Tuesday, 1 July 2025
NEWS

"ชินวรณ์" มั่นใจปชป.เสียงไม่แตกโหวตศึกซักฟอก หลังลูกพรรคออกมาขู่พปชร.ส่งผู้สมัคร ส.ส.นครศรีฯแข่ง เชื่อแยกเรื่องออก เมินฝ่ายค้านขอเพิ่มวัน เชื่อเสียเวลาเปล่า ไม่เป็นผลดี ชี้ "เพื่อไทย - ก้าวไกล"

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ (3 ก.พ.) จะมีการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎรที่มีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่ 1 เป็นประธานในเวลา 15.00 น.

เพื่อประชุมเรื่องกรอบเวลาหลักที่กำหนดไว้จำนวน 4 วัน คือวันที่ 16 - 19 ก.พ. และลงมติในวันที่ 20 ก.พ. โดยประเด็นหลักจะดูเนื้อหาสาระ และผู้เสนอญัตติที่จะอภิปราย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางวิปรัฐบาลได้เสนอความเห็นนี้ไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วโดยครม.มีมติให้ความเห็นชอบว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่เหมาะสม และพรรคร่วมรัฐบาลยังยึดในหลักการเดิม

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะขอเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจเพิ่มอีก 1 วัน นายชินวรณ์ กล่าวว่า ได้พูดคุยกับฝ่ายค้านไปแล้วว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลต้องไปบริหารจัดการเวลา ไม่ควรให้เกิดกรณีเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะจะทำให้มีข้อถกเถียงกันเอง อีกทั้งตนได้เสนอว่าหากมีการขอเพิ่มเวลาจริงอีก 1 วัน แต่ก็ยังไปถกเถียงกันเรื่องเวลาจะทำให้เสียเวลาเปล่า

และที่สำคัญฝ่ายค้านจะเสียประโยชน์ แทนที่ผู้สรุปจะได้สรุปญัตติให้เกิดความชัดเจน และสื่อมวลชนจะได้สนใจเรื่องดังกล่าวพร้อมทั้งนำไปขยายผลต่อไป หากไปจบเรื่องการถกเถียงเวลาก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ตนพูดด้วยความปรารถนาดี

เพราะอยากให้รัฐสภาเป็นที่หวังของประชาชนว่าอย่างน้อยท้ายที่สุดถึงไม่มีหลักฐานอะไรที่เป็นใบเสร็จ แต่รัฐสภาสามารถตรวจสอบเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามกลไกการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับ ดังนั้นเราให้เกียรติฝ่ายค้านเต็มที่ แต่ฝ่ายค้านก็ต้องบริหารจัดการเวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เมื่อถามว่า การลงมติให้กับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายฯ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะคุมเสียงอย่างไร เพราะมีปัจจัยการแข่งขันการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 3 จ.นครศรีธรรมราชด้วย นายชินวรณ์ กล่าวว่า "การอภิปรายไม่ไว้วางใจกับการเลือกตั้งซ่อมเป็นคนละมิติกัน

ซึ่งการเลือกตั้งซ่อมเป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารที่จะต้องพูดคุยกัน ในส่วนของบทบาทในสภาฯ โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจถือเป็นเรื่องสำคัญที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญและข้อบังคับโดยให้สิทธิ์ทั้งสองฝ่ายอภิปรายอย่างเท่าเทียมกัน"

โดยหลักทั่วไปฝ่ายรัฐบาลมีเสียงข้างมากทุกครั้งก็จะชนะ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาที่มีอยู่ ซึ่งขณะนี้คือต้องเกิน 244 เสียง แต่ของฝ่ายค้านไม่ถึง ดังนั้นประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้

แต่อยู่ที่เนื้อหาสาระของฝ่ายค้านว่ามากพอหรือไม่ และทำให้ประชาชนเชื่อถือหรือไม่ ส่วนประเด็นมติที่จะออกมานั้นเป็นไปตามหลักการทุกครั้งที่มีการอภิปรายฯ ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะตั้งคณะทำงานติดตามข้อมูลอยู่แล้ว และหลังจากอภิปรายฯเสร็จตามเจตนารมณ์ของข้อบังคับและรัฐธรรมนูญต้องทิ้งไว้ 1 วันสำหรับลงมติฯ เพื่อให้ไตร่ตรองกันให้ดีก่อน เราก็ต้องฟังการอภิปรายฯก่อนจึงจะมาพูดเรื่องการลงมติ แต่ตนมั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะไปในแนวทางเดียวกัน

เมื่อถามว่า แต่ก็เริ่มมีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาขู่ว่าจะโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อแก้เกมกรณีส่งผู้สมัครส.ส.แข่งที่จ.นครศรีธรรมราช นายชินวรณ์ กล่าวว่า คงจะใช้เงื่อนไขอื่นมาเป็นเงื่อนไขที่จะรับผิดชอบต่อประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

แต่เป็นเรื่องรัฐบาลร่วมกัน อยู่ที่วิรัฐบาลต้องติดตามและมีมติที่ชัดเจน รวมถึงต้องเปิดโอกาสให้เพื่อนสมาชิกได้รับฟังความคิดเห็นก่อน ส่วนจะอ้างเหตุผลเรื่องอื่นหรือเรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องที่เป็นความคิดเห็นของแต่ละคน

เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์จะคุมเสียงพรรคอย่างไร นายชินวรณ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีปัญหา เพราะเป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจร่วมกันอยู่แล้ว ตนเข้าใจว่าเมื่อวิปแต่ละฝ่ายได้อธิปบายเหตุผลแล้ว ทุกคนต้องยอมรับมติวิปแต่หากใครไม่ยอมรับก็เป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรคแต่ละพรรคต้องดำเนินการต่อไป

เมื่อถามย้ำว่า จะมีการปล่อยฟรีโหวตหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ไม่เคยมี เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีการทำงานร่วมกันของระบบรัฐสภา ไม่เช่นนั้นระบบรัฐสภาจะอยู่ไม่ได้ เพราะต้องเดินด้วยเสียงข้างมาก ส่วนผู้ชี้แจงจะชี้แจงเป็นที่พอใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ชี้แจงต้องรับผิดชอบเอง

เมื่อถามว่า มั่นใจพรรคประชาธิปัตย์จะคุมส.ส.ของพรรคได้หรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า "คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการแข่งขันในการเลือกตั้งนั้นเป็นอย่างไร และการทำงานร่วมกันในระบบรัฐสภาควรเป็นอย่างไร ก็คงไม่มีปัญหา ส่วนการคุมส.ส.ตอนนี้คุมง่ายขึ้นเพราะเหลือส.ส. 51 คน เมื่อถามว่ากรรมการบริหารพรรคมีการคาดโทษที่โหวตแหกมติพรรคหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น โดยเรายังไม่ได้คุยกัน ซึ่งมีเพียงคณะทำงานติดตามข้อมูล"

Jeff Bezos มหาเศรษฐีระดับท็อปของโลก ประกาศลาออกจากซีอีโอ Amazon หลังจากบริหารงาน Amazon จากเว็บไซต์ขายหนังสือในปี 1995 จนกลายมาเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน

ล่าสุดทาง Jeff Bezos ซึ่งเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและซีอีโอในปัจจุบัน ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้ว เขาจะยังคงบริหารงานต่อไป เพื่อเตรียมการเปลี่ยนผ่านสู่ซีอีโอคนใหม่ในช่วงกลางถึงปลายปี 2021 นี้

หลังจากลาออก ถึงแม้จะยังคงตำแหน่งประธานบริษัทอยู่ แต่งานบริหารทั้งหมดนั้นจะถูกส่งต่อไปยัง Andy Jassy ผู้บริหารซึ่งเข้าไว้ใจที่สุดให้มารับช่วงต่อ

Andy Jassy ปัจจุบันเป็นผู้บริหารของ Amazon Web Services ซึ่งถือเป็นธุรกิจคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน และเป็นธุรกิจของ Amazon ที่เติบโตเร็วมาก ๆ ในช่วงหลัง

ซึ่งการบริหารงานที่ดีในธุรกิจคลาวด์ น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ Jeff เลือกเขามารับตำแหน่งแทน

หลังจากลาออกจากซีอีโอแล้ว Jeff ระบุว่าตัวเขาจะได้เอาเวลาและพลังงานของตัวเอง ไปโฟกัสไปที่อีก 4 งาน นั่นก็คือ

- ธุรกิจสื่อ The Washington Post

- ธุรกิจด้านอวกาศ Blue Origin

- กองทุนช่วยเหลือคนไร้บ้านและการศึกษา Day 1 Fund

- กองทุนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Bezos Earth Fund

ภายใต้การบริหารงานของ Jeff ตลอด 25 ปีที่ผ่านมานั้น ทำให้ Amazon พัฒนาจากเว็บไซต์เล็กๆ กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 50 ล้านล้านบาท

และส่งผลให้ผู้ก่อตั้งอย่าง Jeff เป็นมหาเศรษฐีด้วยทรัพย์สิน 5.8 ล้านล้านบาทอีกด้วย


ที่มา: Billion Mindset

https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1148298742278531/

แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งธุรกิจ อี-คอมเมิร์ชยักษ์ใหญ่ อาลีบาบา และเคยได้ชื่อว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีน ถูกถอดชื่ออกจากทำเนียบรายชื่อผู้ประกอบการชั้นนำของจีน ที่ตีพิมพ์ใน Shanghai Securities News ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในแวดวงนักธุรกิ

นอกจากจะไม่ปรากฏชื่อของ หม่า หยุน หรือ แจ็ค หม่า แล้ว ยังไม่ลงตัวเลขรายได้ของเครือบริษัทอาลีบาบา อีกด้วย ทั้งๆที่ยังปรากฏชื่อผู้ประกอบการรายใหญ่แถวหน้าของจีนยังอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นโทนี่ หม่า ผู้ก่อตั้งบริษัท Tencent คู่แข่งของแจ็ค หม่า เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง Huawei หรือ เหลย จุน ผู้ก่อตั้ง Xiaomi

ทางสำนักข่าว Shanghai Securities News ลงความเห็นไว้ว่า ผู้ประกอบการบางคนที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ฮีโร่ ที่กล้าเดินออกจากกรอบระบบเศรษฐกิจเก่าๆ แต่วันนี้เขาก็ยังคงต้องเป็นผู้นำในองค์กร ที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด

ซึ่งก็อาจเป็นการส่งสัญญาณให้กับแจ็ค หม่า ที่ตอนนี้ไม่ใช่ลูกรักของรัฐบาลจีนอีกต่อไป และกับผู้ประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าอื่นของจีน อย่าง Tencent หรือ Pinduoduo ที่กำลังจะดำเนินตามรอยแจ็ค หม่า ขึ้นท้าทายระบบเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมโลกการเงิน ที่รัฐบาลจีนยังถืออำนาจควบคุมอยู่

ทางฝ่าย อาลีบาบา ก็ไม่ได้ออกมาให้ความเห็นว่าทำไมถึงไม่มีข้อมูลบริษัท และชื่อของ แจ็ค หม่า ตีพิมพ์ในสื่อของรัฐบาลเหมือนอย่างเคย แม้ว่าจะได้ส่งรายงานตัวเลขรายได้ของบริษัทไปให้แล้วก็ตาม

และก็ยังคงไม่อาจคาดเดาได้ถึงอนาคตของแจ็ค หม่า ซึ่งยังคงเก็บตัวเงียบ และ อาลีบาบา ที่กำลังโดน รัฐบาลจีนสั่งตรวจสอบทั้งเครือว่าเข้าข่ายผิด กฏหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดหรือไม่

แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนมีแผนที่จะหั่นซอย อาลิบาบา ออกมาเป็นบริษัทเล็กๆ ที่จะมีอำนาจในการกำหนดทิศทางตลาดในจีนน้อยลง และก็อาจสร้างปรากฏการณ์ อาลีบาบา เอฟเฟค ที่กระทบไปยังอีกหลายเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนได้ในอนาคตเช่นกัน


อ้างอิง

https://www.reuters.com/article/us-china-alibaba-jack-ma-idUSKBN2A20E1

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-02-02/china-state-media-celebrate-top-entrepreneurs-except-jack-ma

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/jack-ma-omitted-from-china-state-medias-top-entrepreneurs-list

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ (‘OR’) ประกาศราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 18 บาทต่อหุ้น และจัดสรรหุ้นเพิ่มเติมให้ผู้จองซื้อรายย่อย ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของหุ้น OR อย่างทั่วถึง

โดยการจองซื้อหุ้นในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้จองซื้อรายย่อยในประเทศ และนักลงทุนสถาบันชั้นนำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของการขายหุ้น IPO ของบริษัทไทย และมูลค่าเสนอขายหุ้น OR ในครั้งนี้ นับเป็นหุ้น IPO ที่มีมูลค่าสูงเป็นลำดับต้นๆ ของตลาดหุ้นไทย และคาดว่าจะได้รับการจัดเข้าไปรวมอยู่ในดัชนี SET50 และ SET100 ด้วยเกณฑ์ Fast-track ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ โออาร์ เปิดเผยว่า การจองซื้อหุ้นสำหรับผู้จองซื้อในประเทศครั้งนี้ โออาร์ เปิดให้มีระยะเวลานานเกือบ 10 วัน เพื่อให้นักลงทุนที่สนใจได้มีโอกาสเข้ามาจองซื้ออย่างเต็มที่ โดยภายหลังการปิดจองซื้อ พบว่ามีผู้จองซื้อรายย่อยแสดงความสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก มีจำนวนรายการที่จองซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายหุ้น 3 ธนาคาร ทั้งช่องทางการจองซื้อที่สาขาและช่องทางออนไลน์รวมกว่า 530,000 รายการ นับว่าเป็นการทำรายการจองซื้อหุ้นที่สูงที่สุด

ทั้งนี้ การจัดสรรหุ้นสำหรับผู้จองซื้อรายย่อยนั้น จะดำเนินการโดยใช้วิธี Small Lot First ซึ่งเป็นวิธีจัดสรรหุ้นให้แก่นักลงทุนทุกคนที่ต้องการอย่างทั่วถึงที่สุด โดยในรอบแรกจัดสรรที่กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ ซึ่งทุกคนจะได้หุ้นตามจำนวนขั้นต่ำ 300 หุ้น และในรอบถัดๆไป ผู้จองซื้อทุกคนได้รับการจัดสรรเพิ่มครั้งละ 100 หุ้นจนหุ้นหมด ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ของ บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด (บริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย) ซึ่งมีความโปร่งใส น่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้

“การจัดสรรวิธีดังกล่าว ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้จองซื้อรายย่อยทุกรายที่สนใจจองซื้อ และปฏิบัติตามเงื่อนไขการจองซื้อจะมีโอกาสเป็นเจ้าของหุ้น OR อย่างแน่นอน โออาร์ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจเข้าจองหุ้น และเป็นส่วนสำคัญในการร่วมสร้างประวัติศาสตร์การ IPO ด้วยกันในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญที่จะทำให้ โออาร์ เติบโตร่วมกับสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน” นางสาวจิราพรกล่าว

สำหรับผู้จองซื้อรายย่อยที่จองผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายหุ้นทั้ง 3 ธนาคาร สามารถตรวจสอบผลการจัดสรรหุ้น ได้ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไปที่ www.settrade.com

ส่วนผู้ถือหุ้นของ ‘PTT’ เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น OR ในครั้งนี้ สามารถตรวจสอบผลการจัดสรรหุ้น ได้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ที่ www.kasikornbank.com/kmyinvest

ส่วนผู้จองซื้อที่ไม่ได้รับการจัดสรรหุ้นเต็มตามจำนวนที่จองซื้อ จะได้รับการคืนเงินในส่วนที่ไม่ได้รับการจัดสรรภายใน 7-10 วันทำการ ตามวิธีการที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน จะเริ่มทำการคืนเงินในส่วนที่ไม่ได้รับการจัดสรรนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 และคาดว่า โออาร์ จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเร็วๆ นี้

ครม. ไฟเขียว ลดค่าธรรมเนียมส่งออกหรือนำผ่านราชอาณาจักร สัตว์หรือซากสัตว์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการนำเข้า ส่งออกหรือนำเข้าราชอาณาจักร ซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ มีสาระสำคัญ คือ

1. ลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ ประเภทแพะ แกะ เข้ามาในราชอาณาจักร เหลือตัวละ 25 บาท จากเดิมตัวละ 250 บาท

2. ลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ ประเภทแพะ แกะ ออกนอกราชอาณาจักร เหลือตัวละ 20 บาท จากเดิมตัวละ 200 บาท

3. ลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำซากสัตว์ เพื่อการบริโภคของคนหรือสัตว์ ออกนอกราชอาณาจักร ประเภทจิ้งหรีด เหลือกิโลกรัมละ 3 บาท จากเดิมกิโลกรัมละ 5 บาท

4. ลดค่าที่พักซากสัตว์ที่นำเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ประเภทจิ้งหรีด เหลือกิโลกรัมละ 2 บาท จากเดิมกิโลกรัมละ 5 บาท

5. ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ ประเภทม้า โค กระบือ แพะ แกะ ที่นำออกนอกราชอาณาจักร โดยผ่านด่านศุลกากรบูเก๊ะตา

6. ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำสัตว์ผ่านราชอาณาจักรทางอากาศยานประเภทสุนัข แมว ไก่ เป็ด ห่าน สัตว์ปีกชนิดอื่น หรือไข่สำหรับใช้ทำพันธุ์ เฉพาะกรณีที่สัตว์นั้นยังอยู่ในเขตปลอดอากร จนกระทั่งมีการเปลี่ยนถ่ายอากาศยานแล้วขนส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ภายในระยะเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง และ

7. ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตนำซากสัตว์ผ่านราชอาณาจักรทางอากาศยาน กรณีไม่มีการเปิดตรวจตู้สินค้าหรือแบ่งถ่ายโอนสินค้า และยังอยู่ในเขตปลอดอากร จนกระทั่งมีการเปลี่ยนถ่ายอากาศยานแล้วขนส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ภายในระยะเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง

ม.อุบลฯ ลงพื้นที่ ‘โคกหนองนา’ เป็นพี่เลี้ยงนำองค์ความรู้ สู่เด็กนักเรียนในพื้นที่

มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยนายพรนเรศ มูลเมืองแสน หัวหน้าสำนักงานพัฒนาคุณภาพการศึกษา พร้อมบุคลากร ลงพื้นที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โคกหนองนา ณ โรงเรียนศรีแสงธรรม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่นโดยมีสถาบันอุดมศึกษาเป็นพี่เลี้ยง

โดยกิจกรรมแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยในช่วงเช้า ได้จัดให้มีการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติการลงแขกปลูกทานตะวัน ดาวกระจายและมันม่วง โดยมีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเป็นพี่เลี้ยง ในการสอน ทั้งการปลูกพันธุ์ไม้ และการดูแลรักษาพันธุ์ไม้ อีกทั้งกิจกรรมการในช่วงบ่าย จัดให้มีการเรียนรู้ทฤษฎีและการปฏิบัติในการเพาะเมล็ดพันธุ์ดอกทานตะวัน ดาวกระจาย และถั่วลิสง พร้อมนี้นักเรียนจะได้สามารถลงมือปฏิบัติจริงและเรียนรู้ ฝึกทักษะวิธีการเพาะปลูกจริงอีกด้วย เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา

โดยทาง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีได้สนับสนุนพันธุ์ไม้ และบุคลากรในการเป็นวิทยากร ให้ความรู้ในการเพาะปลูกและการขยายพันธุ์ไม้ต่าง ๆ และได้ลงพื้นที่จัดกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักเรียนและครูที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เรียนรู้โดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญจากทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้นำองค์ความรู้ถ่ายทอดได้จริงสำหรับด้านการเกษตร เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ชุมชนและสังคม ซึ่งมหาวิทยาลัยดำเนินการตามพันธกิจมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายที่สำคัญคือการเป็น “มหาวิทยาลัยในดวงใจของชุมชน” และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่จะเป็น “มหาวิทยาลัยชั้นนำในอาเซียนที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและนวัตกรรม”


กิตติภณ เรืองแสน / ข่าว

‘ผบ.ทบ.’ ลงเยี่ยมให้กำลังใจทหารที่บาดเจ็บ ชี้!! กองทัพบกไม่ทอดทิ้งกำลังพล ‘บาดเจ็บ – เสียชีวิต’ พร้อมวอนคนไทย ร่วมระลึกวีรกรรมทหารกล้าใน ‘วันทหารผ่านศึก’

พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ในโอกาสวันทหารผ่านศึก ตั้งใจที่จะมาให้กำลังใจกับผู้ได้รับบาดเจ็บในระหว่างพักรักษาตนเอง พร้อมชื่นชมในความเสียสละ ทุ่มเท ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อแสดงให้เห็นว่ากองทัพบกมีความห่วงใยไม่ทอดทิ้งกำลังพลไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่หรือผู้ที่เสียชีวิตรวมถึงญาติของผู้ที่เสียชีวิต ที่ทบ.ได้ให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดคือกรณีของ ยายบวน โล่ห์สุวรรณ มารดาของกำลังพลที่เสียชีวิต ทางมณฑลทหารบกที่ 21 (มทบ.21) เข้าไปช่วยเหลือและวันนี้ ส่วนกรณีนายเอี้ยง นาคสิงห์ อดีตทหารผ่านศึก กองทัพภาคที่ 3 จะไปช่วยเหลือเรื่องที่พักอาศัย ซึ่งก็เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ให้หน่วยทหารในทุกพื้นที่เข้าไปดูแลกำลังพลหรือทหารผ่านศึกที่ได้รับบาดเจ็บ อย่างต่อเนื่อง

จากนั้น ผบ.ทบ.เข้าเยี่ยมกำลังพลที่บาดเจ็บจากเหตุการสู้รบในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) 4 รายคือ ส.อ.วัชรา ไชยแก้ว ถูกยิงที่ใบหน้าด้ายซ้ายกระดูกใบหน้าแตก ได้รับการผ่าตัดแล้ว, ส.ท.อนุชา ดาลาด ถูกยิงบริเวณกระดูกต้นคอทับเส้นประสาทไม่สามารถขยับร่างกายได้, ส.ท.สุพจน์ เจริญสุข บาดเจ็บจากการถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะไม่รู้สึกตัว อยู่ระหว่างการบำบัดฟื้นฟู, จ.ส.อ.ชัยวัตน์ จันทร์เอ้ย กระดูกสันหลังทับเส้นประสาทขาอ่อนแรงอยู่ระหว่างกายภาพบำบัด โดยอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่ ทางทีมแพทย์จะให้การรักษาพยาบาลให้ทุเลาหรือสามารถกลับมาเป็นปกติและดูแลอย่างเต็มที่ ซึ่งในระหว่างพักรักษาอาการในโรงพยาบาลได้รับเงิน ช่วยเหลือบำรุงขวัญเป็นรายเดือน และผู้บังคับบัญชาหมุนเวียนกันเข้าเยี่ยมเยียนรวมถึงสมาคมแม่บ้านทหารบก โดยหากแพทย์ลงความเห็นว่าเป็นทหารผ่านศึกที่ปลดพิการ นอกเหนือจากจะได้รับสิทธิเงินช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการและจากมูลนิธิต่างๆ แล้วยังจะได้รับการบรรจุทายาททดแทนเข้ารับราชการอีกด้วย

การเข้าเยี่ยมทหารบาดเจ็บเนื่องในโอกาส ‘วันทหารผ่านศึก’ ในวันนี้เป็นไปตามนโยบายของทบ.ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลทหารผ่านศึก ที่ถือว่าเป็นผู้ที่เสียสละประโยชน์สุขส่วนตนปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวมและประเทศชาติจนได้รับบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิต จึงนับเป็นวาระสำคัญที่คนไทยจะได้ร่วมกันระลึกวีรกรรมของทหารกล้าจากทุกสมรภูมิรบและร่วมกันเชิดชูเกียรติทหารผ่านศึกในคุณความดีที่ยอมสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยไว้ให้เราได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขมาจนทุกวันนี้

เจ้ากระทรวงศึกษาฯ นั่งหัวโต๊ะ บัญชาการประชุมบอร์ดชาติ กศน. แนะ ต่อจากนี้ ‘กศน.’ ต้องจัดการศึกษาให้เซ็กซี่ ทิ้งภาพเก่า เรียนแค่เอาวุฒิฯ สู่การเรียนรู้ เพื่อสร้างอาชีพ-รายได้จริง

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริม สนับสนุน และประสานงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

อนึ่งในการประชุมฯ ครั้งนี้มีผูบริหารระดับสูง อาทิ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลขับเคลื่อนงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ร่วมประชุมด้วย พร้อมทั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะกรรมการโดยตำแหน่งเข้าร่วมประชุม และมีนายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน.เป็นกรรมการและเลขานุการ รายงานผลการดำเนินงานของสำนักงาน กศน. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และชี้แจงโครงสร้างสำนักงาน กศน.รวมถึงโครงการสำคัญตามพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2564

ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประกอบด้วย คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ นายกล้า สมตระกูล นางวัชรี ปรัชญานุสรณ์ นางสาวพรทิพย์ อึ้งสมรรถโกษา และนายวัชรินทร์ จำปี ด้านผู้แทนภาคเอกชน มีพระครูบูรพาธรรมบัณฑิต ตลอดจนสื่อมวลชนทุกแขนงเข้าร่วม

เจ้ากระทรวงศึกษาฯ กล่าวว่าตอนหนึ่งว่า กศน. ต้องจัดการศึกษาให้ ‘เซ็กซี่’ ต้องน่ามอง น่าเรียนรู้และน่าค้นหา เน้นการขับเคลื่อนการศึกษาตลอดชีวิตเชื่อมต่อศักยภาพคนไทย ภาพในอดีตของ กศน. คือการเรียนเพื่อวุฒิการศึกษา หรือเรียนเพื่อการเทียบวุฒิ ซึ่งก้าวต่อไปของ กศน. ควรจัดการศึกษาด้านวิชาชีพ เพื่อเน้นสร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น รวมทั้งสอนการค้าออนไลน์เพื่อเพิ่มศักยภาพ และความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชน

ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ กล่าวว่า จุดเน้นในการจัดการศึกษา กศน. ใน ปีงบประมาณ 2564 ได้วางแผนและเตรียมการ จัดการศึกษาด้านอาชีพไว้แล้ว โดยให้ กศน. ทุกแห่งจัดการศึกษาด้านอาชีพตามบริบทของท้องถิ่นและสำรวจความต้องของประชาชนว่า มีความสนใจ และต้องการเรียนอาชีพอะไร พร้อมเดินหน้าเต็มสูบในการเปิดตลาดการค้าออนไลน์ ของ กศน.ทั่วประเทศ

จากการประชุมครั้งนี้ ทางเจ้ากระทรวงฯ ได้มอบหมายให้คณะทำงานชุดย่อยรับหัวข้อต่างๆ ไปดำเนินการ แล้วนำเสนอกลับมาเร็วที่สุดภายใน 1 เดือน ส่วนบางประเด็นต้องใช้เวลามากประมาณ 2 เดือน โดยหวังว่าจะช่วยให้แนวทางการขับเคลื่อน กศน.มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ในด้านของงบประมาณที่เตรียมไว้ แบ่งเป็น 2 ส่วน ทั้งของผู้สูงวัยและวัยรุ่นหรือวัยทำงาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับการเปลี่ยนอาชีพ ส่วนเรื่องของการปรับหลักสูตรให้ทันสมัยนั้น คณะอนุกรรมการที่ดูแลเรื่องนี้ได้เสนอว่าหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดิจิทัล หรือเรื่องทักษะภาษา จะต้องเชื่อมโยงสอดคล้องกับการศึกษาขัเนพื้นฐานและอาชีวศึกษาด้วย

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวถึงการแยกตัวของ กศน. นั้น เจ้ากระทรวงศึกษา กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นในการแยกกรมออกมา ในทางกลับกันต้องการให้หน่วยงานมารวมกันเพื่อความกระชับในการทำงาน และเดินไปในทิศทางเดียวกัน ถึงแม้ว่างบประมาณจะแยกออกมา แต่ก็ยังอยู่ภายใต้ ศธ. ดังนั้นหากสามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพผ่านกระบวนการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำชุมชน จะทำให้มีโรงเรียนเครือข่ายที่ปรับตัวเป็นศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณและทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากขึ้น

ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และทีมเศรษฐกิจว่า ได้เสนอต่อที่ประชุมให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ได้รับเงินเยียวยาเช่นเดียวกับโครงการเราชนะ

โดยลดเงื่อนไขเกณฑ์อัตราเงินเดือนไม่เกิน 25,000 บาททิ้ง ให้เหลือเพียงเงื่อนไขผู้ที่มีเงินฝากเกิน 500,000 บาท จะไม่ได้รับการเยียวยา โดยหลังจากนี้ตนจะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้งที่กระทรวงการคลังในวันเดียวกันนี้ ด้วยวิธีการใช้ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์

ดังนั้น จึงคาดว่าจะมีผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ได้รับสิทธิ์เกือบทั้งหมด และคิดว่าอย่างเร็วสุด จะสามารถนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม. สัปดาห์หน้า หรืออย่างช้าไม่เกินสัปดาห์ต่อไป ส่วนจะเป็นวงเงินที่ได้รับเยียวยาเท่าไรนั้น จะมีการพิจารณากันอีกครั้ง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีรัฐมนตรีมาขอคำปรึกษาเรื่องกฎหมายหรือไม่ว่า อีกหน่อยอาจจะมา แต่ขณะนี้ยังไม่มี

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีความเป็นห่วงเรื่องญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีการเกี่ยวข้องกับสถาบัน จำเป็นต้องประชุมลับหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ยังไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นมา เอาไว้มีสัญญาณเมื่อเกิดเหตุ การดำเนินการอย่างนั้นก็คงต้องคิดกัน

แต่ยังไม่ค่อยห่วงมาก เพราะมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรอยู่ หากมีความจำเป็นสามารถขอให้ประชุมลับได้ แต่ประชาชนอาจจะอึดอัดนิดหน่อย เพราะอยากฟังว่าเขาพูดอะไรกัน แต่หากมีความจำเป็นก็ต้องประชุมลับ เพราะข้อบังคับและรัฐธรรมนูญเปิดไว้

เมื่อถามว่า ในอดีตเคยมีการขอเปิดอภิปรายลับหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า อาจจะมี แต่ตนนึกไม่ออก ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับประเด็นความมั่นคงของชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น ข้อพิพาทเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร เป็นเรื่องธรรมดา

นอกจากนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ ส.ว.บางส่วน สนับสนุนญัตติของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค พปชร. ที่ให้ส่งเรื่องต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับทำได้หรือไม่ ว่า มีญัตติของนายไพบูลย์ค้างไว้ 3 - 4 เดือนแล้ว

ซึ่งก็ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตกันอยู่แล้ว ตามระเบียบวาระเข้าใจว่าจะเข้าสภาฯ สัปดาห์หน้า ส่วนสภาฯจะลงมติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตนไม่ทราบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามเจตนารมณ์แล้ว ส.ส.ร.สามารถยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทั้งฉบับหรือไม่ นายวิษณุ ปฏิเสธว่า ตนขอไม่ตอบ

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จริงจังแก้ปัญหาบ่อนการพนันและส่วยตำรวจ

“ตนบอกเป็นครั้งที่ร้อยแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จริงจังกับการแก้ปัญหาบ่อนทั้งระบบ น.ส.อรุณี ไม่เคยจำ ทำเหมือนนกแก้วนกขุนทอง และนายกฯ ยังให้ดำเนินการเอาผิดเด็ดขาดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะลงโทษเด็ดขาด รวมถึงเรื่องส่วย ยาเสพติด ก็มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

“ส่วนปัญหายาเสพติดนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ลุยแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ โดยในปี 2564 มีการเปิดแผนปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติด ตั้งเป้ายึดทรัพย์ 6,000 ล้านบาท พร้อมให้ ป.ป.ส. เป็นศูนย์กลางประสานทุกหน่วยงาน จัดหาเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัยใช้ทำงานสาวให้ถึงต้นตอ”

นายธนกร กล่าวอีกว่า "กรณีที่ น.ส.อรุณี แนะนายกฯ ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตัวเองว่าเคยทำอะไรให้กับประเทศบ้างนั้น น.ส.อรุณี มีจิตใจที่มืดบอดหรือแกล้งโง่ จึงถามคำถามแบบนี้ ตลอดระยะเวลา 7 ปี พล.อ.ประยุทธ์ทำงานให้กับประเทศมากมาย โดยในช่วงแรกก็ลุยแก้ปัญหาที่พรรคเพื่อไทยก่อไว้ เช่น การทุจริตจำนำข้าว ทำให้ประเทศเสียหายกว่า 6 แสนล้านจนมีรัฐมนตรีต้องติดคุก อดีตนายกฯ ต้องหนีไปต่างประเทศ"

"รวมถึงการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น โครงสร้างพื้นฐาน โครงการช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการและผู้มีรายได้น้อย สนับสนุน อสม. มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ เช่น โครงการชิมช้อปใช้ การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม เช่นโครงการประกันรายได้เกษตรกร การแก้ปัญหาราคายาง และยังมีอีกหลายโครงการที่เป็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์"

"น.ส.อรุณี ไม่ควรมีอคติจนเกินไป ควรเปิดใจให้กว้าง รับฟังบ้าง ไม่ใช่โจมตีรัฐบาลทุกเรื่องอย่างไม่ลืมหูลืมตา หรือท่องไปตามบทที่คนใหญ่คนโตในพรรคเขียนบทมาให้"

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการกรมการจัดหางาน เข้มงวด ตรวจสอบ ผู้มีพฤติกรรมหลอกลวง โฆษณาการจัดหางาน ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยฉวยโอกาสหลอกเหยื่อที่ตกงานช่วงโควิด อ้างรายได้ดี และเรียกเงินค่าจัดทำวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากคนหางาน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ สถานประกอบการในประเทศจำนวนมากได้รับผลกระทบจนไม่สามารถจ้างงานได้เช่นเดิม ทำให้แรงงานไทยส่วนหนึ่ง มีความหวังจะไปทำงานต่างประเทศเพื่อหารายได้

ซึ่งล่าสุดได้สั่งการกรมการจัดหางาน ให้ติดตาม ตรวจสอบแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิอย่างเข้มงวด เพื่อระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์ลักลอบไปทำงานต่างประเทศอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันการถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะนำ คนหางานที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ อย่าหลงเชื่อข้อความโฆษณาทาง ‘โซเชียลมีเดีย’ และขอให้ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ

เพราะมีโอกาสถูกหลอกลวงให้สูญเงิน จนถึงเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน www.doe.go.th/ipd ซึ่งขณะนี้มีบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น 127 บริษัท

"การโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน จะมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

"ทั้งนี้ เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศแล้ว จำนวน 49 คน และคนงานไทยไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศ จำนวน 1,965 คน" อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

สำหรับผู้สนใจจะไปทำงานในต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลการเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

แม้จะพิสูจน์ผลงาน จนกลายเป็นไอดอลระดับโลก แต่สาว ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ก็ยังไม่วายโดนกลุ่มแอนตี้ ออกมาเหยียดเรื่องเชื้อชาติไม่เลิก

เรื่องนี้ทำเอาชาวไทยและแฟนคลับของสาว ‘ลิซ่า’ ต้องออกมาช่วยกันปกป้องไอดอลสาวอย่างไว เพราะกลุ่มแฟนคลับต่างชาติบางส่วนทั้งใน จีน และ ตุรกี ที่อ้างว่าเป็นแฟนคลับของ BlackPink แต่รังเกียจ ‘ลิซ่า’ ได้ออกมาแสดงความเห็นดูถูกเธอเป็นจำนวนมาก เหตุเพราะเป็นคนไทย และมองประเทศไทยมีแต่เรื่องค้าผู้หญิง

งานนี้ชาว BLINK จึงพร้อมใจกันติดแฮชแท็ก #RespectLisa ขึ้นเทรนด์ไปทั่วโลก หลังจากที่ ลิซ่า ต้องตกเป็นเหยื่อของการถูกเหยียดเชื้อชาติจากแฟนคลับต่างชาติ

ปมเหตุของเรื่องนี้เกิดขึ้นในกลุ่มแฟนคลับต่างชาติ ที่ได้มีการพูดคุยถึงคอนเสิร์ต The Show ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยต่างวิพากษ์วิจารณ์คอนเสิร์ตออนไลน์ของสาวๆ BlackPink ก่อนที่บางส่วนจะมุ่งโจมตีไปที่ ลิซ่า โดยเฉพาะ

กลุ่มแฟนคลับจีนที่บอกว่าตนเองเป็น BLINK โดยดูได้จากทั้งจากรูปโปรไฟล์และชื่อแอคเคาท์ที่ใช้ แต่ได้แสดงความเห็นแย่ๆ เกี่ยวกับรูปลักษณ์ของ ลิซ่า โดยเปรียบเทียบเธอกับ เลดี้บอย, กะเทย หรือ ผู้หญิงข้ามเพศ

นอกจากข้อความจากแอนตี้แฟนฝั่งจีนแล้ว ทางแอนตี้แฟนฝั่งตุรกีก็วิจารณ์ว่าไม่ชอบความสามารถของ ลิซ่า ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อไปสู่การดูถูก ลิซ่า โดยใช้คนไทยบางส่วนมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งนอกจากคำดูถูกแล้ว บางส่วนยังเหยียดความสามารถของ ลิซ่า ด้วยก่อนที่บทสนทนาจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ และลุกลามไปสู่การมโนใส่ร้าย

จากข้อความเหล่านี้ แฟนคลับที่รัก ลิซ่า จึงได้พร้อมใจกันปกป้องพากันติดแฮชแท็ก #RespectLisa จนขึ้นเทรนด์อันดับ 3 ไปทั่วโลก และขึ้นอันดับ 1 ในหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ลิซ่า กลายเป็นเป้าโดนดูถูกเหยียดหยามจากแฟนคลับต่างชาติจากการที่บางคนไม่ชอบที่เธอเป็นคนไทย และมาโด่งดังในฐานะศิลปินวงเกาหลี แต่ถึงกระนั้น ก็มีแฟนๆ อีกไม่น้อยที่พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างและปกป้อง ลิซ่า เพื่อเป็นกำลังใจให้กับสาวไทยรายนี้ต่อไป


ที่มา: https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000010672

ก.แรงงาน เปิดไทม์ไลน์ฝึกอบรม ก.พ. - มี.ค. ชงสถาบัน MARA เทรนสมองกล - หุ่นยนต์ สร้างคนอัจฉริยะป้อน EEC

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เริ่มดีขึ้น หลายจังหวัดมีผู้ติดเชื้อน้อยลงหรือแทบไม่มีผู้ติดเชื้อภายในจังหวัดอีกเลย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายให้กพร.เร่งดำเนินการ จัดฝึกอบรม ผลิตกำลังแรงงานป้อนสู่ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการฝึกอบรมสาขาเทคโนโลยีการผลิตและหุ่นยนต์ ไปสู่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนื่องจากยังมีความต้องการแรงานที่มีทักษะฝีมือจำนวนมากทั้งในระดับช่างปฏิบัติการและวิศวกร

ในส่วนนี้สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) ซึ่งเป็นศูนย์ Training Excellent Center ของกพร. จึงเร่งดำเนินการพัฒนากำลังแรงงานในสาขานี้ เพื่อให้มีศักยภาพรองรับนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง (High Technology) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

โดยล่าสุดสถาบัน MARA เปิดไทม์ไลน์โปรแกรมหลักฝึกอบรมช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2564 จำนวน 14 หลักสูตร ดังนี้...

(1) การใช้โปรแกรม PLC Basic PLC Gx Works

(2) PLC Advance

(3) การประยุกต์ใช้ PLC ในงานอุตสาหกรรม (Siemens)

(4) การประยุกต์ใช้ PLC ในงานอุตสาหกรรม (Omron)

(5) การประยุกต์ใช้ CC-Link ในงานอุตสาหกรรม (Mitsubishi)

(6) การใช้เทคโนโลยี Industrial Internet of Things ในงานอุตสาหกรรม ระดับ 1 เปิด 2 รุ่น สาขาหุ่นยนต์

(7) ช่างควบคุมหุ่นยนต์ FANUC

(8) การควบคุมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสำหรับการจับชิ้นงาน

(9) การบำรุงรักษาหุ่นยนต์อุตสาหกรรม สาขาโปรแกรมการผลิต CAD/CAM/CAE

(10) การใช้โปรแกรม Solidworks CAD

(11) การใช้โปรแกรม NX CAD

(12) การจำลองขบวนการผลิตและวางแผนการผลิตด้วยโปรแกรม TECNOMATIX และสาขาเครื่องจักรกลการผลิต

(13) การใช้เครื่องมือวัดสามมิติ CMM ระดับ 1

(14) ช่างควบคุมเครื่องกัด CNC 5 แกน

ทั้ง 14 หลักสูตรเป็นไปตามความต้องการของนายจ้างและสถานประกอบกิจการในเขต EEC ที่ต้องการให้เปิดฝึกอบรมในการพัฒนากำลังแรงงานในสาขานี้อีกด้วย

“ทุกหลักสูตรจะใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชั่วโมง บางหลักสูตรมีฝึกอบรมเฉพาะวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงานในสถานประกอบกิจการเข้ารับการฝึกอบรมได้สะดวกขึ้น รับสมัครจำนวนจำกัดเพียง 20 คนต่อหนึ่งหลักสูตร สร้างระยะห่างทางสังคมเป็นไปตามมาตรการที่กพร. กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยังคงคุณภาพของการฝึกอบรมไว้เช่นเดิม เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป

ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dsd.go.th/mara และ www.facebook.com/dsdmara หรือติดต่อสอบถามที่เบอร์โทร 0 3827 6823” อธิบดีกพร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top