Monday, 10 February 2025
NEWS FEED

หลังจากเมื่อวานนี้ที่จังหวัดสมุทรสาคร พบผู้ติดเชื้อ โควิด-19 รอบใหม่ถึง 548 ราย และผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้สั่งมาตรการเข้ม (ล็อกดาวน์กลายๆ) ในเขตเมืองไปเรียบร้อยแล้ว จนถึงวันที่ 3 มกราคมปี 2564

ล่าสุดนี้ มีความเห็นมาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่อยากให้เลื่อนการฉลองปีใหม่ไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัส

ขณะที่ด้าน รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความเห็นพร้อมข้อเสนอ 3 ให้ปิดจังหวัดสมุทรสาคร และตรวจทุกคนที่อยู่ในจังหวัด และบังคับใส่หน้ากาก 100% รวมถึงทั้งสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง ควรเตรียมรับมือการลักลอบออกนอกจังหวัด เพราะจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และจะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดเคสติดเชื้อแบบดาวกระจายในอีกสองสัปดาห์ถัดจากนี้

ที่มา:

https://www.facebook.com/yong.poovorawan/posts/4994230110619566

https://www.facebook.com/thiraw/posts/10221434112554726

กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งอุณหภูมิลดลง 2-3 องศาเซลเซียส

กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานสภาพอากาศประจำวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2563 โดยพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศไทยตอนบนแล้ว ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลงอีก 2-3 องศาเซลเซียส และมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรงส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

ที่มา: https://www.tmd.go.th/daily_forecast.php

สื่อพม่ารายงานสถานการณ์แรงงานพม่าที่ลำบากหนัก หลังจากที่รัฐบาลไทยทั้งปิดชายแดนพม่าสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่กำลังเป็นปัญหาอย่างหนักในพม่า

เนื่องจากมีแรงงานพม่าที่กำลังรอเข้ามาทำงานในไทยตกค้างอยู่มากถึง 60,000 คน

นายอู เซียน เทห์ ผู้อำนวยการเครือข่ายภาคแรงงานพม่าซึ่งมีสำนักงานทั้งในไทย และพม่า กล่าวกับสื่อของพม่าว่า ทางหน่วยงานไม่สามารถประสานงานให้ทางการไทยเปิดด่านสำหรับแรงงานที่ตกค้างในช่วงนี้ได้ เพราะประเทศไทยกำลังตื่นตัวเรื่องการระบาด Covid-19 ระลอกใหม่ในประเทศ

ปัญหาจึงตกอยู่กับกลุ่มคนงานเหล่านี้ ที่สมัครงานผ่านทางเอเจนซี ต้องจ่ายค่านายหน้า ค่าบริการ และค่าเอกสารเป็นเงินก้อนโตเพื่อจะได้เข้ามาทำงานในไทย และหลายคนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา จนเป็นหนี้ก้อนโตที่ยังต้องผ่อนชำระค่าดอกเบี้ยทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้งานทำ

ฝ่ายภาคีภาคแรงงานชาวพม่าจึงต้องการให้รัฐบาลพม่าเข้ามาดูแล โดยออกมาตรการให้บริษัทจัดหางานในพม่าคืนเงินค่ามัดจำ และค่าดำเนินการให้แก่แรงงานพม่าก่อนจนกว่าด่านชายแดนไทยจะเปิด

วิกฤติ Covid-19 นี้นอกจากจะกระทบกับแรงงานที่ตกค้างในพม่าแล้ว แรงงานพม่าในไทยก็กำลังจะเจอปัญหาใหญ่ เมื่อพบการระบาดที่ตลาดค้าส่งกุ้งที่ตลาดมหาชัย สมุทรสงคราม ที่มีแรงงานต่างด้าวอยู่เป็นจำนวนมาก

และหากการแพร่ระบาดบานปลาย อาจต้องปิดตลาดสดในมหาชัยในระยะยาว ที่จะส่งผลให้แรงงานต่างด้าวจำนวนมากต้องขาดรายได้

สื่อพม่าให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีแรงงานพม่ามากถึง 4 ล้านคนเดินทางไปทำงานเป็นแรงงานต่างด้าวในหลายประเทศ และมากกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในประเทศไทย การทำงานใช้แรงงานในต่างแดนยังคงเป็นที่นิยมของชาวพม่า เนื่องจากได้ค่าแรง และสวัสดิการที่ดีกว่าทำงานในพม่า

แต่เนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 ทั้งในพม่าเอง และประเทศเพื่อนบ้านในย่านอาเซียน ที่เป็นตลาดแรงงานที่สำคัญของชาวพม่ายังคงไม่น่าไว้ใจ จึงทำให้แรงงานจำนวนมากถูกเลิกจ้าง หรือพักงานโดยไม่มีกำหนด และด้วยข้อบังคับในกฏหมายแรงงานต่างด้าว รวมถึงสัญญาการจ้างงานที่ทำผ่านนายหน้า ทำให้แรงงานพม่าไม่สามารถเปลี่ยนนายจ้าง หรือย้ายสถานที่ทำงานได้อย่างอิสระ

จึงกลายมาเป็นฝันร้ายของแรงงานพม่าหลายร้อย หลายพันครอบครัวที่ยังคงดิ้นรน หาเงินเลี้ยงชีพให้รอดในยุค Covid-19 ครองโลก ที่ยังไม่รู้จะผ่านพ้นไปเมื่อไหร่


แหล่งข่าว

https://www.mmtimes.com/news/myanmar-govt-urged-ask-thailand-allow-entry-60000-workers.html

คำแถลงข่าว สถานการณ์โรคโควิด-19 จ.สมุทรสาคร โดยอธิบดีกรมควบคุมโรค วันที่ 19 ธันวาคม 2563

สวัสดีพี่น้องประชาชน ที่รับชมการถ่ายทอดการแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด-19 จ.สมุทรสาคร

กระทรวงสาธารณสุขขอรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ที่พบผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 หรือ โรคโควิด-19 ซึ่งศบค ได้รายงานตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม พบผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นเพศหญิง อายุ 67 ปี อาชีพแม่ค้าในตลาดกลางกุ้ง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร และหน่วยงานในพื้นที่ ดำเนินการสอบสวนและควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม และพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เป็น 13 ราย

ซึ่งมีทั้งคนไทยและแรงงานต่างชาติที่ทำงานในตลาดแห่งนี้ สถานการณ์ล่าสุดเมื่อมีการตรวจคัดกรองในกลุ่มแรงงานต่างด้าว จำนวน 1,192 ราย พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 516 ราย คิดเป็นร้อยละ 43 ของผู้ที่ได้รับการตรวจทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบผู้ที่ไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลอีกจำนวนหนึ่งในหลายจังหวัด ทำให้ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมรวม 548 ราย ซึ่งมากกว่าร้อยละ 90 เป็นผู้ติดเชื้อที่มีไม่มีอาการหรืออาการน้อยมาก และส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ

จากการประเมินสถานการณ์ทางด้านสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมั่นได้ว่า จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ครั้งนี้ได้โดยความร่วมมือของประชาชน เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นการระบาดในพื้นที่จำกัด และไม่มีผู้ป่วยรุนแรง แม้ว่ามีแนวโน้มที่จะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในชุมชนต่างชาติที่อยู่รอบ ๆ ตลาดกลางกุ้ง ด้วยมีการพักอาศัยอย่างหนาแน่น แต่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดอาการป่วยรุนแรง เพราะเป็นวัยทำงานสุขภาพแข็งแรง

สำหรับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค

• กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร และโรงพยาบาลสมุทรสาคร ได้ดำเนินการเฝ้าระวัง สอบสวนและค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชน อย่างรวดเร็วตั้งแต่พบผู้ป่วยรายแรก ทั้งนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย ทำให้สามารถสนับสนุนการเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อแล้ว 2,700 รายอย่างรวดเร็ว

• กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อ และนำเข้าสู่การดูแลเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และให้การรักษาต่อไป

• ขอความร่วมมือประชาชน ที่พักผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่พบผู้ป่วย เช่น ตลาดกลางกุ้ง และที่พักบริเวณรอบ ๆ ให้ดำเนินการตามแนวทางที่ฝ่ายปกครองกำหนดอย่างเคร่งครัด

• ส่วนประชาชนในจังหวัดสมุทรสาคร ที่พักอาศัยอยู่นอกพื้นที่ดังกล่าว ขอความร่วมมืองดเดินทางออกนอกจังหวัดสมุทรสาคร

• ประชาชนต่างจังหวัดที่เคยมาติดต่อค้าขายที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม เป็นต้นมา ขอให้เฝ้าระวังสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน (ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส) โดยสวมหน้ากากตลอดเวลา และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น ไม่ควรไปในที่ชุมชน หากเริ่มมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ให้รีบไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ และขอให้สวมหน้ากากขณะเดินทาง หากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัยให้ติดต่อได้ที่สายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค

กระทรวงสาธารณสุข เสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร ในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้ให้สงบ และกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ด้วยมาตรการที่เด็ดขาด และรวดเร็วมีประสิทธิภาพ โดยการควบคุมการเข้าออกพื้นที่และกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดในพื้นที่ระบาดของโรคในพื้นที่เสี่ยง

UN ออกมาแสดงตัวอย่างไว หลังประเทศไทยได้มีการบังคับใช้ ม.112 ต่อกลุ่มผู้ทำผิดกฎหมายในมาตราดังกล่าว ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา

อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNOHCHR ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการใช้ ม.112 ต่อผู้ชุมนุมในไทยนั้น ในเบื้องต้นได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อชี้แจงดังนี้

1.กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทยไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน การใช้เสรีภาพทางวิชาการ หรือการถกเถียงเกี่ยวกับระบอบกษัตริย์ในฐานะสถาบัน กฎหมายนี้มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงในประเทศไทยก็เพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิและชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์ พระราชินี มกุฎราชกุมาร หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในลักษณะเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทสำหรับพลเมืองไทยทุกคน

2.สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกระบวนกฎหมายอาญาในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งนี้หากมีการดำเนินการในกรณีดังกล่าวก็จะเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งในกรณีจำนวนมากก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ

3.ต่อกรณีการตั้งข้อหาผู้ประท้วงวัย 16 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ได้มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของศาลเยาวชน ยิ่งกว่านั้นมันก็เป็นไปตามที่โฆษกของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งประชาชาติที่ได้ระบุระหว่างการแถลงข่าวเองว่า ศาลได้ปฏิเสธคำขอให้มีการคุมขัง พร้อมกับอนุญาตให้ประกันตัวแบบมีเงื่อนไข

4.ขอย้ำอีกครั้งว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผู้ประท้วงไม่ได้ถูกจับกุมเพียงเพราะใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ แต่ผู้ที่ถูกจับกุมได้ละเมิดกฎหมายอื่นๆ ของไทยซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว

อนุชา กล่าวอีกว่า รัฐบาลไทยมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ตราบใดที่การชุมนุมดำเนินการด้วยความสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในระบอบประชาธิปไตย การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ

รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง

บทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะนี้คือการให้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม

รัฐบาลยังมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ชุมนุมจะเข้าร่วมคณะกรรมการสมานฉันท์ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐสภา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และนำมาสู่การหาทางออกในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประชาชนทุกกลุ่ม และนำความสงบสุขกลับสู่สังคมไทย

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีไปยังนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในโอกาสครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ

สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ทำเนียบรัฐบาล กทม. ๑๐๓๐๐

๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓

เรียน ฯพณฯ นายทองลุน สีสุลิด

ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ผมในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ขอร่วมแสดงความยินดีและส่งความปรารถนาดีมายังท่านและประชาชนลาว

ไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นสองรัฐที่มีความใกล้ชิดกันอย่างแนบแน่นคนไทยคนลาวอยู่เคียงข้างกันมาแต่โบราณกาล มีความเข้าใจและผูกพันกันด้วยความใกล้ชิดทางภาษาและวัฒนธรรม ในช่วง ๗๐ ปีที่ผ่านมาของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐสมัยใหม่ ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ผ่านบทพิสูจน์ของกาลเวลาและได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแน่นแฟ้นให้ครอบคลุมทุกมิติบนพื้นฐานของความเข้าใจและเชื่อใจกันซึ่งนำประโยชน์มาสู่ทั้งสองฝ่าย

ผมจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ ๓ ที่นครหลวงเวียงจันทน์เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ไทยกับลาวได้เห็นพ้องยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญที่ทั้งสองประเทศมีต่อกันอย่างแท้จริง และจะเป็นแนวทางที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจที่มีต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเสมอมา

ผมขอให้คำมั่นว่าจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับท่านและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย – ลาว ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ยิ่งขึ้นไป โดยจะมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือที่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนของทั้งสองประเทศ

ในขณะที่ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-๑๙ ผมรู้สึกยินดีที่ทั้งสองประเทศยังคงความร่วมมือที่ใกล้ชิดและมีความมุ่งมั่นที่จะจับมือและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันแม้ในยามยากลำบาก ผมพร้อมจะร่วมมือกับท่านเพื่อช่วยผลักดันการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและของภูมิภาคต่อไป

สุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้ท่าน รัฐบาลและพี่น้องประชาชนชาวลาวประสบความสุขสวัสดีและความเจริญรุ่งเรืองสืบไป

ขอแสดงความนับถือ

(พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา)

นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย

********************************

ด้านนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก็ได้มีสารแสดงความยินดีมายัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

**********************

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

สันติภาพ เอกราช ประชาธิปไตย เอกภาพ วัฒนาถาวร

นายกรัฐมนตรี

นครหลวงเวียงจันทน์

วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓

ฯพณฯ

เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างลาวและไทย ในนามรัฐบาลและประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กล่าวคือ ในนามส่วนตัว ข้าพเจ้ามีความปีติยินดี ส่งคำแสดงความยินดีอันอบอุ่น และพรชัยอันประเสริฐมายัง ฯพณฯ และโดยผ่าน ฯพณฯ ไปยังรัฐบาล และประชาชนไทยทุกถ้วนหน้า

ตลอดระยะเวลา ๗ ทศวรรษ แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการร่วมกันระหว่างสองประเทศลาวและไทย สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมืออันดีงามดังกล่าวได้รับการพัฒนา และเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่องในแต่ละด้านเป็นก้าวๆ ตลอดมา

เห็นได้จากผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองประเทศได้มีการแลกเปลี่ยนเยี่ยมเยือนซึ่งกันและกันอย่างเป็นปกติ กลไกร่วมมือต่างๆ ได้รับการจัดตั้งขึ้น และมีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิผล ทั้งในระดับส่วนกลางและท้องถิ่น ซึ่งทั้งหมดนั้น ได้สร้างเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้แก่การเพิ่มพูนทวีคูณความสัมพันธ์ลาว-ไทย

ข้าพเจ้าให้ความสำคัญต่อสายสัมพันธ์ร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นอย่างสูง ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี ได้แก่ ความร่วมมือทางด้านการค้า-การลงทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือด้านสาธารณสุข การเกษตร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคที่พิเศษ สองประเทศเรามีสะพานข้ามแม่น้ำโขงถึง ๔ แห่ง และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศของพวกเราตั้งแต่เหนือจรดใต้

สิ่งดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยอันสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของสองประเทศของพวกเรา เพื่อนำผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนสองชาติลาวและไทย ซึ่งก็คือของภูมิภาคอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองประเทศของพวกเรายังได้สนับสนุนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิดในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก็คือ ในระยะที่มีการระบาดของโรคโควิด-๑๙ ซึ่งได้เป็นส่วนสำคัญเข้าในการกระชับสายสัมพันธ์มิตรภาพ และความร่วมมือระหว่างสองประเทศลาวและไทยให้นับวันยิ่งหยั่งลึกและแน่นแฟ้นยิ่งๆ ขึ้น

ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดของสองฝ่ายภายใต้กลไกความร่วมมือลาว-ไทย ไทย-ลาว ที่มีอยู่ สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมือที่ดีงามดังกล่าวจะได้รับการสานต่อเพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้น เพื่อก้าวไปสู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อความเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่จะนำเอาผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนสองชาติ กล่าวคือ เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาค และในโลก

ในบรรยากาศแห่งความเบิกบานสนุกสนานและมีความหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์นี้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมืออันดีงามในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียงระหว่างสองประเทศของพวกเรา จงมั่นคงยืนยงอย่างแข็งแกร่งและผลิดอกออกผลอย่างไม่หยุดยั้ง และขออวยพรชัยอันประเสริฐมายัง ฯพณฯ จงมีสุขภาพแข็งแรง มีความผาสุก และประสบผลสำเร็จในภารกิจอันสูงส่งของ ฯพณฯ

ด้วยความนับถืออย่างสูง

ทองลุน สีสุลิด

******************************

ที่มา: หนุ่มโคราช รายงานจาก สปป.ลาว

ซูกซ์ (Zoox) บริษัทใต้ร่วมเงาของ อะเมซอน (Amazon) ยักษ์ค้าปลีกออนไลน์แห่งสหรัฐอเมริกาของ เจฟฟ์ เบโซส์ ได้เปิดตัวรถแท็กซี่ขับเคลื่อนตัวเองอัตโนมัติหรือที่เรียกกันว่าโรโบแท็กซี่ (Robotaxi) รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นของตัวเอง

ความพิเศษของ โรโบแท็กซี่ จาก Zoox นั้น อยู่ที่พลังขับเคลื่อนไฟฟ้า 4 ล้อ ที่สามารถขับขี่ได้ด้วยตัวเองแบบ ‘อัตโนมัติแบบไร้คนขับ’ ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทกำลังทดสอบรถดังกล่าวที่เป็นต้นแบบในแคลิฟอร์เนีย และเนวาดา

Zoox นั้นเป็นบริษัทพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองที่ Amazon เพิ่งซื้อกิจการมาในเดือนมิถุนายน 2020 รถไฟฟ้าของ Zoox สามารถวิ่งได้ทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว เบื้องต้นบริษัทตั้งชื่อรถอัจฉริยะนี้ว่า Zoox ตามชื่อของบริษัทที่มีอายุเกิน 6 ปีแล้วในวันนี้

รถ Zoox ใช้รูปแบบ Carriage ทรงรถม้า ตัวรถสามารถขับเคลื่อนตัวเองได้แบบอิสระ รองรับผู้โดยสารได้ 4 คน สีเบื้องต้นของรถคือสีเขียวมินต์ ตัวรถกะทัดรัดด้วยความยาว 3.63 เมตร สามารถเคลื่อนไหวแบบ bidirectional สองทิศทาง มาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ 2 ก้อนที่ให้พลังงานเพียงพอสำหรับรถวิ่งเป็นเวลา 16 ชั่วโมงก่อนการชาร์จครั้งต่อไป

ภายในรถ Zoox มีม้านั่งสองแถว ตัวรถไม่มีพวงมาลัย สามารถแล่นด้วยความเร็วสูงสุด 75 ไมล์ต่อชั่วโมง ระหว่างเดินทางผู้โดยสารสามารถชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายได้ รวมถึงฟังเพลงผ่านแผงควบคุมส่วนตัวที่สามารถตั้งค่าเพลงและเครื่องปรับอากาศในรถ

ตามข้อมูลจากบริษัท รถ Zoox ยังมีหน้าจอสัมผัสติดไว้ประจำแต่ละที่นั่ง เพื่อให้ผู้โดยสารตรวจสอบเวลาที่มาถึง สถานที่ปลายทาง และเส้นทางที่เดินทางได้แบบปลอดภัย จุดนี้ Zoox ย้ำว่ารถอัจฉริยะสามารถจัดการกับความท้าทายบนท้องถนนที่หลากหลาย เช่น การหลบเบี่ยงรถที่จอดริมทาง การชะลอเพื่อผ่านทางแคบ รวมถึงการยูเทิร์นที่ไม่ปกติ

ปัจจุบัน Zoox ระบุว่า กำลังทดสอบรถต้นแบบในซานฟรานซิสโกและฟอสเตอร์ซิตีในรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงในลาสเวกัส รัฐเนวาดาด้วย เป็นการทดสอบแบบไร้คนขับที่รถขับเคลื่อนตัวเองเต็มรูปแบบ เบื้องต้น ยังไม่มีการเปิดเผยกำหนดการทำตลาดเชิงพาณิชย์ในขณะนี้

แต่ทว่าการเปิดตัวดังกล่าว ก็ยังถือว่าล่าช้ากว่าในเมืองจีนที่เริ่มมีการทดลองให้บริการโรโบแท็กซี่ไปแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 โดยบริษัท AutoXเป็นรายแรกที่นำเอารถแท็กซี่ไร้คนขับแบบสมบูรณ์ลงสู่ท้องถนนของประเทศในเมืองเซินเจิ้น

รับชมเพิ่มเติม: https://www.youtube.com/watch?v=3r7PEl0tMSk&feature=emb_logo

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเสื้อสะท้อนแสงจราจร และเสื้อชูชีพ ให้ส่วนราชการนำไปใช้ในภารกิจช่วยเหลือประชาชนอย่างปลอดภัย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเสื้อสะท้อนแสงจราจร และเสื้อชูชีพพระราชทานให้กับส่วนราชการต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สวมใส่ระหว่างปฏิบัติภารกิจการบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย

สำหรับกองทัพบก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ได้พระราชทานเสื้อสะท้อนแสงจราจร จำนวน 2,000 ชุด และเสื้อชูชีพพระราชทาน จำนวน 2,000 ชุด ให้กับกองทัพบก

โดยเมื่อ 18 ธันวาคม 2563 พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ประกอบพิธีต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ณ กองบัญชาการกองทัพบก ในการส่งมอบเสื้อพระราชทานดังกล่าวให้กับ ผู้บังคับหน่วยในสังกัดกองทัพภาคที่1-4 , หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก ,หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ,กรมการทหารช่าง, กองพลที่ 1รักษาพระองค์ ,กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์

เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กำลังพลได้สวมใส่ในขณะปฏิบัติหน้าที่ในงานด้านงานด้านบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชน ได้อย่างปลอดภัย

การได้รับสิ่งอุปกรณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจแก่กำลังพลกองทัพบก ในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงห่วงใยในความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ที่ออกปฏิบัติงานในสถานการณ์วิกฤติต่างๆเพื่อดูแลช่วยเหลือประชาชนทั้งภัยธรรมชาติ อุบัติภัย หรือการออกปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง และจำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์เครื่องป้องกันที่เหมาะสมเพียงพอให้เกิดความปลอดภัย ทั้งแก่ตนเองและประชาชน จึงได้พระราชทานสิ่งอุปกรณ์เพิ่มเติม

สำหรับ เสื้อสะท้อนแสงจราจรมีสีดำคาดขาว ส่วนเสื้อชูชีพเป็นสีส้ม ทั้ง2แบบ ด้านหน้าอกเสื้อปักตราพระปรมาภิไธย “ว.ป.ร.” ด้านหลังพิมพ์ข้อความ “หน่วยพระราชทาน กองทัพบก”

ประชาธิปัตย์ เฟ้นหาคนรุ่นใหม่ร่วมงานพรรค จัดอบรมยุวประชาธิปัตย์รุ่น 6 คึกคัก เน้นสร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตย และทันสมัย

ดร.สรรเสริญ สมะลาภา รองหัวหน้าพรรคและผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการเยาวชนพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานในการอบรมยุวประชาธิปัตย์ รุ่นที่ 6 กรุงเทพมหานคร โดยมีเยาวชนคนรุ่นใหม่สนใจเข้าร่วมอบรม 120 คน

โดยมีนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค และเลขานุการประธานรัฐสภา นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนขัย รองโฆษกพรรคและโฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายพนาสิน จึงสวนันทน์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เข้าร่วมด้วย

ดร.สรรเสริญ ระบุการอบรมดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม 2563 และมีเนื้อหาการอบรมที่ครอบคลุมทั้งทางด้านพื้นฐานการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจทันสมัยกับการเมืองยุคใหม่ กลยุทธ์การสื่อสารการเมืองในยุคออนไลน์ การแบ่งปันประสบการณ์ทางการเมืองและการทำงานในพื้นที่จากอดีตผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร

รวมถึงกิจกรรมเวิร์คชอปที่เปิด โอกาสให้ผู้เข้าอบรมได้แสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ พรรคฯประชาธิปัตย์ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ยุวประชาธิปัตย์ที่ผ่านการอบรม สามารถร่วมงานกับพรรคได้ตามศักยภาพและความถนัด เพื่อเสริมทัพคนรุ่นใหม่ ให้มาร่วมขับเคลื่อนพรรคภายใต้แนวคิดอุดมการณ์ ทันสมัย

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (19 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 34 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,331 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 19 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,024 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 247 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 34 ราย เป็นคนไทย 9 ราย สัญชาติอเมริกัน 3 ราย เยอรมัน 1 ราย

อังกฤษ 2 ราย รัสเซีย 1 ราย บังกลาเทศ 2 ราย อาร์เจนตินา 1 ราย แคนนาดา 1 ราย

อินเดีย 1 ราย อิตาลี 1 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเคนยา 1 ราย ,เยอรมนี 2 ราย ,สหรัฐอเมริกา 2 ราย,บาห์เรน 1 ราย,สหราชอาณาจักร 4 ราย ,รัสเซีย 1 ราย,บังกลาเทศ 2 ราย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย,ไต้หวัน 1 ราย ,นามิเบีย 2 ราย ,เนเธอร์แลนด์ 1 ราย,ซาอุดีอาระเบีย 2 ราย, อินเดีย 1 ราย,อิตาลี 1 ราย โดย ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

(State Quarantine , Alternative State Quarantine)

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 148 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 345 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.5 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.32 แสน เสียชีวิต 19,514 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 36 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 90,816 ราย รักษาหายแล้ว 75,244 ราย เสียชีวิต 432 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.14 แสน ราย รักษาหายแล้ว 92,916 ราย เสียชีวิต 2,398 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.57 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.21 แสน ราย เสียชีวิต 8,875 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,386 ราย รักษาหายแล้ว 58,265 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,410 ราย รักษาหายแล้ว1,266 ราย เสียชีวิต 35 ราย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top