Thursday, 19 June 2025
NEWS

'เกาหลีใต้ - ญี่ปุ่น - ไต้หวัน' เตรียมพัฒนาวัคซีนป้องกัน Covid-19 ใช้เอง

ในวันนี้ทั่วโลกเริ่มรับรู้แล้วว่า 'ความมั่นคงด้านสาธารณสุข' สำคัญเพียงใด เมื่อการแพร่ระบาดของ Covid-19 กระจายไม่หยุด เกิดระลอกการระบาดครั้งใหม่อย่างต่อเนื่องหลายประเทศ สร้างความเสียหายกับระบบสาธารณสุขอย่างมาก แม้ว่าตอนนี้จะมีวัคซีนออกมาบ้างแล้ว แต่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ยังคงริบหรี่ ไม่ต่างจากวิกฤติโรคระบาดทั่วโลกที่ยังคงห่างไกลจากบทสรุป

ปัญหาใหญ่ของทั่วโลกในตอนนี้คือ การขาดแคลนวัคซีน Covid-19 อย่างหนักในหลายประเทศที่ประสบปัญหาการระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรงในขณะนี้ โดยที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลกอย่าง SII ในอินเดียไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตวัคซีนส่งให้ทันได้ตามกำหนด อีกทั้งประเทศผู้ผลิตวัคซีนชื่อดังในสหรัฐอเมริกายังจำเป็นต้องส่งวัคซีนให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก่อนตามกฎหมาย

มิหนำซ้ำ ยังพบการเกิดใหม่ของวัคซีนกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ที่อาจทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนที่มีอยู่ลดน้อยลง จึงเริ่มมีข่าวการพูดคุยกันว่าอาจมีการทดลองฉีดวัคซีนต่อถึงเข็ม 3 หรืออาจต้องมีการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันทุกปีต่อจากนี้ จึงกลายเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายกังวลว่าวัคซีนอาจไม่มีโอกาสส่งต่อถึงประเทศโลกที่ 3 ได้อย่างพอเพียง หากประเทศมหาอำนาจยังคงต้องรักษาสต็อควัคซีนเพื่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขของตนเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็บังเกิดพุทธสุภาษิตดังขึ้นในใจดังๆ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ “ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน” ต้องพัฒนาวัคซีนให้ได้เป็นของตัวเองเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ซึ่งตอนนี้หลายชาติย่านเอเชียตะวันออก หากไม่นับจีน ที่ผลิตวัคซีนของตัวเองสำเร็จแล้ว ก็จะมีเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไต้หวัน ที่ตอนนี้เริ่มกลับมาทุ่มเทให้กลับโครงการวัคซีน Covid-19 ในประเทศของตนเอง

ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างและน่าจะสำเร็จก่อนใครคือเกาหลีใต้ ที่ตอนนี้กำลังพัฒนาวัคซีนของตัวเองถึง 5 ตัว ในจำนวนนี้ มีวัคซีนของบริษัท Genexine ที่ใช้ชื่อว่า GX-19N ได้ผ่านการทดลองเฟส 2 เข้าสู่เฟส 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ คาดว่าน่าจะได้รับการรับรองให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉินในเกาหลีใต้เร็วๆ นี้ ซึ่งตอนนี้ทาง Genexine ได้เซ็นสัญญากับบริษัทผู้ผลิตยา Hanmi Pharmในเกาหลีใต้ และ Kalbe Farma ของอินโดนิเซียในการเริ่มผลิตวัคซีน GX-19N มากกว่า 10 ล้านโดส ก่อนปี 2022

ส่วนประเทศญี่ปุ่น แม้ประชาชนจะไม่ค่อยเชื่อมั่นกับการฉีดวัคซีนเท่าไหร่ แต่ก็จำเป็นต้องสร้างวัคซีนเป็นของตัวเองให้ได้ แม้ตอนนี้จะเหลือทีมพัฒนาวัคซีนเพียงแค่ 2 บริษัท และเพิ่มเริ่มต้นเข้าสู่การทดลองเฟส 2 เท่านั้น แต่ก็มีวัคซีนที่น่าสนใจจากบริษัท Daiishi Sankyo ที่ใช้เทคโนโลยี mRNA เช่นเดียวกับวัคซีน Pfizer และ Moderna ที่ตอนนี้เป็นบริษัทเดียวในย่านนี้ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ในการพัฒนาวัคซีนสัญชาติญี่ปุ่น

ไต้หวัน ก็เป็นอีกประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการขาดแคลนวัคซีนในจังหวะที่เกิดการระบาดระลอกใหม่พอดี หลังจากที่ควบคุมการระบาดได้ดีมานานกว่า 1 ปี แต่ด้วยความล่าช้าของการจัดส่งวัคซีน ทั้งจากสหรัฐอเมริกา และจากการปันส่วนจากโครงการ COVAX ขององค์การอนามัยโลก ทำให้ไต้หวันต้องเร่งการวิจัยพัฒนาวัคซีนทางเลือกในประเทศ ที่ก็มีข่าวดีว่าไต้หวันมีบริษัทผู้ผลิตวัคซีนถึง 2 แห่งที่ผ่านการทดลองในช่วงเฟส 2 มาแล้ว คือ Medigan และ United Biomedical ที่รัฐบาลไต้หวังก็คาดหวังว่าวัคซีนสัญชาติไต้หวันทั้ง 2 ตัว น่าจะสำเร็จพร้อมที่จะเริ่มใช้ได้ในเดือนกรกฎาคมปีนี้

ส่วนในบ้านเรา ก็มีวัคซีนที่กำลังพัฒนาโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสภากาชาดไทย ภายใต้ชื่อชื่อว่า ChulaCov19 ซึ่งใช้เทคโนโนโลยี mRNA ด้วย ตอนนี้กำลังหาอาสาสมัครทดลองฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 18-55 ปี และ กลุ่มผู้สูงอายุ 65-75 ปี และหากการทดสอบวัคซีนออกมาได้ประสิทธิภาพดีตามต้องการ ก็จะเพิ่มศักยภาพด้านการป้องกันโรคระบาดให้กับไทย ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวัคซีนนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด และยังต่อยอดในการพัฒนาวัคซีนป้องกันเชื้อโรคอื่นๆ ได้ในอนาคตอีกด้วย

แม้การมุ่งเน้นที่จะสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข กำลังจะกลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญระดับโลก แต่การที่เราสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเองได้นับว่ามีความมั่นคงยิ่งกว่าจริงๆ

 

อ้างอิง: https://asia.nikkei.com/Spotlight/Coronavirus/COVID-vaccines/South-Korea-Japan-and-Taiwan-rush-to-develop-homegrown-vaccines

https://www.reuters.com/article/health-coronavirus-southkorea-vaccine-idUSL3N2N50XZ

https://www.reuters.com/world/middle-east/top-scientists-question-need-covid-19-booster-shots-2021-05-13/

https://www.reuters.com/article/us-health-coronavirus-taiwan-idUSKBN2AQ17A

https://www.prachachat.net/general/news-653298


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์’ ลั่น ‘ซิโนฟาร์ม’ เป็นวัคซีนทางเลือกให้สังคมเดินหน้าต่อ ยัน ใช้งบองค์กร ขายโดยไม่คิดค้ากำไร ยังไม่เคาะราคาจำหน่าย เข้าไทย 1 ล้านโดสภายในเดือนมิ.ย.นี้

วันที่ 28 พ.ค. 2564 ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ พล.อ.ต.นพ.สันติ ศรีเสริมโภค รองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมกันแถลงความคืบหน้ากรณีราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เตรียมนำเข้าวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือกของ ‘ซิโนฟาร์ม’ จากสาธารณรัฐประชาชนจีน

ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ มหานนท์ กล่าวว่า วัคซีนซิโนฟาร์ม ที่ราชวิทยาลัยฯ จะนำเข้ามาเป็นของ บ.ไบโอจีนีเทค จำกัด ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกแล้ว สามารถใช้ได้กับประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุที่ไม่จำกัดอายุ การทำงานจะเป็นไปตามข้อบังคับและภายใต้กฎหมายซึ่งจะทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการกระจายวัคซีนไปยังหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วเข้าถึงประชาชนมากที่สุด

‘เพราะฉะนั้น ในการที่จะได้วัคซีนเข้ามาเพิ่มขึ้นไปช่วยเหลือในที่ต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจ และกิจกรรมดำเนินการต่อไปได้อย่างไม่สะดุด...การนำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์มครั้งนี้ เป็นการทำงานคู่ขนานกันไปในการกระจายวัคซีนเพื่อให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว’ ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ กล่าว

ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ เปิดเผยต่อด้วยว่า ‘ตัวเลขการนำเข้า เบื้องต้นได้ติดต่อกับ บ.ที่กรุงปักกิ่งแล้ว ทราบว่าจะนำเข้ามาก่อน 1 ล้านโดส ภายในเดือนมิ.ย.นี้ ส่วนเรื่องราคาจำหน่ายต่อโดสยังไม่ได้มีการสรุปราคา เพราะต้องรอดูตัวเลขการนำเข้าอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าราชวิทยาลัยฯ เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร’

“สำหรับราคา ต้องคิดต้นทุน การขนส่ง และการจัดเก็บ ทางราชวิทยาลัยฯ เอง คงไม่ได้คิดกำไร ส่วนใครจะไปคิดค่าฉีดกันเองเท่าไหร่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ศาสตราจารย์ นพ.นิธิ กล่าว

ทั้งนี้ ยอมรับว่างบประมาณในการนำเข้า เป็นงบประมาณรายได้ของราชวิทยาลัยฯ เอง ไม่เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน และหากหน่วยงานใดต้องการซื้อ ให้มาติดต่อกับราชวิทยาลัยฯ โดยตรง ขณะนี้ มีองค์กรที่ติดต่อขอซื้อวัคซีนแล้ว คือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กับ บมจ.ปตท. และในอนาคตคาดว่าจะมีการนำเข้าวัคซีนยี่ห้ออื่นอีก เพราะส่วนหนึ่งต้องนำมาศึกษาวิจัยตามภารกิจของราชวิทยาลัยฯ

ด้าน พล.อ.ต.นพ.สันติ ศรีเสริมโภค เปิดเผยว่า มีหน่วยงานราชการบางแห่งติดต่อสอบถามเพื่อขอซื้อวัคซีนเข้ามาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือถึงแผนการกระจายวัคซีน เพราะ อย.เพิ่งจะอนุมัติขึ้นทะเบียน สำหรับประชาชนที่จองวัคซีนผ่านระบบของราชวิทยาลัยฯ จะใช้การจัดสรรวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่เกี่ยวกับวัคซีนซิโนฟาร์ม เป็นคนละส่วนกัน

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ระบุว่า นับเป็นพระกรุณาธิคุณที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ไม่ทรงทอดทิ้งประชาชนไทย พระองค์ได้พระราชทานเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์มาแล้วหลายครั้ง ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้พึ่งพาอาศัยสนับสนุนกันมาหลายโอกาส ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าวัคซีนทางเลือกของคนไทยเกิดขึ้นจริง โดยผ่านการประสานจากราชวิทยาลัยฯ

อย่างไรก็ดี นายอนุทิน ยืนยันว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติ เป็นสถาบันทางการแพทย์ สามารถที่จะติดต่อกับหน่วยงานใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับคู่เจรจาที่จะยอมพูดคุยด้วย ขอย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้แต่งตั้งองค์กรใดเป็นผู้แทนในการไปเจรจากับบริษัทวัคซีน

ด้าน เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ย้ำว่า อย.เพิ่งจะได้อนุมัติขึ้นทะเบียนวัคซีนซิโนฟาร์ม ของ บ.ไบโอจีนีเทค จำกัด เมื่อประมาณช่วงเที่ยงวันที่ผ่านมา โดยเป็นวัคซีนเชื้อตาย ยืนยัน วัคซีนมีคุณภาพความปลอดภัย มีประสิทธิผล และเหตุที่มีการอนุมัติได้รวดเร็ว ก็เพราะว่ามีเอกสารหลักฐานในการวิจัยที่ครบถ้วน รวมทั้งองค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรองแล้ว

 

ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/สุขภาพ/148396


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

จากกระแสข่าวในโลกโซเชียลที่มีการแชร์การเปิดเมืองในยุโรปกันมากขึ้น และมองว่ายุโรปกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วนั้น ล่าสุดจากเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ของนายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า ได้ให้มุมมองพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า…

จากกระแสข่าวในโลกโซเชียลที่มีการแชร์การเปิดเมืองในยุโรปกันมากขึ้น และมองว่ายุโรปกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วนั้น ล่าสุดจากเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ของนายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า ได้ให้มุมมองพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า…

เห็นโซเชียลเริ่มเอาข่าวผิดๆ เรื่องการเปิดเมืองในยุโรปมาแชร์ รวมถึงบอกว่าสถานการณ์ในยุโรปกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว อยากหนีไปอยู่ยุโรป ส่วนประเทศไทยกลายเป็นไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้

เช้านี้ผมเลยจะเอา fact มาแชร์เป็นข้อๆ โดยใช้ตัวอย่าง 3 ประเทศที่มีขนาดใกล้เคียงกับไทย

อังกฤษมีประชากร 60 ล้านคน ติดเชื้อต่อวันล่าสุด 2,539 คน ยอดผู้ติดเชื้อสูงสุดต่อวันเคยขึ้นไปถึง 60,000 คน เสียชีวิตไปแล้ว 128,000 คน

เยอรมันมีประชากร 83 ล้านคน ติดเชื้อต่อวันล่าสุด 5,607 คน ยอดติดเชื้อสูงสุดต่อวันเคยขึ้นไปถึง 25,000 คน เสียชีวิตไปแล้ว 88,000 คน

อิตาลีมีประชากร 60 ล้านคน ติดเชื้อต่อวันล่าสุด 4,186 คน ยอดติดเชื้อสูงสุดต่อวันเคยขึ้นไปถึง 35,000 คน เสียชีวิตไปแล้ว 126,000 คน

ไทยมีประชากร 65 ล้านคน ติดเชื้อต่อวันล่าสุด 2,992 คน เสียชีวิตไปแล้ว 837 คน

สถานการณ์ในยุโรปยังไม่ได้เข้าสู่สภาวะปกตินะครับ!!

เพียงแต่จากการที่เคยมีการระบาดที่รุนแรง เจ็บ-ตายต่อวันสูงมาก สภาพบ้านเมืองจึงถูก Lockdown รุนแรงเป็นระลอก ทำให้คนเกิดความเครียด

พอเริ่มปล่อย ก็จึงออกมานอกบ้านกันเหมือนว่าเหตุการณ์ยุติแล้ว รวมถึงการถอดหน้ากากในที่สาธารณะเพราะอึดอัดมานาน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้ถือว่าเป็นทัศนคติที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเลย

ส่วนตัวผม 1 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ถ้าให้เลือกอยู่ซักประเทศ ก็จะเลือกอยู่ไทยนี่แหละครับ

เวลาประเทศเจอปัญหา สังคมไทยต้องไม่ “งอแง” ไปซะทุกเรื่อง เหมือนเด็กไม่ได้กินอมยิ้มแล้วด่าพ่อล่อแม่ ตอนนี้เกิดการจัดการวัคซีนไม่ดี ก็ด่าว่าประเทศตัวเอง ซึ่งผมมองว่าไม่ใช่

ระบบสาธารณสุขที่เราทำมาดีมากในตลอด 100 ปี เป็นกำลังต่อสู้กับวิกฤตินี้ได้ดีมาเป็นปี ผมขอบคุณเจ้าฟ้ามหิดล สมเด็จย่า และบุคลากรทางสาธารณสุขเสมอ

อันนี้ต้องชื่นชมกัน

ส่วนที่ทำรั่วเข้ามาด้วยธุรกิจสีเทาข้าราชการ-นักการเมือง รวมถึงการจัดการวัคซีนที่ดูไม่มีฝีมือ อันนี้ก็ต้องช่วยกันหาทางออก และกดดันให้เกิดการลงโทษข้าราชการชั้นนักการเมือง

ใช้ปัญญาในการอยู่ด้วยกัน แล้วประเทศจะเจริญครับ

 

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4327887633888008&id=100000004424101


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

DSI รับ กรณีบริษัทเอกชนชักชวนร่วมลงทุนโครงการเพชรบุรีปาร์คหลอกชาวต่างชาติ เสียหายกว่า 3,400 ล้านบาท เป็นคดีพิเศษ

สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา อุปนายกและเลขาธิการสมาคมองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ปฏิบัติหน้าที่นายกสมาคมองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบกรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวต่างชาติว่า ถูกบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หลอกให้ลงทุนในธุรกิจอาคารชุดหรือทรัพย์สินในโครงการเพชรบุรีปาร์ค ท้องที่ตำบลไร่โคก อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี มีผู้ตกเป็นเหยื่อทั้งคนไทยและคนต่างชาติ มีความเสียหายจำนวนมาก 

กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ และกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อย อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีคำสั่งให้สืบสวนเป็นเรื่องสืบสวนที่ 37/2564 โดยให้กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้มีบริษัท นิว นอร์ดิค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำนวน 21 แปลง เนื้อที่รวม 555-1-49 ไร่ บริเวณตำบลไร่โคก อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี มาเพื่อจัดทำโครงการเพชรบุรี ปาร์ค 

ประกอบด้วย โรงแรม คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว สวนอาหาร สวนน้ำ ครบวงจร จากนั้นได้นำเอาโครงการดังกล่าว ออกโฆษณาขายให้กับประชาชนทั้งในและต่างประเทศ โดยมีรายละเอียดอธิบายเกี่ยวกับห้องชุดและผลตอบแทนการลงทุน เพื่อเชิญชวนประชาชนเข้ามาซื้อหรือลงทุนในโครงการ มีการโฆษณาชักชวนต่อบุคคลโดยทั่วไป มีการเสนอจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนเงินคืนให้กับผู้ที่นำเงินมาร่วมลงทุนกับโครงการ ร้อยละ 10 ต่อปีของการชำระเงินเต็มจำนวน คิดเฉลี่ยจ่ายเป็นรายเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนถัดมานับจากการชำระเงินเต็มจำนวนจนกระทั่งโครงการได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ทำให้มีผู้ให้ความสนใจนำเงินมาร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากข้อมูลพบว่าเป็นจำนวนเงินถึง 3,400 ล้านบาท

นอกจากนั้นยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าพื้นที่ที่นำมาจัดทำโครงการ เป็นพื้นที่อยู่ในบริเวณที่มีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมที่ไม่สามารถนำประกอบกิจการตามโครงการได้และบริษัทฯ ได้ทราบข้อเท็จจริงมาโดยตลอด อันอาจชี้ให้เห็นเจตนาว่าบริษัทฯ ไม่ได้จะมีการก่อสร้างโครงการจริง และในส่วนของการจ่ายค่าตอบแทนการลงทุนนั้น พบว่าในช่วงแรกบริษัทฯ มีการจ่ายเงินคืนให้กับผู้นำเงินมาร่วมลงทุน จำนวน 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการจ่ายเงินคืนให้กับผู้ร่วมลงทุนอีก 

แม้ว่าต่อมาผู้ร่วมลงทุนจะได้มีการติดตามทวงถามเพื่อขอให้บริษัทฯ คืนเงินที่ร่วมลงทุน แต่บริษัทฯ ก็ได้บ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืนเงินมาโดยตลอด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการประกาศอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ในการกู้ยืมเงินจากประชาชนไว้ที่ร้อยละ 3.80 ต่อปี ดังนั้นอัตราผลประโยชน์ตอบแทนที่บริษัทนิว นอร์ดิค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จ่ายให้กับผู้ร่วมลงทุนจึงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ การกระทำของบริษัทฯ จึงเข้าข่ายมีลักษณะเป็นการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 รวมทั้งในการสืบสวนยังพบข้อสงสัยเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์บางส่วนว่าอาจทับซ้อนกับเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่ายางหัก - เขาปุ้ม  ถึงประมาณ 499 ไร่ และมีข้อสงสัยอื่นๆ  เกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ซึ่งจะดำเนินการสืบสวน ต่อไป

กรมสอบสวนคดีพิเศษได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องสืบสวนดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) (ก) (ข) และ (ค) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อันมีลักษณะการกระทำความผิดตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มีคำสั่งให้รับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เพื่อทำการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และทำความจริงให้ปรากฏต่อไป เนื่องจากกรณีดังกล่าว ปรากฏผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวต่างชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าว เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ข้อมูลและให้ปากคำ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามมายัง กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ที่สายด่วน DSI Call Center 1202 (โทรฟรีทั่วประเทศ)

อย. เผยพิจารณาอนุมัติการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ของ ‘ซิโนฟาร์ม’ ที่ผลิตจากประเทศจีนแล้ว จะต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 28 วัน นำเข้าโดยบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด

วันนี้ (28 พ.ค.) นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า วันนี้คณะกรรมการ อย.ได้พิจารณาอนุมัติการขึ้นทะเบียนวัคซีนต้านโควิดของซิโนฟาร์มที่ผลิตจากประเทศจีนแล้ว ซึ่งจะต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 28 วัน นำเข้าโดยบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้อนุมัติวัคซีน โควิด-19 ไปแล้ว 4 ราย ได้แก่ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า โดยบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และที่ผลิตในประเทศโดย บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด วัคซีนโคโรนาแวค ของบริษัท ซิโนแวค นำเข้าโดยองค์การเภสัชกรรม วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โดยบริษัท แจนเซ่น-ซีแลค จำกัด รวมถึงวัคซีนโมเดอร์นา โดยบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด

นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ราย อยู่ระหว่างทยอยยื่นเอกสารพร้อมประเมินคำขอขึ้นทะเบียนต่อเนื่อง ได้แก่ วัคซีนโควัคซีน โดยบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด และวัคซีนสปุตนิค วี โดยบริษัท คินเจน ไบโอเทค จำกัด ทั้งนี้ วัคซีนโควิด-19 ทุกรายการที่มายื่นขอขึ้นทะเบียน อย. จะพิจารณาทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิผล โดย อย. มีความพร้อมในการพิจารณาอนุมัติวัคซีนเพื่อให้คนไทยได้มีวัคซีนใช้โดยเร็ว

 

ที่มา : https://mgronline.com/qol/detail/9640000051513


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘หมอหนู’ อนุทิน ชาญวีรกุล รมว.กระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการจัดการบริการฉีดวัคซีน (นำร่อง) แก่ ‘คนพิการ’ กลุ่มบุคคลพิเศษ และครอบครัว

ณ สถาบันราชานุกูล ถนนดินแดง กรุงเทพมหานคร, นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต, พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผอ.สถาบันราชานุกูล ร่วม Kick off ฉีดวัคซีนเพื่อเด็กพิเศษและครอบครัว ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยจัดคิวให้บริการตามวันเวลานัดหมาย

ในการนี้ อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ นายกสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย) คุณสุชาติ โอวาทวรรณสกุล และครอบครัว เข้าร่วมรับการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ด้วย เพื่อเป็นผู้นำและสร้างความมั่นใจให้ เชื่อมั่นกับ คนพิการและครอครัวคนพิการ ในการเข้ารับฉีดวัตซีนตามที่รัฐบาลจัดสรรให้ ซึ่งขั้นตอนและบริการในการฉีดวัคซีน นับเป็นมาตรฐานสูง ตั้งแต่การรับบัตรคิว การชั่งน้ำหนัก ส่วนสูง วัดความดัน วัดชีพจร ซักประวัติอาการ โรคประจำตัว การฉีดวัคซีน การเฝ้าดูอาการ 30 นาที และการรับคำแนะนำและ Scanติดตามผล พร้อมนัดวันฉีดเข็มสอง บรรยากาศเป็นเอง เหมาะสมกับเด็กพิเศษมาก ทีมงานสื่อสารกับเด็กและครอบครัว โดยท่าทีเป็นมิตรเหมือนคนในครอบครัว

โดยทราบว่า การเตรียมการระบบหลังบ้าน โดยเฉพาะการลงทะเบียน การจัดสถานที่ ออกแบบการบริการ บุคลากรของสถาบันทำงานกันอย่างทุ่มเท

ท้ายนี้ อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข / กรมสุขภาพ และสถาบันราชานุกูล เป็นอย่างสูง

‘ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์’ เตรียมผลักดัน การจัดการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยสำหรับบุคคลออทิสติกและบุคคลที่มีความต้องการเป็นพิเศษ

ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุมออนไลน์ กล่าวให้กำลังใจและเปิด ‘โครงการนำร่องการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยสำหรับบุคคลออทิสติกและบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ’ โดยอ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ บรรยายสรุปโครงการและเปิดประชุมทางไกล กับสมาชิกเครือข่ายอีก 10 จังหวัด ซึ่งมีผู้แทนชมรมผู้ปกครอง และผู้แทนสำนักงานสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในพื้นที่เข้าร่วมกว่า 30 ท่านผ่านระบบ True Vroom 

ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า มีความคาดหวังกับการศึกษานอกระบบและพร้อมสนับสนุน ทุกลมหายใจ และจะพยายามผลักดันให้ดีที่สุด ทั้งนี้ผู้ปกครองและภาคีเครือข่ายเป็นองคาพยพที่สำคัญอย่างมาก และมีความเชื่อว่า คนพิการมีความสามารถ และไม่ได้เป็นภาระสังคม ดังนั้นการศึกษากศน. ในรูปแบบที่กำลังดำเนินการขยายผล จะช่วยยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ และหากมีข้อขัดข้องใดๆ ให้ประสานส่งข้อมูลต่อท่านรัฐมนตรีได้ และเชื่อมั่นว่า ชาวกศน. พร้อมสนับสนุนการศึกษาคนพิการและการศึกษาบุคคลออทิสติก

จากนั้น อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ สรุปว่าตามแผนงานจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ มิถุนายน 2564-กันยายน 2565 โดยจัดในรูปแบบศูนย์การเรียนนอกระบบเฉพาะทางในพื้นที่ 10 จังหวัด มี 15 ศูนย์การเรียนต้นแบบ ที่มีการทบทวนหลักสูตรแนวทางการจัดการเรียนรู้ การจัดแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลที่เน้นบริบทของผู้เรียนในพื้นที่ ทั้งการพัฒนาทักษะชีวิต ทักษะการเรียนรู้ และพื้นฐานอาชีพ โดยผู้เรียนทั้งหมดเป็นกลุ่มที่ตกหล่นจากการศึกษาในระบบและอยู่ในชุมชนกับครอบครัว มีการฝึกอบรมครูและผู้ปกครอง เพื่อเรียนรู้ร่วมกันในรูปแบบ Online การพบกลุ่มตามสถานการณ์ และที่สำคัญ จะมีครูผู้สอนคนพิการประจำกลุ่มด้วย ในสัดส่วน 1:5 นับเป็นวิธีการที่นำมาทดลองใช้ในระบบของกศน. เป็นโครงการแรก โดยการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนการศึกษาสำหรับคนพิการ

ซึ่งจะมีจังหวัดนำร่อง จำนวน 11 จังหวัด รวม 15 แห่ง ได้แก่ ภาคกลาง จังหวัดชลบุรี, จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดกรุงเทพมหานคร 5 เขต ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก, จังหวัดตาก ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสงขลา, จังหวัดนครศรีธรรมราช, อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา, จังหวัดอำนาจเจริญ ,จังหวัดสกลนคร

ทั้งนี้สำนักงานกศน. ได้จัดทำ MOU ร่วมกับ ‘สมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย)’ และภาคีเครือข่าย เพื่อสานพลังความร่วมมือต่อกัน   

อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ยังได้กล่าวขอบคุณ ‘ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ‘นายวรัท พฤกษาทวีกุล’ เลขาธิการ กศน.ทีมงาน ศูนย์ กศน.กลุ่มเป้าหมายพิเศษ กศน.กทม กศน.จังหวัด และ กศน. อำเภอ ที่เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้

กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าตั้งสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส. เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมสร้างระบบบิ๊กดาต้าออร์กานิค ล่าสุดขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์เกือบ 4 แสนไร่ พร้อมเดินหน้าเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง จัดตั้งกลไกขับเคลื่อนทั่วประเทศแล้ว

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน เปิดเผยถึงความก้าวหน้าการขับเคลื่อน โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองว่า การดำเนินงานของคณะทำงานด้านเกษตรอินทรีย์ ด้านวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ และด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสาน เพื่อการพัฒนาภาคการเกษตรไทยตาม “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ (ประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน)ตามแนวทางศาสตร์พระราชา สรุปผลการประชุมเฉพาะวาระสำคัญได้ ดังนี้

1.) โครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project) มีเป้าประสงค์ในการพัฒนาเกษตรกรรมและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองพร้อมกับการพัฒนาการเกษตรในเมือง (Urban Farming) ภายใต้นโยบายการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ประการของสหประชาชาติเพื่อโลกอนาคต (UN Sustainable Development Goals : 17 aspects for future world) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ 11 การพัฒนาเมืองและชุมชนอย่างยั่งยืน (Sustainable cities and communities: Make cities inclusive, safe, resilient and sustainable)

ซึ่งในปี 2562 ประเทศไทยมีประชากรในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรกตามปรากฏการณ์การขยายตัวของเมือง (Urbanization) ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะความไม่มั่นคงทางอาหารยิ่งขึ้น โดยอาศัยหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และภาคประชาชน ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนพร้อมกัน เพื่อการพัฒนาและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วประเทศ ทั้งในระดับเขต ระดับจังหวัด เขตปกครองท้องถิ่น พื้นที่อยู่อาศัย สถานที่สำคัญต่างๆ ให้เป็นแหล่งผลิตอาหารสร้างความมั่นคงทางอาหารในเมืองและเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เช่น มีการจัดทำ QR code ให้ความรู้เกี่ยวกับชนิดของพืช และสมุนไพร รวมทั้งการใช้ประโยชน์ โดยจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ดังนี้

(1.) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ระดับเขต ตามการแบ่งเขตตรวจราชการของกระทรวงฯ

(2.) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ระดับจังหวัด

(3.) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

(4.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่วัด (Green Temple)

(5.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่วิทยาลัย (Green College)

(6.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่โรงเรียน (Green School)

(7.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่มหาวิทยาลัย (Green Campus)(8.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่การเคหะแห่งชาติ

(9.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองระดับชุมชนและท้องถิ่น (Green Community)

(10.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในพื้นที่อาคารชุด (Green Condo)

2.) การจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสำนักพัฒนาระบบบริหาร ก่อนการดำเนินการต่อไป

3.) การจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางเกษตรอินทรีย์ (Organic Big Data Center) โดยสามารถเข้าชมได้ที่ https://organicmoac.ldd.go.th ข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2564มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในฐานข้อมูลออนไลน์ รวมทั้งสิ้น 397,037.24 ไร่

4.) ความก้าวหน้าการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารสภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส แห่งประเทศไทย ขณะนี้พร้อมดำเนินการจัดตั้งโดยมี องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ประกอบด้วย ประธานกรรมกําร 1 คน กรรมการและ เลขานุการ 1 คน โดยการคัดเลือกจากคณะกรรมการบริหารสภาฯ และกรรมการ จํานวน 20 คน แบ่งเป็น ผู้แทนองค์กรจัดระบบ (3 แห่ง) เกษตรกรเกษตรอินทรีย์ PGS 4 ภาค (8 คน), ผู้แทนสถาบันการศึกษา (4 แห่ง), ผู้ประกอบการด้านการผลิตเกษตรอินทรีย์ และจําหน่ายเกษตรอินทรีย์ PGS 4 แห่ง, เกษตรกรรุ่นใหม่ประเทศไทย (1 คน), สมาคม ผู้บริโภคอินทรีย์ไทย 1 แห่ง และผู้แทนภาครัฐ (1 แห่ง) โดยมีอํานาจหน้าที่หลัก ได้แก่ การกําหนดกรอบเกษตรอินทรีย์ระบบกํารรับรองแบบมีส่วนร่วม จัดระบบการกํากับดูแล และติดตาม การเทียบเคียง การยอมรับกระบวนกํารรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วน ร่วม รวมทั้งสื่อสาร ประชําสัมพันธ์ จัดทําฐานข้อมูลเกษตรอินทรีย์ระบบกํารรับรอง แบบมีส่วนร่วม

5.) ความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ขณะนี้มีผลดำเนินโครงการไปแล้ว โดยมีเป้าหมาย 4009 ตำบล 648 อำเภอ 75 จังหวัด จำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 29,706 ราย และมีจ้างงานจำนวน 14,076 ราย

6.) คู่มือสำหรับประชาชนในการปฏิบัติตามข้อตกลงบันทึกความเข้าใจการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยที่ประชุมมอบหมายให้จัดทำคู่มือสำหรับประชาชนในเรื่องการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่

7.) นิยามใหม่ “วนเกษตร” ซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนแล้วจะทำให้การพัฒนาวนเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังจากติดกรอบนิยามเดิมมาเป็นเวลานานหลายปี

8.) เรื่องกํารจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มีความคืบหน้าหลังจากคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาขณะนี้ปลัดกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ ได้มอบให้สํานักพัฒนาระบบบริหาร สํานักงาน ปลัดกระทรวงเกษตรพิจารณาดำเนินการต่อไปแล้ว


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สตาร์ทอัพธุรกิจท่องเที่ยว “มาคาเลียส” เผยประเทศไทยแม้เจอวิกฤตโควิด-19 หนักอย่างไร แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังไงก็ฟื้นตัว แต่ผู้ประกอบการต้องรู้วิธีการรับมือในยุค Next Normal 

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย จำกัด (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย กล่าวว่า “วิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นวิกฤตที่รุ่นแรงที่สุดในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยและทั่วโลกได้พบเจอ ส่งผลต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบอย่างมหาศาลกับธุรกิจทุกภาคส่วน โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศไทย แต่ทั้งนี้จากประสบการณ์การบริหารงานของบริษัทแม่ในโซนยุโรปประกอบกับการดำเนินงานในประเทศไทยตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ ประเมินว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติได้เหมือนทุกครั้งที่เคยเกิดวิกฤตต่างๆ เพราะประเทศไทยมีเอกลักษณ์ที่เป็นแม็กเน็ตสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมาย อาทิ วัฒนธรรมประเพณี ความงดงามของธรรมชาติ อาหารการกิน ค่าใช้จ่ายต่อการท่องเที่ยว เป็นต้น แต่สิ่งที่จะตามมาภายหลังจากพายุโควิด-19 สงบลง คือการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ยุค “Next Normal” หรือยุค “การเปลี่ยนแปลง” เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องปรับตัวตาม

ดังนั้นการเรียนรู้วิธีการรับมือให้เร็วคือทางรอดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยมาคาเลียสมองว่า 5 แนวทางที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมและสร้างระบบการท่องเที่ยวยุค Next Normal ได้นั้น คือ “คุณภาพและประสบการณ์” (Quality & Experience) ของผลิตภัณฑ์หรือการบริการ คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวจะพิจารณาเป็นอันดับแรกมากกว่าเรื่องของราคา เพราะการออกไปท่องเที่ยวในแต่ละครั้งนักท่องเที่ยวจะคิดเยอะขึ้น ดูความสมเหตุสมผลระหว่างราคากับคุณภาพ และที่สำคัญในแต่ละทริปต้องสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ได้อีกด้วย 

ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้างคุณภาพของบริการที่จับต้องได้มากกว่าการทำโปรโมชั่น ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยนการจำหน่ายแพคเกจแบบการลดราคา เป็นการเพิ่มกิจกรรมต่างๆ ที่จะสร้างความสนุกให้กับทริปท่องเที่ยว เป็นต้น แนวทางต่อมาคือ “ความปลอดภัย” (Hygiene) ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการท่องเที่ยวในยุค Next Normal ทั้งความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของห้องพัก รวมถึงการให้บริการที่เน้นแบบไร้สัมผัส (Contactless Services) ด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ เช่น e-Voucher เปลี่ยนจากกระดาษเป็นออนไลน์ e-Concierge เปลี่ยนจากการเช็คอินที่เคาเตอร์เป็นการให้บริการเช็คอินที่ห้องพัก เพื่อลดการแออัดบริเวณพื้นที่ส่วนรวม และ Digital payment การชำระเงินด้วยรูปแบบการโอนจ่าย หรือการจ่ายผ่านเหรียญคริปโต (Crypto Currency) ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นบริการใหม่ของทางมาคาเลียสที่ได้เปิดใช้งานแล้วและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี 

“เทคโนโลยี” (Tech) ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการยกระดับคุณภาพของงานบริการ ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการหลายแห่งนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการให้บริการ เช่น การใช้แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน สำหรับการเช็คอิน การเช็คเอาท์ การสอบถามข้อมูล รวมไปถึงการให้บริการ Room Service แทนการใช้โทรศัพท์ในห้องพัก เพิ่มความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว เพราะสามารถใช้บริการได้ทุกที่ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการติดตามนักท่องเที่ยวได้อีกด้วย และที่ขาดไม่ได้คือ

“ทักษะ” (Skill) เนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริการมากขึ้น ส่งผลให้รูปแบบบริการเปลี่ยนไป บางสายงานอาจถูกลดจำนวนลง ดังนั้น บุคลากรควรมีการ Upskill คือการนำองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมมาพัฒนาตัวเองให้มีความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น การเพิ่มทักษะภาษาจีนจากเดิมที่มีทักษะภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เพื่อเตรียมรับนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นต้น และ Reskill การเปลี่ยนองค์ความรู้เดิมเพื่อรับมือกับสายอาชีพใหม่ที่จะเกิดขึ้น เช่น เดิมเป็นเจ้าหน้าที่ออฟฟิศรับจองห้องพัก แต่เมื่อ Ai เข้ามาทำงานแทน เราอาจผันตัวเองมาเรียนเป็นผู้สอน SUP Board เพราะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมทางน้ำที่กำลังได้รับความนิยม และเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ เป็นต้น 

นางสาวณีรนุช กล่าวต่อว่า “แนวทางสุดท้ายที่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยนำพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุค Next Normal คือ “บูรณาการ” (Integration) เพราะการทำงานเพียงลำพังคนเดียวอาจไม่ใช้ทางออกที่ดีที่สุดของการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยว ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องร่วมมือและผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมไปถึงกลุ่มชุมชน เพื่อร่วมกันสร้างแผนแม่บทด้านการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยควรจะเป็น รวมถึงการร่วมมือกันกำหนดแนวทางการแก้ไข ดูแล และป้องกัน หากเกิดวิกฤตต่างๆ  ขึ้นอีกครั้ง”

'นพ.นิธิ' แฉยับบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ ยันแค่พวกแอบอ้าง ไม่ใช่ตัวแทนจริง

จากกรณีโลกโซเชียลเผยแพร่จดหมายจาก บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ในฐานะพันธมิตรผู้เดียวในประเทศไทย ของบริษัท TELLUS AGROTECH PTE. LTD. ผู้จัดจำหน่ายวัคซีน ซิโนฟาร์ม ในภูมิภาคเอเชีย อ้างว่าส่งถึง ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เรื่องการเสนอขายวัคซีนต้านโควิด-19 ยี่ห้อ SINOPHARM จากบริษัท TELLUS AGROTECH PRIVATE LIMITED จำนวน 20 ล้านโดสนั้น

ล่าสุด ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ว่า เห็นหนังสือนี้ร่อนไปทั่วบนระบบออนไลน์ โดยคนที่หนังสือนี้ส่งถึงยังไม่ได้เห็นหนังสือตัวเป็นๆ เลย อย่างไรก็ดีถึงจะมาพบก็คิดว่าคงไม่ได้พบเหมือนกัน เพราะจากที่พยายามช่วยหาวัคซีน ‘ตัวเลือก’ มาเพิ่มเติมระยะหนึ่งนั้น มีบริษัทหรือกลุ่มคนมากมายที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของวัคซีนโน้นวัคซีนนี้ มากกว่าสิบกลุ่ม

ขอเรียนให้คนที่เห็นหนังสือนี้เข้าใจกันตามนี้ครับ

1.) กลุ่มหรือบริษัทแบบนี้ที่ว่าเป็นตัวแทนนั้นเป็นไปได้ยาก

2.) การเป็นตัวแทนใครในการนำยาหรือวัคซีนจริงต้องได้รับ dossier (รายละเอียดรายการประกอบยาและการผลิต) จากบริษัทเจ้าของเพื่อมาใช้ขอใบอนุญาตจาก อย.

3.) บริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิดขณะนี้ จะติดต่อกับรัฐบาลหรือตัวแทนรัฐบาลก่อนเท่านั้น เป็นเหมือนกันทุกบริษัททั่วโลกเพราะเป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉิน จะไม่ติดต่อกับเอกชนเป็นรายๆ หรือติดต่อคุยด้วยก็จะไม่ให้ dossier เพื่อยื่นขอใบอนุญาต

4.) รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐบาลเมื่อติดต่อแล้วจึงอาจมอบหมายให้บริษัทที่ทำโลจิสติกเรื่องการขนส่งและเก็บวัคซีนที่มีมาตรฐานเฉพาะเป็นผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนและทำการขนส่งแทนหน่วยงานรัฐได้

5.) บริษัทหรือกลุ่มตัวแทนใดที่ว่าเป็นตัวแทนหรือมีวัคซีนเป็นล้านๆ โดสโดยไม่มี dossier ที่ต้นทางจัดให้ ไม่ใช่ตัวแทนที่สมบูรณ์ครับ คงไม่ได้พบผมเช่นกัน

ถ้าติดตามและอ่านประกาศของราชวิทยาลัยฯ ในราชกิจจานุเบกษาที่อ้างถึงให้เกินแปดบันทัด แล้วอ่านข้อบังคับลูกที่ตามมาก็จะทราบว่า ยังไงราชวิทยาลัยฯ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่มีครับ

ขอร้องอย่าถือโอกาสโจมตีกัน แค่นี้ประชาชนคนเจ็บก็ทุกข์แย่อยู่แล้ว นิธิ 27 พ.ค. 64

 

ที่มา : https://www.facebook.com/nithi.mahanonda

https://www.thaipost.net/main/detail/104422


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

แอมมี่ 'ปฏิเสธ' คดีเผาพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมเผยตั้งแต่หลุดคุก มีสุขครึ่งเดียว

ช่วงเช้าวันนี้ (27 พ.ค. 64) ศาลอาญานัดสอบคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำ อ.1199/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะ บอททอมบลูส์ อายุ 32 ปี แนวร่วมม็อบคณะราษฎร เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 

ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 217 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 กรณีเผาพระบรมฉายาลักษณ์ที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมแล้วโพสต์เผยแพร่ลงในโซเชียล

โดยในวันนี้ นายไชยอมร หรือแอมมี่ ซึ่งได้รับการประกันตัว เดินทางมาศาลพร้อมกับนางอรวรรณ แก้ววิบูลย์พันธุ์ มารดา และ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้นัดรายงานตัวหลังได้รับการประกันตัว และครบรอบการฝากขังไปเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องนายไชยอมร หรือแอมมี่ เข้ามาในข้อหาที่ปรากฏตามข่าว โดยขั้นตอนเบื้องต้น คือการนำตัวไปห้องเวรชี้เพื่อฟังการอ่านคำฟ้อง เนื่องจากทนายความ และจำเลยยังไม่ได้เห็นคำฟ้องว่ามีเนื้อหาอย่างไรบ้าง แต่ตามหลักหลังจากมีการอ่านคำฟ้อง ศาลจะสอบถามจำเลยว่าจะให้การอย่างไร ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้

นายไชยอมร หรือแอมมี่ เปิดเผยว่า หลังจากได้รับอิสรภาพรู้สึกมีความสุขเพียงครึ่งเดียว เพราะนักโทษคดีทางการเมืองคนอื่น ๆ ยังคงถูกคุมขังอยู่ เช่น นายอานนท์ นําภา, นายภาณุพงศ์ จาดนอก และคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สื่อ ส่วนกรณีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเรือนจำนั้น นายไชยอมร กล่าวว่า สิ่งที่กำลังต่อสู้ไม่ใช่การต่อสู้กับระบบราชทัณฑ์ แต่เป็นเรื่องของปัญหาเชิงโครงสร้าง จะมองว่ากรมราชทัณฑ์เป็นแพะในเรื่องนี้อย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากคลัสเตอร์เรือนจำเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ต่อมาศาลได้สอบคำให้การโดยอ่าน และอธิบายฟ้องให้นายไชยอมร ฟังแล้วสอบถามจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ปรากฏว่า นายไชยอมร แถลงให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี และจัดเตรียมทนายความไว้พร้อมแล้ว ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 28 มิ.ย.นี้เวลา 09.00 น. จากนั้นนายไชยอมร หรือ แอมมี่ มารดา และทนายความเดินทางกลับทันที

 

ที่มา: https://mgronline.com/crime/detail/9640000051028


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เริ่มแล้ววันนี้! กรุงเทพมหานคร ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดให้ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18-59 ปี จองฉีดวัคซีนโควิด

กรุงเทพมหานคร ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดให้ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18-59 ปี จองฉีดวัคซีนโควิด นอกโรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. 64 จากนั้นจะเริ่มฉีดตั้งแต่ วันที่ 7 มิ.ย. 64 เป็นต้นไป

มีช่องทางไหนที่สามารถลงได้บ้าง ไปเช็คกันได้เลย


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งบรรดาหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ รายงานภายใน 3 เดือน ในข้อสรุปที่ว่าไวรัสโควิด-19 ที่อุบัติขึ้นครั้งแรกในจีน มีแหล่งกำเนิดมาจากสัตว์หรือเกิดจากอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการของจีน

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งบรรดาหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ รายงานภายใน 3 เดือน ในข้อสรุปที่ว่าไวรัสโควิด-19 ที่อุบัติขึ้นครั้งแรกในจีน มีแหล่งกำเนิดมาจากสัตว์หรือเกิดจากอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการของจีน หลังจากสื่อมวลชนรายงานเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ มีนักวิจัยจากห้องปฏิบัติการของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น (WIV) ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2019 หรือเพียงเดือนเดียวก่อนที่จีนจะประกาศว่ามีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น

ไบเดนระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาว "ประชาคมข่าวกรองต้องเพิ่มความพยายามเป็น 2 เท่า ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่จะพาเราเข้าใกล้ข้อสรุปที่ชัดเจน และให้รายงานกลับมาที่ผมภายใน 90 วัน"

ถ้อยแถลงของไบเดนระบุว่า ปัจจุบันหน่วยงานทั้งหลายมีความเห็นต่างใน 2 สมมุติฐานแหล่งต้นตอของไวรัสที่กวาดล้างโลกในขวบปีที่ผ่านมา คร่าชีวิตผู้คนแล้วมากกว่า 3.4 ล้านราย ตัวเลขที่พวกนักวิเคราะห์บอกว่าน้อยกว่าความเป็นจริงอย่างมาก

คำสั่งของไบเดนเป็นสัญญาณว่า ประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัสกำลังขยายวงกว้างมากขึ้น ท่ามกลางข้อสันนิษฐานว่าอาจมันมีแหล่งกำเนิดผ่านการสัมผัสกับสัตว์ในตลาดแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน หรือไม่ก็ไวรัสโคโรนาหลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการวิจัยแห่งหนึ่งที่มีการคุ้มกันอย่างหนาแน่นในเมืองเดียวกัน

คำตอบในเรื่องนี้จะก่อผลกระทบกับทั้งจีน ที่บอกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่เบื้องหลังกับโรคระบาดใหญ่ และกับสหรัฐฯ เอง

ส.ส.อดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต เรียกร้องจีนให้มอบข้อมูลด้วยความเต็มใจ และเตือนว่าจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการด่วนสรุปหรือการสรุปโดยมีแรงจูงใจทางการเมือง

"การที่จีนยังคงขัดขวางการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและครอบคลุม ในข้อเท็จจริงและข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งต้นตอของโคโรนาไวรัส รังแต่จะเตะถ่วงงานสำคัญ ๆ ที่จำเป็นสำหรับช่วยเหลือโลกเตรียมความพร้อมได้ดีขึ้นในการรับมือกับโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อไป" ชิฟฟ์ กล่าว

"กระนั้นก็ตาม ผมมั่นใจว่าประชาคมข่าวกรองและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในรัฐบาลของเรา จะเดินหน้าไล่ตามทุกร่องรอยที่เป็นไปได้และมอบข้อมูลอัพเดท การค้นพบบนพื้นฐานของหลักฐานภายในกรอบ 90 วันที่ประธานาธิบดีกำหนด" เขากล่าว

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) เคยให้การสนับสนุนเงินการวิจัยโคโรนาไวรัสในอู่ฮั่น แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้สนับสนุนการทดลองวิจัยแบบ gain-of-function ที่เกี่ยวข้องกับการดัดแปลงสายพันธุ์ไวรัสให้เกิดสายพันธุ์ใหม่เพื่อทำความเข้าใจของการกลายพันธุ์ของไวรัสที่แพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้งายขึ้นในปัจจุบัน

เงินสนับสนุนถูกยกเลิกโดยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปีที่แล้ว

ไบเดน เผยว่า ในเดือนมีนาคม เขาเคยขอรายงานเกี่ยวกับแหล่งต้นตอของไวรัส ในนั้นรวมถึงทฤษฎีที่ว่ามันอุบัติขึ้นจากการที่มนุษย์สัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือเกิดจากอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการ "จนกระทั่งตอนนี้ ประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ เชื่อมโยงเหตุการณ์ความเป็นไปได้อยู่ราว ๆ 2 ทฤษฎี แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนเกี่ยวกับคำถามนี้" เขากล่าว

คารีน ฌอง ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ไบเดน ได้รับแจ้งจากประชาคมข่าวกรองเกี่ยวกับคำประเมินของพวกเขาเมื่อราว ๆ 1 เดือนก่อน แต่มันเป็นข้อมูลลับจนกระทั่งปัจจุบัน

เมื่อถามถึงจุดยืนของรัฐบาลเกี่ยวกับข้อสงสัยที่ว่าไวรัสอาจถูกดัดแปลงโดยตั้งใจเพื่อให้กลายเป็นอาวุธชีวภาพ เธอตอบว่า "เรายังไม่ได้ตัดข้อสันนิษฐานใด ๆ ทิ้ง"

ทฤษฎีไวรัสหลุดจากห้องปฏิบัติการได้สร้างความขุ่นเคืองแก่จีน ด้วยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของปักกิ่งออกมาประณามและกล่าวหาวอชิงตันอีกครั้งในวันพุธ (26 พ.ค.) ว่า "กำลังเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลบิดเบือน" กระนั้นก็ตามทฤษฎีดังกล่าวกำลังเป็นที่ถกเถียงกันมากขึ้นในสหรัฐฯ

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล อ้างรายงานข่าวกรองของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า มีนักวิจัยจากห้องปฏิบัติการของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น (WIV) 3 คน ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2019 ด้วยอาการไข้ตามฤดูกาล หรือเพียงเดือนเดียวก่อนที่จีนจะประกาศว่ามีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจีนได้แถลงในวันเดียวกัน ว่า คณะผู้เชี่ยวชาญจาก WHO ซึ่งได้ไปเยือนสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ออกมาสรุปแล้วว่า ข้อสันนิษฐานที่ว่าเชื้อไวรัสอาจหลุดออกมาจากห้องแล็บอู่ฮั่น “มีความเป็นไปได้น้อยมาก”

อีกสมมุติฐานที่พูดถึงกันอย่างมากคือไวรัสถือกำเนิดจากค้างคาวแล้วจากนั้นก็ถ่ายทอดสู่มนุษย์ มีความเป็นไปได้ว่าจะแพร่เชื้อผ่านและมีสัตว์อื่นเป็นพาหะตัวกลาง ทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงต้นของการแพร่ระบาด แต่พอเวลาผ่านไป พวกนักวิทยาศาสตร์ไม่พบไวรัสทั้งในค้างคาวและสัตว์อื่น ๆ ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมตรงกับเชื้อ SARS-CoV-2 เลย

สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ เรียกร้องให้ดำเนินการสืบสวนต้นกำเนิดของไวรัสในเชิงลึกยิ่งขึ้น หลังจากคณะผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศของทางองค์การอนามัยโลกที่ส่งลงพื้นที่จีนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้มีการจัดตั้งคณะวิทยาศาสตร์อิสระสืบสวนเรื่องนี้เพื่อความโปร่งใส

 

(ที่มา:เอเอฟพี)
https://mgronline.com/around/detail/9640000050952


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

พบ จนท.หญิงแลกบัตรตึกบัญชาการ 1 ติดโควิด จนท.เร่งฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อทันที

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ภายหลังจากที่ทำเนียบรัฐบาลพบเจ้าหน้าที่หญิงที่ปฏิบัติหน้าที่แลกบัตร ในตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาลติดเชื้อโควิด-19 ตามที่ปรากฎเป็นข่าวไปแล้วนั้น ล่าสุดได้มีการประสานเจ้าหน้าที่สวมชุด PPE เข้าฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่บริเวณโถงด้านล่างตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่หญิงคนดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ในห้องแลกบัตร ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะขึ้นไปฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อบริเวณห้องต่าง ๆ บนตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

รองปลัดคมนาคมฯ ชวนฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ จองได้แล้ววันนี้ผ่านเครือข่ายมือถือทุกระบบ

สรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) เชิญชวนมาฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ วันนี้จองได้แล้ว ผ่านผู้ให้บริการมือถือทุกระบบ จองฉีดวัคซีนผ่านเครือข่ายมือถือ เพื่อฉีดวัคซีนที่บางซื่อ  โดยเริ่มจองได้ตั้งแต่ 09:00 ของวันที่ 27 พฤษภาคม 2564

AIS : https://vaccineforthais.ais.th/Reserve/Login

DTAC : https://app.dtac.co.th/vaccine/registration.html

TRUE : https://vaccine.trueid.net/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top