Tuesday, 1 July 2025
NEWS

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พบนักศึกษาแพทย์ ติดเชื้อโควิด-19 แนะเลี่ยงเดินทางใกล้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์

วัน 16 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงค่ำ เมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) ที่เฟซบุ๊กเพจ Thammasat TODAY ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความระบุว่า นักศึกษาแพทย์ มธ. ศูนย์รังสิต ติดเชื้อโควิด-19 โดยได้รับการยืนยันแล้วว่า “ติดจริง”

ทั้งนี้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติมทางเพจจะอัพเดตให้ทราบอีกครั้ง

เวลาต่อมา ทางเพจได้โพสต์ข้อความระบุว่า “คุณหมอ inbox แจ้งเตือนมาว่า คนไข้ที่มีความเสี่ยงติดโควิดสูง มา รพ. เยอะมาก โปรดหลีกเลี่ยงการเดินทางมาใกล้ รพ.มธ.”


ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10159141286018814&id=182927663813

รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ เสนอต่อสู้กับรัฐอำนาจนิยม ด้วยการ “นัดหยุดงานทั่วประเทศ” รวมทั้งการไม่สมาคม (กิจกรรมทางสังคม - เศรษฐกิจ) บอยคอตเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง มั่นใจสู้ได้ ทำแล้วได้ผลดูพม่าเป็นตัวอย่าง

ก่อนหน้านี้ รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก “Sustarum Thammaboosadee” ว่า “วิธีที่จะรับลูกต่อจากการต่อต้านเผด็จการ และรัฐอำนาจนิยมจากการใช้ความรุนแรงเมื่อคืน (13 ก.พ. 64) ที่ง่าย สันติ และใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด คือ

“การนัดหยุดงานทั่วประเทศ” และการไม่สมาคม (กิจกรรมทางสังคม-เศรษฐกิจ) กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง (ตำรวจ ทหาร ราชทัณฑ์ ตุลาการ) เรื่องนี้เหมือนยากแต่ง่ายมาก เพราะอำนาจการจัดการจะย้อนกลับสู่พวกเราเอง

ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างเมียนมา พิสูจน์แล้วว่าเรื่องนี้ทำได้ ในสภาพที่เศรษฐกิจเปราะบางกว่าไทยหลายเท่า

สลิ่ม หรือชนชั้นกลางอนุรักษนิยม ผมมองว่ามีทุกที่ในโลก อังกฤษ สวีเดน เดนมาร์ก พม่า ก็มี และสัดส่วนก็ครึ่ง ๆ ทุกที่ทั่วโลกเช่นกันครับ

ผมมองว่า เราสามารถสู้ได้ รัฐบาลอำนาจนิยม และสลิ่มบ้านเราก็ไม่ได้พิเศษกว่า สลิ่มโลกแน่นอน”

ต่อมาเพจ “เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH” ได้นำข้อความไปเผยแพร่ พร้อมระบุว่า การนัดหยุดงาน/นัดหยุดเรียน (Strike) เป็นสิ่งที่ทำกันมาตลอดในการประท้วงที่ต่างประเทศ หากแต่ประเทศไทยเรายังไม่เคยมีประวัติศาสตร์ถึงการนัดหยุดงานพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง

และทรงพลังมาก่อน แม้สภาพเศรษฐกิจของไทยเข้าขั้นเปราะบาง และความเหลื่อมล้ำสูงอย่างถึงที่สุด แต่หากทุกคนพร้อมใจกัน นั่นย่อมหมายถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000014775

หลาย ๆ ประเทศทางฝั่งตะวันตก ยังคงประสบปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างหนัก แต่ยังดีที่ทางรัฐบาลต่างในประเทศต่าง ๆ เริ่มกวดเข้มมาตรการแบบถึงลูกถึงคน (แต่มักไม่มีข่าวเปิดเผย)

ทั้งนี้ก็เพื่อหวังที่จะคุมการแพร่ระบาด ฃให้ได้มากที่สุด และรอความหวังอย่างวัคซีนให้เข้ามายังประเทศของตนให้ไวที่สุด เพราะตอนนี้หลายๆ ประเทศที่แท้จะร่ำรวย ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ เหตุเพราะไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตวัคซีนได้เอง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณทาม CEO ร้านผัดไท ในเนเธอร์แลนด์ เจ้าของเฟซบุ๊ก Tham Prawattree ได้โพสต์แชร์ให้เห็นถึงภาพตัวเขาที่ต้องอยู่ในประเทศนี้ ว่า..

#Goodnews #ข่าวดีๆ กันบ้าง

#สถานการณ์โรคระบาด

#อัพเดทข่าวสาร บ้านเมืองของประเทศที่ผมอยู่ หรือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตอนนี้ถือได้ว่ากำลังผจญกับเชื้อโควิด-19 อย่างสาหัสสากัน แต่เราก็ไม่หวั่นครับ มีสติ เพราะยังมีเงิน เงินหมด สติกระเจิง

ครับ!! นี่ขนาดเราเป็นประเทศที่บินแค่ 45 นาที ก็ถึงสหราชอาณาจักรละ เรายังมีวัคซีนอันน้อยนิด และก็ถือว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยนะครับ ยังได้นิดเดียว ที่อังกฤษโน่นฉีดกันไป 15 ล้านเข็มละ (แหมผลิตได้เองเนาะ)

ประเทศเนเธอร์แลนด์ นี่จัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และเก็บทุกแบบทุกอนู #ภาษีเงินได้อัตราสูงสุดที่ผมก็เสีย 49.5% ส่วน VAT เหรอครับ อิอิ 9% และ 21% เทียบกับสิงค์โปร์ที่เคยอยู่มา ทำให้ต้องถามตัวเองว่า #มาทามมัยยยยยย

ไม่ต้องไปถามไทยแลนด์ ดินแดนเก็บภาษีไม่ครบ และช่วยกันเลี่ยง คือเลี่ยงได้เป็นเลี่ยง และชอบมาอ้างว่า #เงินภาษีของประชาชน

#อะมาดู

ตอนนี้เราเพิ่งฉีดวัคซีนได้แค่ 783,606 คน เรามี ประชาการ 17.9 ล้าน โดยประมาณ อันนี้ถือว่าช้านิดนึง แต่รัฐก็ทำเต็มที่ละ ทำไงได้ไปซื้อเค้า ไม่ได้ทำเอง

แต่ตัวเลขอื่นๆ ก็ดูดีขึ้นครับ เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อมีอัตราลดลงที่ดี คือติดน้อยลง #ยอดสะสมก็ลดลง #จำนวนคนเสียชีวิตก็ลดลง

และตัวเลข R Zero หรือ R 0 หรือ #Reproduction number ก็ต่ำกว่าหนึ่ง ซึ่งถือว่าดี อันนี้เทียบว่าคนหนึ่งคนสามารถแพร่เชื้อไปได้แค่ไหน เท่าไหร่ ซึ่งดี น่าใจชื้น

#ที่มันลด ก็เพราะมาตรการห้ามฝรั่งออกมามั่วสุม สุมหัวและเมาส์มอยกัน หรือ #เคอฟิวส์

พอเค้าห้ามออกมา ก็ออกมา #ประท้วง ทำลายข้าวของ เรียกร้องหาอิสระเสรีภาพ ผิดที่ ผิดเวลา ไม่รู้จักดู เค้าให้ประท้วงแค่นี้ จะเอาแบบนี้ จริงเค้าประท้วงสองหัวข้อคือเรื่องรัฐบาลและมาตรการ

พอโดนจับ ปรับ ลงโทษ แบบไม่ไว้หน้า แบบ fully law enforcement ที่นี้ละหายไปเลย ไม่เห็นจะเก่งเหมือนที่เมืองไทย ที่นี่ปรับ จับ ริบ ยึด ตี ฟาด (ตำรวจนี่แหละฟาดประชาชนจริงๆ ถ้าทำผิด เห็นละผมยังแขยง)

อดทน อดทน เดี๋ยวก็จบ

อิจฉา #ควีนอาลิซเบท ของอังกฤษ ที่ได้รับวัคซีนไปเรียบร้อยละ (ตั้งนานละด้วย)


ที่มา:

คุณทาม CEO แห่งร้านผัดไท เนเธอร์แลนด์

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3853876497968900&id=100000397626019

นายกหญิงคนแรก “ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย” พร้อมคณะผู้บริหาร นับหนึ่งนั่งเก้าอี้นายกอบจ. หลังผวจ.สมุทรปราการ เปิดประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการครั้งแรก

ที่ห้องประชุม ชั้น 4 อาคารองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในการเปิดประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นครั้งแรกของการเปิดประชุมหลังจากที่ได้มีการประกาศผลการเลือกตั้งนายก อบจ.โดยมีนางนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และเป็นนายกหญิงคนแรกของ อบจ.สมุทรปราการ ที่ได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารงานในครั้งนี้

พร้อมด้วยนายธนวัตน์ กล่ำพรหมราช รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ รักษาราชการแทน ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ทั้ง 36 คน เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพียง

ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม ได้มีการประกาศรายชื่อรองนายก อบจ.สมุทรปราการ และเลขานุการ นายก อบจ. สมุทรปราการ ประกอบไปด้วย นายสุนทร ปานแสงทอง เป็นรองนายก อบจ.สมุทรปราการ ลำดับที่ 1 นายพิริยะ โตสกุลวงศ์ เป็นรองนายก อบจ.สมุทรปราการ ลำดับที่ 2 และนายสมลักษณ์ ควรสงวน เป็นรองนายก อบจ.สมุทรปราการ ลำดับที่ 3

พร้อมด้วย นายนิคม สมบุญมาก เลขานุการ นายก อบจ.สมุทรปราการ นายมนัส บุญอารีย์ เลขานุการ นายก อบจ.สมุทรปราการ และนายรัชชานนท์ ทองอร่าม เลขานุการ นายก อบจ.สมุทรปราการ

จากนั้นได้เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม ครั้งที่ 1 ในที่ประชุมได้เสนอชื่อนายสมศักดิ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภา อบจ.เขต 7 อ.เมืองฯ เป็นประธานสภาชั่วคราว เพื่อคัดเลือกประธานสภา อบจ.สมุทรปราการ และในที่ประชุมได้มีการเสนอชื่อ นายสมควร ชูไสว สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ เขต 15 อ.เมืองฯ เป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ

โดยมี นายนิมิต เม่นมิ่ง สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ เขต 4 อ.พระประแดง เป็นรองประธานสภา ลำดับที่ 1 นายชนะ หงวนงามศรี สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ เขต 12 อ.เมืองฯ เป็นรองประธานสภา ลำดับที่ 2 นอกจากนี้ยังได้เสนอชื่อนางสาววลัยพร บานแย้ม สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ เขต 6 อ.บางพลี เป็นเลขานุการสภา อบจ.สมุทรปราการ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในการเปิดประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ครั้งแรก ทั้ง 5 วาระ โดยในที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ในทุกระเบียบวาระ..


คิว - ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สาธารณสุข จับตาใกล้ชิด "โควิดกลายพันธุ์" อังกฤษ - แอฟริกาใต้ - บราซิล หวั่นกระทบประสิทธิภาพวัคซีน เผยเชื้อโควิดจะกลายพันธุ์ทุก 2 เดือน ชี้เชื้อระบาดในไทยระลอกใหม่เป็นสายพันธุ์เมียนมา แต่หากควบคุมไม่ได้จะกลายเป็นสายพันธุ์ไทยแทน

รศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก รพ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงกรณีการพบคนไทยรายแรกติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ว่า ในปัจจุบันได้มีคำแนะนำให้มีการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของไวรัสใน 3 สายพันธุ์ ประกอบด้วย

สายพันธุ์ B.1.1.7 ที่ระบาดอยู่ในอังกฤษ โดยไวรัสตัวนี้สามารถจับกับเซลส์มนุษย์ได้ดีขึ้น และแบ่งตัวได้ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดการแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว

สายพันธุ์ B.1.351 ที่ระบาดอยู่ในแอฟริกาใต้ โดยไวรัสตัวนี้สามารถหนีภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น และอาจมีผลต่อการใช้วัคซีนที่พัฒนาโดยสายพันธุ์ดั้งเดิม

สายพันธุ์ P.1 ที่ระบาดอยู่ในบราซิล ซึ่งพลาสม่าหรือระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จับกับไวรัสนี้ได้น้อยลง เมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

"ผู้ป่วยชายไทยรายนี้ เดินทางมาจากประเทศแทนซาเนีย ต่อเครื่องที่เอธิโอเปีย พอถึงไทยได้เข้าพักใน Local Quarantine หลังจากนั้นมีอาการไอ ไข้ต่ำ ๆ จึงถูกย้ายไปที่ รพ.รัฐบาลแห่งหนึ่ง พอ 4 ก.พ.ตรวจ PCR พบว่าติดโควิด-19 และปอดอักเสบ ซึ่งผู้ป่วยเดินทางมาจากประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง จึงนำไวรัสไปตรวจที่ศูนย์โรคอุบัติใหม่เพื่อหาสายพันธุ์ และพบว่าเป็นสายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่มีการกลายพันธุ์"

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเป็นลำดับแล้วหลังได้รับยาต้านไวรัส ซึ่ง รพ.จุฬาฯ ได้มีการเฝ้าระวังไวรัสกลายพันธุ์ที่อาจจะเจอได้ในประเทศไทย โดยได้มีการตรวจหาไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ในผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศที่อาจจะเป็นแหล่งระบาดในสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง เช่น แอฟริกาใต้ อังกฤษ และบราซิล

ซึ่งเป็นมาตรการที่ รพ.จุฬาฯ ทำร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้คนไทยมีโอกาสติดเชื้อไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการใช้วัคซีนในอนาคตได้

ทั้งนี้ นับตั้งแต่มีการระบาดในประเทศไทย ในรอบแรกจะพบว่าไวรัสมีการกลายพันธุ์ทุก 2 เดือน โดยจับได้ 3 สายพันธุ์ ส่วนการระบาดในรอบใหม่นี้ ยังเป็นสายพันธุ์ที่มาจากเมียนมาเป็นหลัก และหากไม่สามารถยับยั้งการระบาดจากคนสู่คนได้ ก็อาจจะกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นสายพันธุ์ของไทยเอง

ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดไม่ให้ไวรัสกลายพันธุ์ คือพยายามหยุดการระบาด โดยการหมั่นล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ทั้งนี้ เพื่อยับยั้งโอกาสไม่ให้ไวรัสเข้ามาอยู่ในตัวคน เพราะเมื่อไวรัสเข้ามาอยู่ในตัวคนแล้ว จะมีกระบวนการแบ่งเซลล์ที่อาจทำให้เกิดโอกาสการกลายพันธุ์ได้ และอีกวิธีในการช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดได้ คือการใช้วัคซีน

พีค of the week EP.6

ข่าวพีค ๆ มาอีกแล้วจ้า! วนกลับมาเจอกันตอนต้นสัปดาห์ เมื่อสัปดาห์ก่อนมีเหตุบ้านการเมืองร้อน ๆ เกิดขึ้นหลายเรื่องราว มาทั้งเรื่องการฟ้องร้อง การถูกถอดถอน การยุติบทบาท และไฮไลท์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ‘ม็อบตีหม้อ’ งานนี้พกหม้อมาจากบ้าน

ทั้งหม้อเล็ก หม้อใหญ่ หม้อบุบ หม้อดำ พกอาวุธ เอ้ย! พกอุปกรณ์มาซะขนาดนี้ เราเลยขอตั้งชื่ออีพีนี้เพิ่มเติมด้วยว่า ‘พีคแบบหนังจีน’ ตามไปดูว่าจะมีเรื่องอะไรได้จากคลิปนี้กันเลย Let’s go!!

.

เครือซีพี คิกออฟ!! รีแบรนด์ยกเครื่อง ดันชื่อใหม่ ‘Lotus’s’ พร้อมโลโก้ลุคส์หวานสดใส

เปิดเผยความคืบหน้าการเปลี่ยนชื่อและปรับเปลี่ยนแบรนด์เทสโก้ โลตัส (TESCO Lotus) เป็น โลตัส (Lotus’s) ว่า หลังจากที่เครือซีพี ภายใต้บริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดย บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) สัดส่วน 40% บมจ.เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง สัดส่วน 40% และบริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CPF สัดส่วน 20% ได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Store (Malaysia) เข้ามาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 63

โดยทางเครือซีพีได้ปรับแบรนด์โลตัสครั้งใหญ่ตามกฎของการโอนถ่ายกิจการจากกลุ่มเทสโก้ ประเทศอังกฤษ และเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารงานของเครือซีพีที่ต้องการให้โลตัสมีความทันสมัยมากขึ้น หลังจากที่โลตัสเปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 27 ปี โดยนำร่องปรับแบรนด์ครั้งใหญ่และทยอยรีโนเวทสาขาเลียบทางด่วนรามอินทราฯ / สาขาอ่อนนุช และสาขาพระราม 4 ก่อนจะทยอยปรับสาขาอื่น ๆ ทั้งในประเทศไทยและมาเลเซียต่อไป

กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เผยผลวิเคราะห์ "น้ำบาดาล" หรือ "พุโซดา" ปลอดภัยสามารถดื่มได้ แต่ต้องผ่านการกรองที่ได้มาตรฐานก่อน โวคุณภาพเทียบเท่าน้ำแร่ ยี่ห้อดังจากประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส พร้อมเร่งเจาะอีก 3 บ่อ ทำโครงการหาน้ำกินน้ำใช้ และน้ำเพื่อการเกษตร

นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากการที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้สำรวจและเจาะพบแหล่งน้ำบาดาลในพื้นที่อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 3 แห่ง โดยบ่อน้ำบาดาล 2 แห่ง ที่เจาะพบน้ำบาดาลพุ่งขึ้นมาเป็นน้ำพุสูงราว 2 - 3 เมตร มีรสชาติคล้ายน้ำโซดา สามารถใช้ดื่มกินได้ สร้างความฮือฮาให้แก่ชาวบ้านและผู้พบเห็นนั้น

ขณะนี้ผลการตรวจสอบและวิเคราะห์น้ำบาดาลออกมาแล้ว ปรากฏว่า บ่อน้ำบาดาลที่บ้านทุ่งคูณ บ่อที่ 1 และบ่อที่ 2 น้ำบาดาลมีไบคาร์บอเนตสูง 2,420 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 1,870 มิลลิกรัมต่อลิตร ฟลูออไรด์สูงเล็กน้อย 1.4 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 1.1 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีเหล็กสูง 10 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 28 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ โดยมีคุณภาพเทียบเท่ากับน้ำแร่ ยี่ห้อดังจากประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เตรียมหาเครื่องกรองสนิมเหล็กในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้ชิมด้วย

อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวว่า "เป็นความโชคดีที่น้ำบาดาลจากแหล่งน้ำบาดาลห้วยกระเจาไม่มีสารพิษหรือสารปนเปื้อนร้ายแรง และจากการตรวจสอบปริมาณน้ำบาดาลทั้ง 2 บ่อ คาดว่าจะสามารถพัฒนาน้ำขึ้นมาใช้ได้ไม่น้อยกว่า 2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือไม่น้อยกว่า 500,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี

จากนั้นได้ให้นักวิทยาศาสตร์ ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลทดลองกรองน้ำบาดาลจากบ่อน้ำบาดาลที่เก็บมาจากพื้นที่ ซึ่งมีสีเหลืองขุ่นเพื่อกรองเอาสารละลายเหล็กออก โดยอธิบดีได้ทดลองดื่มให้ดู พร้อมผู้สื่อข่าวได้ทดลองดื่ม น้ำที่ผ่านการกรองแล้ว น้ำดังกล่าวมีความใสสะอาดขึ้น แต่ยังคงรสหวานและไม่มีกลิ่นสนิมเหล็กแต่อย่างใด"

อย่างไรก็ตาม อธิบดีได้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า เป้าหมายตามภารกิจของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล คือ การจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งท้ายที่สุดพื้นที่ห้วยกระเจา กรมทรัพยากรน้ำบาดาลจะทำโครงการศึกษา สำรวจ และพัฒนาน้ำบาดาลจากแหล่งกักเก็บในหินแข็งระดับลึกในพื้นที่ธรณีวิทยาโครงสร้างซับซ้อน เพื่อพัฒนาน้ำบาดาลขึ้นมาให้ประชาชนได้ใช้ในการอุปโภคบริโภค และเพื่อการเกษตร โดยเร่งเจาะอีก 3 บ่อ เพื่อให้ครบทั้ง 6 บ่อ ซึ่งจะพัฒนาให้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล


ที่มา : เพจ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม-ประเทศไทย

https://www.facebook.com/mnreTH/posts/3885734331478987

'บิ๊กตู่' เตือนม็อบมีพยานหลักฐาน - กล้องบันทึกภาพชัดเจนใครก่อเหตุรุนแรง ขออย่าฟังความข้างเดียวดราม่าตำรวจทำร้ายแพทย์อาสา ชี้เจ้าหน้าที่เองก็ถูกทำร้าย ลั่นเคลื่อนไหวปลุกระดมเวลานี้ไม่เกิดประโยชน์ประเทศชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าวถึงความกังวลต่อการชุมนุมมีการจุดกระแสเจ้าหน้าที่ทำร้ายและอาจจะมีการเคลื่อนไหวไปที่หน้ารัฐสภาในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการควบคุมสถานการณ์เพราะเริ่มมีการยกระดับความรุนแรงมีระเบิดในพื้นที่ชุมนุม ว่า ยืนยันว่าจะให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ในการทำหน้าที่ตามกฎหมายด้วยความละมุนละม่อม

ขณะเดียวกันขอฝากเตือนผู้ก่อเหตุด้วยว่าทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐานจำนวนมาก รวมถึงกล้องต่าง ๆ ก็ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จึงขอให้เสนอข่าวสองทางว่ามีการปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ด้วยและต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง และมีชีวิตจิตใจเหมือนกัน ถ้าใช้ความรุนแรงตอบโต้ไปมาก็มีแต่ทำให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นและไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวม

เมื่อถามว่า ในฐานะกำกับดูแลตำรวจจะชี้แจงหรือแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ตำรวจทำร้ายร่างกายทีมแพทย์ อย่างไร และต้องกำชับให้ระมัดระวังอะไรเพิ่มเติมหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็บอกไปแล้วมีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งต้องไปพิสูจน์ทราบเจ้าหน้าที่แพทย์จริงหรือไม่ ขณะนี้อยู่ในกระบวนการสอบสวนและฟังความข้างเดียว ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย"

เมื่อถามถึงการนัดหมายชุมนุม 17 ก.พ.และ 20 ก.พ. ซึ่งเป็นช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นห่วงหรือไม่ว่าผลการอภิปรายและลงมติในสภาฯ จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวชุมนุมนอกสภา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ตนคิดว่า อย่ามีการเคลื่อนไหวในทางปลุกระดมปลุกปั่น ให้เกิดการชุมนุม ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อประเทศชาติในเวลานี้ เพราะประเทศชาติมีปัญหาอยู่ ทั้งโควิดและปัญหาต่างๆ มากมาย ถึงไม่ควรเพิ่มความขัดแย้งให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันกระบวนการทำงานก็เป็นเรื่องของรัฐสภาและรัฐบาลที่ต้องชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงขอให้ประชาชนเฝ้ารอฝั่งที่บ้านดีกว่ามาประท้วงซึ่งไม่รู้เพื่อจุดมุ่งหมายอะไร ซึ่งหลายคนพอจะทราบอยู่แล้ว"

เมื่อถามว่ามีรายงานข่าวว่ากลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหารเมียนมาในไทยแฝงตัวร่วมชุมนุมในพื้นที่ปทุมวันและสนามหลวงช่วงที่ผ่านมา ได้กำชับให้หน่วยความมั่นคงดูแลเรื่องนี้อย่างไร เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมขอเตือนว่าให้ใช้ความระมัดระวังให้มากที่สุดในฐานะมิตรประเทศและอาเซียน ต้องระมัดระวังทุกมิติและทุกประเด็นพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากร้ายแรงว่าจะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด"

ส่วนประเด็นความพร้อมต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันพรุ่งนี้ (16 ก.พ.) มีความกังวลกับข้อกล่าวหาที่เกี่ยวพันกับสถาบันอย่างไร ถ้าละเอียดอ่อนมากจะขอให้ประชุมลับหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนคงไม่ต้องตอบ เรื่องความเกี่ยวกังวลเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ในสภา ซึ่งมันควรหรือไม่ควรก็ไปว่ากันมา เป็นเรื่องของสมาชิกและเป็นเรื่องที่สภาต้องดำเนินการให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ

เปิดไทมไลน์จลาจล ‘ม็อบ ปะทะ ตำรวจ’ 13 ก.พ. 64

ม็อบ13กุมภา - กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าขึ้นมาทันที ในระหว่างการชุมนุมจัดกิจกรรม นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน เมื่อวันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดเหตุประทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน จนเกิดกระแสดราม่า ‘ตำรวจกระทืบหมอ’ เราลองไปย้อนดูไทม์ไลน์กันว่า ในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

- 18.50 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนถึงหน้าศาลฎีกา โดยมีกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนตั้งแนวกั้น

- 18.58 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มใช้ความรุนแรง ทำลายรั้วและผลักดันเจ้าหน้าที่

- 19.44 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มปาขวดน้ำ สิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ พร้อมเรียกร้องให้ปิดไฟ มีเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง

- 20.13 น. กลุ่มผู้ชุมนุมมีการสาดสี และปาก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง

- 20.28 น. กลุ่มผู้ชุมนุมขว้างประทัดยักษ์ ระเบิดควันใส่เจ้าหน้าที่

- 20.20 น. นายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่ พอกันที) แกนนำราษฎร ประกาศยุติการชุมนุม

- 21.06 น. ควบคุมตัวหญิงมีอาการเมาสุรา ก่อเหตุอาละวาด เพื่อนำไปสงบสติอารมณ์

- 21.40 เจ้าหน้าที่ได้เคลียร์พื้นที่ถนนหน้าศาลฎีกาแล้วเสร็จ และเจ้าหน้าที่ EOD ได้เข้าตรวจพิสูจน์หลักฐาน

- 22.10 น. พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ ให้สัมภาษณ์สื่อว่ามีผู้ถูกจับกุม 11 คน นำตัวไปบก.ตชด.ภาค 1

- 22.58 น. ที่ สน.นางเลิ้ง เกิดเหตุวุ่นวาย กรณีมีการยิงการ์ดอาชีวะบาดเจ็บ 2 คน

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประจำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ของ พ.ร.บ.ประกันสังคม ในโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ซึ่งผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินโอนคนละ 4,000 บาท สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค.นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ รับคนละ 4,000 บาท เริ่มลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. ม33เรารักกัน.com ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค. 64 โดยคุณสมบัติ จะต้องเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 ที่มีสัญชาติไทย ต้องไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ต้องมีเงินฝากในบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท นับถึง 31 ธันวาคม 2563

ระยะเวลาดำเนินการ

โครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ผู้มีสิทธิข้างต้น สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. ม33เรารักกัน .com และตรวจสอบการได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 7 มีนาคม 2564 จากนั้นธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลการคัดกรอง ระหว่างวันที่ 8 - 14 มีนาคม 2564 ผู้ได้รับการยืนยันสิทธิกดใช้งานและกดยืนยันตัวผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ระหว่างวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2564 และสามารถรับโอนเงินผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ได้ครั้งละ 1,000 บาท รวมทั้งสิ้น 4,000 บาท ในวันที่ 22,29 มีนาคม และวันที่ 5,12 เมษายน 2564 โดยเริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม - 31 พฤษภาคม 2564

การขอทบทวนสิทธิ

สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ จะสามารถขอทบทวนสิทธิได้ด้วยการขอทบทวนสิทธิผ่าน www.ม33เรารักกัน.com ระหว่างวันที่ 15 - 18 มีนาคม 2564 จะทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลคัดกรองและแจ้งยืนยันการได้รับสิทธิระหว่างวันที่ 29 มีนาคม - 4 เมษายน 2564 ผู้ได้รับสิทธิ์ต้องกดใช้งานและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันง ‘เป๋าตัง’ ระหว่างวันที่ 5 - 11 เมษายน 2564 รับโอนเงินเข้าแอปพลิชัน “เป๋าตัง” ครั้งละ 2,000 บาท ในวันที่ 5 และ 12 เมษายน 2564 และเริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564

‘เอ๋ ปารีณา’ ขึ้นโรงพักทองหล่อ แจ้งตำรวจให้ดำเนินคดี ‘เฌอเอม’ โพสต์ข้อความเท็จ เพราะไม่ใช่นางงาม อีกทั้งตำรวจก็ไม่ได้ใช้แก๊สน้ำตา

จากกรณีที่ ‘เฌอเอม - ชญาธนุส ศรทัตต์’ อดีตผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ทวีตข้อความหลังโดนแก๊สน้ำตาจากเหตุชุลมุนหลังแกนนำม็อบราษฎร ประกาศยุติชุมนุม โดยบอกว่า “สวัสดีค่ะ ดิฉัน เฌอเอม ชญาธนุส ศรทัตต์ นางงามคนแรกที่โดนแก๊สน้ำตา”

ล่าสุด น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า ปารีณามาดำเนินคดีกับ นางสาว ชญานุส ศรทัตต์ (เณอเอม) สวัสดีค่ะ ดิฉัน เณอเอม ชญานุส ศรทัตต์ นางงามคนแรกที่โดนแก๊สน้ำตา ซึ่งปรากฏตามสื่อว่า นางสาวชญานุสฯได้เข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ก.พ.2564 บริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย

จากโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้สื่อและสังคมเข้าใจว่ามีการใช้แก๊สน้ำตาในการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ก.พ.2564 ส่งผลให้ พล.ต.ท ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาแถลงข่าวชี้แจ้งว่า ไม่มีการใช้แก๊สน้ำตา

อีกทั้ง การโพสต์ข้อความโดยใช้คำว่า นางงาม ก็เป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ เพราะทำให้สังคมเข้าใจว่า นางสาวชญานุสเป็นนางงาม ซึ่งข้อเท็จจริงนางชญานุสฯเป็นเพียงผู้สมัครเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์เท่านั้น

การโพสต์ข้อความดังกล่าว ส่งผลให้สังคมเข้าใจผิด และเป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้าพเจ้าจึงเดินทางมาเพื่อดำเนินคดีนางสาวชญานุสฯให้ถึงที่สุดจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคม


ที่มา : https://www.facebook.com/parina.pacharat.9

การเมือง - คู่แค้น - เพื่อนรัก ไร้มิตรแท้ และศัตรูถาวร ในเกมการเมือง

เกมการเมืองแบบเพื่อนหลักหักเหลี่ยมโหด และการแปรเปลี่ยนจากคนคุ้นเคยเป็นคนไม่คุ้ยชิน อาจจะดูเป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่เฉยชา

แต่เชื่อเถอะว่านี่คือกรณีศึกษาของเกมการเมืองไทย ที่ผ่านไปกี่ปีก็ไม่เปลี่ยน และน่าจะทำให้เราไม่ควรไปอินให้มากนัก

เพราะการเมืองที่แท้จริงต้อง ‘ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร’

กรณีหนึ่งที่เล่าเรื่องนี้ได้ดี คือ 2 คู่กัดที่เบื้องหลังน่าจะรักกันแบบไม่ออกจออย่างกรณีของ ‘วัชระ เพชรทอง’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ แบบบัญชีราย และ ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ อดีตประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

อันที่จริงแล้ว ช่วง2-3 ปีมานี้ 2 ท่านนี้มีกรณีฟ้องร้องหมิ่นประมาทกันว่อนศาล จนคนคิดว่าทั้งคู่นี้ คือ คู่แค้นแบบไม่มีวันหาจุดจบอันดีให้กันได้

เพราะในภาพเบื้องหนัาหลายคนอาจจะมองเห็น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในระดับ (ลบ) และมักแสดงอาการไม้เบื่อไม้เมาระหว่างกันมาโดยตลอด จนสื่อมวลชนประจำรัฐสภาเคยให้ทั้งคู่เป็น ‘คู่กัดแห่งปี’ มาแล้ว

แต่ในความเป็นจริงทั้ง 2 คนซี้กันเสียยิ่งกว่าใดๆ เสียอีก

วัชระ เคยออกหนังสือ ‘ทองแท้ไม่กลัวไฟ’ เพื่อเป็นการตีแผ่บทบาทของจตุพรในช่วงเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ว่าไม่ได้มีความเป็นผู้นำศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงอย่างแท้จริง

เพราะได้พาตัวเองออกจากสถานการณ์บริเวณราชดำเนินทันที เมื่อมีเสียงปืนดังขึ้นมาเป็นนัดแรก และต่อมาก็ได้ ออกหนังสือเรื่อง ‘หยุดก่อน! สส.จตุพร พรหมพันธุ์ หยุดระบอบทักษิณ!’ เป็นครั้งแรกที่วัชระออกหนังสือที่พูดถึงจตุพรเป็นการเฉพาะจากเดิมก่อนหน้านี้หนังสือที่พูดถึงจตุพรจะมีเสี้ยวเดียวเท่านั้น

ทั้งนี้ เนื้อหาโดยรวมของหนังสือเล่มนี้หนีไม่พ้นการเป็นพื้นที่สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของจตุพรทั้งในฐานะสส.และแกนนำคนเสื้อแดง

แต่ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้มีจุดที่น่าสนใจตรงที่การบรรยายถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเมื่อครั้งสมัยศึกษาภายในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยกันมาก่อน ซึ่งวัชระไม่ค่อยจะเล่าออกมาผ่านเป็นลายลักษณ์อักษรมากนัก

วัชระ เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า “ในสมัยก่อน เราเป็นเพื่อนสนิทกันในรั้วรามคำแหง รู้จักกันที่รามคำแหง จตุพรเป็นคนพูดเก่ง และเป็นคนเก่ง เป็นนักกิจกรรม ซึ่งผมเองก็สนับสนุนให้คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นหัวหน้าพรรคแทนตัวเองในรั้วรามคำแหง และเราก็เป็นเพื่อนที่ดีกันมาตลอด จนกระทั่งมีครั้งหนึ่ง พอเขาได้ไปเป็นหัวหน้าพรรค ก็ไปไล่ผมให้ไปนั่งอ่านหนังสือที่อื่น มันก็จะตลกๆ หน่อย คุณจะบริหารงานก็บริหารไป แต่ผมนั่งอ่านหนังสือก็ไล่ให้ไปนั่งที่อื่น”

นี่ก็เป็นเกริ่นเรื่องขำๆ จากคำพูดของวัชระ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ขัดแย้งกันมาจนถึงปัจจุบัน

เพราะหลังจากนั้น จตุพร ก็เริ่มไปหันสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ในรั้วรามคำแหง ซึ่งวัชระก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น และก็บอกให้ระวัง และในที่สุด จตุพร ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของทักษิณ และปัจจุบันของจตุพรในวันนี้คือ คนที่ต้องติดคุกและใช้คำว่าจบชีวิตการเมืองไวกว่าที่คาด

“จนทุกวันนี้ใครก็ไม่รู้ ที่อยู่เมืองนอก หลอกเพื่อนผมว่าจะให้ตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ที่สุด ก็ทำให้เพื่อนผมต้องติดคุกแทน มันก็เลยเป็นที่มาของความขัดแย้งกันระหว่าง ‘ทักษิณ’ และ ‘จตุพร’ เหตุจากไปหลอกเขาว่าจะให้เป็นรัฐมนตรี ถึงขั้นจะเลี้ยงฉลองกันล่วงหน้า”

วัชระ เล่าถึงช่วงที่จตุพรเริ่มฝักใฝ่ในระบอบทักษิณ และทำให้เพื่อนของเขาเปลี่ยนไป

“เขากลายเป็นคนที่มี ‘จิตอีกมิติหนึ่ง’ อันนี้ผมใช้คำที่สุภาพนะ เชื่อไหมว่าเขาเคยบอกต่อหน้าสื่อมวลชน ว่าไม่รู้จักผม จะไม่รู้จักได้ไง ก็เลี้ยงข้าวทุกมื้อ แต่ก่อนผมมีแบงก์ 20 แล้วก็พับใส่มือเขา ข้าวจานละ 5 บาท ผมก็เลี้ยงจริงๆ เพราะตอนที่รู้จักกับจตุพรในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผมอยู่ในฐานะนักกิจกรรมรุ่นพี่ เขาก็เรียกผมพี่ทุกคำ ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ใช้ให้ไปซื้อเหล้าขาวน้ำแดงก็ไป

“ผมเอ็นดูจตุพรในฐานะรุ่นน้องร่วมพรรคสัจธรรม ไม่เพียงแต่ดูแลเลี้ยงข้าวเป็นประจำทุกมื้อ แม้แต่ค่าหน่วยกิตก็ยังหยิบยื่นให้ นายจตุพรมาขอให้ผมช่วยแนะนำการพูดการปราศรัยการทำกิจกรรม ผมก็ถ่ายทอดประสบการณ์ให้อย่างไม่ปิดบัง เพราะเห็นในความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวจตุพร และผมก็ส่งเสริมให้นายจตุพรเป็นผู้นำพรรค (นักศึกษาสัจธรรม) แทนตัวเอง”

วัชระ ขยายความอีกว่า “ความรัก ความสนิทสนมของเรา 2 คน เหมือนกับพี่ชายน้องชาย ตอนผมเมาแล้วอาเจียนรดหมอนที่นอนใต้ถุนกุฎีพระมหาระแบบ วัดบวรนิเวศ (พี่ชายจตุพร) นายจตุพรก็เป็นคนเช็ดอาเจียนของผม ยามผมอิ่มนายจตุพรก็อิ่ม ยามผมอดนายจตุพรก็อด แม้กระทั่งผู้หญิงนายจตุพร ก็เคยจีบคนเดียวกับผม

“แต่เมื่อผมสนับสนุนให้นายจตุพรเป็นผู้นำพรรคแทนแล้ว...ผลลัพธ์ก็ปรากฏ

“จตุพรสนองคุณผมโดยเอ่ยปากไล่ผมให้ไปนั่งที่อื่น อย่าเข้าไปนั่งในพรรคสัจธรรมอีก ผมรู้สึกทันทีว่าถูกรุ่นน้องที่ฟูมฟักมาทรยศหักหลัง จึงขอให้เปิดประชุมสมัชชาพรรค ผลปรากฏว่านายจตุพรต้องพ่ายแพ้ นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกว่า 20 ปีแล้ว”

ความบาดหมางจากวันนั้น อาจจะดูเหมือนเป็นความแค้นแบบไม่มีวันจบ!!

เพราะในฐานะของการเป็นนักการเมือง ทั้ง 2 ก็อยู่กับคนละขั้ว และก็มีเหตุให้เกิดการฟ้องร้องหมิ่นประมาทของทั้ง 2 บ่อยครั้ง

“ล่าสุดมีกรณีการฟ้องหมิ่นประมาทระหว่างกัน คือ เขามาฟ้องร้องผม หาว่าผมหมิ่นประมาทเขา ผมก็เลยฟ้องเขาบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็มาขอให้ผมช่วยถอนฟ้อง

“ผมยินดี เพราะในที่สุด เราก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาติดคุกเพราะเรา และตัวเขาเองก็เคยติดคุกมาแล้ว ถ้าผมยืนยันจะฟ้องต่อ ก็ไม่สามารถรอลงอาญาได้อีก ติดคุกอีกรอบชัวร์

“ฉะนั้นเมื่อเขามาขอให้ถอนฟ้อง ผมก็ยินดีถอน ในฐานะเป็นเพื่อนกัน เพราะถึงที่สุด ถ้าเขาติดคุก เพราะคดีที่ผมมาฟ้องคดีหมิ่นประมาท ผมก็ไม่สบายใจ”

วัชระ เล่าให้ฟังว่า “วันนี้ เราดีกัน อโหสิกรรม ให้กันแล้ว”

ที่เล่ามายาวยืดนี้ วัชระ อยากให้ข้อคิดอย่างหนึ่ง คือ ใครก็ตามที่เข้ามาในวงการเมือง มักจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปหมด นี่คือสัจธรรมสมชื่อพรรคที่เขาเคยสังกัดในรั้วรามคำแหง

“ผมคิดว่าถ้าเขาใช้หลักธรรมในการนำตนเข้าสู่การเมือง เขาจะไปได้ไกล เขาเก่งขนาดที่เป็นรัฐมนตรีได้จริงๆ แต่เมื่อเขาหลงไปกระทำการต่างๆ กับระบบทักษิณ สุดท้ายชีวิตเขาถึงเป็นเช่นนี้

“แต่คนที่ฉลาด ก็คือ แรมโบ้อีสาน - สุภรณ์ อัตถาวงศ์ เพราะเขามาปรึกษาผม โดยเพื่อนเก่าอีกคนหนึ่ง ซึ่งในอดีตเขากับผม เคยลงสมัครแข่งประธานนักเรียนที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี เขาเป็นคนโคราช แต่ไปเรียนที่นั่น เพราะพี่สาวเป็นครู ผลในวันนั้นเขาได้ 7 คะแนน ผมได้เป็นประธานนักเรียน ซึ่งโรงเรียนมีนักเรียน 3 พันคน ก็ไม่ต้องบอกว่าผมได้กี่พันคะแนน แต่วันนี้ เขามาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ก็ออกมารายวัน และตอบโต้แทนลุงตู่ทุกวัน และก็กลับมาว่าผม แต่ผมก็ให้อภัย

“พูดถึงแรมโบ้แล้ว ต้องขอเล่าหน่อย เชื่อไหมว่า ในสมัยหลังรัฐประหารของลุงตู่ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่หารือผม หลังจากเขาถูกทหารควบคุมตัว ซึ่งตอนนั้นเขาบอกว่า ทหารนำตัวเขาไปกลางป่า เอาปืนจี้หลัง และให้แก้ผ้าหมดเลย คิดดูว่าเขาเสียวขนาดไหน แต่เขาก็รอดมาได้

“แล้วเขาก็ถามผมว่า แล้วกูจะไปทางไหนดี ผมก็บอกว่า เมิงมีคดีเยอะ ก็ต้องไปอยู่กับ คสช. เพราะเขาจะตั้งพรรค แล้วลุงตู่ ลุงป้อม ช่วยมึงได้แน่นอน ผมก็แนะนำแบบนั้น และวันนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

แม้ความสัมพันธ์ในทางตรง อาจจะดูเหมือนเป็นการขัดแย้งกันของคนในแวดวงการเมือง แต่หากได้ลองฟังจากปาก วัชระ ที่เล่าถึง 2 เพื่อนซี้ในอดีต (วันนี้ก็ยังซี้) มันแอบสะท้อนให้เห็นตรงกับภาษิตโบราณทุกกระเบียดที่ว่า...

ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร ในวงการเมือง จริงๆ

ชาวบ้านกลุ่มผู้สูงอายุ ไม่มีสมาร์ทโฟน แห่เข้าคิวรอลงทะเบียนโครงการเราชนะ แน่นทุกสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ ส่วนใหญ่อยากได้เงินไว้ใช้จ่ายในครัวเรือน

กลุ่มผู้เปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน แห่มาลงทะเบียนโครงการเราชนะแน่นสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ โดยที่ธนาคารกรุงไทย สังกัด สำนักงานเขตพิษณุโลก สาขาถนนสิงหวัฒน์ อ.เมืองพิษณุโลก ที่เริ่มเปิดบริการจุดลงทะเบียนบริการประชาชนวันแรกในเวลา 08.30 น.- 16.30 น. ณ จุดบริการชั้นล่างอาคารสาขาถนนสิงหวัฒน์ และจุดนี้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์

บรรยากาศวันแรกค่อนข้างหนาแน่นด้วยประชาชนที่มารอใช้บริการ ที่ส่วนใหญ่แล้ววันนี้ เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่มีสมาร์ทโฟน โดยช่วงเช้า มีผู้มาต่อคิวรับบัตรคิวแล้ว 100 คน เจ้าหน้าที่ต้องคอยชี้แจงเป็นระยะ ๆ ให้ผู้ที่มาทีหลังสามารถมาใช้บริการวันอื่นได้ เพราะ เปิดบริการลงทะเบียนให้ทุกวันตั้งแต่ 15 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 ไม่มีวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์

สำหรับการบริการประชาชนวันแรกยังค่อนข้างขลุกขลัก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องรอเซ็ตระบบคอมพิวเตอร์ และเริ่มบริการให้ประชาชนรายแรกได้ในเวลาประมาณ 09.00 น. และใช้เวลาบริการประชาชนรายละประมาณ 10 นาที ทั้งนี้ ผู้สูงอายุบางราย ก็มีลูกหลานลงทะเบียนเข้าโครงการผ่านสมาร์ทโฟนแล้ว เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาอธิบายให้ใช้สมาร์ทโฟนโหลดแอพเป๋าตัง ซึ่งเริ่มรับเงินใช้จ่ายได้ในวันแรกในวันที่ 6 มีนาคม 2564 ขณะที่ผู้มารอใช้บริการส่วนใหญ่ เป็นโทรศัพท์แบบปุ่มกด ซึ่งต่างนั่งรอเจ้าหน้าที่บริการ

นายเสนาะ คงรอด อายุ 63 ปี ชาวอ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า มารอใช้บริการตั้งแต่ 06.30 น. โทรศัพท์ของตนเป็นแบบกดปุ่ม ไม่มีสมาร์ทโฟน อยากได้เงินไปซื้อของใช้ภายในบ้าน

ด้านนางมาลี ทองนิโรจน์ อายุ 71 ปี ชาวอ.เมือง จ.พะเยา ที่มาอาศัยอยู่กับบุตรสาวที่อ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า มารอตั้งแต่ 06.30 น. ของวันนี้ อยากได้เงินมาจับจ่ายใช้สอยซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคใช้ในครัวเรือน เพราะไม่อยากรบกวนลูก เป็นโครงการที่ช่วยเหลือประชาชนได้มาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top