมือง นั่นเอง"

เช่น พระราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์และสาธารณสุข ความว่า

True Success is not in the learning,

But in its application to the benefit of mankind


ที่มา: เพจ Thailand Vision

เฟซบุ๊ก Vee Chirasrestha


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top