Thursday, 24 April 2025
NEWS

คำแถลงข่าว สถานการณ์โรคโควิด-19 จ.สมุทรสาคร โดยอธิบดีกรมควบคุมโรค วันที่ 19 ธันวาคม 2563

สวัสดีพี่น้องประชาชน ที่รับชมการถ่ายทอดการแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด-19 จ.สมุทรสาคร

กระทรวงสาธารณสุขขอรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ที่พบผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 หรือ โรคโควิด-19 ซึ่งศบค ได้รายงานตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม พบผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นเพศหญิง อายุ 67 ปี อาชีพแม่ค้าในตลาดกลางกุ้ง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร และหน่วยงานในพื้นที่ ดำเนินการสอบสวนและควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม และพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เป็น 13 ราย

ซึ่งมีทั้งคนไทยและแรงงานต่างชาติที่ทำงานในตลาดแห่งนี้ สถานการณ์ล่าสุดเมื่อมีการตรวจคัดกรองในกลุ่มแรงงานต่างด้าว จำนวน 1,192 ราย พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 516 ราย คิดเป็นร้อยละ 43 ของผู้ที่ได้รับการตรวจทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบผู้ที่ไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลอีกจำนวนหนึ่งในหลายจังหวัด ทำให้ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมรวม 548 ราย ซึ่งมากกว่าร้อยละ 90 เป็นผู้ติดเชื้อที่มีไม่มีอาการหรืออาการน้อยมาก และส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ

จากการประเมินสถานการณ์ทางด้านสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมั่นได้ว่า จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ครั้งนี้ได้โดยความร่วมมือของประชาชน เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นการระบาดในพื้นที่จำกัด และไม่มีผู้ป่วยรุนแรง แม้ว่ามีแนวโน้มที่จะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในชุมชนต่างชาติที่อยู่รอบ ๆ ตลาดกลางกุ้ง ด้วยมีการพักอาศัยอย่างหนาแน่น แต่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดอาการป่วยรุนแรง เพราะเป็นวัยทำงานสุขภาพแข็งแรง

สำหรับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค

• กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร และโรงพยาบาลสมุทรสาคร ได้ดำเนินการเฝ้าระวัง สอบสวนและค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชน อย่างรวดเร็วตั้งแต่พบผู้ป่วยรายแรก ทั้งนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย ทำให้สามารถสนับสนุนการเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อแล้ว 2,700 รายอย่างรวดเร็ว

• กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อ และนำเข้าสู่การดูแลเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และให้การรักษาต่อไป

• ขอความร่วมมือประชาชน ที่พักผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่พบผู้ป่วย เช่น ตลาดกลางกุ้ง และที่พักบริเวณรอบ ๆ ให้ดำเนินการตามแนวทางที่ฝ่ายปกครองกำหนดอย่างเคร่งครัด

• ส่วนประชาชนในจังหวัดสมุทรสาคร ที่พักอาศัยอยู่นอกพื้นที่ดังกล่าว ขอความร่วมมืองดเดินทางออกนอกจังหวัดสมุทรสาคร

• ประชาชนต่างจังหวัดที่เคยมาติดต่อค้าขายที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม เป็นต้นมา ขอให้เฝ้าระวังสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน (ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส) โดยสวมหน้ากากตลอดเวลา และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น ไม่ควรไปในที่ชุมชน หากเริ่มมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ให้รีบไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ และขอให้สวมหน้ากากขณะเดินทาง หากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัยให้ติดต่อได้ที่สายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค

กระทรวงสาธารณสุข เสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร ในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้ให้สงบ และกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ด้วยมาตรการที่เด็ดขาด และรวดเร็วมีประสิทธิภาพ โดยการควบคุมการเข้าออกพื้นที่และกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดในพื้นที่ระบาดของโรคในพื้นที่เสี่ยง

UN ออกมาแสดงตัวอย่างไว หลังประเทศไทยได้มีการบังคับใช้ ม.112 ต่อกลุ่มผู้ทำผิดกฎหมายในมาตราดังกล่าว ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา

อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNOHCHR ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการใช้ ม.112 ต่อผู้ชุมนุมในไทยนั้น ในเบื้องต้นได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อชี้แจงดังนี้

1.กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทยไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน การใช้เสรีภาพทางวิชาการ หรือการถกเถียงเกี่ยวกับระบอบกษัตริย์ในฐานะสถาบัน กฎหมายนี้มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงในประเทศไทยก็เพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิและชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์ พระราชินี มกุฎราชกุมาร หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในลักษณะเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทสำหรับพลเมืองไทยทุกคน

2.สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกระบวนกฎหมายอาญาในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งนี้หากมีการดำเนินการในกรณีดังกล่าวก็จะเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งในกรณีจำนวนมากก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ

3.ต่อกรณีการตั้งข้อหาผู้ประท้วงวัย 16 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ได้มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของศาลเยาวชน ยิ่งกว่านั้นมันก็เป็นไปตามที่โฆษกของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งประชาชาติที่ได้ระบุระหว่างการแถลงข่าวเองว่า ศาลได้ปฏิเสธคำขอให้มีการคุมขัง พร้อมกับอนุญาตให้ประกันตัวแบบมีเงื่อนไข

4.ขอย้ำอีกครั้งว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผู้ประท้วงไม่ได้ถูกจับกุมเพียงเพราะใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ แต่ผู้ที่ถูกจับกุมได้ละเมิดกฎหมายอื่นๆ ของไทยซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว

อนุชา กล่าวอีกว่า รัฐบาลไทยมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ตราบใดที่การชุมนุมดำเนินการด้วยความสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในระบอบประชาธิปไตย การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ

รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง

บทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะนี้คือการให้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม

รัฐบาลยังมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ชุมนุมจะเข้าร่วมคณะกรรมการสมานฉันท์ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐสภา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และนำมาสู่การหาทางออกในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประชาชนทุกกลุ่ม และนำความสงบสุขกลับสู่สังคมไทย

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีไปยังนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในโอกาสครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ

สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ทำเนียบรัฐบาล กทม. ๑๐๓๐๐

๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓

เรียน ฯพณฯ นายทองลุน สีสุลิด

ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ผมในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ขอร่วมแสดงความยินดีและส่งความปรารถนาดีมายังท่านและประชาชนลาว

ไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นสองรัฐที่มีความใกล้ชิดกันอย่างแนบแน่นคนไทยคนลาวอยู่เคียงข้างกันมาแต่โบราณกาล มีความเข้าใจและผูกพันกันด้วยความใกล้ชิดทางภาษาและวัฒนธรรม ในช่วง ๗๐ ปีที่ผ่านมาของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐสมัยใหม่ ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ผ่านบทพิสูจน์ของกาลเวลาและได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแน่นแฟ้นให้ครอบคลุมทุกมิติบนพื้นฐานของความเข้าใจและเชื่อใจกันซึ่งนำประโยชน์มาสู่ทั้งสองฝ่าย

ผมจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ ๓ ที่นครหลวงเวียงจันทน์เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ไทยกับลาวได้เห็นพ้องยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญที่ทั้งสองประเทศมีต่อกันอย่างแท้จริง และจะเป็นแนวทางที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจที่มีต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเสมอมา

ผมขอให้คำมั่นว่าจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับท่านและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย – ลาว ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ยิ่งขึ้นไป โดยจะมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือที่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนของทั้งสองประเทศ

ในขณะที่ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-๑๙ ผมรู้สึกยินดีที่ทั้งสองประเทศยังคงความร่วมมือที่ใกล้ชิดและมีความมุ่งมั่นที่จะจับมือและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันแม้ในยามยากลำบาก ผมพร้อมจะร่วมมือกับท่านเพื่อช่วยผลักดันการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและของภูมิภาคต่อไป

สุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้ท่าน รัฐบาลและพี่น้องประชาชนชาวลาวประสบความสุขสวัสดีและความเจริญรุ่งเรืองสืบไป

ขอแสดงความนับถือ

(พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา)

นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย

********************************

ด้านนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก็ได้มีสารแสดงความยินดีมายัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

**********************

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

สันติภาพ เอกราช ประชาธิปไตย เอกภาพ วัฒนาถาวร

นายกรัฐมนตรี

นครหลวงเวียงจันทน์

วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓

ฯพณฯ

เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างลาวและไทย ในนามรัฐบาลและประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กล่าวคือ ในนามส่วนตัว ข้าพเจ้ามีความปีติยินดี ส่งคำแสดงความยินดีอันอบอุ่น และพรชัยอันประเสริฐมายัง ฯพณฯ และโดยผ่าน ฯพณฯ ไปยังรัฐบาล และประชาชนไทยทุกถ้วนหน้า

ตลอดระยะเวลา ๗ ทศวรรษ แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการร่วมกันระหว่างสองประเทศลาวและไทย สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมืออันดีงามดังกล่าวได้รับการพัฒนา และเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่องในแต่ละด้านเป็นก้าวๆ ตลอดมา

เห็นได้จากผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองประเทศได้มีการแลกเปลี่ยนเยี่ยมเยือนซึ่งกันและกันอย่างเป็นปกติ กลไกร่วมมือต่างๆ ได้รับการจัดตั้งขึ้น และมีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิผล ทั้งในระดับส่วนกลางและท้องถิ่น ซึ่งทั้งหมดนั้น ได้สร้างเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้แก่การเพิ่มพูนทวีคูณความสัมพันธ์ลาว-ไทย

ข้าพเจ้าให้ความสำคัญต่อสายสัมพันธ์ร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นอย่างสูง ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี ได้แก่ ความร่วมมือทางด้านการค้า-การลงทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือด้านสาธารณสุข การเกษตร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคที่พิเศษ สองประเทศเรามีสะพานข้ามแม่น้ำโขงถึง ๔ แห่ง และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศของพวกเราตั้งแต่เหนือจรดใต้

สิ่งดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยอันสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของสองประเทศของพวกเรา เพื่อนำผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนสองชาติลาวและไทย ซึ่งก็คือของภูมิภาคอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองประเทศของพวกเรายังได้สนับสนุนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิดในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก็คือ ในระยะที่มีการระบาดของโรคโควิด-๑๙ ซึ่งได้เป็นส่วนสำคัญเข้าในการกระชับสายสัมพันธ์มิตรภาพ และความร่วมมือระหว่างสองประเทศลาวและไทยให้นับวันยิ่งหยั่งลึกและแน่นแฟ้นยิ่งๆ ขึ้น

ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดของสองฝ่ายภายใต้กลไกความร่วมมือลาว-ไทย ไทย-ลาว ที่มีอยู่ สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมือที่ดีงามดังกล่าวจะได้รับการสานต่อเพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้น เพื่อก้าวไปสู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อความเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่จะนำเอาผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนสองชาติ กล่าวคือ เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาค และในโลก

ในบรรยากาศแห่งความเบิกบานสนุกสนานและมีความหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์นี้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมืออันดีงามในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียงระหว่างสองประเทศของพวกเรา จงมั่นคงยืนยงอย่างแข็งแกร่งและผลิดอกออกผลอย่างไม่หยุดยั้ง และขออวยพรชัยอันประเสริฐมายัง ฯพณฯ จงมีสุขภาพแข็งแรง มีความผาสุก และประสบผลสำเร็จในภารกิจอันสูงส่งของ ฯพณฯ

ด้วยความนับถืออย่างสูง

ทองลุน สีสุลิด

******************************

ที่มา: หนุ่มโคราช รายงานจาก สปป.ลาว

ซูกซ์ (Zoox) บริษัทใต้ร่วมเงาของ อะเมซอน (Amazon) ยักษ์ค้าปลีกออนไลน์แห่งสหรัฐอเมริกาของ เจฟฟ์ เบโซส์ ได้เปิดตัวรถแท็กซี่ขับเคลื่อนตัวเองอัตโนมัติหรือที่เรียกกันว่าโรโบแท็กซี่ (Robotaxi) รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นของตัวเอง

ความพิเศษของ โรโบแท็กซี่ จาก Zoox นั้น อยู่ที่พลังขับเคลื่อนไฟฟ้า 4 ล้อ ที่สามารถขับขี่ได้ด้วยตัวเองแบบ ‘อัตโนมัติแบบไร้คนขับ’ ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทกำลังทดสอบรถดังกล่าวที่เป็นต้นแบบในแคลิฟอร์เนีย และเนวาดา

Zoox นั้นเป็นบริษัทพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองที่ Amazon เพิ่งซื้อกิจการมาในเดือนมิถุนายน 2020 รถไฟฟ้าของ Zoox สามารถวิ่งได้ทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว เบื้องต้นบริษัทตั้งชื่อรถอัจฉริยะนี้ว่า Zoox ตามชื่อของบริษัทที่มีอายุเกิน 6 ปีแล้วในวันนี้

รถ Zoox ใช้รูปแบบ Carriage ทรงรถม้า ตัวรถสามารถขับเคลื่อนตัวเองได้แบบอิสระ รองรับผู้โดยสารได้ 4 คน สีเบื้องต้นของรถคือสีเขียวมินต์ ตัวรถกะทัดรัดด้วยความยาว 3.63 เมตร สามารถเคลื่อนไหวแบบ bidirectional สองทิศทาง มาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ 2 ก้อนที่ให้พลังงานเพียงพอสำหรับรถวิ่งเป็นเวลา 16 ชั่วโมงก่อนการชาร์จครั้งต่อไป

ภายในรถ Zoox มีม้านั่งสองแถว ตัวรถไม่มีพวงมาลัย สามารถแล่นด้วยความเร็วสูงสุด 75 ไมล์ต่อชั่วโมง ระหว่างเดินทางผู้โดยสารสามารถชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายได้ รวมถึงฟังเพลงผ่านแผงควบคุมส่วนตัวที่สามารถตั้งค่าเพลงและเครื่องปรับอากาศในรถ

ตามข้อมูลจากบริษัท รถ Zoox ยังมีหน้าจอสัมผัสติดไว้ประจำแต่ละที่นั่ง เพื่อให้ผู้โดยสารตรวจสอบเวลาที่มาถึง สถานที่ปลายทาง และเส้นทางที่เดินทางได้แบบปลอดภัย จุดนี้ Zoox ย้ำว่ารถอัจฉริยะสามารถจัดการกับความท้าทายบนท้องถนนที่หลากหลาย เช่น การหลบเบี่ยงรถที่จอดริมทาง การชะลอเพื่อผ่านทางแคบ รวมถึงการยูเทิร์นที่ไม่ปกติ

ปัจจุบัน Zoox ระบุว่า กำลังทดสอบรถต้นแบบในซานฟรานซิสโกและฟอสเตอร์ซิตีในรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงในลาสเวกัส รัฐเนวาดาด้วย เป็นการทดสอบแบบไร้คนขับที่รถขับเคลื่อนตัวเองเต็มรูปแบบ เบื้องต้น ยังไม่มีการเปิดเผยกำหนดการทำตลาดเชิงพาณิชย์ในขณะนี้

แต่ทว่าการเปิดตัวดังกล่าว ก็ยังถือว่าล่าช้ากว่าในเมืองจีนที่เริ่มมีการทดลองให้บริการโรโบแท็กซี่ไปแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 โดยบริษัท AutoXเป็นรายแรกที่นำเอารถแท็กซี่ไร้คนขับแบบสมบูรณ์ลงสู่ท้องถนนของประเทศในเมืองเซินเจิ้น

รับชมเพิ่มเติม: https://www.youtube.com/watch?v=3r7PEl0tMSk&feature=emb_logo

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเสื้อสะท้อนแสงจราจร และเสื้อชูชีพ ให้ส่วนราชการนำไปใช้ในภารกิจช่วยเหลือประชาชนอย่างปลอดภัย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเสื้อสะท้อนแสงจราจร และเสื้อชูชีพพระราชทานให้กับส่วนราชการต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สวมใส่ระหว่างปฏิบัติภารกิจการบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย

สำหรับกองทัพบก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ได้พระราชทานเสื้อสะท้อนแสงจราจร จำนวน 2,000 ชุด และเสื้อชูชีพพระราชทาน จำนวน 2,000 ชุด ให้กับกองทัพบก

โดยเมื่อ 18 ธันวาคม 2563 พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ประกอบพิธีต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ณ กองบัญชาการกองทัพบก ในการส่งมอบเสื้อพระราชทานดังกล่าวให้กับ ผู้บังคับหน่วยในสังกัดกองทัพภาคที่1-4 , หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก ,หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ,กรมการทหารช่าง, กองพลที่ 1รักษาพระองค์ ,กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์

เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กำลังพลได้สวมใส่ในขณะปฏิบัติหน้าที่ในงานด้านงานด้านบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชน ได้อย่างปลอดภัย

การได้รับสิ่งอุปกรณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจแก่กำลังพลกองทัพบก ในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงห่วงใยในความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ที่ออกปฏิบัติงานในสถานการณ์วิกฤติต่างๆเพื่อดูแลช่วยเหลือประชาชนทั้งภัยธรรมชาติ อุบัติภัย หรือการออกปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง และจำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์เครื่องป้องกันที่เหมาะสมเพียงพอให้เกิดความปลอดภัย ทั้งแก่ตนเองและประชาชน จึงได้พระราชทานสิ่งอุปกรณ์เพิ่มเติม

สำหรับ เสื้อสะท้อนแสงจราจรมีสีดำคาดขาว ส่วนเสื้อชูชีพเป็นสีส้ม ทั้ง2แบบ ด้านหน้าอกเสื้อปักตราพระปรมาภิไธย “ว.ป.ร.” ด้านหลังพิมพ์ข้อความ “หน่วยพระราชทาน กองทัพบก”

ประชาธิปัตย์ เฟ้นหาคนรุ่นใหม่ร่วมงานพรรค จัดอบรมยุวประชาธิปัตย์รุ่น 6 คึกคัก เน้นสร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตย และทันสมัย

ดร.สรรเสริญ สมะลาภา รองหัวหน้าพรรคและผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการเยาวชนพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานในการอบรมยุวประชาธิปัตย์ รุ่นที่ 6 กรุงเทพมหานคร โดยมีเยาวชนคนรุ่นใหม่สนใจเข้าร่วมอบรม 120 คน

โดยมีนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค และเลขานุการประธานรัฐสภา นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนขัย รองโฆษกพรรคและโฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายพนาสิน จึงสวนันทน์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เข้าร่วมด้วย

ดร.สรรเสริญ ระบุการอบรมดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม 2563 และมีเนื้อหาการอบรมที่ครอบคลุมทั้งทางด้านพื้นฐานการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจทันสมัยกับการเมืองยุคใหม่ กลยุทธ์การสื่อสารการเมืองในยุคออนไลน์ การแบ่งปันประสบการณ์ทางการเมืองและการทำงานในพื้นที่จากอดีตผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร

รวมถึงกิจกรรมเวิร์คชอปที่เปิด โอกาสให้ผู้เข้าอบรมได้แสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ พรรคฯประชาธิปัตย์ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ยุวประชาธิปัตย์ที่ผ่านการอบรม สามารถร่วมงานกับพรรคได้ตามศักยภาพและความถนัด เพื่อเสริมทัพคนรุ่นใหม่ ให้มาร่วมขับเคลื่อนพรรคภายใต้แนวคิดอุดมการณ์ ทันสมัย

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (19 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 34 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,331 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 19 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,024 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 247 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 34 ราย เป็นคนไทย 9 ราย สัญชาติอเมริกัน 3 ราย เยอรมัน 1 ราย

อังกฤษ 2 ราย รัสเซีย 1 ราย บังกลาเทศ 2 ราย อาร์เจนตินา 1 ราย แคนนาดา 1 ราย

อินเดีย 1 ราย อิตาลี 1 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเคนยา 1 ราย ,เยอรมนี 2 ราย ,สหรัฐอเมริกา 2 ราย,บาห์เรน 1 ราย,สหราชอาณาจักร 4 ราย ,รัสเซีย 1 ราย,บังกลาเทศ 2 ราย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย,ไต้หวัน 1 ราย ,นามิเบีย 2 ราย ,เนเธอร์แลนด์ 1 ราย,ซาอุดีอาระเบีย 2 ราย, อินเดีย 1 ราย,อิตาลี 1 ราย โดย ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

(State Quarantine , Alternative State Quarantine)

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 148 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 345 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.5 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.32 แสน เสียชีวิต 19,514 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 36 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 90,816 ราย รักษาหายแล้ว 75,244 ราย เสียชีวิต 432 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.14 แสน ราย รักษาหายแล้ว 92,916 ราย เสียชีวิต 2,398 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.57 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.21 แสน ราย เสียชีวิต 8,875 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,386 ราย รักษาหายแล้ว 58,265 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,410 ราย รักษาหายแล้ว1,266 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ออโรร่า วิสดอม ดึงนักลงทุนต่างชาติ ร่วมลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เปิดโรงงานผลิตถุงมือยางเพื่อส่งออก เผยอีก 3 ปี เตรียมลงทุนเพิ่มกว่า 15,000 ล้านบาท

ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ออโรร่า วิสดอม จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ร่วมกับนักลงทุนต่างชาติจากจีน และมาเลเซีย ด้วยสัดส่วนนักลงทุนในประเทศไทย 51% และต่างชาติ 49% ในการเปิดตัวโรงงานผลิตถุงมือยางเพื่อการส่งออกด้วยผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง 2 ประเภท 2 แบรนด์ ที่แตกต่างกันตามการใช้งานและประเภทของวัตถุดิบหลัก

ได้แก่ แบรนด์ออโรร่า (AURORA) เป็นผลิตภัณฑ์ถุงมือยางที่ใช้ทั่วไป (Non-medical gloves) และแบรนด์ด็อกเตอร์วีไอพี (DOCTOR VIP) เป็นผลิตภัณฑ์ ถุงมือทางการแพทย์ ซึ่งเป็นถุงมือไนไตร (Nitrile gloves) ด้วยมาตรฐานที่ใช้ในโรงพยาบาลและสถานบริการด้านสุขภาพ

ในระยะเริ่มต้น บริษัทฯจะลงทุนที่ 8 สายการผลิต งบประมาณรวมทั้งค่าที่ดิน และค่าก่อสร้างที่ 3,000 ล้านบาท บนพื้นที่รวม 111 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่โรงงานผลิตถุงมือยางในไตร และพื้นที่สนับสนุน 70% เป็นพื้นที่โรงไฟฟ้าชีวมวล 20% และเป็นพื้นที่จัดเก็บน้ำขนาด 16 ไร่คิดเป็น 10% ของพื้นที่ทั้งหมด และจะทยอยขยายสายการผลิตจนครบ 80 สายการผลิต ใช้เงินลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท

ซึ่งในระยะแรกบริษัทฯ มีกำลังการผลิตในประเทศไทย และกำลังการผลิตจากโรงงานในประเทศจีนที่รองรับความต้องการได้ที่ 3 ล้านกล่องต่อเดือน และจะทยอยเติบโตไปสูงสุดที่ 80 ล้านกล่องต่อเดือน ภายในระยะเวลา 3 ปี

“ปัจจุบัน บริษัทฯมีสาขาอยู่ที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน คือ บริษัท ออโรร่าวิสดอม ไชน่า และมีสาขาในทวีปยุโรป ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก คือ บริษัท ออโรร่า วิสดอม เดนมาร์ก และกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาจัดตั้งตัวแทนใน ฮ่องกง กัมพูชา และลาวตาม ลำดับ พร้อมทั้งยังพิจารณาที่จะนำสินค้าไปจำหน่ายผ่าน Marketing Platform อื่นๆ ต่อไปอีกด้วย”

สำหรับ โรงงานของบริษัท ออโรร่า วิสดอม ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นโรงงานแห่งแรกที่เปิดสายการผลิตถุงมือ ร่วมกับโรงไฟฟ้าแบบชีวมวลขนาด 8 เมกะวัตต์ บนพื้นที่ทั้งหมด 111 ไร่ ควบคู่กันไป เพื่อเดินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีการใช้ทรัพยากรแบบหมุนเวียน และมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ตามแบบโรงงานสีเขียว

มีการหมุนเวียนทรัพยากรน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตและการนำวัตถุดิบที่เหลือจากเกษตรกรในท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งผลผลิตทั้งจากโรงงานถุงมือและโรงไฟฟ้าชีวมวล จะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนขยายการผลิตถุงมือทางการแพทย์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ เช่น ถุงมือทางการแพทย์สำหรับแพทย์เฉพาะทาง เช่น ศัลยแพทย์กระดูก สูติแพทย์ ถุงมือสำหรับการผ่าตัดส่องกล้อง และการจัดตั้งสายการผลิตถุงมือทางการแพทย์แบบปลอดเชื้อ (sterile gloves) เป็นต้น

งานดีๆ ที่ไม่ควรพลาด ‘The Cat Society รวมพลคนรักแมว’ @มิวเซียมสยาม

จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับเทศกาลท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน Night at The Museum ที่ทางมิวเซียมสยามเป็นเจ้าภาพ โดยหนล่าสุดนี้เป็นครั้งที่ 10 แถมยังมีความพิเศษเข้าไปอีก เพราะงานนี้มีชื่อตอนว่า The Cat Society “รวมพลคนหลงแมว”

ซึ่งที่มาของคอนเซ็ปนี้ เพราะน้องเหมียวเป็นสัตว์ยอดนิยมในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่กับมนุษย์มายาวนาน ทางผู้จัดงานจึงนำแนวคิดนี้มาต่อยอด จัดเป็นกิจกรรมเพื่อเป็นพื้นที่ให้คนแรกแมวและบุคคลทั่วไปมารวมตัวกันทำกิจกรรมดีๆ รวมทั้งปลุกกระแสการท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

แน่นอนว่า ภายในงานจะได้พบกับน้องแมวหลากสายพันธุ์ ที่มาโชว์ความน่ารักมากมาย นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นการออกร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และฐานกิจกรรมต่างๆ อาทิ Cat Playground เปิดพื้นที่ให้เหล่าบรรดาน้องเหมียวได้มาสนุกกัน Catory Displays เรื่องเล่า แมว แมว แบบที่เราจะได้เรียนรู้ รู้จักเจ้าเหมียวมากขึ้น Catbrary ห้องคลังความรู้ที่จะมาเล่าเรื่องสนุกเกี่ยวกับแมว มุม Cat Charity บูทย้อมแมวขาย by Muse Shop ที่ขนของที่ระลึกแบบชิคๆ มาให้จับจ่าย พร้อม Workshop ระบายสีเสื้อ สร้างน้องแมวในแบบของตัวเอง และกาชาปองจากญี่ปุ่นกว่า 20 คอลเลกชัน

โดยรายได้ส่วนหนึ่งของกิจกรรมหลังจากหักค่าใช้จ่ายมิวเซียมสยามจะมอบให้แก่มูลนิธิรักษ์แมว ปันใจให้แมวจร มูลนิธิรักษ์ และเพจแมวต่างๆ

งานจัดตั้งแต่วันที่ 18 – 20 ธันวาคมนี้ อากาศดีๆ ควรไปอย่างมาก หรือสามารถเข้าไปดูรายละเอียดของงานได้เพิ่มเติมที่ www.facebook.com/museumsiamfan และเว็บไซต์ www.museumsiam.org

ทีมคนละครึ่งอัพเดทตัวเลขโครงการล่าสุด ยอดร้านค้าพุ่งแตะล้าน สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 45,000 ล้านบาท เป็นการการันตีได้ถึงนโยบายภาครัฐชิ้นเอกที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก

จากเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Chao Jiranuntarat’ หรือ สมคิด จิรานันตรัตน์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการ เช่น เราไม่ทิ้งกัน, วอลเล็ต สบม. รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง ได้มีการอัพเดทตัวเลขของโครงการนี้ ไว้ว่า…

คนละครึ่งจนถึง 17/12/20มียอดการลงทะเบียนร้านค้าเกินกว่า 1 ล้านร้านค้า และมีการใช้จ่ายไปแล้วกว่า 45,000 ล้านบาท เป็นจำนวนกว่า 260 ล้านรายการ

ทั้งนี้กลุ่มที่ใช้คนละครึ่งแบ่งออกได้ตามอายุ ดังนี้

- 18-21 ปี = 8%

- 22-30 ปี = 22%

- 31-45 ปี = 40% (ใช้จ่ายมากที่สุด)

- 46-60 ปี = 23%

- 61-80 ปี = 7%

โดยจังหวัดที่มีการใช้งานสูงสุด 10 อันดับแรกได้แก่

1.กรุงเทพมหานคร

2.สงขลา

3.นนทบุรี

4.สมุทรปราการ

5.ชลบุรี

6.เชียงใหม่

7.ปทุมธานี

8.สุราษฎร์ธานี

9.นครศรีธรรมราช

10.ภูเก็ต

เป็นโครงการที่มีการกระจายรายได้สู่ร้านค้าเล็กๆ ทั่วประเทศ และก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

รัฐบาล เดินหน้าสร้างบุคลากรรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เน้นย้ำพัฒนาทักษะให้ตรงความต้องการภาคเอกชน ระบุมีตำแหน่งงานรองรับกว่า 4 แสนอัตรา ภายใน 5 ปี

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและติดตามการขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการพัฒนาให้เป็นประเทศที่มีรายได้สูง โดยเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของโครงการดังกล่าว

ซึ่งกระทรวงแรงงานได้จัดตั้งศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Center) ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 จ.ชลบุรี โดยร่วมมือกับหลายภาคส่วน

ล่าสุด กระทรวงฯรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า ในปีงบประมาณพ.ศ.2563 ได้ให้บริการจัดหางานแก่กลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิม และอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) (อาทิ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร) จากที่ตั้งเป้าไว้ 28,000 คน แต่เมื่อดำเนินงานจริงสามารถจัดหางานได้มากถึง 40,464 คน คิดเป็น 144.51% ส่วนงานบริการแนะแนวอาชีพให้นักเรียน นักศึกษา ตั้งเป้าไว้ที่ 48,838 คน ผลการดำเนินงานเกินเป้าหมายเช่นกัน โดยมีจำนวน 70,401 คน คิดเป็น 144.15%

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ประมาณการณ์ว่า ในระยะเวลา 5 ปี (2562-2566) จะมี 4 แสนกว่าอัตรา ทั้งในระดับอาชีวะและปริญญาตรี ที่เป็นความต้องการของภาคเอกชนต่อบุคลากรไทยในพื้นที่อีอีซี

ที่ผ่านมา สกพอ.ได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สร้างหลักสูตรพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงความต้องการภาคเอกชน (EEC Model) ควบคู่กับการสร้างแรงจูงใจแก่เอกชนที่รับนักศึกษาที่จบหลักสูตรนี้ คือจะได้รับการลดหย่อนภาษีด้วย

ส่วนการเตรียมพร้อมในระยะยาว กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.) ขับเคลื่อนการเรียนการสอนภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) อย่างต่อเนื่อง

ทั้งการจัดอบรมพัฒนาครูสำหรับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และการส่งเสริมเด็กให้เรียนภาษาคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ทั้งนี้ เป็นการสร้างทรัพยากรบุคคลให้ตรงกับความต้องการของภาคเอกชนในอนาคต

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สุดปลื้ม หลัง Bloomberg ยกให้ไทยอยู่ในอันดับ 1 ของประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดีสุดปี 64 ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่สำนักข่าว Bloomberg ประกาศให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 1 ของประเทศที่มีแนวโน้มจะเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มีภาพรวมทางเศรษฐกิจดีที่สุดในปี 2564

แสดงถึงความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในเรื่องการค้าและการลงทุนในปี 2564

จากรายงานใน หัวข้อ China Lags as Thailand, Russia Rank Top Emerging Market Picks เปิดเผยรายงานการศึกษาแนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2564 ของ 17 ประเทศ อาทิ ไทย รัสเซีย จีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น โดยมีตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงิน 11 ข้อ ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 1 ในฐานะประเทศที่มีเงินทุนสำรองที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพสูงจากการไหลเข้าของเงินลงทุน (Portfolio Inflows)

แม้ในรายงานดังกล่าว จะมีความห่วงกังวลเรื่องการกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 ของประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทย ซึ่งพึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลได้เตรียมการรับมือกับประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างดี

โดยทางด้านสาธารณสุข รัฐบาลส่งเสริมการดำเนินการควบคุมโรค ป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับส่งเสริมความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขกับหุ้นส่วนและมิตรประเทศ เพื่อวิจัยและพัฒนา รวมถึงเตรียมผลิตวัคซีนและยกระดับการพัฒนาทางด้านสาธารณสุขไทย รวมทั้งส่งเสริมให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะ และประชาชนสามารถได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง

ส่วนทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รัฐบาลได้เตรียมพร้อมและได้ดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 1 เฟส 2 เราเที่ยวด้วยกัน และ ช้อปดีมีคืน เป็นต้น

นอกจากนี้ รัฐบาลดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ด้านคมนาคม ด้านพลังงาน ด้านการจัดการน้ำ ด้านการสื่อสาร รวมถึงการเร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นต้น

รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกาศดีเดย์ 7 มกราคม 64 จดทะเบียนควบรวม TOT-CAT เป็น บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติหรือ NT ชี้ควบรวมช่วยลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในการดำเนินการควบรวมกิจการระหว่างบมจ. ทีโอที (TOT) และ บมจ. กสท โทรคมนาคม (CAT) เป็น บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (National Telecom Public Company Limited :NT)

โดยมีกำหนดวันจดทะเบียนในวันที่ 7 มกราคม 2564 ซึ่งภายหลังการควบรวมสำเร็จ จะส่งผลให้ NT มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากที่สุด

การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะส่งผลทำให้ NT มีโครงข่ายครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดมีคลื่นความถี่โทรศัพท์ ครบทุกระยะ และคุณภาพการใช้งานที่ดีที่สุด ทำให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการให้บริการ ทั้งลูกค้าภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกพื้นที่สำหรับลูกค้าภาครัฐจะได้รับบริการโครงข่ายที่มีความแข็งแกร่งเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่ Thailand 4.0

และยังสามารถช่วยส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ลูกค้าเอกชนทั้งรายใหญ่และ SME ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับบริการโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศเพื่อเข้าถึงโลกดิจิทัล ซึ่งหลังการควบรวม NTจะ มีทรัพยากรโครงข่ายที่เพียบพร้อมสำหรับนำไปต่อยอดมีเสาโทรคมนาคม เคเบิลใต้น้ำ คลื่นความถี่ ท่อร้อยสายใต้ดิน, Fiber Optic, Data center และระบบโทรศัพท์ที่มากขึ้น

“NT จะกลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่มีศักยภาพในการให้บริการโดยเฉพาะเรื่อง 5G และดาวเทียม ทั้งการนำเอาดิจิทัลมาให้บริการภาคการสาธารณสุข การเกษตร และคมนาคม โดย NT จะเป็นผู้รวบรวมบิ๊กดาต้าผ่าน 5G ที่ประมูลได้ ซึ่งจะเริ่มนำมาให้บริการภาคสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนกัน เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ”

ด้าน พันเอกสรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ CAT เปิดเผยว่า การร่วมมือกันของ 2 หน่วยงานนั้น เพื่อพัฒนาบริการที่ยึดประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการควบรวมกิจการฯ ไปสู่การเป็น NT ด้วยจุดแข็งของ CAT ในเรื่องโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำและภาคพื้นดิน จะสนับสนุนการให้บริการด้านโทรคมนาคมและดิจิทัลร่วมกันของทั้งสองหน่วยงานมีเสถียรภาพมากขึ้น

ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาดิจิทัลโซลูชันที่หลากหลายมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีบนโลกออนไลน์ทั้งในภาคธุรกิจและภาคประชาชน

ขณะที่ นายมรกต เธียรมนตรี รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท TOT มั่นใจว่า เมื่อควบรวมทั้ง 2 องค์กรแล้ว NT จะเป็นกลไกของรัฐที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศและประชาชนสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างเข็มแข็ง

ซึ่งทีโอที พร้อมที่จะนำทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นระบบสื่อสัญญาณโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการที่มีความชำนาญในการให้บริการซึ่งมีอยู่ครอบคลุมทั่วประเทศ ตอบสนองความต้องการใช้บริการสื่อสารโทรคมนาคมในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้คนไทยได้ใช้โทรคมนาคมด้านดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

ถึงแม้ตอนนี้ธุรกิจไทยจะแสดงออกถึงความตื่นตัวเรื่องนวัตกรรมในระดับหนึ่ง แต่จากผลสำรวจของ ‘ไมโครซอฟท์’ กลับพบว่าธุรกิจไทยต้องเร่งเครื่องให้มากกว่าเดิม เพราะรายได้ด้านดิจิทัลของธุรกิจไทยยังตามหลังประเทศผู้นำในภูมิภาคนี้อยู่พอควร

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยจากผลสำรวจ เรื่อง ‘วัฒนธรรมนวัตกรรม-รากฐานสู่การปรับตัวและฟื้นฟูของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก’ พบว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจไทยได้แสดงออกถึงความตื่นตัวเรื่องนวัตกรรมในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เหตุผลเพราะมีผลสำรวจที่ระบุว่าธุรกิจไทยจะมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลอยู่ที่ 48% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเทียบเท่ากับสัดส่วนรายได้ในปัจจุบันขององค์กรชั้นนำในเอเชียแปซิฟิกนั้น เท่ากับว่าองค์กรไทยในภาพรวมยังตามหลังผู้นำของภูมิภาคนี้อยู่ 3 ปีเต็มนั่นเอง

ธนวัฒน์ เผยอีกว่า “ปัจจุบันนวัตกรรมไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกของธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกองค์กรขาดไม่ได้ โดยสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ทั่วโลกได้กลายเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคธุรกิจต้องหันมาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จากเดิมอาจต้องใช้เวลาหลายปี ให้เสร็จสิ้นและพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ภาคธุรกิจไทยเองได้แสดงออกถึงความตื่นตัวในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

“สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้ภาคธุรกิจไทยเร่งยกระดับการสร้างสรรค์นวัตกรรมภายในองค์กรขึ้น 12% พร้อมวางแผนชัดเจนสำหรับการลงทุนพัฒนาศักยภาพในปีหน้า โดยกว่า 72% ขององค์กรไทยที่เข้าร่วมการสำรวจ มองว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการฟื้นฟูธุรกิจให้เปลี่ยนแปลง ปรับตัว และกลับมาเติบโตอีกครั้ง ท่ามกลางผลกระทบและแรงกดดันจากการระบาดของโควิด-19 โดยทัศนคติเกี่ยวกับนวัตกรรมในภาคธุรกิจไทยยังคงตามหลังมุมมองขององค์กรระดับแนวหน้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่กว่า 98% เชื่อว่านวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญในการฝ่าสถานการณ์วิกฤต”

ถ้าจะพัฒนาอุตสาหกรรมใน EEC ได้แบบเต็มกำลัง การเสริมพลังด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเครือข่าย 5G แบบเต็มรูปแบบ คงเป็นเรื่องที่ต้องบิวท์ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ กพอ.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานผลักดันการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงข่าย 5G ให้เกิดการลงทุนพัฒนาระบบ 5จี ในพื้นที่ EEC ผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน

และหน่วยงานภาครัฐใช้เทคโนโลยี 5G ในโรงงานทั้งหมดในพื้นที่เขตส่งเสริม EEC ประมาณ 10,000 แห่ง โรงแรมทั้งหมดใน EEC ประมาณ 300 แห่ง หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มเอสเอ็มอี

โดยทำโครงการนำร่องพัฒนาระบบ 5G เริ่มตั้งแต่ บริเวณฐานทัพเรือสัตหีบเสริมความมั่นคง สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน เสริมโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเสริมประสิทธิภาพอุตสาหกรรม และอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อให้ชุมชนได้เริ่มทดลองใช้ระบบ 5G

พร้อมเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูล ผลักดันให้ภาคเอกชนและภาครัฐ จัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ในพื้นที่ EEC โดยให้ EECd เป็นจุดติดตั้งศูนย์ข้อมูล (ดาต้า เซ็นเตอร์) พร้อมออกแนวทางและปรับข้อกฎหมายเพื่อนำข้อมูลคลาวด์ภาครัฐ และคลาวด์ภาคเอกชน

เฉพาะข้อมูลที่เปิดเผยได้มาจัดทำข้อมูลกลางเพื่อธุรกิจในอนาคต หรือ คอมมอน ดาต้า เลค เพื่อให้ภาคธุรกิจ และกลุ่มสตาร์ทอัพ นำข้อมูลนี้ไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจ เช่น สร้างอี-คอมเมิร์ซ การท่องเที่ยว สาธารณสุข และการแพทย์ และพัฒนาบุคลากรดิจิทัล โดยเน้นผลิตบุคลากรที่มีทักษะตามความต้องการของเอกชน 100,000 คน

อีกทั้งยังรับทราบการขอรับส่งเสริมการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในช่วง 11 เดือน (ม.ค.- พ.ย. 2563) มีทั้งสิ้น 387 โครงการ มูลค่าลงทุนสูงถึง 1.28 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ 76,000 ล้านบาท

ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเคมี ส่วนในปี 64 คาดว่า ภาพรวมจะมีเงินลงทุนเข้ามาใน EEC ประมาณ 4 แสนล้านบาท ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1 แสนล้านบาท และการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายอีก 3 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเริ่มลงทุนมากในปีหน้า หลังชะลอการลงทุนในปีนี้เพราะเกิดโควิด-19 ระบาด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top