Sunday, 6 July 2025
NEWS

วิกฤติเลือดหมดคลังทั่วประเทศ! ทุกโรงพยาบาลขาดเลือดผ่าตัด วอนบริจาคโลหิต ช่วยชีวิตผู้ป่วย

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยขอให้คนไทยสุขภาพดีช่วยกันบริจาคโลหิตอย่างเร่งด่วน ในสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 วิกฤติการขาดแคลนโลหิตครั้งใหญ่ โลหิตไม่เพียงพอ ผู้ป่วยที่ต้องเลื่อนการผ่าตัดและการรักษาพยาบาลออกไป โดยสามารถจ่ายโลหิตให้ได้เพียง 28% เท่านั้น รศ.พญ. ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรค COVID-19 การบริจาคโลหิตทั่วประเทศลดลงอย่างมาก วิกฤติในครั้งนี้รุนแรงกว่าในรอบปีที่ผ่านมา จากกราฟเป็นข้อมูลการบริจาคโลหิตทั่วประเทศ การบริจาคลดลง ซึ่งในภาวะปกติ จะเห็นว่าต้องมีโลหิตรักษาผู้ป่วยเดือนละ 200,000 ยูนิต โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้รับโลหิตจากการบริจาคเพียง 149,384 ยูนิต มีการขาดแคลนสะสมยาวนานมากกว่า 5 เดือน จึงมีผู้ป่วยที่ต้องเลื่อนการผ่าตัดและการรักษาพยาบาลออกไปอีกเป็นจำนวนมาก  
 
ทั้งนี้ โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ กว่า 340 แห่ง มีการเบิกโลหิตเฉลี่ยวันละ 8,000 ยูนิต แต่สามารถจ่ายโลหิตให้ได้เฉลี่ย 2,300 ยูนิตต่อวัน (28%) ซึ่งสถานการณ์ขาดแคลนโลหิตนี้ จะส่งผลอันตรายแก่ชีวิตได้
1. ผู้ป่วยโรคเลือด ซึ่งจำเป็นต้องรับโลหิตครั้งละ 1-2 ยูนิต ทุก 3-4 สัปดาห์ หากไม่ได้รับโลหิตผู้ป่วยจะมีภาวะซีด อ่อนเพลีย มีปัญหาในการดำรงชีวิต
2. ผู้ป่วยผ่าตัด ผู้ป่วยมะเร็ง ที่จะต้องถูกชะลอการรักษาออกไปอย่างไม่มีกำหนด
3. ผู้ป่วยอุบัติเหตุ ที่จำเป็นต้องใช้โลหิตในการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน เช่น เลือดออกในสมอง มีภาวะเลือดออกในช่องอก หรือช่องท้อง หรือผู้ป่วยกระดูกหัก ซึ่งมีเกือบทุกวัน และเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการโลหิต จำนวนมาก

ต้องยอมรับว่าเนื่องจากสถานการณ์โควิด ส่งผลให้คนมาบริจาคโลหิตลดน้อยลงอย่างชัดเจน แต่ว่าการใช้โลหิตในการรักษาพยาบาลยังคงมีอย่างต่อเนื่องทุกวัน จนเกิดภาวะขาดแคลนเลือดทั่วประเทศ ถึงเวลาแล้วที่จะคนไทยต้องช่วยกัน วอนผู้ที่มีสุขภาพดี หรือผู้ที่ครบกำหนดบริจาคโลหิต 3 เดือนแล้ว บริจาคโลหิตอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยผู้ป่วยทั่วประเทศ สามารถบริจาคได้ ณ โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ ที่เปิดรับบริจาคโลหิต ใกล้ที่ไหน บริจาคที่นั่นในพื้นที่ของตนเอง เพื่อความสะดวกปลอดภัยของท่านผู้บริจาค

จีน เผย 'ศาลออนไลน์' สามารถช่วยประหยัดการใช้กระดาษมากถึง 1.45 หมื่นล้านแผ่น

รายงานจากศาลประชาชนสูงสุดของจีน เมื่อวันอังคาร (24 ส.ค.) ประมาณการว่า การย้ายศาลสู่ระบบออนไลน์ช่วยจีนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 9.4 ล้านตัน ในปี 2020 ด้วยการลดระยะการเดินทางของผู้ฟ้องร้องคดีความและเจ้าหน้าที่ศาลกว่า 9.3 หมื่นล้านกิโลเมตร

บริการศาลออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการฟ้องร้องคดีความและลดการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยบริการนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับปี 2019 รวมถึงประหยัดกระดาษมากถึง 1.45 หมื่นล้านแผ่น ซึ่งเท่ากับต้นไม้มากกว่า 1 ล้านต้น

ส่วนจำนวนคดีความที่ฟ้องร้องต่อศาลออนไลน์ทั่วประเทศรวมอยู่ที่ 10.8 ล้านคดี คิดเป็นร้อยละ 54 ของการฟ้องร้องคดีความทั้งหมด

ทั้งนี้ การประมาณการดังกล่าวอ้างอิงความแตกต่างระหว่างบริการออนไลน์และงานประเภทเดียวกันที่ดำเนินการแบบออฟไลน์


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/china/224649_20210825


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์อัญเชิญอาหารพระราชทาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 09.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานอาหาร แก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดย พลเอก ศิวะ ภระมรทัต ประจำสำนักพระราชวังพิเศษ เป็นผู้อัญเชิญอาหารพระราชทาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมี นายแพทย์โชคชัย ลีโทชวลิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา เป็นผู้แทนรับมอบ พร้อมทีมผู้บริหาร ทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล เข้าร่วมพิธีรับพระราชทานอาหารเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ ยังความปลื้มปีติแก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา และพสกนิกรชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานอาหาร แก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ทรงห่วงใยและทรงให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ ที่เสียสละกำลังกาย และอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งประกอบเป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ได้แก่ ขนมจีนน้ำเงี้ยว และน้ำยาป่าลูกชิ้น พร้อมทั้งพระราชทาน เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาดังกล่าวอีกด้วย  


สุจินดา อุ่นขาว รายงานจากอยุธยา


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พันธมิตรจิตอาสา ลุย! ”ชุมชนก้าวหน้า” ส่งต่อข้าวกล่องเต็มอิ่มเติมรอยยิ้ม ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19

เกาะติดภารกิจ เติมสุขปันอิ่ม สู้ภัยโควิด วันที่ 25 สิงหาคม ที่ชุมชนก้าวหน้า เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตรจิตอาสา ส่งมอบข้าวกล่อง แก่ชาวชุมชนก้าวหน้า โดยมีคุณศิริพรรณ เกิดแก่น ประธานชุมชน เป็นผู้แทนรับมอบ เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้านในชุมชนต่อไป

สำหรับชุมชนก้าวหน้า เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ริมคลองถนน มีประชาชนอาศัย 200 ครัวเรือน ประชากรกว่า 1,000 คน ในจำนวนนี้มีที่ผู้มีความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อโควิด-19  จำนวน 9 คน เป็นเด็ก 1 คน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 1 คน จากการติดเชื้อ

การลงพื้นที่มอบน้ำใจแก่ชาวชุมชน เป็นความร่วมมือของ พันธมิตรจิตอาสา ประกอบด้วย มูลนิธิสหชาติ สำนักข่าว News Online Thailand เวปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ และนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.1) สถาบันพระปกเกล้า

โดยวันนี้ ยังมีตัวแทนนักศึกษา จากหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่น 9 รุ่น11 และรุ่น12 สถาบันพระปกเกล้า มาร่วมมอบข้าวกล่องพร้อมทานให้แก่ชาวชุมชนด้วย

โดยรับข้าวกล่องมาจากจุดส่งมอบอาหาร ที่โลตัส สาขาบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" ของบริษัทในเครือซีพี เพื่อนำส่ง มอบต่อประชาชนเขตกรุงเทพและปริมณฑล ในแต่ละวัน เพื่อแบ่งเบาภาระและบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงสถานการณ์โควิด-19

แถลงการณ์ เครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ปสม.1 ประณามการซ้อมทรมานอันขัดหลักสิทธิมนุษยชน กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์

จากกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิด ภาพเหตุการณ์ที่กลุ่มชายฉกรรจ์ ร่วมกันทำร้ายร่างกายและข่มขู่ชายคนหนึ่งด้วยวิธีการใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวเพื่อทรมานให้ต้องยินยอมทำตามความประสงค์ ซึ่งภายหลังได้ข้อยุติว่าเป็นเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกันซ้อมทารุณผู้ต้องหา เกิดที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ โดยชายผู้ถูกทำร้ายเสียชีวิต​การกระทำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง โดยการการทรมาน(Torture)​ ซึ่งเป็นสิทธิเด็ดขาด  (Absolute Right) ปรากฏใน "อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี(Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT)”ที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญา โดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๐ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นมา การลงโทษกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำการใดที่มีลักษณะการทรมานมีกฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะและไม่สามารถจะยกขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้  เพื่อให้พ้นจากความรับผิดได้

​นอกจากนี้ยังพบเห็นการร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ชอบ ทั้งการรับแจ้งความ การสืบสวน การสอบปากคำและรวบรวมพยานหลักฐาน การจับกุมผู้ต้องหา ซึ่งมักมีข้อกังขาในการใช้อำนาจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การซ้อมการทรมานเพื่อให้ผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ การประจานผู้ต้องหาต่อสาธารณชน การวิสามัญฆาตกรรม รวมถึงการใช้อำนาจ กำลัง และอาวุธในการปราบปรามผู้เห็นต่าง เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ควรแก่การแก้ไขปรับปรุงโดยเร็ว
​เครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ปสม.๑ โดยผู้มีรายชื่อท้ายแถลงการณ์นี้ ขอประณามการกระทำดังกล่าว และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตระหนักในความพยายามหาทางแก้ไข ป้องกัน มิให้ประชาชนต้องถูกกระทำดังกล่าวโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ในฐานะที่เป็นต้นน้ำแห่งกระบวนการยุติธรรม ขอเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจริงใจในการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง โดยปราศจากการแทรกแซงช่วยเหลือ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับสังคมโดยเร็วที่สุด

พร้อมกันนี้ เครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ปสม.๑ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร เร่งดำเนินการปฏิรูปตำรวจ และแก้ไขปัญหากระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยปรับงานสอบสวน งานพิสูจน์หลักฐาน ออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อลดปัญหาการรวบอำนาจการดำเนินคดีอาญาชั้นต้น อันส่งผลให้เกิดปัญหาการทุจริต การเรียกรับผลประโยชน์ การสร้างพยานหลักฐานเท็จ รวมทั้งการผลักดันร่างพระราชบัญญัติป้องกันการซ้อมทรมาน ที่ค้างการพิจารณาในคณะกรรมาธิการ และอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน เป็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมของไทยมาช้านานให้หมดสิ้นไป
​เครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ปสม.๑ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะตระหนักและให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาดังกล่าวในระยะยาวอย่างจริงใจ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และประชาชน และการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สืบไป

25 สิงหาคม 2564

รายชื่อผู้ร่วมลงชื่อท้ายแถลงการณ์
1. นายกฤษณ์ ขำทวี
2.นายสมชาย จรรยา
3. นายนรเทพ  บุญเก็บ
4.นายศุภมา จิตต์เที่ยง
5.นายพิสุทธิ์ รัตนวิลัย
6.นายศิริพันธุ์ เรืองจินดา
7.นายสุทัศน์ ประสิทธิกุล
8. นายภาวุฒิ สุกทอง
9. นางพรทิพย์ เตชะสมบูรณากิจ
10.นายสมิษฐิ์ มหาปิยศิลป์
11. นายสันติพงษ์ มูลฟอง
12. นางเฉลียว ศาลากิจ
13 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ
 

ผอ.ศรชล.จังหวัดพังงาในฐานะพ่อเมืองพังงา ชวนรักษ์ทะเลไทย นำคณะเก็บขยะบริเวณหมู่เกาะไข่ เตรียมรับ นักท่องเที่ยวโครงการเชื่อมต่อจังหวัดท่องเที่ยวนำร่อง (7+7 Phuket Extension)

ศรชล.ภาค 3 โดย ศรชล.จังหวัดพังงา ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 เทศบาล ต.พรุใน องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN)  สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพังงา สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพังงา และกลุ่มจิตอาสา นักดำน้ำอาสาสมัคร  ร่วมกันจัดกิจกรรมดำน้ำเก็บขยะใต้ทะเลและเก็บขยะบนเกาะ บริเวณหมู่เกาะไข่ ต.พรุใน อ.เกาะยาว จว.พังงา โดยมีนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผอ.ศรชล.จังหวัดพังงาและผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เป็นประธาน พร้อมด้วย พล.ร.ต.สุรัชฎ์ ศิริวรรณนาวี รอง ผอ.ศรชล.ภาค 3  นายธราธิป ทองเจิม นายก อบจ.พังงา  นายพงศ์ศักดิ์ กีรติกรพิสุทธิ์ นายอำเภอเกาะยาว สาธารณสุขอำเภอเกาะยาว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต.พรุใน ผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนในพื้นที่ ต.พรุใน และอาสาสมัคร รวมจำนวน 45 คน ร่วมกันจัดกิจกรรมเก็บขยะทั้งบนเกาะไข่ และนักดำน้ำอาสาสมัคร จำนวน 35 คน รวมทั้งกำลัง ศรชล.ภาค 3 และทัพเรือภาคที่ 3  ร่วมกันเก็บขยะในทะเลบริเวณแปลงฟื้นฟูปะการังหมู่เกาะไข่ ซึ่งผู้ร่วมกิจกรรมฯ ได้รับวัคซีนครบโดส และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 ของจังหวัดพังงา 


โดยกิจกรรมฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันทำความสะอาดและลดปริมาณขยะ ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์พื้นที่ท่องเที่ยวจังหวัดพังงา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวตามโครงการเชื่อมต่อจังหวัดท่องเที่ยวนำร่อง (7+7 Phuket Extension) ตามนโยบายของรัฐบาล และจากการคัดแยกประเภทขยะที่จัดเก็บได้และปริมาณขยะที่จัดเก็บได้บนเกาะไข่ มีดังนี้


- ขยะทั่วไป : ประเภท ถุงพลาสติกชนิดต่าง ๆ หลอด /ช้อน / ถ้วย/จาน กล่องอาหาร (Single-use) จำนวน 56 กิโลกรัม
- วัสดุรีไซเคิล : ขวดพลาสติก ขวดแก้ว กระป๋องอลูมิเนียม  จำนวน 145 กิโลกรัม
- ขยะอินทรีย์ : เป็นการจัดเก็บกิ่งไม้ขนาดต่าง ๆ ที่ลอยมาที่หาด  นำมาจัดการให้เรียบร้อยที่ภายในเกาะไข่ เพื่อความสะอาดของพื้นที่หน้าหาด

สำหรับวัสดุรีไซเคิลที่คัดแยกได้ จะนำขนส่งมารวมกับที่ชุมชน ต.พรุใน จัดเก็บเพื่อนำไปส่งสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป
ในส่วนของขยะในแนวปะการัง มีขยะประเภทต่าง ๆ ที่เก็บได้ ดังนี้
- เครื่องมือประมง(อวน) จำนวน 350 กิโลกรัม
- ประเภท เชือก ยางรถจักรยานยนต์ ถุงพลาสติก ท่อน้ำ จำนวน 100 กิโลกรัม 
- ประเภทและอื่น ๆ เช่น ขวดเครื่องดื่ม กระสอบ และเหล็ก จำนวน 50 กิโลกรัม

รวมพลคนชื่อ ‘โจ้’

สนั่นโลกโซเชี่ยลตอนนี้ คงหนีไม่พ้น ‘ผกก.โจ้’ หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนพล หนึ่งในผู้ร่วมลงมือนำถุงคลุมศีรษะผู้ต้องหาจนถึงแก่ความตาย ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีอย่างเร่งด่วน

ไหน ๆ ‘ชื่อโจ้’ ก็เต็มหน้าฟีดซะขนาดนี้ THE STATES TIMES เลยไปรวบรวมบรรดา ‘คนชื่อโจ้’ ในแวดวงการอื่น ๆ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า แต่ละคน ดัง ๆ ทั้งนั้น!!


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"ยามา" (Llama) อาจเป็นฮีโร่ช่วยมนุษยชาติสู้โควิด หลังนักวิจัยพบแอนติบอดีของตัวยามา สามารถบั่นทอนเชื้อโควิด-19 ในการทดลองในห้องปฏิบัติการของสตาร์ทอัพในเบลเยียม

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน แอนติบอดีของตัวยามา (Llama) สัตว์จากอเมริกาใต้ อาจมีบทบาทในการต่อสู้กับโควิด-19 ทั่วโลกในไม่ช้า หากการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการโดยสตาร์ทอัปด้านชีวการแพทย์ของเบลเยียมนั้นประสบความสำเร็จในที่สุด

นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์ VIB-UGent ในเมืองเกนต์ กล่าวว่า แอนติบอดีที่สกัดจากตัวยามาชื่อวินเทอร์ ได้ลดทอนความรุนแรงของการติดเชื้อโคโรโนาไวรัสรวมถึงสายพันธุ์ต่าง ๆ ในการทดสอบในห้องปฏิบัติการ

ดอมินีค เตร์ซาโก (Dominique Tersago) หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของบริษัท Spin-off ExeVir ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ VIB-UGent กล่าวว่าเทคโนโลยีนี้ถือเป็น "ตัวพลิกสถานการณ์ ในอนาคตเลยทีดียว โดยมันจะเป็นตัวเสริมไม่ใช่เข้ามาแทนที่วัคซีนโดยการปกป้องผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและการรักษาผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาล

แอนติบอดีของยามาที่มีขนาดเล็กผิดปกติสามารถจับกับส่วนที่เฉพาะเจาะจงของโปรตีนหนาม (Spike) ของไวรัส และ "ในขณะนี้เราไม่เห็นการกลายพันธุ์ที่มีความถี่สูงโดยรอบที่เชื้อเกาะเข้ากับโปรตีนหนาม" ดอมินีคกล่าว

แอนติบอดียังแสดง "ฤทธิ์เป็นกลางที่แข็งแกร่ง" กับสายพันธุ์เดลตาที่ติดเชื้อได้สูง เธอกล่าวเสริม

นักวิจัยคาดว่าการทดลองทางคลินิกในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีซึ่งเริ่มต้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยร่วมมือกับ UCB บริษัทยาของเบลเยียม ร่วมกับผู้ป่วยในโรงพยาบาล คาดว่าจะได้ผลเช่นเดียวกัน

ซาเวียร์ แซลองส์ (Xavier Saelens) หัวหน้ากลุ่ม VIB-UGent กล่าวว่า เจ้าวินเทอร์ยังผลิตแอนติบอดีแบบธรรมดาที่มีขนาดเล็กกว่า เสถียรกว่า สืบพันธุ์ได้ง่ายกว่า และมีความหลากหลายมากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเหมือนกันยามาตัวอื่น ๆ และสัตว์ในตระกูลอูฐ

“ขนาดที่เล็กของมัน… ช่วยให้พวกมันไปถึงเป้าหมาย เข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของไวรัสที่ยากต่อการเข้าถึงด้วยแอนติบอดี้แบบเดิม” เขากล่าว

การค้นหาการรักษาโควิด-19 นี้ดำเนินตามผลการศึกษาในปี 2559 เกี่ยวกับแอนติบอดีของยามาเพื่อต่อต้านโรคซาร์สและเมอร์ส บริษัท Sanofi ของฝรั่งเศสจ่ายเงิน 3.9 พันล้านยูโรให้กับ Ablynx ซึ่งเป็นบริษัททางการแพทย์ในเมืองเกนต์ที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยแอนติบอดียามาในปี 2561

ในขณะเดียวกัน วินเทอร์ซึ่งตอนนี้สามารถนำแอนติบอดี้ของมันมาผลิตซ้ำได้ในห้องแล็บ กำลังเพลิดเพลินกับการเกษียณอายุในอุทยานศิลปะและสวนสัตว์ส่วนตัวในเมืองเกนต์


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/661467

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/llama-antibodies-blunt-covid-variants-lab-trial-says-belgian-start-up-2021-08-24/


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก' (สกพอ.) รวมพลังกลุ่ม 'สตรี อีอีซี' ฉะเชิงเทรา ร่วมแรงร่วมใจผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19

วันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 นางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ รองเลขาธิการ สกพอ. ร่วมกับ เครือข่าย สตรีอีอีซี ฉะเชิงเทรา และ อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน จังหวัดฉะเชิงเทรา (ทสม.) มอบถุงยังชีพจำนวน 200 ถุง เพื่อมอบให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา ในพื้นที่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอคลองเขื่อน อำเภอราชสาส์น อำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอสนามชัยเขต และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งกำลังแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก

โดยภายในถุงประกอบด้วยสิ่งของที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง ยาสามัญ และเมล็ดพันธ์ ในการกิจกรรมครั้งนี้ได้มีผู้ประกอบการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมบริจาคน้ำดื่มจำนวน 2,400 ขวด ร่วมส่งกำลังใจให้ประชาชนในพื้นที่อีอีซี ได้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน โดยมี เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี เครือข่าย ทสม. ในพื้นที่ เป็นผู้นำไปมอบให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่อไป

"ผู้กำกับหนุ่ย พรรคกล้า" ชี้ ใช้กำลังประทุษร้าย ให้ผู้ต้องหารับสารภาพ เป็นวิธีผิดกฎหมาย สะเทือนใจหลังเห็นคลิปทรมานผู้ต้องหาว่อนเน็ต ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายของ สตช. ย้ำทุกองค์กรมีทั้งคนดี-คนไม่ดี 

พ.ต.อ.ทศพล โชติคุตร์ ผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง จ.ชุมพร พรรคกล้า ในฐานะอดีตผู้กำกับฝ่ายอำนวยการกองบังคับการตำรวจนครบาล 7 โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊กส่วนตัว กรณีออกหมายจับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ กับพวก ข้อหาร่วมกันฆ่าโดยเจตนาว่า 

"ทุกองค์กร มีทั้งคนดีและคนไม่ดี 

ผกก.นายหนึ่ง อนาคตไกล สังกัด บช.ภ.6 จับกุมผู้ต้องหาแล้วสอบปากคำด้วยการคลุมถุงดำจนเป็นเหตุให้ ผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย 

จะอย่างไรก็แล้วแต่ผมต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยนะครับ 

ส่วนเรื่องทางคดี...ก็ปล่อยให้เป็นไปตามขบวนการยุติธรรม ซึ่งปรากฎตามคลิปที่แชร์กันในโซเชียล 

แต่การครอบถุงดำ...เพื่อให้ผู้ต้องหารับสารภาพ หรืออยากรู้ข้อเท็จจริงบางอย่างในการจับกุมยาเสพติด ไม่ว่าจะขยายผล หรือ เพื่อหาที่ซุกซ่อนยาเสพติดที่ยังเหลืออยู่อีก โดยใช้กำลังประทุษร้ายเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมาย       

และปรากฏคลิปประกอบด้วยตามที่เห็นกัน เป็นที่สะเทือนจิตใจ ของประชาชนเป็นอย่างมาก ขอให้วิธีการแบบนี้ เป็นคดีสุดท้ายของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินะครับ 

#จากใจผู้กำกับหนุ่ยซึ่งเคยเป็นนักสืบเก่า #อดีตสารสืบสวนและรองผู้กำกับสืบสวน"


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"ผู้กำกับหนุ่ย" ชี้ ใช้กำลังประทุษร้าย ให้ผู้ต้องหารับสารภาพ เป็นวิธีผิดกฎหมาย ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายของ สตช. ย้ำทุกองค์กรมีทั้งคนดี-คนไม่ดี 

พ.ต.อ.ทศพล โชติคุตร์ ผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง จ.ชุมพร พรรคกล้า ในฐานะอดีตผู้กำกับฝ่ายอำนวยการกองบังคับการตำรวจนครบาล 7 โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊กส่วนตัว กรณีออกหมายจับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ กับพวก ข้อหาร่วมกันฆ่าโดยเจตนาว่า 

"ทุกองค์กร มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ผกก.นายหนึ่ง อนาคตไกล สังกัด บช.ภ.6  จับกุมผู้ต้องหาแล้วสอบปากคำด้วยการคลุมถุงดำจนเป็นเหตุให้ ผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย จะอย่างไรก็แล้วแต่ผมต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยนะครับ ส่วนเรื่องทางคดี...ก็ปล่อยให้เป็นไปตามขบวนการยุติธรรม  ซึ่งปรากฎตามคลิปที่แชร์กันในโซเชียล แต่การครอบถุงดำ...เพื่อให้ผู้ต้องหารับสารภาพ หรืออยากรู้ข้อเท็จจริงบางอย่างในการจับกุมยาเสพติด ไม่ว่าจะขยายผล หรือ เพื่อหาที่ซุกซ่อนยาเสพติดที่ยังเหลืออยู่อีก โดยใช้กำลังประทุษร้ายเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายและปรากฏคลิปประกอบด้วยตามที่เห็นกัน เป็นที่สะเทือนจิตใจ ของประชาชนเป็นอย่างมาก ขอให้วิธีการแบบนี้ เป็นคดีสุดท้ายของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินะครับ "

#จากใจผู้กำกับหนุ่ยซึ่งเคยเป็นนักสืบเก่า 
#อดีตสารสืบสวนและรองผู้กำกับสืบสวน

ชะลอรวยเศรษฐีจีน!! 'สีจิ้นผิง' เดินหน้า 'ควบคุมคนรวย' หวั่น!! เหลื่อมล้ำสังคมจีน ใต้นโยบาย 'มั่งคั่งร่วมกัน' | Knowledge Times EP.13

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
 ???? ชะลอรวยเศรษฐีจีน!! 'สีจิ้นผิง' เดินหน้า 'ควบคุมคนรวย' หวั่น!! เหลื่อมล้ำสังคมจีน ใต้นโยบาย 'มั่งคั่งร่วมกัน'

สัญญาณเตือนคนรวยในจีนจาก “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน เกิดขึ้นเมื่อผู้นำจีนเตรียม “เบรกรายได้ที่มากเกินไปของคนรวยในประเทศ” เพื่อคอยเตือนชนชั้นสูงของประเทศเหล่านี้ว่า พวกคุณกำลังสร้างความไม่เท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในสังคม

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม “สี จิ้นผิง” กล่าวในการประชุมคณะกรรมการการเงินและเศรษฐกิจกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า รัฐบาลจะสร้างระบบ เพื่อกระจายความมั่งคั่ง จากคนร่ำรวยในประเทศไปสู่ทุกชนชั้น เพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคม โดยรัฐบาลจำเป็นต้องควบคุมรายได้ที่สูงเกินไปอย่างสมเหตุสมผล และกระตุ้นให้ผู้ที่มีรายได้สูงและบริษัทต่าง ๆ รู้จักตอบแทนสังคมให้มากขึ้น

เรื่องนี้ถูกพูดถึงภายใต้นโยบายที่เรียกว่า “มั่งคั่งร่วมกัน” ของจีน หลังจากมีรายงานความไม่พอใจภายในคณะกรรมการกลางของพรรคฯ เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีหน้าใหม่ ในหลายภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่เทคโนโลยีไปจนถึงการศึกษา

ทันทีที่แนวนโยบายดังกล่าวถูกพูดถึง บริษัทเกมและโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Tencent ที่มีการรายงานผลกำไรไตรมาสสองเพิ่มขึ้น ได้กล่าวว่า จะขยายส่วนงานคืนกำไรให้สังคมมากขึ้น โดย “โพนี หม่า” ผู้บริหารระดับสูงของ Tencent กล่าวว่า “บริษัทอยู่ในธุรกิจเพื่อช่วยเหลือสังคมในวงกว้าง ซึ่งเราจะปรับใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญของบริษัทในการช่วยธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง บริการสาธารณะ และองค์กรต่าง ๆ มากขึ้น”

ทั้งนี้หากย้อนไปในเดือน พฤศจิกายน 2020 หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของจีน ที่ดูแลไม่ให้เกิดการผูกขาดธุรกิจพยายามขัดขวางไม่ให้ บริษัท เทคโนโลยี Ant ซึ่งถือหุ้น 33% โดย Alibaba ได้ทำธุรกิจในเซี่ยงไฮ้และฮ่องกง จาก “แจ็ก หม่า” หนึ่งในนักธุรกิจจีนที่ร่ำรวยอย่างมากรายหนึ่งของโลก และมีรายงานว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามที่จะเข้าไปควบคุมเหล่าผู้นำบริษัทที่เป็นมหาเศรษฐีเกือบทุกสัปดาห์ เพราะธุรกิจเหล่านี้ กำลังนำวิถีทางแห่งจีนออกนอกกรอบ และนำความคิดทุนนิยมแบบตะวันตกเข้ามาครอบงำคนในประเทศ

ทั้งนี้ ภาคเอกชนและความมั่งคั่งของประเทศจีน ถือว่าเติบโตไว โดยในปี 2019 จำนวนมหาเศรษฐีชาวจีนสามารถแซงหน้าชาวอเมริกันได้เป็นครั้งแรก 

ตามรายงานของ Hurun Global Rich List 2021 ที่เผยแพร่ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ชี้ว่าจีนแซงหน้าสหรัฐฯ ด้วยการเป็นประเทศแรกของโลกที่มีมหาเศรษฐีพันล้านมากกว่า 1,000 คน โดยในปี 2020 จีนมีมหาเศรษฐีพันล้าน 1,058 คน ขณะที่สหรัฐฯ มี 696 คน และจากจำนวนมหาเศรษฐีหน้าใหม่ทั้งหมด 610 คนจากทั่วโลกนั้นมาจากประเทศจีนถึง 318 คน และจำนวนเศรษฐีเงินล้านในจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 92.7% คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 10.17 ล้านคนภายในปี 2025

จากตัวเลขอาจจะดูเป็นเรื่องดี แต่สำหรับผู้นำจีนแล้ว นี่เป็นจุดเริ่มต้นถึงการสะท้อนช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน หรือ คนชนบทและคนเมืองในจีนที่มากขึ้น จนเป็นชนวนเหตให้ผู้นำจีนกล่าวว่า "เป็นสิ่งที่ต้องการแก้ไข" เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อเกิดรายได้ เกิดความร่ำรวย เกิดเศรษฐี ความฟุ้งเฟ้อและความอยากได้อยากมี ที่เป็นสิ่งสวนทางกับความอดออมตามหลักดำเนินชีวิตของวิถีชาวจีนก็จะค่อย ๆ หายไป

อย่างไรก็ดี สื่อไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่า “สี จิ้นผิง” จะบรรลุเป้าหมาย “มั่งคั่งร่วมกัน” นี้ด้วยวิธีการเช่นไร เพียงแต่ระบุว่ารัฐบาล อาจนำระบบภาษี หรือวิธีอื่นมาใช้เพื่อกระจายรายได้ และความมั่งคั่งให้เกิดแก่ทุกชนชั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องตามติดกันต่อไป

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ขอนแก่นเดินหน้าปลูกฟ้าทะลายโจร สมุนไพรพื้นบ้านต้านภัยโควิด ผนึกพลังชุมชนปลูกทุกพื้นที่ นายอำเภอพระยืน ระบุ มุ่งสู่เมืองแห่งสมุนไพรไทย ที่ผลิตได้แบบครบวงจรตามความต้องการของตลาดคนรักษ์สุขภาพ

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 24 ส.ค. 64  ที่ บ.ดงกลาง ต.บ้านโต้น อ.พระยืน จ.ขอนแก่น นายชินกร แก่นคง นายอำเภอพระยืน นำคณะเกษตรจังหวัด, เกษตรอำเภอ รวมทั้งผู้นำชุมชนในพื้นที่ ต.บ้านโต้น ร่วมกันปลูกต้นฟ้าทะลายโจร ซึ่งสำนักงานเกษตร อ.พระยืน ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ได้กำหนดจัดกิจกรรมขึ้น โดยมีเกษตรกรในเขตพื้นที่ บ.ดงกลาง เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง

นายชินกร แก่นคง นายอำเภอพระยืน กล่าวว่า ฟ้าทลายโจร พืชสมุนไพร ที่ขณะนี้ได้ถูกจัดให้เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย ที่สามารถใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ตามที่แพทย์กำหนด ทำให้ขณะนี้กระแสสมุนไพรไทย โดยเฉพาะฟ้าทะลายโจร รวมไปถึง ขิง, ขมิ้น, ข่า, ตระไคร้, ใบมะกรูด และกระชาย เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ดังนั้นการที่ ชาวอ.พระยืน ได้พร้อมใจกันปลูกฟ้าทลายโจรโดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานเกษตร จ.ขอนแก่น สนับสนุนต้นกล้าฟ้าทะลายโจรมาให้กับชุมชน บ.ดงกลาง แห่งนี้ได้ทำการปลูกเพื่อสร้างเกษตรแปลงใหญ่ในกลุ่มสมุนไพรไทยให้เกิดขึ้นในพื้นที่

“บ.ดงกลาง เป็นที่ตั้งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ต.บ้านโต้น ที่มีชื่อเสียงในการผลิตผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย ดูได้จากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น ฟ้าทะลายโจรแคปซูล หรือชาฟ้าทลายโจร รวมไปถึงน้ำต้มสมุนไพรสูตรต่าง ๆ ที่แพทย์แผนไทยกำหนด ได้รับความนิยมและยอดการสั่งซื้อในจำนวนทีเพิ่มขึ้น เกษตรกรที่เดิมกำหนดกำลังการผลิตตามคามต้องการของตลาดที่คาดการณ์ไว้แต่วันนี้ยอดการสั่งซื้อมีมากขึ้นทุกวันและยังคงมีการผลิตฟ้าทะลายโจรแคปซูล และ ชาฟ้าทะลายโจร รวมไปถึงกลุ่มสมุนไพรต้านไวรัสที่ถูกนำมาแปรรูปในประเภทต่าง ๆ ที่ยังคงมีการยอดของการสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน”

นายอำเภอพระยืน กล่าวต่ออีกว่า การที่คนพระยืน พร้อมใจกัน สร้างพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ ในกลุ่มสมุนไพรพื้นบ้านที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยที่ บ.ดงกลาง เป็นพื้นที่หลักของการปลูกสมุนไพรพื้นบ้านนานาชนิด ซึ่งจากนี้ไปเมื่อผลผลิตเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวตามแนวทางการปลูกที่สำนักงานเกษตร อ.พระยืนกำหนด เกษตรกรโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโต้น จะทำการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่มีการบริหารจัดการสมุนไพรไทยพื้นบ้าน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ยกระดับสมุนไพรไทยประจำถิ่นสู่ตลาดสมุนไพรไทยในกลุ่มคนรักษ์สุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนไทยในระดับภูมิภาคที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสภากาชาดไทย จัดพิธีลงนามความร่วมมือ “เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED)” สนับสนุนภารกิจช่วยเหลือประชาชนในภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการบริจาคเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ร่วมกับสภากาชาดไทย จากการทำกิจกรรมตามโครงการ “วิ่งกระตุกหัวใจ 125 ปี สภากาชาดไทย” และกิจกรรม “กระตุกหัวใจ Virtual Run 2,000,000 km” เพื่อจัดซื้อเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) สนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 262 เครื่อง

พล.ต.ต. ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล / โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยข้อมูลว่า ในวันพุธ ที่ 25 ส.ค. 64 เวลา 13.20 น. ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.อ.สุบิน  ชิวปรีชา กรมวังผู้ใหญ่ในพระองค์ฯ พร้อมด้วย นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย, พล.ต.อ.ปิยะ  อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, นางสุทธารักษ์  ปัญญา ผู้อำนวยการสำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย, พล.ต.ท.ภัคพงศ์  พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการบริจาคเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ระหว่างสภากาชาดไทย กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นผู้แทนลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ

ซึ่งการลงนามความร่วมมือ ดังกล่าว เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภากาชาดไทยที่จัดหารายได้เพื่อซื้อเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิต กู้ชีวิตประชาชนที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ซึ่งนำรายได้จากการจัดกิจกรรมโครงการ “วิ่งกระตุกหัวใจ 125 ปี สภากาชาดไทย” และกิจกรรม “กระตุกหัวใจ Virtual Run 2,000,000 km” เพื่อบริจาคให้กับกระทรวงสาธารณสุข ไว้ใช้ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,100 เครื่อง และมอบให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 262 เครื่อง เพื่อติดตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ สำหรับในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้รับผิดชอบดูแล

โดยได้มีการจัดแบ่งจุดต่าง ๆ เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ ดังนี้

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จำนวน 27 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 9 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 18 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 25 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 14 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 จำนวน 26 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 15 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 จำนวน 19 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ  8 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 11 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล  5 จำนวน 54 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 9 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 45 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 จำนวน 38 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 8 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 30 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล  7 จำนวน  25 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 14 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล  8 จำนวน  25 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 14 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 จำนวน  23  จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 10 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 13 จุด

‘นฤมล’ ไฟเขียว ขับเคลื่อน 2 อุตสากรรมฯ “หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม-การบินและโลจิสติกส์” เร่งผลิตแรงงานป้อนเป้าหมาย S-Curve

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมายเอสเคิร์ฟ ครั้งที่ 4/2564 ผ่านระบบ Video Conference  เพื่อติดตามผลการดำเนินงาน และพิจารณาแผนพัฒนาแรงงานและประสานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (พ.ศ.2565 – 2570) ประกอบด้วยอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์  โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน / นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล รองปลัดกระทรวงแรงงาน / นางสาวจิราภรณ์  ปุญญฤทธิ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เข้าร่วมประชุม และนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำหน้าที่เลขานุการ ณ ห้องประชุมสมชาติ เลขาลาวัณย์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ของ 2 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้ผ่านการ Workshops สำรวจความต้องการ และประชุมหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว อุตสาหกรรมแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม ประกอบด้วย กลุ่มผู้ผลิตหุ่นยนต์ กลุ่มผู้ใช้หุ่นยนต์ กลุ่มนักบูรณาการระบบ และกลุ่มผู้สร้างเครื่องจักรกลอัตโนมัติ  ส่วนอุตสาหกรรมที่สอง ได้แก่ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ ประกอบด้วย ด้านบริการลูกค้า ด้านการวิเคราะห์และวางแผน ด้านคลังสินค้าและการกระจายสินค้า ด้านการจัดซื้อและจัดหา ด้านเทคโนโลยีโลจิสติกส์ และด้านการขนส่ง โดยจะได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานที่ดำเนินการด้าน New Skills / Up Skills / Re Skills ตลอดจนหน่วยฝึกอบรม เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อแรงงานได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบกับแผนพัฒนาแรงงานฯ ดังกล่าว และได้เสนอให้นำข้อสังเกตบางประการจากคณะอนุกรรมการฯ ไปปรับปรุงข้อมูล เพื่อให้มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์ต่อการดำเนินงานตามแผนให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังได้เสนอให้มีการทบทวนข้อมูลจำนวนความต้องการแรงงานในแต่ละปีจากส่วนงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานต่อไป

“แม้ว่าสถานการณ์ของโควิด-19 จะยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง แต่แรงงานก็ยังคงต้องได้รับการพัฒนา เพื่อยกระดับฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มีทักษะที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และมีโอกาสในการประกอบอาชีพได้ทันทีตามความต้องการของตลาดแรงงาน” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top