Tuesday, 24 June 2025
NEWS FEED

‘สุรีรัตน์ ชิวารักษ์’ แม่เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มราษฏร พร้อมยืนเคียงข้างลูกชาย ชี้เป็นเด็กเรียนดี มีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง พร้อมอยากร่วมเปลี่ยนแปลงสังคม ระบุเหตุเข้าร่วมกิจกรรม 'เดินทะลุฟ้า' เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมประกันตัวลูกชาย

“เพนกวินเป็นเด็กที่รู้ตัวหนังสือตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน เราซื้อโปสเตอร์มาแปะฝาบ้าน ทั้ง ก ข ค และ A B C แล้วจิ้มถามเขาบ่อยๆ เราเองไม่ได้ภาษาอังกฤษ ก็อยากให้ลูกเก่ง เจอนกก็พูดกับเขาว่า ‘บี เบิร์ด นก’ เจอแมวก็พูดว่า ‘ซี แคท แมว’ ตอนเขาไปโรงเรียนวันแรก เย็นวันนั้นครูมาเล่าให้ฟัง เขาถามครูว่า ‘ครูครับ ฃ ฃวด หายไปไหน’ เราบอกเขาว่า ‘ถ้าอ่านออกจะซื้อหนังสือให้อ่าน’ หลังจากนั้นสักพักก็เริ่มอ่านได้ เขาอ่านหนังสือเร็วมาก (เน้นเสียง) อ่านไปหมดทุกอย่าง แต่หนังสือเรียนไม่ค่อยอ่านนะ (หัวเราะ) มีคนให้หนังสือประวัติหลวงปู่ดุลย์ เขาก็อ่าน หนังสือธรรมะที่วางในบ้าน เขาก็อ่าน ตอนแรกเราคิดว่าอ่านไปอย่างนั้นแหละ แต่พอเรามีปัญหาอะไรในชีวิต เขาจะเอาธรรมะมาพูดด้วย เป็นแบบนี้ตั้งแต่เรียนประถมเลย"

“หนังสือการ์ตูนที่เพนกวินชอบมากคือ รามเกียรติ์ เราเคยได้ยินนักวิชาการบอกว่า ถ้าเด็กสนใจอะไรควรให้เจอของจริง เราพาไปวัดพระแก้ว วันนั้นเดินด้วยกันหลายรอบแล้ว เราเมื่อยขาเลยขอนั่งรอ เขาไปเดินอยู่คนเดียว แล้วกลับมาบอกว่า ‘มี้ครับ มันน้อยไป’ เขาเล่าให้เราฟังได้เป็นฉากๆ ว่า ตัวนี้คือใคร เกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง โรงเรียนตอนประถมไม่ได้บอกอันดับ แต่เรารู้ว่าเขาเรียนดี เพราะได้รางวัลตลอด เราไม่ได้คิดว่าลูกพิเศษกว่าใคร เคยบอกเขาด้วยว่า 'เด็กเรียนเก่งมีเป็นมหาสมุทร แต่มี้อยากให้ลูกเก่งและดีด้วย' เราจะสอนลูกไม่ให้มีอีโก้ เวลาแข่งขันได้รางวัลก็บอกว่าชีวิตก็มีขึ้นมีลง เราเคยพูดกับเขาว่า 'เห็นคุณป้ากวาดถนนไหม ลูกกวาดได้สะอาดแบบนั้นไหม ทุกอาชีพมีความชำนาญของตัวเอง ไม่มีใครเก่งกว่าใคร' "

"สมัยเพนกวินเรียนอยู่ประถม เขาได้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ เลยถูกส่งไปแข่งขันเป็นประจำ แม้แต่งานกีฬาสีก็ออกไปเต้นตะแด๊วๆ เชียร์กีฬา (หัวเราะ) ครูก็ชอบที่เป็นเด็กเรียนดีและทำกิจกรรม เขามีสมุดและปากกาติดตัวเสมอ ตอนได้ทุนการศึกษา เขาสงสัยว่าทำไมทุนถึงชื่อนี้ ก็ไปหาว่าตระกูลไหนก่อตั้ง เกี่ยวข้องกับใครบ้าง เคยทำอะไรให้ประเทศบ้าง พอขึ้นมัธยมแล้วเดินทางไปไหนเอง เขาไปหอสมุดแห่งชาติ ไปพิพิธภัณฑ์ที่ศิริราชจนสนิทกับเจ้าหน้าที่ เขาอยากทำสตรอเบอรี่ชีสเค้ก ก็ไปอ่านหนังสือจนทำได้ เวลาเขาชอบอะไรจะไปจนสุด ครูภาษาไทยสมัยประถมทำบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเขียนบัตรสนเท่ห์ไปวางบนโต๊ะครู เขียนเป็นกลอนเลย ทำเป็นไม่ลงชื่อ แต่ครูเห็นลายมือก็จำได้ (หัวเราะ)"

"ถ้าลูกเรียนได้ทั้งวิทย์และภาษา พ่อแม่ก็อยากให้ลูกเรียนหมอใช่ไหม เราก็เป็นแบบนั้น แต่เขาคงมีเรื่องที่สนใจอยู่แล้ว พอจะขึ้น ม.ปลาย เขามาถามว่า 'มี้ครับ ถ้าครอบครัวหนึ่ง ลูกอยากเรียนวิศวะ แต่พ่อแม่อยากให้เป็นหมอ ลูกก็ยอมเรียนตามใจ แต่หลังจากนั้นแล้วลูกหนีออกจากบ้าน เป็นมี้จะทำยังไง' อีกครั้งเขาถามว่า 'มี้ครับ ถ้าครอบครัวหนึ่งมีลูกเรียนหมอ เรียนเก่งมากด้วย แต่หลังจากเรียนจบ เขาฆ่าตัวตายแล้วเขียนจดหมายว่า ใบปริญญาให้พ่อแม่ แต่ชีวิตที่เหลือเป็นของลูก เป็นมี้จะทำยังไง' เราตอบไปว่า 'แม่ก็ต้องตามใจลูกแหละ' เขาเคยพูดว่า 'มี้ครับ เพนกวินรู้ว่าพ่อแม่ให้ชีวิต แต่การใช้ชีวิตเป็นของลูกนะครับ' เราก็เก็บเอามาคิด วันหนึ่งเขาถามเราว่า 'มี้ครับ อยากให้เพนกวินเป็นอะไร' ตอนนั้นเราเริ่มเปลี่ยนความคิดแล้ว เลยตอบว่า 'อะไรก็ได้ที่ลูกตื่นมาแล้วมีความสุขที่จะไปทำ' การถามคือเขาแคร์เรา แต่ขอให้เขาได้เลือกชีวิตตัวเองด้วย"

"เขาสนใจประวัติศาสตร์ เคยบอกตั้งแต่เล็ก ๆ ว่า 'ถ้าเพนกวินเกิดมาแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ มันเสียชาติเกิด' ตอนนั้นเราบอกไปว่า 'ก่อนจะไปเปลี่ยนแปลงอะไร มาช่วยแม่จัดบ้านก่อนไหม' (หัวเราะ) เขาเลือกเรียนสายภาษาที่เตรียมอุดมฯ เคยร่วมเคลื่อนไหวเรื่องการศึกษากับกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท เราสงสัยว่า 'ทำไปทำไม เราไม่ได้สิทธิประโยชน์อะไร แม่ก็ยังเป็นคนจ่ายค่าเทอมเหมือนเดิม' เขาตอบกลับว่า 'ถึงแม่จะจ่ายค่าเทอม แต่เราได้รับประโยชน์จากเงินภาษี ซึ่งหลายคนเลยเข้าไม่ถึงประโยชน์นั้น' เขาเคยบอกว่า อยากเป็นรัฐมนตรีเพื่อทำให้การศึกษาดีขึ้น เราไม่ได้ตามไปดูว่าเขาทำอะไรบ้าง พ่อเคยไปดูเขาชูป้ายอะไรสักอย่างสมัยยังใส่ขาสั้น แล้วมาบอกว่า ‘ลูกพูดดีกว่าเราอีก’ โอเค เราก็สบายใจมากขึ้น เขาน่าจะดูแลตัวเองได้ หลังจากนั้นก็ปล่อยเลย"

"พอขึ้นมหาวิทยาลัย (คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เขาออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เราไม่ได้มองว่าเป็นแกนนำอะไร ยังไงก็เป็นลูก ทุกครั้งที่เจอกัน เราจะบอกเขาว่า 'เอาเล็บให้แม่ดูหน่อย ทำไมไม่ตัดเล็บ ถ้าไม่ตัดจะหักค่าขนม' เป็นเรื่องเดียวที่แม่ขู่ได้ (หัวเราะ) เราซื้อรองเท้าที่ซัพพอร์ทเท้าให้ เพื่อนบางคนก็แซวว่าแก่ เขามาบ่นกับเรา แต่ก็ใส่คู่นั้นตลอด (ยิ้ม) เราจะบอกรัก กอดเขา หอมเขาเป็นประจำ เวลาลูกโดนด่าเยอะๆ ก็กลัวเสียกำลังใจ เราจะโทรไปพิมพ์ไปหา 'แม่ให้กำลังใจนะ' เขามักตอบว่า 'ไม่มีอะไรครับมี้’ วันที่เพนกวินติดคุกครั้งแรก เราไม่คิดว่าจะโดน เลยไม่ได้ไปด้วย (เงียบคิด) เรารู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ข้างลูก พอวันรุ่งขึ้นทนายไปเยี่ยม เราไปด้วย แต่เข้าไปไม่ได้ เพนกวินฝากทนายมาบอกว่า 'ครั้งนี้คงติดนานหน่อย รักแม่นะครับ' แล้วลงท้ายว่า 'เสียดายที่เราไม่ได้ลากัน' (เงียบ…น้ำตาไหล) เหตุการณ์นั้นทำให้เราเข้าใจคำว่าใจสลาย"

"เพนกวินไม่เคยขอให้แม่ออกมา เขาพูดเสมอว่า ‘มันคือการตัดสินใจของมี้ ถ้าออกมา สิ่งที่ตามมาคือการโดนด่า มี้รับได้ไหม’ จนกระทั่งเขาติดคุกครั้งที่สอง ทำเรื่องประกันตัวสามครั้งก็ไม่ได้ มันไม่ใช่แล้ว เรานอนไม่หลับ รู้จักคำว่าสว่างคาตาก็ครั้งนี้ วันรุ่งขึ้นก็ไปเยี่ยมเพนกวิน เราบอกเขาว่า 'มี้ตัดสินใจจะออกมา' (กิจกรรม 'เดินทะลุฟ้า' เป็นการเดินเท้าจากจังหวัดนครราชสีมาถึงกรุงเทพมหานคร รวมระยะทาง 247.5 กิโลเมตร โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องคือการปล่อย 4 แกนนำทางการเมือง คือ อานนท์ นำภา สมยศ พฤกษาเกษมสุข ปฏิวัฒน์ สาหร่ายแย้ม และเพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์) เขาคงดีใจ บางคนบอกว่า เพนกวินโชคดีที่มีแม่แบบนี้ เราต่างหากโชคดีที่เขาเลือกเราเป็นแม่ บางครั้งเรารู้สึกว่าเขาคือโซลเมทที่มาสอนบทเรียนชีวิตนะ"

"เราเป็นห่วงลูกเรื่องเดียวคือความปลอดภัย แต่ห้ามเขาตอนนี้จะมีอะไรดีขึ้นไหม ห้ามแล้วจะไม่มีตำรวจมาที่บ้านหรือเปล่า สิ่งสำคัญคือเพนกวินไม่ได้ทำอะไรผิดเลวร้ายด้วย เขาเคยพูดกับพ่อว่า 'ป๊าครับ ถ้าเพนกวินเป็นอะไรไป ขอให้พ่อแม่ภูมิใจในสิ่งที่ลูกทำนะครับ' เขาไม่กล้ามาบอกเรา เพราะก่อนหน้านั้นเขาพูดกับเราว่า 'การต่อสู้ต้องมีการสูญเสียนะมี้' แต่เราตอบกลับไปว่า 'ไม่ได้ มี้ไม่พร้อมที่จะสูญเสีย' เราเคยถามเขาว่า 'เพนกวินจะทำไปทำไม เหนื่อยก็เหนื่อย คนไม่เห็นด้วยก็มาด่า ถ้าคนในประเทศไม่เห็นคุณค่า ไม่อยากให้ทำอะไร เราไปอยู่เมืองนอกเถอะ ทำให้คนอื่นเห็นว่าเราทำอะไรได้บ้าง หรือไปทำอะไรให้สำเร็จที่เมืองนอก คนที่นี่อาจจะฟังก็ได้' แต่เขาบอกว่า ‘เพนกวินเลือกแล้วที่จะอยู่ประเทศนี้ เพราะที่นี่คือบ้านเกิด’"

"เรานัดกันทานข้าววันเกิดตั้งแต่ปีที่แล้ว พอจะถึงวันนัด เขาบอกว่า ‘มีรุ่นน้องปราศรัย ต้องไปให้กำลังใจ’ พอถึงวันนัดอีกก็มีธุระต่างๆ ตั้งแต่วันเกิดแม่ วันเกิดเพนกวิน วันเกิดน้องสาว และวันเกิดพ่อ ผ่านมาจะครบปีแล้วยังไม่ได้กินข้าวด้วยกันเลย ตอนนี้เขายังอยู่ในคุก เราไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากคิดเยอะ เพนกวินเคยบอกว่า ‘ไม่ต้องเครียดหรอกมี้ เพราะเครียดวันนี้ หรือเครียดวันนั้น ยังไงก็เครียดเหมือนกัน’ แต่เราก็ยังเครียด (เงียบคิด) ต้องคอยบอกตัวเองว่า สิ่งที่เขาทำไม่ได้ทำร้ายใคร เด็กชายที่ชอบประวัติศาสตร์ ต้องมีสมุดและปากกาติดตัวเสมอ และอยากเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น เขาอาจเกิดมาเพื่อเป็นคนแบบนี้"

เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ คือ 1 ใน 4 ผู้ต้องหาจากความผิดเข้าร่วมการชุมนุม #19กันยาทวงคืนอำนาจราษฎร ที่สนามหลวง โดยปัจจุบันถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ปฏิเสธคำร้องขอให้ประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดี


ที่มา : เพจ มนุษย์กรุงเทพฯ

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2947531678864094&id=1432299840387293

เปิดไทม์ไลน์ ‘นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี’ ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร จากวันแรกของการติดโควิด -19 สู่วันที่กำลังจะหายเป็นปกติ ได้เวลา #คืนปูสู่สาคร

ในความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง ของบ้านเมืองเวลานี้ ใครรักใคร ใครไม่รักใคร ใครรบกับใคร ใครฉี่ใส่ใคร แต่เชื่อเหลือเกินว่า คนไทย #รักและส่งกำลังใจให้ ‘ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร’ อย่างแน่นอน เพราะนับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ในการแถลงสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ระลอกใหม่ ที่ ต.มหาชัย จ.สมุทรสาคร คนไทยก็ได้ทำความรู้จักกับนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ในฐานะผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมแถลงการณ์ในวันนั้น

แต่ผ่านไปแค่สัปดาห์เดียว จาก ‘ผู้แถลงการณ์’ กลับกลายเป็น ‘ผู้ป่วย’ หลังจากลุยงานหนัก ลงพื้นที่เสี่ยง จนกลายเป็นผู้ติดโรคโควิด -19 เสียเอง และนั่นคือวันแรกที่ผู้คนต่างส่งแรงใจ ให้ ‘ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร’ หายป่วยกลับมาโดยไว แต่เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างนั้น ด้วยวัยและร่างกาย ทำให้โควิด – 19 เข้าไปทำร้ายปอด จนทำให้เกิดอาการวิกฤติอยู่หลายครั้งหลายครา

แต่จากวันที่สิ้นหวัง ผู้คนต่างสวดมนต์ให้กำลังใจกับพ่อเมืองสมุทรสาคร ปาฏิหาริย์ก็มีจริง เมื่อทีมแพทย์สามารถรักษาร่างกายของผู้ว่าฯ ให้ค่อย ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง และเมื่อไม่กี่วันมานี้ ข่าวดีก็เกิดขึ้นจนได้ ผู้ว่าฯ วีระศักดิ์ กลับมาเดินได้เอง พูดคุยสื่อสารได้เป็นปกติ อาการป่วยหายไปกว่า 90% ถึงตรงนี้ คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การกล่าวคำว่า ขอแสดงความยินดี และขอขอบคุณทีมงานแพทย์ทุก ๆ ท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ตอกย้ำให้รู้ว่า #ทีมแพทย์ไทยเก่งไม่น้อยกว่าใครในโลก

เพราะมีชื่อเล่นว่า ปู จึงเป็นที่มาของภารกิจ #คืนปูสู่สาคร แต่ก่อนที่ภารกิจนี้จะเกิดขึ้น THE STATES TIMES รวบรวมไทม์ไลน์ เพื่อย้อนกลับไปดูถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา กว่า 2 เดือนเศษที่ต้องต่อสู้ วันนี้ใกล้ถึงเวลา #คืนปูสู่สาคร พร้อมกล่าวคำว่า ขอแสดงความยินดี อีกครั้ง

บางกอกแอร์เวย์ส เจอพิษโควิด ฉุดรายได้ปี 63 วูบ 64.2 % จำนวนผู้โดยสารรวมอยู่ที่ประมาณ 1,884,603 คน ลดลงจากปีก่อน 67.8% ส่งผลทำให้ขาดทุนสุทธิถึง 5,327.8 ล้านบาท

นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2563 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 10,216.3 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ร้อยละ 64.2 ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ของธุรกิจสายการบินที่ปรับตัวลดลง 70.4% ส่วนธุรกิจสนามบิน ปรับตัวลดลง 67.6% และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง ลดลง 57.5% เนื่องจากบริษัทฯ ได้ปรับแผนการปฏิบัติการบิน ให้สอดคล้องกับมาตรการจำกัดการเดินทาง ตามนโยบายภาครัฐ และประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) รวมถึงปริมาณความต้องการเดินทางของผู้โดยสารที่ลดลง จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 5,327.8 ล้านบาท โดยเป็นผลขาดทุนส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เท่ากับ 5,283.2 ล้านบาท และมีผลขาดทุนต่อหุ้นเท่ากับ 2.56 บาท

นายพุฒิพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ปรับแผนการปฏิบัติการบิน ให้สอดคล้องกับมาตรการจำกัดการเดินทาง และปริมาณความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร โดยได้ทยอยหยุดทำการบินในบางเส้นทางตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.2563 จนกระทั่งประกาศหยุดทำการบินในทุกเส้นทางชั่วคราว ระหว่างวันที่ 6 เม.ย. - 14 พ.ค. 2563 และเริ่มกลับมาให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 2563 เป็นต้นมา ในเส้นทางกรุงเทพฯ - สมุยเป็นเส้นทางแรก

พร้อมทั้งทยอยปฏิบัติการบินเส้นทางภายในประเทศเป็น 10 เส้นทางในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ได้แก่ กรุงเทพฯ - สมุย, กรุงเทพฯ - เชียงใหม่, กรุงเทพฯ - ลำปาง, กรุงเทพฯ - สุโขทัย, กรุงเทพฯ - ภูเก็ต, กรุงเทพฯ - ตราด, กรุงเทพฯ - กระบี่, ภูเก็ต - สมุย, ภูเก็ต - หาดใหญ่ และภูเก็ต - อู่ตะเภา ทำให้ปี 2563 สายการบินฯ มีจำนวนผู้โดยสารรวมอยู่ที่ประมาณ 1,884,603 คน ลดลงจากปีก่อน 67.8% และมีอัตราการขนส่งผู้โดยสารรวมอยู่ที่ 62.9%

‘โบว์ ณัฏฐา’ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ออกโรงเตือนม็อบ 3 นิ้ว ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องไร้ทิศทาง พร้อมใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แนะดูม็อบฮ่องกงเป็นตัวอย่าง หากไม่อยากสูญเสียแนวร่วม เปลี่ยนมวลชนจากมิตรกลายเป็นศัตรู

น.ส. ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana เกี่ยวกับประเด็นความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของม็อบ 3 นิ้ว โดยระบุว่า

ม็อบฮ่องกงเคยประสบความสำเร็จ...

เมื่อผู้ชุมนุมเริ่มต้นการประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ม็อบฮ่องกงได้รับความสนใจจากนานาชาติและมีความชอบธรรมสูงในสายตาประชาคมโลก ภาพการปราบปรามเยาวชนอย่างรุนแรงโดยตำรวจถูกเผยแพร่ไปทั่ว

กราฟแห่งการต่อสู้อยู่ในขาขึ้นที่เรียกกันว่า “กระแสสูง” จนในที่สุดทางการฮ่องกงยอม “ถอย” ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกจากการพิจารณา ข้อเรียกร้องหลักได้รับการตอบสนอง แม้ข้อเรียกร้องย่อยเรื่องการปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมดำเนินคดีและสิทธิในการเลือกผู้ปกครองตนเองจะยังคงอยู่

จุดเปลี่ยนของม็อบน่าจะเริ่มจากเหตุการณ์บุกรัฐสภา ต่อด้วยการบุกห้างสรรพสินค้า สนามบิน และการจลาจลในจุดต่าง ๆ กับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ “ยกระดับ” ขึ้นอย่างรวดเร็วสู่คำว่าการประกาศอิสรภาพแบ่งแยกดินแดนจากจีน

พร้อม ๆ กับเสียงของคนเห็นต่างในประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับทั้งข้อเรียกร้องและวิธีการเริ่มดังขึ้น ภาพของการปะทะและการใช้ความรุนแรงระหว่างประชาชนด้วยกันเริ่มมีให้เห็น ในขณะที่การปราบปรามโดยรัฐก็ไม่ได้ลดน้อยลง

รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดสินใจฉวยจังหวะนี้ใช้ “ยาแรง” ออกกฎหมายความมั่นคง National Security Law ที่มีบทลงโทษรุนแรงต่อผู้ต่อต้านรัฐบาล แกนนำส่วนหนึ่งลี้ภัยไปอังกฤษ ไต้หวัน

คนที่อยู่ถูกตัดสินคดีเก่าลงโทษจำคุก บุคคลสำคัญในฝ่ายต่อต้านถูกคุกคามโดยกฎหมายใหม่ การเคลื่อนไหวถูกปราบอย่างราบคาบ

พร้อม ๆ กับที่เสียงสนับสนุนจากนานาชาติเงียบลง มวลมหาประชามิตรหันไปสนใจพม่าแทน


ที่มา :

https://www.facebook.com/bow.nuttaa/posts/10158218446835819

https://www.thaipost.net/main/detail/94713

หุ่นยนต์ขนาดเท่าคนจริงที่เห็นอยู่นี้ชื่อว่า Ai-Da โดยผู้สร้างให้ชื่อเธอตามชื่อของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก Ada Lovelace

Ai-Da ถือว่าเป็นศิลปินหุ่นยนต์ตัวแรกที่มีผลงานศิลปะของตัวเอง โดย ‘ตา’ จะทำหน้าที่เป็น ‘กล้อง’ ส่วนมือหุ่นยนต์ ก็จะทำหน้าที่เหมือนมือของศิลปิน

Ai-Da ทำงานได้ด้วยอัลกอริทึม AI (ปัญญาประดิษฐ์) โดยใช้สิ่งที่เห็นเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานแบบเดียวกับคน ซึ่งตัวหุ่นยนต์จะทำการคำนวณเส้นทางเสมือนจริงตามสิ่งที่เห็นตรงหน้า แล้วตีความเพื่อสร้างชิ้นงานศิลปะขึ้นมา

Ai-Da ออกแบบและพัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ขณะที่ส่วนของมือหุ่นยนต์ถูกสร้างขึ้นโดยวิศวกรจากมหาวิทยาลัยลีดส์

ทั้งนี้ งานแสดงครั้งแรกของ Ai-Da มีขึ้นที่ University of Oxford ช่วงวันที่ 12 มิถุนายน - 6 กรกฎาคม 2020 เป็นงานโซโลเดี่ยวที่มีทั้ง ภาพวาดลายเส้น ภาพจิตรกรรม และ งานประติมากรรม

สำหรับงานแสดงผลงานครั้งที่สองของ Ai-Da จะมีขึ้นในช่วงซัมเมอร์นี้ (2021) ที่ Design Museum ในลอนดอน ซึ่งคราวนี้เธอจะสร้างงานศิลปะจากการมองเห็นของตัวเอง

จากการพัฒนาล่าสุด Ai-Da สามารถมองตัวเองจากกระจก แล้วจินตนาการตัวเองออกเป็นงานศิลปะที่แตกต่างกันออกไป โดยมีกล้อง (ที่ตา) เป็นตัวมองวัตถุ ส่วนมือหุ่นยนต์จะประสานงานกับตา เพื่อทำการวาด ซึ่งเหล่านี้จะไม่มีการแทรกแซงการทำงานของเธอผ่านมนุษย์แต่อย่างใด

การพัฒนาหุ่นยนต์ AI มาสร้างงานศิลปะแบบนี้ คงช่วยสร้างภาพลักษณ์ด้านบวกขึ้นมาได้บ้างไม่มากก็น้อย หลังจากก่อนหน้านี้มักจะมีแต่ข่าวไม่ดีบ่อยครั้งเกี่ยวกับ AI ที่จะมา ‘ผู้ทำลายล้าง’ จนหลายคนวิตกกับพัฒนาการเหล่านี้...


ที่มา:

https://www.facebook.com/698124263678932/posts/1884878471670166/

https://www.bbc.com/news/uk-england-oxfordshire-48498853

https://www.inceptivemind.com/first-robot-artist.../17864/

ขณะที่คนไทยและคนทั่วโลกยังต้องเผชิญกับวิกฤตโรคโควิด-19 ท่ามกลางความคาดหวังเรื่องวัคซีนที่จะช่วยให้สถานการณ์การระบาดจบลงโดยเร็ว แต่รู้หรือไม่? ยังมีภัยด้านสุขภาพที่รุนแรงและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในลำดับต้น ๆ ของคนไทยซ่อนอยู่อีก

นั่นคือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-Communicable Diseases) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ เช่น การรับประทานอาหารรสจัด ไขมันสูง การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ พักผ่อนน้อย มีความเครียดสูง ฯลฯ

จากข้อมูลของหนังสือ ‘ThaiHealth WATCH 2021 จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย ปี 2564’ โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้รายงานเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค NCDs ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในแต่ละปี โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคอ้วน พบว่า เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการได้รับโรคอุบัติใหม่ และเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยทั่วไป ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงโรคโควิด-19 ที่พบว่ามีความเสี่ยงอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า

ที่น่ากังวลคือ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงจาก 6 โรคกลุ่ม NCDs ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคอุดกั้นเรื้อรัง และโรคไตวายเรื้อรัง หากติดเชื้อโควิด-19 จะมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต เพราะเป็นโรคที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายและระบบทางเดินหายใจโดยตรง

สำหรับแนวทางป้องกันความเสี่ยง แนะนำให้คนไทยปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ด้วยการดำเนินชีวิตใหม่ ทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ยงอาหารรสเค็มจัด หวานจัด มีไขมันสูง พร้อมเพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ควบคู่กับการปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ และเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งไม่เพียงเพื่อปกป้องตนเองจากโรค แต่ยังเสริมสร้างสุขอนามัยให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งถือเป็นวัคซีนป้องกันตนเองที่ดีที่สุด

ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีเชิงป้องกัน ‘ไทยประกันชีวิต’ ได้จัดโครงการ ‘ไทยประกันชีวิต ไลฟ์ฟิต’ เพื่อมอบความฟิตในทุกด้านของชีวิต ภายใต้แนวคิด “Circle of Wellness” 4 มิติ ได้แก่...

- Self การดูแลสุขภาพร่ายกายให้แข็งแรง

- Sense การเสริมสร้างจิตใจให้มีความสุข

- Stability การสร้างความมั่นคงทางการเงิน

- และ Spirit การสร้างคุณค่าชีวิตผ่านการให้และแบ่งปัน

นอกจากจะมอบความคุ้มครองและการดูแลตามเงื่อนไขกรมธรรม์ของโครงการฯ แล้ว บริษัทฯ ยังจัดกิจกรรมด้านสุขภาพต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ สามารถสะสมคะแนนเป็นส่วนลดเบี้ยประกันภัยตามเงื่อนไข พร้อมรับสิทธิพิเศษหลากหลาย ถือเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์การวางแผนการดูแลชีวิตและสุขภาพที่คุ้มค่าให้กับคนไทยในยุคปัจจุบัน

‘แอมมี่’ โดนแล้ว!! ศาลอนุมัติหมายจับ 'แอมมี่ The bottom blues' เหตุร่วมเผาหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม

จากกรณีคนร้ายลอบวางเพลิงเผาทรัพย์ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นตำรวจร่วมกับกรมราชทัณฑ์ ทราบว่ามีผู้ก่อเหตุ 3 ราย ชาย 2 หญิง 1 ใช้รถยนต์ในการก่อเหตุ

ซึ่งตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อขอหมายศาลออกหมายจับ รวมถึงการสั่งการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นการขยายผล การตรวจสอบเส้นทาง จนได้ทราบว่าเกี่ยวกับกลุ่มการเมือง

ล่าสุด มีรายงานว่าศาลอาญา รัชดา ได้อนุมัติหมายจับ นายไชยอมร แก้ววิบูลพันธุ์ หรือ ‘แอมมี่ The bottom blues’ กับพวกอีก 2 คน ที่ 429/2564 ลง 2 มีนาคม 2564 ในข้อหาความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ทั้งนี้พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับนักร้องชายชื่อดัง และเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ชุดสืบสวนไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว พาหนะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุจนทราบมีผู้ก่อเหตุทั้งหมด 3 คน โดยนักร้องดังเป็นผู้ลงจากรถไปก่อเหตุวางเพลิง

ส่วนอีก 2 คนอยู่ในรถดังกล่าว และชุดสืบสวนอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคลให้ชัดเจน จากการสืบสวนพบว่า นักร้องที่ลงมือก่อเหตุ ป่วยรักษาตัวอยู่ที่ รพ.พระรามเก้า และยังไม่ทราบว่าป่วยเป็นอะไร ชุดสืบสวน กก.สส.บก.น.2 และฝ่ายสืบสวนสน.ประชาชื่น นำกำลังไปที่โรงพยาบาลแล้ว หากศาลอนุมัติหมายจับก็จะนำหมายไปแจ้งข้อหา และควบคุมตัวทันที รวมทั้งประสานแพทย์ว่าสามารถย้ายไปควบคุมที่รพ.ตำรวจ ได้หรือไม่


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/94772

https://www.prachachat.net/politics/news-623090

'หมอยง' อธิบายชัด ‘Sinovac’ วัคซีนเชื้อตาย ป้องกันการติดเชื้อได้ดี โดยเฉพาะการข้ามสายพันธุ์ของไวรัส

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

โควิด 19 วัคซีน Sinovac วัคซีนเชื้อตาย

ในระบบภูมิคุ้มกัน การผลิตวัคซีนส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นสร้างภูมิต้านทานต่อหนามแหลม (spike) ของไวรัสที่ยื่นออกไป เช่นวัคซีน mRNA, virus Vector

แต่ในความเป็นจริง ในระบบภูมิต้านทานของร่างกายอาจจะยับยั้งไวรัสไม่เฉพาะหนามแหลม spike protein ยังมีแกนเปลือก nucleocapsid

ในการตรวจวัดภูมิต้านทาน เราสามารถตรวจ antibody ต่อการแกนเปลือก นี้ได้ด้วย ซึ่งอาจจะมีความสำคัญช่วยเสริมในระบบภูมิต้านทาน ในการต่อต้านการติดเชื้อของไวรัสก็เป็นได้

วัคซีนเชื้อตาย จะมีส่วนประกอบของตัว กระตุ้นภูมิต้านทานหลายอย่างคล้ายกับไวรัสในธรรมชาติ มากกว่าการสร้างเฉพาะส่วนหนามแหลม จำเป็นจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ในระบบภูมิต้านทานโดยเฉพาะส่วนอื่นที่ไม่ใช่หนามแหลม spike

ดังนั้น วัคซีนเชื้อตาย ที่ทำมาจากไวรัสทั้งตัว อาจจะป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่า โดยเฉพาะการข้ามสายพันธุ์ของไวรัส โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ในส่วนหนามแหลม เพราะมีส่วนอื่นเข้ามาช่วยเสริมก็เป็นได้

ครูหยุย - วัลลภ ประกาศชัด ไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหตุห่วงพระราชอำนาจของสถาบันเบื้องสูงถูกละเมิด ยืนยันเจตจำนงไร้ใบสั่งใดๆ

นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์เพื่อยืนยันต่อจุดยืนไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘วาระสาม’ ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ช่วงกลางเดือนมีนาคมหลังจากพ้นระยะเวลา 15 วัน เนื่องจากตนกังวลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราที่ว่าด้วยพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่บัญญัติไว้ในมาตราอื่น ๆ นอกจากหมวด 2 พระมหากษัตริย์

ทั้งนี้การแสดงจุดยืนของตนดังกล่าวไม่เกี่ยวกับกระแสข่าวที่มีใบสั่งจากผู้มีอำนาจไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาตนไม่ขัดข้องต่อการกำหนดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อทำรัฐธรรมนูญใหม่ หรือการแก้ไขการออกเสียงวาระรับหลักการและวาระเห็นชอบรัฐธรรมนูญ

แต่เมื่อส.ว.บางส่วนกังวลต่อการละเมิดพระราชอำนาจและขอให้บัญญัติไว้ ไม่ได้รับการตอบรับ ตนจึงให้คำยืนยันว่าจะไม่ลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขวาระสาม

“ใครจะด่าก็ช่าง เพราะผมถือว่าได้ทำหน้าที่ หากจะถามถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่ละด้านล้วนมีผลกระทบเกิดขึ้นทั้งหมด สำหรับรายละเอียดในความกังวลต่อสถาบัน ที่ส.ส.ไม่รับไว้พิจารณานั้น ทราบว่า ส.ว.ที่ขอแปรญัตติไม่สบายใจ แต่ผมไม่ทราบว่าพวกเขาจะลงมติอย่างไร” นายวัลลภ กล่าว

นายวัลลภ กล่าวด้วยว่าสำหรับการนัดประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติวาระสาม เชื่อว่านายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะนัดเมื่อครบกำหนดพ้น 15 วัน เพราะนายชวนเป็นผู้ที่มีหลักการหนักแน่น และไม่ต้องรอเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนรัฐบาลฐานะผู้ที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนขอพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัยเชื่อว่าจะไม่มีอะไรตุกติก เพราะรัฐบาลถือว่าเป็นผู้ใหญ่


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/224233

“นภาพร” แนะ “บิ๊กตู่” ปรับรัฐมนตรีไร้ผลงานออก ล็อกเป้าเน้น “มท.1” ไม่เคยทำอะไรเพื่อพัฒนาการปกครองส่วนท้องถิ่น ย้ำ! “บิ๊กตู่” อย่าฟังแต่เสียงกลุ่มก๊วนในพรรคร่วมรัฐบาล

นางสาวนภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เห็นว่าการปรับ ครม.ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นโอกาสสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์แล้วว่าจะปรับเพื่อตอบสนองความต้องการของ ส.ส.ในพรรครัฐบาลหรือจะปรับเพื่อเอาคนดีมีฝีมือเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ถ้าจะปรับเพื่อเล่นเก้าอี้ดนตรีในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล ก็เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะแค่เห็นรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาแทนแล้ว ชาวบ้านได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่มีประวัติผลงานอะไรให้เชื่อถือได้เลย

“คนที่ควรจะถูกปรับออกไปก็อย่างเช่น พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขประชาชน แต่เราแทบไม่เคยเห็น มท.1 ลงพื้นที่เลย โดยเฉพาะในจังหวัดที่ชาวบ้านเดือดร้อนจากโควิด เห็นแต่ผู้ว่าลงไปช่วยจนติดเชื้อ นอกจากเรื่ององค์การทหารผ่านศึกรับงานขุดลอกคูคลองหรือการซอยงานขุดลอกคูคลองให้เหลือโครงการละไม่เกิน 5 แสนบาทเพื่อหลบเลี่ยงการประมูล เราเคยเห็นผลงานอะไรของเขาอีกบ้าง แค่เป็นพี่น้อง 3 ป.ก็นั่งหล่อในคลองหลอดได้ถึง 7 ปี แต่ไม่เคยทำอะไรให้กับการปกครองท้องถิ่นเลย นอกจากจับพวกเขาแช่แข็งตอนยึดอำนาจ” น.ส.นภาพร กล่าว

น.ส.นภาพร กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีหลายคนใน ครม.ชุดนี้โลกลืม ไม่เคยปรากฎเป็นข่าว ไม่มีผลงานใดใดให้จับต้องได้ นอกจากมีข่าวว่าชอบมุดไปบ้านพักบ้านป่ารอยต่อเป็นประจำ อย่างอื่นก็ไม่เห็นมีผลงานอะไรให้ชาวบ้านพูดถึง หรือหลายคนมีบาดแผลจากการถูกอภิปรายแต่ชี้แจงอะไรไม่ได้ และกำลังจะถูกฝ่ายค้านร้องไปยัง ปปช. ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ควรถือโอกาสปรับคนเหล่านี้ออกไป ไม่ใช่ไปฟังแต่เสียงกลุ่มก๊วนในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะทำให้อายุของรัฐบาลสั้นลงไปทุกที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top