Tuesday, 20 May 2025
NEWS FEED

ขณะที่คนไทยและคนทั่วโลกยังต้องเผชิญกับวิกฤตโรคโควิด-19 ท่ามกลางความคาดหวังเรื่องวัคซีนที่จะช่วยให้สถานการณ์การระบาดจบลงโดยเร็ว แต่รู้หรือไม่? ยังมีภัยด้านสุขภาพที่รุนแรงและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในลำดับต้น ๆ ของคนไทยซ่อนอยู่อีก

นั่นคือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-Communicable Diseases) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ เช่น การรับประทานอาหารรสจัด ไขมันสูง การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ พักผ่อนน้อย มีความเครียดสูง ฯลฯ

จากข้อมูลของหนังสือ ‘ThaiHealth WATCH 2021 จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย ปี 2564’ โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้รายงานเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค NCDs ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในแต่ละปี โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคอ้วน พบว่า เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการได้รับโรคอุบัติใหม่ และเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยทั่วไป ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงโรคโควิด-19 ที่พบว่ามีความเสี่ยงอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า

ที่น่ากังวลคือ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงจาก 6 โรคกลุ่ม NCDs ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคอุดกั้นเรื้อรัง และโรคไตวายเรื้อรัง หากติดเชื้อโควิด-19 จะมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต เพราะเป็นโรคที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายและระบบทางเดินหายใจโดยตรง

สำหรับแนวทางป้องกันความเสี่ยง แนะนำให้คนไทยปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ด้วยการดำเนินชีวิตใหม่ ทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ยงอาหารรสเค็มจัด หวานจัด มีไขมันสูง พร้อมเพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ควบคู่กับการปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ และเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งไม่เพียงเพื่อปกป้องตนเองจากโรค แต่ยังเสริมสร้างสุขอนามัยให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งถือเป็นวัคซีนป้องกันตนเองที่ดีที่สุด

ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีเชิงป้องกัน ‘ไทยประกันชีวิต’ ได้จัดโครงการ ‘ไทยประกันชีวิต ไลฟ์ฟิต’ เพื่อมอบความฟิตในทุกด้านของชีวิต ภายใต้แนวคิด “Circle of Wellness” 4 มิติ ได้แก่...

- Self การดูแลสุขภาพร่ายกายให้แข็งแรง

- Sense การเสริมสร้างจิตใจให้มีความสุข

- Stability การสร้างความมั่นคงทางการเงิน

- และ Spirit การสร้างคุณค่าชีวิตผ่านการให้และแบ่งปัน

นอกจากจะมอบความคุ้มครองและการดูแลตามเงื่อนไขกรมธรรม์ของโครงการฯ แล้ว บริษัทฯ ยังจัดกิจกรรมด้านสุขภาพต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ สามารถสะสมคะแนนเป็นส่วนลดเบี้ยประกันภัยตามเงื่อนไข พร้อมรับสิทธิพิเศษหลากหลาย ถือเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์การวางแผนการดูแลชีวิตและสุขภาพที่คุ้มค่าให้กับคนไทยในยุคปัจจุบัน

‘แอมมี่’ โดนแล้ว!! ศาลอนุมัติหมายจับ 'แอมมี่ The bottom blues' เหตุร่วมเผาหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม

จากกรณีคนร้ายลอบวางเพลิงเผาทรัพย์ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นตำรวจร่วมกับกรมราชทัณฑ์ ทราบว่ามีผู้ก่อเหตุ 3 ราย ชาย 2 หญิง 1 ใช้รถยนต์ในการก่อเหตุ

ซึ่งตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อขอหมายศาลออกหมายจับ รวมถึงการสั่งการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นการขยายผล การตรวจสอบเส้นทาง จนได้ทราบว่าเกี่ยวกับกลุ่มการเมือง

ล่าสุด มีรายงานว่าศาลอาญา รัชดา ได้อนุมัติหมายจับ นายไชยอมร แก้ววิบูลพันธุ์ หรือ ‘แอมมี่ The bottom blues’ กับพวกอีก 2 คน ที่ 429/2564 ลง 2 มีนาคม 2564 ในข้อหาความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ทั้งนี้พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับนักร้องชายชื่อดัง และเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ชุดสืบสวนไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว พาหนะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุจนทราบมีผู้ก่อเหตุทั้งหมด 3 คน โดยนักร้องดังเป็นผู้ลงจากรถไปก่อเหตุวางเพลิง

ส่วนอีก 2 คนอยู่ในรถดังกล่าว และชุดสืบสวนอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคลให้ชัดเจน จากการสืบสวนพบว่า นักร้องที่ลงมือก่อเหตุ ป่วยรักษาตัวอยู่ที่ รพ.พระรามเก้า และยังไม่ทราบว่าป่วยเป็นอะไร ชุดสืบสวน กก.สส.บก.น.2 และฝ่ายสืบสวนสน.ประชาชื่น นำกำลังไปที่โรงพยาบาลแล้ว หากศาลอนุมัติหมายจับก็จะนำหมายไปแจ้งข้อหา และควบคุมตัวทันที รวมทั้งประสานแพทย์ว่าสามารถย้ายไปควบคุมที่รพ.ตำรวจ ได้หรือไม่


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/94772

https://www.prachachat.net/politics/news-623090

'หมอยง' อธิบายชัด ‘Sinovac’ วัคซีนเชื้อตาย ป้องกันการติดเชื้อได้ดี โดยเฉพาะการข้ามสายพันธุ์ของไวรัส

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

โควิด 19 วัคซีน Sinovac วัคซีนเชื้อตาย

ในระบบภูมิคุ้มกัน การผลิตวัคซีนส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นสร้างภูมิต้านทานต่อหนามแหลม (spike) ของไวรัสที่ยื่นออกไป เช่นวัคซีน mRNA, virus Vector

แต่ในความเป็นจริง ในระบบภูมิต้านทานของร่างกายอาจจะยับยั้งไวรัสไม่เฉพาะหนามแหลม spike protein ยังมีแกนเปลือก nucleocapsid

ในการตรวจวัดภูมิต้านทาน เราสามารถตรวจ antibody ต่อการแกนเปลือก นี้ได้ด้วย ซึ่งอาจจะมีความสำคัญช่วยเสริมในระบบภูมิต้านทาน ในการต่อต้านการติดเชื้อของไวรัสก็เป็นได้

วัคซีนเชื้อตาย จะมีส่วนประกอบของตัว กระตุ้นภูมิต้านทานหลายอย่างคล้ายกับไวรัสในธรรมชาติ มากกว่าการสร้างเฉพาะส่วนหนามแหลม จำเป็นจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ในระบบภูมิต้านทานโดยเฉพาะส่วนอื่นที่ไม่ใช่หนามแหลม spike

ดังนั้น วัคซีนเชื้อตาย ที่ทำมาจากไวรัสทั้งตัว อาจจะป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่า โดยเฉพาะการข้ามสายพันธุ์ของไวรัส โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ในส่วนหนามแหลม เพราะมีส่วนอื่นเข้ามาช่วยเสริมก็เป็นได้

ครูหยุย - วัลลภ ประกาศชัด ไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหตุห่วงพระราชอำนาจของสถาบันเบื้องสูงถูกละเมิด ยืนยันเจตจำนงไร้ใบสั่งใดๆ

นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์เพื่อยืนยันต่อจุดยืนไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘วาระสาม’ ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ช่วงกลางเดือนมีนาคมหลังจากพ้นระยะเวลา 15 วัน เนื่องจากตนกังวลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราที่ว่าด้วยพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่บัญญัติไว้ในมาตราอื่น ๆ นอกจากหมวด 2 พระมหากษัตริย์

ทั้งนี้การแสดงจุดยืนของตนดังกล่าวไม่เกี่ยวกับกระแสข่าวที่มีใบสั่งจากผู้มีอำนาจไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาตนไม่ขัดข้องต่อการกำหนดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อทำรัฐธรรมนูญใหม่ หรือการแก้ไขการออกเสียงวาระรับหลักการและวาระเห็นชอบรัฐธรรมนูญ

แต่เมื่อส.ว.บางส่วนกังวลต่อการละเมิดพระราชอำนาจและขอให้บัญญัติไว้ ไม่ได้รับการตอบรับ ตนจึงให้คำยืนยันว่าจะไม่ลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขวาระสาม

“ใครจะด่าก็ช่าง เพราะผมถือว่าได้ทำหน้าที่ หากจะถามถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่ละด้านล้วนมีผลกระทบเกิดขึ้นทั้งหมด สำหรับรายละเอียดในความกังวลต่อสถาบัน ที่ส.ส.ไม่รับไว้พิจารณานั้น ทราบว่า ส.ว.ที่ขอแปรญัตติไม่สบายใจ แต่ผมไม่ทราบว่าพวกเขาจะลงมติอย่างไร” นายวัลลภ กล่าว

นายวัลลภ กล่าวด้วยว่าสำหรับการนัดประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติวาระสาม เชื่อว่านายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะนัดเมื่อครบกำหนดพ้น 15 วัน เพราะนายชวนเป็นผู้ที่มีหลักการหนักแน่น และไม่ต้องรอเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนรัฐบาลฐานะผู้ที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนขอพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัยเชื่อว่าจะไม่มีอะไรตุกติก เพราะรัฐบาลถือว่าเป็นผู้ใหญ่


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/224233

“นภาพร” แนะ “บิ๊กตู่” ปรับรัฐมนตรีไร้ผลงานออก ล็อกเป้าเน้น “มท.1” ไม่เคยทำอะไรเพื่อพัฒนาการปกครองส่วนท้องถิ่น ย้ำ! “บิ๊กตู่” อย่าฟังแต่เสียงกลุ่มก๊วนในพรรคร่วมรัฐบาล

นางสาวนภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เห็นว่าการปรับ ครม.ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นโอกาสสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์แล้วว่าจะปรับเพื่อตอบสนองความต้องการของ ส.ส.ในพรรครัฐบาลหรือจะปรับเพื่อเอาคนดีมีฝีมือเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ถ้าจะปรับเพื่อเล่นเก้าอี้ดนตรีในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล ก็เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะแค่เห็นรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาแทนแล้ว ชาวบ้านได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่มีประวัติผลงานอะไรให้เชื่อถือได้เลย

“คนที่ควรจะถูกปรับออกไปก็อย่างเช่น พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขประชาชน แต่เราแทบไม่เคยเห็น มท.1 ลงพื้นที่เลย โดยเฉพาะในจังหวัดที่ชาวบ้านเดือดร้อนจากโควิด เห็นแต่ผู้ว่าลงไปช่วยจนติดเชื้อ นอกจากเรื่ององค์การทหารผ่านศึกรับงานขุดลอกคูคลองหรือการซอยงานขุดลอกคูคลองให้เหลือโครงการละไม่เกิน 5 แสนบาทเพื่อหลบเลี่ยงการประมูล เราเคยเห็นผลงานอะไรของเขาอีกบ้าง แค่เป็นพี่น้อง 3 ป.ก็นั่งหล่อในคลองหลอดได้ถึง 7 ปี แต่ไม่เคยทำอะไรให้กับการปกครองท้องถิ่นเลย นอกจากจับพวกเขาแช่แข็งตอนยึดอำนาจ” น.ส.นภาพร กล่าว

น.ส.นภาพร กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีหลายคนใน ครม.ชุดนี้โลกลืม ไม่เคยปรากฎเป็นข่าว ไม่มีผลงานใดใดให้จับต้องได้ นอกจากมีข่าวว่าชอบมุดไปบ้านพักบ้านป่ารอยต่อเป็นประจำ อย่างอื่นก็ไม่เห็นมีผลงานอะไรให้ชาวบ้านพูดถึง หรือหลายคนมีบาดแผลจากการถูกอภิปรายแต่ชี้แจงอะไรไม่ได้ และกำลังจะถูกฝ่ายค้านร้องไปยัง ปปช. ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ควรถือโอกาสปรับคนเหล่านี้ออกไป ไม่ใช่ไปฟังแต่เสียงกลุ่มก๊วนในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะทำให้อายุของรัฐบาลสั้นลงไปทุกที

‘ทัพไทย’ ยันลงโทษแพทย์ทหาร หลอกฉีดวัคซีนกำลังพลในเซาท์ซูดาน - พร้อมดำเนินคดี อยู่ระหว่างการจับกุมตามหมายจับ ระบุเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ยอมรับไม่ผ่านการคัดเลือกก่อนส่งไปปฏิบัติหน้าที่ เผยเรื่องนี้ยูเอ็นไม่ติดใจ

กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.ท.เชาวลิตร สังฆฤทธิ์ โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมด้วย พล.ต.ณัฐพล แสงจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์สันติภาพ กรมยุทธการทหาร แถลงข่าว กรณีกำลังพลร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน (UNMISS) ประพฤติผิดวินัยร้ายแรงในการหลอกลวงฉ้อโกงเงินกำลังพลเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธ์แอฟริกาช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวว่า ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าว เกี่ยวกับนายทหารที่ไปปฏิบัติภารกิจที่เซาท์ซูดานถูกสอบสวนกรณีหลอกลวงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในประเทศแอฟริกานั้น กองบัญชาการกองทัพไทย ขอเรียนว่าเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องจริงเมื่อปี 2563 โดยนายทหารสัญญาบัตรยศร้อยโท ตำแหน่งนายแพทย์โรงพยาบาลสนามระดับ 1กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ไทย/เซาท์ซูดาน

อย่างไรก็ตาม ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและรายงานให้ผู้บังคับบัญชากองกำลังภารกิจสหประชาชาติในเซาท์ซูดาน และกองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยต้นสังกัดทราบแล้ว พร้อมทั้งให้กำลังพลดังกล่าวจบภารกิจและส่งตัวกลับประเทศไทย เมื่อ มี.ค 2563

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกองทัพไทยและประเทศไทยในภารกิจร่วมสหประชาชาติ ซึ่งต่อกรณีดังกล่าว ทางกองทัพไทยได้ดำเนินการอย่างทันท่วงที โดยไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิดแต่อย่างใด และกองทัพบกในฐานะเป็นต้นสังกัดกำลังพลดังกล่าว ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง รวมถึงพิจารณาในประเด็นมาตรฐานทางจริยธรรมควบคู่กันไป

สำหรับผลการสอบสวนสรุปว่า นายทหารท่านดังกล่าวได้กระทำผิดจริง มีพฤติกรรมหลอกลวงผู้บังคับบัญชาและกำลังพล ให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยแอบอ้างว่าเป็นคำสั่งของนายแพทย์ประจำภารกิจ แต่กลับนำสารอื่นเข้าสู่ร่างกายกำลังพลแทน พร้อมทั้งได้เรียกเก็บเงินกำลังพลเป็นค่าวัคซีนด้วย แสดงถึงเจตนาทุจริตหลอกลวง พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายฉ้อโกงและประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ในระหว่างการสอบสวนนายทหารคนดังกล่าวไม่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการ และไม่สามารถติดต่อได้ หน่วยต้นสังกัดจึงได้ดำเนินการในฐานความผิดหนีราชการในเวลาประจำการ และเสนอปลดออกจากราชการ พร้อมกันนี้ศาลทหารกรุงเทพ ได้ออกหมายจับในข้อหาหนีราชการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนั้นได้มีหนังสือถึงแพทยสภาให้พิจารณา เพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา ในระหว่างนี้แพทยสภาจะให้โอกาสนายแพทย์คนดังกล่าวมาชี้แจงอีกครั้ง หลังจากเรียกมาให้ข้อมูลครั้งนึงแล้ว หากไม่มาก็จะถอนใบประกอบวิชาชีพต่อไป

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอเรียนว่าเป็นการกระทำผิดส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่ผิดวินัยทหารและกฎหมาย รวมทั้งสร้างความเสื่อมเสียร้ายแรงต่อชื่อเสียงของกองทัพและประเทศชาติ กองทัพไทยได้ดำเนินการตามกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยทันที เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงได้ดำเนินการเรื่องจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเวชกรรมทั้งนี้เพื่อป้องกันผลกระทบและสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนทั่วไป”โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางกองกำลังสหประชาชาติก็มีความเข้าใจในกระบวนการที่กองทัพไทยได้ดำเนินการต่อเรื่องดังกล่าว โดยเหตุการณ์ดังกล่าวไม่กระทบต่อภารกิจโดยรวมของกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ซึ่งกำลังพลทุกนายยังทุ่มเทปฏิบัติงานด้านการช่างและการรักษาสันติภาพที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวว่า ตั้งแต่มีการจัดกองกำลังไปปฏิบัติงานในนามของสหประชาชาติไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกเนื่องจากที่ผ่านมาเรามีกระบวนการคัดเลือกบุคลากร ศึกษาถึงภูมิหลัง สอบถามผู้บังคับบัญชา แต่กรณีของนายแพทย์คนดังกล่าว ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการคัดเลือก เนื่องจากไปแทนนายแพทย์คนเดิมที่ต้องกลับมาประเทศไทยในช่วงนั้น จึงเป็นเรื่องกะทันหันไม่ได้มีการพิจารณาตามขั้นตอนต่างๆ

โฆษกกองทัพไทย กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ นายแพทย์คนดังกล่าว ยอมรับกับ ผบ.ร้อยทหารช่างฯ เองว่าทำคนเดียวไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยได้จัดซื้อวัคซีนจากประเทศอินเดีย ซึ่งทางยูเอ็นนำไปตรวจสอบ พบว่า เป็นวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักไม่ใช่ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์แอฟริกา ส่วนกำลังพลที่เสียหายไม่ได้ติดใจอะไร เนื่องจากจำนวนเงินที่เสียหายต่อคนประมาณแค่ 500 บาท รวมกำลังพลกว่า 200 นายรวมจำนวนแล้วประมาณ 1.7 แสนกว่าบาท ซึ่งไม่ได้เป็นจำนวนเงินมากมาย แต่สิ่งที่ตระหนัก คือ เรื่องของคุณธรรมจริยธรรม

ส่วนกรณีที่แพทย์คนนั้นได้อ้างว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งเป็นโรคที่ห้ามเป็นทหารนั้น ไม่ขอตอบประเด็นนี้ แต่การเป็นทหารและเรียนการแพทย์ทหารบก ทั้งสมองและร่างกายจะต้องมีความแข็งแรงสมบูรณ์ จะไม่รู้เจตนาว่าทำไปทำไม อีกทั้งตัวเขาเองนั้นก็ยศร้อยโท อายุไม่มากนัก ส่วนร่างกายที่อ้างว่าถูกกำลังพลของกองร้อยทหารช่างฯคุกคามข่มขู่นั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะจากการสอบถามกำลังพลทั้งหมดให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันในขณะที่ทบ. และแพทยสภาเปิดโอกาสให้ชี้แจง ตัวเขาก็ไม่มาชี้แจง

พล.ต.ณัฐพล กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลที่เดินทางไปในพื้นที่ดังกล่าวจะมีมาตรฐานจากยูเอ็นกำหนดไว้ โดยก่อนออกเดินทางทุกคนจะได้รับวัคซีน 3ชนิดคือ ไข้เหลือง, กาฬหลังแอ่น, อหิวาตกโรค หากมีความต้องการฉีดเพิ่มต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งช่วงดังกล่าวมีการแพร่ระบาดโควิด และมีการแนะนำว่าหากฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยไม่ให้ติดเชื้อ โควิด-19 ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการส่งแพทย์คนดังกล่าวไปแทนคนเก่านั้น ก็เป็นเหตุสุดวิสัย

การบินไทยยื่นแผนฟื้นฟู ตั้ง ‘ปิยสวัสดิ์ - จักรกฤศฎิ์’ บริหาร เตรียมปรับโครงสร้างองค์กรกระชับขึ้น ลดจำนวนผู้บริหาร ลดขั้นตอนการบังคับบัญชา เพื่อดำเนินงานได้คล่องตัว

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้การบินไทยได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการจนแล้วเสร็จและได้ยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วตามกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย โดยขั้นตอนจากนี้เจ้าหนี้จะได้รับสำเนาแผนฟื้นฟูกิจการจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อไป ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้เป็นตามที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้การบินไทยฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2563

“การบินไทยได้พยายามอย่างเต็มที่ในการจัดเตรียมแผนฟื้นฟูกิจการที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมกับเจ้าหนี้ทั้งหลายมากที่สุด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแผนฟื้นฟูกิจการฉบับนี้จะได้รับการยอมรับจากเจ้าหนี้และได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยในเบื้องต้น คณะผู้ทำแผนเสนอให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และนายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล เป็นผู้บริหารแผนที่จะบริหารและจัดการธุรกิจภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการต่อไป”

สำหรับผู้ทำแผนได้เตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการตามแผนเอาไว้เป็นอย่างดีและได้ดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงไปแล้วดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เช่น ได้เตรียมแผนการประกอบธุรกิจ ได้เริ่มเตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับขึ้น ในส่วนของพนักงาน มีการลดจำนวนผู้บริหาร อีกทั้งยังมีการลดขั้นตอนการบังคับบัญชา เพื่อให้การดำเนินงานต่างๆ คล่องตัวขึ้น คณะผู้ทำแผนจึงมั่นใจได้ว่าผู้บริหารแผนจะสามารถดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้การบินไทยกลับมาประกอบธุรกิจได้

นายกฯ แจ้ง ครม.ปรับไว ปลาย มี.ค.- ต้น เม.ย. วอนการเมืองหยุดกระเพื่อม ลั่นทุกกระทรวงต้องไม่มีทุจริต ในฐานะนายกฯ ต้องทำประเทศปลอดภัย สงบสุข มีเสถียรภาพ ทั้งความมั่นคง - ศก.- สังคม - การเมือง

ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับโฉมหน้ารัฐบาลบิ๊กตู่ 2/3 ว่าจะได้ยลโฉมเมื่อไร และคาดว่าจะดูดีขึ้นหรือไม่ว่า เร็วๆ นี้ ได้มีการหารือกับพรรคการเมืองไว้เรียบร้อยหมดแล้ว สุดท้ายเป็นเรื่องของนายกฯ ตัดสินใจ ก็จะต้องทำให้เร็วที่สุด และวันนี้เป็นการแต่งตั้งรักษาการเป็นการชั่วคราว ก็คงไม่นานนัก และเป็นการสานต่อแนวทางเดิมจนกว่าจะมีรัฐมนตรีว่าการคนใหม่ขึ้นมาก็แค่นั้นเอง

เมื่อถามว่าการปรับ ครม.ที่มีข่าวว่านายกฯ แจ้งในที่ประชุมว่าจะปรับให้เสร็จภายในเดือน มี.ค. หรือต้น เม.ย. ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แล้วยังไง เมื่อถามว่าประชาชนอยากรอดู นายกฯ กล่าวว่า ก็รอสิ ปลาย มี.ค. หรือต้น เม.ย. ก็จะทำให้เร็วที่สุด ทำไมต้องเอาคำพูดนี้ไปแปลเป็นอย่างอื่นอีก มันจบตั้งแต่ความหมายตรงนี้แล้ว ทำไมต้องอธิบายซ้ำอีก ไม่เข้าใจ เมื่อถามว่าจะพิจารณาปรับเฉพาะตำแหน่งที่ว่างลงอย่างเดียวหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า กำลังคิดอยู่ เมื่อถามว่ามีพรรคร่วมรัฐบาลแสดงเจตนารมณ์ขอปรับรัฐมนตรีในส่วนของตัวเองหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มี หรือถ้ามีเดี๋ยวเขาก็บอกมาเอง แต่จากการพูดคุยกับหัวหน้าพรรคก็ยังไม่มี

“มันขัดแย้งกันเยอะอยู่แล้ว อย่าเอาอะไรกันอีกเลย ผมคิดว่าสามารถควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ดี ทั้งการเมือง และการบริหารแผ่นเดิน เราอยู่อำนาจบริหารก็ต้องบริหาร นิติบัญญัติก็อยู่นิติบัญญัติ ตุลาการก็อยู่ตุลาการ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่าที่นายกฯ บอกว่าคุยกับพรรคร่วมแล้วมีการปรับโควตาใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้ยังเหมือนเดิม เมื่อถามว่าพรรคเล็กมีการรวมตัวแถลงข่าวขอเก้าอี้ นายกฯ กล่าวว่า ก็แถลงไป เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคที่จะไปคุยกัน ตนพูดอะไรก็ชอบไปแปลความกันต่อ ตนไม่ได้โมโหอะไรเลย และก็ชอบไปพูดกันว่านายกฯ เครียด ไม่ได้เครียดอะไร แต่เครียดเพราะคำถามเธอนั่นแหละ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ในเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ หลายอย่างดีขึ้น ซึ่งเกิดจากมาตรการรัฐ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว 3 วันที่ผ่านมาจะเห็นว่าตัวเลขการสั่งจองโรงแรมต่างๆ สูงขึ้น มีการใช้มาตรการคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกัน ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลทยอยออกมาเป็นลำดับ ตรงนี้เป็นไปตามแผนงาน ตามงบประมาณที่มีอยู่ รวมถึงงบเงินกู้ด้วย

“เพียงแต่ขอความร่วมมือ ความเข้าใจกับทุกท่าน ประชาชนทุกคนอันเป็นที่รักยิ่งของผม ช่วยกันทำให้ประเทศชาติเราเข้มแข็ง อย่ามุ่งหมายแต่ทำลายกัน มันไม่ถูกต้อง ประเทศไทยเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของพวกเรามายาวนาน ประกอบอาชีพมายาวนาน ฉะนั้นอะไรก็ตามที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ผมเองไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น ผมดำรงตนในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล ด้วยเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นในการที่จะทำให้ประเทศชาติของเราปลอดภัย สงบสุข มีเสถียรภาพ

ทั้งเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม เรื่องของการเมืองและเรื่องของอะไรต่าง ๆ วันนี้ผมได้พูดกับ ครม.ทั้งหมด ขอบคุณในความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ที่ทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จมาในระดับเป็นที่น่าพอใจ และวันนี้มีหลายวีดิทัศน์ที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยในหลายมิติด้วยกัน

ซึ่งทุกกระทรวงจะทยอยออกมาตามระยะเวลา ไม่ว่าจะเป็นรายวัน รายเดือน หรือราย 3 เดือนต่างๆ ก็จะรวบรวมว่ามีอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทยบ้าง เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเอาไปบิดเบือนทั้งหมด นั่นคือปัญหาของบ้านเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือความรักความสามัคคีของพวกเรา อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญกว่าอย่างอื่นในขณะนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว


ที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9640000020385

ศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก ‘สม รังสี’ พร้อมนักการเมืองฝ่ายค้านอีก 8 คน ฐานมีแผนการโค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ศาลกรุงพนมเปญในกัมพูชาตัดสินจำคุกสม รังสี อดีตแกนนำพรรคฝ่ายค้าน เป็นเวลา 25 ปี ฐานมีแผนการโค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน รวมถึงพยายามโจมตีเพื่อก่อให้เกิดอันตรายแก่ราชอาณาจักรกัมพูชา นอกจากนี้ ศาลยังตัดสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งและลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอีกด้วย

โดยรังสีแถลงการณ์ผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า "การตัดสินครั้งนี้เกิดจากความอ่อนแอและความกลัว นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กลัวความเสี่ยงที่ผมจะกลับสู่วงการการเมืองกัมพูชาและหวั่นว่าจะมีการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมซึ่งจะนำไปสู่จุดสิ้นสุดของระบอบเผด็จการของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ทั้งนี้ รังสี ลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2015 เพื่อหลบเลี่ยงการถูกจำคุกในความผิดหลายคดีที่ระบุว่า มีแรงจูงใจทางการเมือง โดยคดีล่าสุดเกี่ยวข้องกับการที่เขาพยายามจะเดินทางกลับกัมพูชาในปี 2019 ซึ่งถูกตัดสินว่าเป็นการพยายามโจมตีเพื่อก่อให้เกิดอันตรายแก่ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เคยกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าเป็นความพยายามก่อรัฐประหาร

นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองฝ่ายค้านอีก 8 คนรวมถึงภรรยาของรังสี ถูกตัดสินจำคุกระหว่าง 20 ถึง 22 ปีเช่นเดียวกัน

ด้านองค์การเพื่อสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกประณามการตัดสินจำคุกครั้งนี้ว่า เป็นการจงใจไม่ให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้เดินทางกลับประเทศกัมพูชา และยังเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ชาวกัมพูชาอีกด้วย


ที่มา : www.posttoday.com/world/646754

‘อริย์ธัช’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคกล้า อัดรัฐบาลสื่อสารสับสน หวั่นทำคนกลัวการฉีดวัคซีน

วันนี้ (2 มี.ค.) นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตสวนหลวง พรรคกล้า ให้ความเห็นต่อการรับมือสถานการณ์โควิด - 19 ด้วยการฉีดวัคซีนว่า วัคซีนเป็นทั้งความหวังและอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคในครั้งนี้ โดยจะเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ทั้งในด้านสาธารณะสุขและทางเศรษฐกิจ ข่าวดีก็คือเวลานี้ ทั่วโลกฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 220 ล้านโดส พบว่า ประเทศที่มีการฉีดครอบคลุมไปแล้วจำนวนมากอย่าง อิสราเอล ที่ฉีดเข็มแรกไปคลุมประชากรไปแล้วกว่า 80 เปอร์เซนต์ มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงกว่าครึ่งและมีอัตราการตายต่อวันลดลงชัดเจน

สะท้อนว่าการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้คนหมู่มากสามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงก็มีน้อยมาก ในด้านเศรษฐกิจ พบว่า บรรดาประเทศที่มีการฉีดวัคซีนหมู่จำนวนมากสามารถกลับเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ รวมถึงการเปิดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่มีการตกลงระหว่างกันหรือที่เรียกว่า ทราเวลบับเบิ้ล ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีคแล้วเข้าประเทศไม่ต้องมีการกักตัวใดๆ เช่น กรีซกับอิสราเอล เป็นต้น

นายอริย์ธัช กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทยก็มีข่าวดีเช่นกันคือ ได้รับวัคซีนล็อตแรกแล้ว เป็นวัคซีนชิโนแวค จากประเทศจีน หลังจากนั้นก็จะมีวัคซีนจากแอสตราซิเนนกา เข้ามาอีกชุด นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่าจะมีการสั่งวัคซีนเข้ามาเพิ่มอีกจำนวนมากจากบริษัทต่าง ๆ เพื่อคืนสถานการณ์ปกติกลับมาให้ประเทศได้เร็วขึ้นจากแผนเดิม ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าเรื่องการสื่อสารของรัฐบาลยังคงเป็นปัญหาสำคัญ เพราะที่ผ่านมามีความสับสนไม่แน่นอนจนทำให้ประชาชนเริ่มขาดความเชื่อมั่นและอาจนำไปสู่การปฏิเสธการฉีดวัคซีนได้ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ ถ้าเป็นไปได้จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องรู้ตัวและเร่งปรับแก้ไขโดยด่วน

“การที่วันหนึ่งบอกว่านายกรัฐมนตรีจะฉีดเป็นคนแรกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น พออีกวันหนึ่งก็มาแก้ข่าวกัน ว่าไม่ฉีดแล้วเพราะปัญหาธุรการ พออีกวันหนึ่งก็บอกใหม่ว่าเป็นเพราะอายุมากเกินจะฉีดวัคซีนชนิดนี้ นี่คือปัญหาสำคัญในด้านการสื่อสารโดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ เพราะการเปลี่ยนสารบ่อยๆสุดท้ายก็จะกลายเป็นข้อกังขา ทำให้ประชาชนรู้สึกกลัวและไม่กล้าฉีดวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนชิโนแวค ซึ่งเป็นวัคซีนล็อตแรกนำเข้ามา

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการพูดถึงกันมากถึงประสิทธิภาพของวัคซีนว่ายังไม่แน่นอนเพราะมีผลแตกต่างกันมากในหลายประเทศ บางประเทศมีประสิทธิภาพเพียงมากกว่าร้อยละ 50 นิดหน่อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าหลายประเทศปฏิเสธที่จะฉีดวัคซีนชนิดนี้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพราะมองว่าเป็นหน้าด่านที่มีความใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและจะไม่ฉีดให้กับผู้ที่มีอายุสูงกว่า 60 ปี” นายอริย์ธัช กล่าว

นายอริย์ธัช ยังกล่าวต่อว่า ความจริงแล้วในเรื่องนี้สามารถชี้แจงได้ด้วยการให้รายละเอียดทางการแพทย์มาประกอบเพื่อสร้างความเข้าใจและรับรู้ตรงกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เหมือนที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ยืนยันว่า วัคซีนชิโนแวค มีประสิทธิภาพลดความรุนแรงของโรค โดยป้องกันการป่วยที่มีอาการน้อยต้องพบแพทย์แบบผู้ป่วยนอกได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และป้องกันการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ไม่ต้องพบแพทย์ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ต้องสื่อสารให้ประชาชนรับทราบโดยตลอด และควรวางแผนการฉีดให้สอดคล้องกับกลุ่มประชากร เช่น หากหลายประเทศมีข้อกังวลในการฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ เราก็อาจยึดมาเป็นแนวทาง

โดยใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าในการฉีดคุ้มกันให้ด่านหน้าและกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ส่วนวัคซีนชิโนแวคซึ่งได้รับการยอมรับเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ก็ควรเลือกใช้กับกลุ่มประชากรที่แข็งแรงและมีความเสี่ยงน้อย ถ้ามีความชัดเจนแบบนี้แต่แรก ไม่รีบพยายามสื่อสารเพียงเพราะต้องการให้หน้าให้ตาใครบางคนให้ได้ซีนมากเกินไป แล้วว่ากันไปตามข้อมูลทางการแพทย์ก็คงไม่ต้องมาจับตาว่าใครคนไหนจะฉีดเป็นเข็มแรก จนกลายเป็นความสับสนซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมของแผนวัคซีนเลย


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000020277


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top