Wednesday, 2 July 2025
NEWS FEED

‘รมว.อุตสาหกรรม’ เผยภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ในเดือนธันวาคม 2563 ขยายตัว 6.68% เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 12 เดือน คาดแนวโน้มเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดทำดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) โดยภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหักทองคำในเดือนธันวาคม 2563 ขยายตัวร้อยละ 6.68 โดยเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 12 เดือน

ขณะที่การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปหักทองคำขยายตัวร้อยละ 13.61 สูงสุดในรอบ 26 เดือน สะท้อนสัญญาณที่ดีต่อแนวโน้มการผลิตในระยะต่อไป

โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนธันวาคม 2563 หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 2.44 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการควบคุมการระบาด เนื่องจากระบบการสาธารณสุขของไทยมีความสามารถในการป้องกันและควบคุมโรคได้ดี

ประกอบกับประชาชนมีความรู้และมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ในเบื้องต้น รวมทั้งผู้ประกอบการก็มีระบบการจัดการแก้ปัญหาจากโควิด-19 รอบแรก จึงส่งผลให้เศรษฐกิจอุตสาหกรรมชะลอตัวลงเพียงเล็กน้อย

โดยสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงขยายตัวตามอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถุงมือยาง เภสัชภัณฑ์ และอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น

ประกอบกับในเดือนกุมภาพันธ์ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในล็อตแรก และต่างประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีนเช่นเดียวกัน จะสร้างความเชื่อมั่นทั้งในการผลิตและการบริโภคตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น นายสุริยะ กล่าว

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และอยู่ในหลักแสนคันเป็นเดือนแรก

เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งมีการออกรถยนต์รุ่นใหม่และการส่งเสริมการขายในงานมหกรรมยานยนต์เมื่อวันที่ 1 - 13 ธันวาคม 2563 โดยมียอดจองรถยนต์กว่า 33,000 คัน และการผลิตเป็นไปตามเป้าของปี 2563 จำนวน 1.4 ล้านคัน ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์มีคำสั่งซื้อเพิ่มตาม

นอกจากนี้อุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับการป้องกันโควิด-19 ยังขยายตัวตามอุปสงค์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 13.61 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงที่สุดในรอบ 26 เดือน สะท้อนถึงสัญญาณที่ดีต่อแนวโน้มการผลิตในระยะต่อไป

นายทองชัย กล่าวต่อว่า นโยบายของภาครัฐสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี อาทิ โครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อีกทั้งในเดือนกุมภาพันธ์รัฐบาลได้อนุมัติโครงการเราชนะ จะส่งผลให้การบริโภคของภาคครัวเรือนและการผลิตของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ดีขึ้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง และเมื่อประเทศไทยเริ่มมีการฉีดวัคซีนได้ผลและมีประสิทธิภาพ คาดว่าการส่งออกรวมถึงการท่องเที่ยวที่เป็นกลจักรสำคัญของประเทศกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ

โดยอุตสาหกรรมหลักที่ยังคงขยายตัวดีในเดือนธันวาคม 2563 ได้แก่ ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.03 เนื่องจากตามความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์

ชิ้นส่วนอุปกรณ์โทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์ รถยนต์ และเครื่องยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.49 จากรถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และเครื่องยนต์ดีเซล จากตลาดในประเทศที่ปรับตัวได้ดีขึ้นจากการจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2020 ช่วงต้นเดือนธันวาคม ผู้ผลิตออกรถยนต์รุ่นใหม่และจัดแคมเปญพิเศษทำให้มีคำสั่งซื้อและส่งมอบเพิ่มขึ้น เกษตรกรมีกำลังซื้อจากสินค้าเกษตรปรับตัวสูง รวมทั้งการขยายตัวของธุรกิจขนส่งจากการเติบโตของตลาดออนไลน์

ยางรถยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16.80 จากยางนอกรถยนต์นั่ง ยางนอกรถกระบะ และยางนอกรถบรรทุกรถโดยสาร เนื่องจากผู้ผลิตบางรายได้รับคำสั่งผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากไทยมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าประเทศอื่น การขยายสาขาศูนย์ยางรถยนต์ใหม่และอานิสงค์จากงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2020 ทำให้ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น

เฟอร์นิเจอร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.50 จากเครื่องเรือนทำด้วยไม้ เป็นหลัก เป็นคำสั่งซื้อพิเศษจากอเมริกาเพื่อจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า

เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.30 จากเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เหล็กแผ่นเคลือบโครเมี่ยม เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก เหล็กลวดและลวดเหล็ก เป็นหลัก ตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยานยนต์ อาหารกระป๋อง เครื่องใช้ไฟฟ้า

28 มกราคม พ.ศ. 2529 ย้อนรำลึก เหตุการณ์สำคัญ เมื่อ ‘ยานชาเลนเจอร์’ ขององค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา เกิดระเบิด หลังขึ้นสู่ฟ้าเพียงนาทีเศษ ส่งผลให้นักบินอวกาศทั้งหมดเสียชีวิต นับเป็นอุบัติเหตุครั้งสำคัญของหน่วยงานอวกาศของประเทศสหรัฐอเมริกา

อาจมีหลายเหตุการณ์สำคัญบนโลกนี้ที่เคยเกิดขึ้นมา แล้วเวลาก็ทำให้หลายคนลืมเลือนมันไป แต่สำหรับเหตุการณ์นี้ เชื่อว่า ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนมากมาย วันนี้เมื่อ 35 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์ช็อคโลก เมื่อกระสวยอวกาศนามว่า ‘ชาเลนเจอร์’ เกิดระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า หลังจากที่เพิ่งถูกปลอยขึ้นไปได้ไม่นาน

ย้อนกลับไปยังที่มาของ ‘ยานชาเลนเจอร์’ เป็นกระสวยอวกาศขององค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีภารกิจหลักในการขึ้นไปสำรวจอวกาศ โดยก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุครั้งสำคัญ ยานชาเลนเจอร์เคยถูกนำขึ้นบินไปในอวกาศมาแล้ว 9 ครั้ง กระทั่งในครั้งที่ 10 หลังจากที่มันถูกปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางผู้คนหลายล้านคนที่มีโอกาสได้ชมผ่านหน้าจอโทรทัศน์ เพียง 73 วินาทีเท่านั้น ยานทั้งลำก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด

ผลจากอุบัติเหตุ ทำให้นักบินอวกาศเสียชีวิตไป 7 คน หนึ่งในนั้นคือ คริสตินา แมคคอลิฟ อดีตครูประถมที่ฝันว่าสักวันเธอจะได้มาเป็นนักบินอวกาศ แม้เธอจะมาถึยังงฝั่งฝันจริง แต่น่าเสียดายที่ต้องมาจบชีวิตลงอย่างกระทันหัน

ภายหลังมีผลของอุบัติเหตุออกมา ต้นตอเกิดจากชิ้นยางวงแหวนที่ใช้ปิดกั้นแก๊สระหว่างรอยต่อในจรวด ขาดประสิทธิภาพในการยืดหยุ่น เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็น จึงส่งผลให้เกิดแก๊สรั่วออกมากระทบกับถังเชื้อเพลิงที่ติดคั่นไว้ระหว่างจรวดขับดันทั้งสองข้าง ในที่สุดจึงเกิดการระเบิดฉีกตัวยานและจรวดออกเป็นชิ้นๆ

โศกนาฏกรรมยานชาเลนเจอร์ นับเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดที่เกิดกับโครงการขนส่งอวกาศของสหรัฐฯ และทำให้สหรัฐฯ หยุดโครงการขนส่งอวกาศไปนานเกือบ 3 ปี ถึงแม้วันนี้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้วกว่า 35 ปี แต่ความสูญเสียในหนนั้น ก็ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนตลอดมา

'บิ๊กตู่' ยันคนไทยได้ฉีดวัคซีนโควิดฟรี ล็อตแรก 50,000 โดส พร้อมฉีดให้บุคลากรสาธารณสุข - เจ้าหน้าที่ด่านหน้าพื้นที่เสี่ยง 14 ก.พ.นี้ จากนั้นจะทยอยฉีดให้คนไทยระยะแรกตามกลุ่มเป้าหมาย 19 ล้านคน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ออกรายการผ่านแอพพลิเคชั่นพอดแคสต์ไทยคู่ฟ้า ถึงความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ว่า เรื่องวัคซีนตนคิดว่าหลายคนเป็นห่วงและมีความกังวล และมีคำถามมาว่าจะฉีดเมื่อไหร่ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลยืนยันว่าคนไทยทุกคนที่ต้องการฉีดจะได้รับการฉีดฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ยกเว้นเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีและสตรีมีครรภ์ ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพของวัคซีน เพราะเรายังคงคำนึงเรื่องความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน ซึ่งวัคซีนที่เข้ามาจะต้องผ่านการรับรองขององค์การอาหารและยา (อย.)

โดยระยะแรกรัฐบาลได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ประมาณ 19 ล้านคน ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า 1.7 ล้านคน, ผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่นโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน 6.1 ล้านคน, ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 11 ล้านคน และเจ้าหน้าที่ควบคุมโควิดและมีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วย

วัคซีนล็อตแรก 5 หมื่นโดสก็จะเข้ามาในเร็วๆ นี้โดยจะฉีดให้กับบุคลากรสาธารณสุข ตำรวจทหาร เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ตั้งแต่ 14 ก.พ. 2564 นี้ เป็นต้นไป ส่วนระยะที่ 2 จะเริ่มประมาณเดือน พ.ค. 2564 ขึ้นอยู่กับวัคซีนจะทยอยเข้ามาได้มากน้อยเพียงใด

โดยในส่วนนี้จะครอบคลุมประชาชนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงลำดับถัดไป โดยกลุ่มเป้าหมายอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การแพร่ระบาดและประสิทธิภาพของวัคซีน รวมทั้งจำนวนวัคซีนที่หาได้ โดยขอย้ำว่ารัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่างให้ดีที่สุดและต่อไปประเทศไทยก็จะเป็นฐานผลิตวัคซีนของอาเซียน โดยจะดำเนินการตามแผนจะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศตามที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเพียงพอกับความต้องการของคนไทยทั้งประเทศทั้งนี้ต้องการให้ฉีด มากเพียงพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันร่วมในประเทศไทย

“วันนี้เราต้องอดทนไปสักระยะหนึ่ง ตนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ในระหว่างนี้เราจะต้องระมัดระวัง อดทนอดกลั้น ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลที่ออกไป ถ้าเราไม่ร่วมมือในวันนี้ เราโทษกันไปกันมา ก็ไม่เกิดการแก้ปัญหาอย่างครบวงจร และขอโทษหากไม่ทันใจ แต่ตนก็พยายามเร่งรัดที่สุดแล้ว ในทุกๆมิติและทุกเรื่อง วันนี้ขอให้ทุกคนมีความสุขปลอดภัยในช่วงนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ม็อบชาวนากลุ่มใหญ่ จัดขบวนแห่รถแทร็กเตอร์กว่า 50,000 คัน ออกมาแย่งซีนงานวันชาติอินเดีย ประท้วงกฎหมายปฏิรูปเกษตร ยืนยันปักหลักประท้วงจนกว่ารัฐบาลจะทำตามข้อเรียกร้อง พร้อมอยู่ยาวได้เป็นปี ไม่ได้ ไม่กลับบ้าน!

เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมาเป็นวันชาติของอินเดีย ที่จะมีพิธีฉลอง และขบวนแห่สวนสนามของกองทัพอินเดียอย่างยิ่งใหญ่ ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของงาน เพื่อเป็นการฉลองวันคล้ายวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการในปี 1950 และจัดต่อเนื่องมาทุกปี

แต่เนื่องจากปีนี้ อินเดียยังติดสถานการณ์ Covid-19 จึงทำให้ต้องจัดพิธีฉลองอย่างรวบรัด แต่นอกเหนือจากเหตุผลด้านโรคระบาดแล้ว ยังมีม็อบชาวนากลุ่มใหญ่ ที่จัดขบวนแห่รถแทร็กเตอร์กว่า 50,000 คันออกมาแย่งซีนงานของรัฐบาล และเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในบางจุดด้วย ทำให้มีผู้ประท้วงเสียชีวิต 1 ราย โดยทางการอินเดียแถลงว่าเกิดจากอุบัติเหตุรถแทร็กเตอร์คว่ำ แต่กลุ่มผู้ประท้วงกลับยืนยันว่าผู้เสียชีวิตถูกยิง

การประท้วงของม็อบชาวนาในกรุงนิวเดลี เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2020 ยังคงตึงเครียด และถือเป็นการประท้วงครั้งใหญ่และยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งของอินเดีย

ชนวนสาเหตุที่ทำให้เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีผู้ประท้วงมาปักหลักยึดถนนไฮเวย์สายหลักในกรุงนิวเดลีมากกว่าแสนคน เกิดจากร่างกฎหมายปฏิรูปการเกษตรใหม่ถึง 3 ฉบับของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ เพิ่งดันผ่านสภาเมื่อเดือนกันยายน 2020 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงจากฝ่ายค้านในสภา และจากเกษตรกรอินเดียจำนวนมากทั่วประเทศ

ก่อนที่จะมีร่างกฎหมายปฏิรูปการเกษตรฉบับใหม่นี้ รัฐบาลอินเดียได้จัดระบบการซื้อขายสินค้าเกษตรในตลาดกลาง ที่เรียกว่า Mandi โดยรัฐบาลอินเดียจะเป็นผู้ควบคุมการซื้อขาย มีการประกันราคาผลผลิตขั้นต่ำให้ และบริหารโกดังเก็บผลผลิตเอง ซึ่งเป็นระบบตลาดภาคอุตสาหกรรมการเกษตรที่อินเดียใช้มานานตั้งแต่ปี 1960

แต่ร่างกฎหมายปฏิรูปการเกษตรฉบับใหม่นี้ จะให้อิสระแก่เกษตรกร และผู้บริโภคติดต่อกันได้เองโดยตรง จะขายผลผลิตตรงให้กับซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ ขายเองทางออนไลน์ก็ได้ ราคาแล้วแต่จะตกลง ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงราคากลางในระบบตลาด Mandi อีกต่อไป

ฟังดูแล้วเหมือนจะดี แต่ชาวนาอินเดียกลับมองว่าร่างกฏหมายใหม่จะเข้ามาฆ่าระบบการซื้อขายในตลาด Mandi และเป็นการผลักภาระของรัฐบาลอินเดียไม่ต้องเข้ามาประกันราคาพืชผลให้กับเกษตรกรอีกแล้ว ปล่อยให้ระบบการค้าเสรีเข้ามาทำหน้าที่แทน

นอกจากเปิดระบบการค้าเสรีสินค้าเกษตรทั่วประเทศแล้ว ร่างกฏหมายนี้ยังยกเลิกข้อกำหนดในการสต็อคสินค้าเกษตร นั่นคือใครมีโกดังใหญ่ ทุนหนา จะสต็อคสินค้าเท่าไหร่ก็ได้ และยังสนับสนุนให้นายทุนเข้ามาพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา ที่จะบีบให้เกษตรกรอินเดียไม่มีทางเลือก นอกจากปลูกพืชตามใบสั่งของบริษัทใหญ่ และไม่มีระบบประกันราคาที่จะเป็นข้อต่อรองให้กับเกษตรกรในการขายผลผลิตในราคาที่สูงขึ้นได้

และก็เป็นดั่งที่หลายฝ่ายกังวล เพราะตั้งแต่รัฐบาลออกร่างกฏหมายฉบับใหม่มา ราคาผลผลิตการเกษตรก็ตกต่ำลง ที่เป็นผลจากนายทุนเข้าไปกดราคาแลกกับการกว้านซื้อสินค้าล็อตใหญ่ ซึ่งผู้ที่เดือนร้อนก็คือเกษตรกรรายย่อย ที่มีมากถึง 60% ของประชากรทั้งประเทศนั่นเอง

ดังนั้นเกษตรกรชาวอินเดียนับแสน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากรัฐปันจาบ และ รัฐหรยาณา ที่นอกจากจะเป็นรัฐของชาวซิกข์แล้ว ยังเป็นรัฐที่มีภาคการเกษตร และระบบตลาด Mandi ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย เดินทางเข้ากรุงนิวเดลี และยึดเอาถนนไฮเวย์สายหลักถึง 5 เส้นทาง ประท้วงให้รัฐบาลอินเดียยกเลิกร่างกฎหมายใหม่ทั้ง 3 ฉบับทันที ซึ่งการประท้วงปิดถนนเริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020 จนถึงวันนี้ แถมมีการขนเต้นท์ ที่พัก โรงครัว เผื่อไว้แล้วในกรณีที่จำเป็นต้องอยู่ยาว

โดยชาวนาที่มาประท้วงยืนยันว่าจะปักหลักประท้วงจนกว่ารัฐบาลจะทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา และพร้อมอยู่ยาวได้เป็นปี ไม่ได้ ไม่กลับบ้าน

และก็เป็นที่มาของขบวนแห่รถแทร็กเตอร์ประท้วงรัฐบาลเต็มท้องถนนในกรุงเดลีหลายหมื่นคันในวันชาติ ที่ขนาดรถถังยังต้องถอย และทำให้การประท้วงของชาวอินเดียเป็นที่จับตามองมากจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ประท้วงส่วนมากเป็นกลุ่มชาวซิกข์ที่มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคนในอินเดีย และมีชุมชนที่เข้มแข็งมากในต่างแดน โดยเฉพาะในแคนาดา สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ที่เริ่มออกมาร่วมแสดงจุดยืนประท้วงรัฐบาลอินเดียในร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้แล้วเช่นกัน

และกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สั่นคลอนรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ที่มีจุดยืนในแนวคิดชาตินิยมฮินดู และได้ออกร่างกฎหมายใหม่หลายฉบับที่กลายเป็นประเด็นมากมายในอินเดีย เช่น ร่างกฎหมายพลเมืองใหม่ ที่กีดกันกลุ่มชาวมุสลิมไม่ให้ถือสัญชาติอินเดีย จนเกิดการประท้วงใหญ่ในรัฐอุตรประเทศ และอีกหลายเมืองทั่วประเทศมาแล้ว


อ้างอิง

https://www.france24.com/en/asia-pacific/20210126-with-flags-on-india-s-red-fort-farmers-challenge-modi-and-protest-movement-unity

https://scroll.in/latest/983414/farmer-protests-thousands-hold-tractor-rally-call-it-rehearsal-ahead-of-january-26

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-54233080

https://indianexpress.com/article/explained/government-farmer-talks-deadlock-explained-7106698/

https://www.reuters.com/article/india-farms-protests-diaspora/sikh-diaspora-drums-up-global-support-for-farmers-protest-in-india-idINKBN28S0Y6?edition-redirect=uk

กองปราบปราม เข้าชี้แจง คณะกรรมาธิการกฎหมายฯ ระบุเตรียมแจ้งข้อหา ‘น้องชาย - แม่ ธนาธร’ ปมสินบนฮุบที่สำนักทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านการประมูล พร้อมพิจารณาตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมด้วย

คณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เชิญผู้แทนจากกองบังคับการปราบปราม เข้าชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด น้องชาย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ก ให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อต้องการเช่าที่ดินโดยไม่ผ่านการการประมูลตามกระบวนการ จนนำมาสู่การดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯในฐานะผู้รับเงิน

หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมากมธ.ได้เชิญอัยการเข้าชี้แจง และอัยการให้เหตุผลการไม่ฟ้องนายสกุลธร เนื่องจากพนักงานสอบสวนแยกสำนวนออกมาดำเนินคดีเป็นอีกกรณี ซึ่งการชี้แจงในวันนี้ (27 ม.ค.) กองบังคับการปราบปราม โดย พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ เกศะรักษ์ รองผู้บังคับการปราบปราม พ.ต.อ.สัณห์เพชร หนูทอง ผู้กำกับการสอบสวน และพ.ต.ท.หญิง บุญทิวา ลิ้มศิริลักษณ์ สารวัตรสอบสวน เข้าชี้แจง

พ.ต.อ.สัณห์เพชร ชี้แจงเหตุผลที่ต้องแยกสำนวนคดีนายสกุลธร ออกจากคดีของเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯที่กระทำความผิด

ในฐานะผู้รับเรื่องจากกรณีของนายสกุลธร เป็นกรณีในฐานะผู้ให้ที่เป็นคนละข้อกล่าวหา หากรวมสำนวนเดียวกันจะกลายเป็นการซัดทอดผู้ต้องหาทำให้คดีไม่มีน้ำหนักจากคำซัดทอด จำเป็นต้องแยกระหว่างคดีผู้ให้กับผู้รับตามเทคนิคของการทำสำนวน

พร้อมยอมรับว่าเหตุผลที่คดีล่าช้า เนื่องจากไม่มีความชัดเจนว่าคดีนี้เป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือของกองบังคับการปราบปราม แต่เมื่อ ป.ป.ช.วินิจฉัยแล้วว่าเป็นอำนาจของกองบังคับการปราบปราม ทางกองปราบฯก็ได้เรียกผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีนี้มาให้ปากคำ

ยืนยันว่าคดีนี้ทางกองปราบฯ ได้เตรียมออกหมายเรียกนายสกุลธร ให้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว อยู่ระหว่างพิจารณาตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ตามมาตรา 144 ของประมวลกฎหมายอาญาฐาน ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เนื่องจากเป็นคนเดียวที่เซ็นชื่อในเช็คจ่ายเงิน แต่ในการแจ้งข้อหาต้องแจ้งในฐานะนิติบุคคลด้วย ทำให้จะต้องแจ้งข้อหาเพิ่มกับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ

ขณะที่ กมธ.ได้ซักถามถึงประเด็นที่นายสกุลธร อ้างว่าถูกหลอก และเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ ทางพ.ต.อ.สัณห์เพชร ชี้แจงว่ากรณีนี้มีข้อเท็จจริงจากเงินก้อนสุดท้าย จำนวน 10 ล้านบาท ที่จะจ่ายกันหากมีการประชุมโครงการ

แต่เมื่อการประชุมโครงการไม่เกิดขึ้นจริง นายสกุลธรจึงต้องการยกเลิกสัญญากับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯให้คืนเงิน และเมื่อมีการคืนเงินแล้วนายสกุลธรก็ไม่ได้ดำเนินคดี ฐานฉ้อโกงกับเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวแต่อย่างใด

ด้าน พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ ชี้แจงว่า การแจ้งข้อกล่าวครั้งนี้ แม้นายสกุลธรจะอ้างว่าถูกหลอก แต่ในฐานะนักธุรกิจควรทราบขั้นตอนการขอเช่าที่ดิน

สคบ. จับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือมาตรการกำกับดูแลการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยเฉพาะการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากถั่งเช่า หากพบว่ามีการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ให้ลงโทษในอัตราโทษสูงสุด

นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.)

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมการค้าภายใน มาหารือมาตรการการกำกับดูแลการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยเฉพาะการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากถั่งเช่า ตามคำสั่งของนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ทั้งนี้จากการหารือได้ข้อสรุปร่วมกัน คือ ที่ประชุมมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่กำกับอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคเกิดขึ้นก็ให้ลงโทษในอัตราโทษสูงสุด รวมทั้งให้ร่วมมือกันเฝ้าระวังการโฆษณา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการโฆษณาที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง และยา

ขณะเดียวกันยังมอบหมายผู้ประสานงานหลักระหว่างหน่วยงาน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคในกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการแจ้งข้อมูลการโฆษณาที่อาจฝ่าฝืนกฎหมายผ่านแพล็ตฟอร์มของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน

ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ สคบ. จะรวบรวมผลการหารือครั้งนี้ เสนอให้กับที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) วันที่ 29 ม.ค.นี้ รับทราบ และรับมอบนโยบายเพื่อไปดำเนินการต่อ

กระทรวงการคลัง คลอดมาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียม บรรเทาผลกระทบ COVID–19 ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 64 ลง 90% พร้อมลดธรรมเนียมโอนบ้านใหม่ราคาไม่เกิน 3 ล้าน จาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01%

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ในปี 2564 จำนวน 3 เรื่อง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.) มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (มาตรการลดภาษีที่ดินฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นผู้เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เนื่องจากไม่สามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID - 19 โดยให้ลดภาษีในอัตราร้อยละ 90 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีของปีภาษี พ.ศ. 2564

2.) มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย (มาตรการลดค่าธรรมเนียมฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่เป็นของตนเอง รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเชื่อมโยงกับการจ้างงานและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID–19 โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 2 ลงเหลือร้อยละ 0.01

และลดค่าธรรมเนียมการจำนองจากร้อยละ 1 ลงเหลือร้อยละ 0.01 (เฉพาะการโอนและจดจำนองในคราวเดียวกัน) สำหรับที่อยู่อาศัยใหม่ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งครอบคลุมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด ที่ซื้อจากผู้ประกอบการ ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ลงประกาศกระทรวงมหาดไทยในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564

3.) การขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม (การขยายเวลายื่นแบบฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้และผู้ประกอบการในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะทำให้ผู้มีเงินได้และผู้ประกอบการมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นโดยสรุปรายละเอียดมาตรการได้ ดังนี้

3.1) ขยายเวลาการยื่นและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 3 เดือน จากเดิมภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 เป็น 30 มิถุนายน 2564 เฉพาะการยื่นแบบ e-filing

3.2) ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ และการนำส่งหรือชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับภาษีของเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2564 ที่ต้องยื่นแบบ นำส่ง หรือชำระ ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2564 โดยขยายเวลาออกไปเป็นภายในวันสุดท้ายของเดือนนั้น ๆ เฉพาะการยื่นแบบ e-filing

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการลดภาษีที่ดินฯ และมาตรการลดค่าธรรมเนียมฯ จะต้องมีการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับการขยายเวลายื่นแบบฯ ที่จะต้องมีการออกประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในเร็วๆ นี้ โดยกระทรวงการคลังจะได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป

อดีตผู้สมัครส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ชี้ถึงเวลาแล้วที่กองทัพ ต้องสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบ กรณีซ้อมพลทหารเกินกว่าเหตุ

เรืออากาศโทธนเดช เพ็งสุข อดีตผู้สมัครส.ส. พรรคอนาคตใหม่ เขตลาดพร้าว- วังทองหลาง กล่าวถึงกรณีที่สองทหารเกณฑ์สังกัดค่ายทหารใน จ.ชลบุรี เข้าร้องเรียนว่าถูกทหารครูฝึกและผู้ช่วยซ้อมจนได้รับบาดเจ็บ เหตุร่วมกันแอบเสพกัญชาว่า ถ้ากองทัพยังไม่สร้าง ‘วัฒนธรรมความรับผิดชอบ’ เจ็บหรือตายปริศนาใน ‘ค่ายทหาร’ ก็คงเกิดขึ้นอีก

พร้อมระบุว่า ตนเห็น 2 ข่าวเกี่ยวกับกองทัพช่วงนี้ เรื่องเดียวกันแต่รู้สึกเป็นสองอารมณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ข่าวแรก เป็นเรื่องน่ายินดีครับ แม้ว่ากองทัพจะไม่ได้ทำตามข้อเสนอของอดีตพรรคอนาคตใหม่ เรื่องการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารเพื่อเปลี่ยนไปเป็นการรับโดยสมัครใจทั้งหมด รวมถึงยังไม่ได้ปรับรูปแบบการฝึกและสวัสดิการต่างๆเพื่อวางโครงสร้างของกองทัพใหม่ให้เป็นทหารอาชีพ แต่อย่างน้อยก็พอเห็นทิศทางที่ดี

ที่ในที่สุดเสียงของพวกเราและเสียงของประชาชนก็ดังพอที่จะทำให้กองทัพต้องเลือกที่จะปรับตัวบ้าง ด้วยการเปิดรับสมัครพลทหารและเปิดโอกาสให้ ร้อยละ 80 สามารถเข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกได้ และถ้าใครเรียนดีอีก 20 คน ก็จะมีโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งการเริ่มต้นแบบนี้ ผมมองว่าทำให้กองทัพมีโอกาสปรับตัวเป็นกองทัพทันสมัย มีทหารอาชีพมาประจำการได้ในอนาคต

แต่โอกาสของประเทศไทยก็ดูเหมือนจะสะดุดลงอีก เมื่อข่าวที่ 2 เกิดขึ้นตามมาติดๆ และถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปใครๆก็คงไม่อยากมาสมัครเป็นทหารแน่ ๆ ก็เป็นเรื่องราวที่ได้ยินกันซ้ำๆเดิมครับ นั่นก็คือ เรื่องการซ้อมทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายทหาร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา พลทหาร 2 นาย ถูกครูฝึกจับได้ว่าลักลอบสูบกัญชา ครูฝึกและผู้ช่วยจึงสั่งลงโทษด้วยการใช้ไม้ตีตามแขน ขา หลัง และก้นจนไม้หัก

ให้แถกปลาหมอจนเนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปหมด ซึ่งบาดแผลเหล่านี้ก็ยังเห็นได้ชัดสามารถหาดูภาพข่าวได้ไม่ยาก เขาเล่าว่าครูฝึกยังลากสายยางฉีดน้ำกรอกปากและยังพยายามจะทรมานอื่น ๆ อีก โชคดีที่กรณีนี้ยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต เพราะทั้งสองคนหลบหนีออกมาแจ้งตำรวจเสียก่อน

แน่นอนว่า ในรายละเอียดเรื่องนี้คงต้องฟังความจากทั้งสองฝ่ายว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ประเด็นสำคัญที่จะต้องตั้งคำถามกันต่อไปก็คือการลงโทษทหารเกณฑ์ในค่ายทหารมีขอบเขตแค่ไหน มิใช่ผู้บังคับบัญชาจะสามารถลงโทษพวกเขาได้ปางตายได้บ่อยครั้ง

ทำไมเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอมีเรื่องทีก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกันที แล้วก็ผ่านไปรอเหตุใหม่เกิดขึ้นอีก วนเวียนไปเรื่อย ๆ ผมมองว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นปัญหาของวัฒนธรรมองค์กร

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือกองทัพจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปเพื่อให้มีระบบดูแลตรวจสอบที่ชัดเจน มีช่องทางให้ผู้น้อยมีช่องทางที่สามารถร้องเรียนปัญหาหรือเอาผิดผู้บังคับบัญชาได้จริง ไม่ใช่แบบที่อดีต ผบ.ทบ.ท่านหนึ่งบอกให้ต่อสายตรงถึงได้

แต่พอทำจริงก็เกิดกรณีแบบ ‘หมู่อาร์ม’ เกิดขึ้น หรือต้องไม่ใช่การลงโทษแบบแค่ย้ายไปแขวนไว้รอกระแสลด แล้วย้ายกลับมาเมื่อเรื่องเงียบ เอาตัวอย่างง่าย ๆ เห็นกันชัด ๆ ก็เช่น กรณีเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ขนาดเป็นต้นเหตุของการระบาดโควิดคลัสเตอร์สนามมวยลุมพินี ย้ายไปไม่ทันข้ามปีก็ได้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมแล้ว สำหรับผม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหานี้นี้ได้จริงคือ ถึงเวลาแล้วที่กองทัพจะต้องสร้าง ‘วัฒนธรรมความรับผิดชอบ’ ให้เกิดขึ้นให้ได้

ท่าทีของผู้นำยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหา แต่หลังกรณีนี้เกิดขึ้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม ก็ยังคงพูดเหมือนทุกๆครั้ง เช่น ต้องมีการสอบสวน ใครผิดก็ต้องรับโทษ ได้เตือนไปหลายครั้งแล้วในเรื่องการลงโทษต้องพิจารณาให้เหมาะสมและเป็นไปตามระเบียบวินัยทหาร ฟังดูเหมือนมีเหตุผลนะครับ

ซึ่งถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกผมคงไม่ติดใจอะไรมากนัก แต่นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จนผมเชื่อว่า สำหรับทหารทั้งกองทัพแล้ว การพูดแบบนี้ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพราะในความเป็นจริงองค์กรอย่างกองทัพตอนนี้พร้อมที่จะมีระบบหรือกลไกช่วยเหลือบุคคลระดับผู้บังคับบัญชาเต็มไปหมด ในขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาแทบไม่มีอะไรคุ้มครองได้เลย อย่างกรณี 2 พลทหารนี้ เมื่อกระแสหมดลง กลับเข้ากรมกองเมื่อไหร่ ใครๆก็คงสามารถจินตนาการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่หากไม่กลับไปก็จะกลายเป็นการหนีทหารไม่สามารถปลดประจำการได้ การที่ใครๆก็คิดแบบนี้ได้อย่างเป็นปกตินี่ก็คือความไม่ปกติอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ลองไปดูตัวอย่างจากต่างประเทศนะครับว่า เวลามีเรื่องแบบนี้ เขาสร้างวัฒนธรรม ‘ความรับผิดชอบ’ เพื่อแสดงเจตจำนงค์อย่างยิ่งยวดว่าไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร ซึ่งเขาไม่ทำแบบลุงแก่ๆ ขี้บ่นว่า เตือนไปแล้ว บอกไปแล้วแต่แก้อะไรไม่ได้ แน่นอน ร.ท.ธนเดชกล่าว

จุสเซปเป้ คอนเต้ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ลาออกจากตำแหน่งแล้วหลังจากในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลอิตาลี ถูกวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินนโยบายควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 85,000 ราย

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า คอนเต้ ยื่นหนังสือลาออกให้กับประธานาธิบดีแซร์โจ้ มัตตาเรลลา โดยคอนเต้ หวังว่าจะได้รับโอกาสในการตั้งรัฐบาลผสมขึ้นใหม่อีกครั้ง

รายงานระบุว่า นายคอนเต้ สูญเสียเสียงข้างมากแบบเด็ดขาดในวุฒิสภาไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากพรรค อิตาเลีย วิวา ของอดีตนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล จากกรณีการดำเนินนโยบายควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ การจัดการกับวิกฤตเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ประธานาธิบดีจะเริ่ม้นหารือกับผู้นำพรรคการเมืองต่างๆเพื่อพิจารณาว่า คอนเต้ จะสามารถรวบรวมเสียงในการตั้งรัฐบาลใหม่ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามก็เป็นไปได้ว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจเปลี่ยนหน้าไป หรือไม่ก็อาจมีการประกาศการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่


ที่มา:

นายกฯอิตาลี ลาออก หลังถูกวิจารณ์นโยบายคุมโควิด-19 (matichon.co.th)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top