Tuesday, 29 April 2025
NEWS FEED

'รุุ้ง' ออกตัว​ ไม่มีการ์ดคนไหนพกระเบิดปิงปองมาที่ชุมนุม​ มั่นใจชุมนุมหน้าสภาฯ วันนี้ยึดสันติ

น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำม็อบคณะราษฏร โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊กระบุว่า...

ด่วน! มีคนปล่อยข่าวเท็จว่าแนวร่วมมธ. และ We Volunteers จะนำระเบิดปิงปองมา 40 ลูก เพื่อสร้างภาพความรุนแรงในม็อบ

เราขอยืนยันตรงนี้ว่า ไม่จริง และไม่มีทางเป็นไปได้ พวกเราไม่สนับสนุนความรุนแรงทุกรูปแบบ และเรายึดถือแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด

และขอความร่วมมือจากทุกคนมา ณ ที่นี้ว่ารบกวนไม่พก/นำอาวุธทุกชนิดมาที่ม็อบอย่างเด็ดขาดนะคะ เราต้องการสร้างสังคมที่เป็นมิตรต่อกัน หาใช่การรบกันไม่

และขอให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา และคอยห้ามปรามกันด้วยหากมีใครที่พยายามจะสร้างความรุนแรงในม็อบ

สำหรับหัวข้อที่จะเน้นในวันนี้​ คาดว่าจะเกี่ยวกับการปราศรัย​ ที่สุดท้ายแล้วผลการอภิปรายในสภาก็ไม่สามารถตอบโจทย์ และแก้ปัญหาอะไรให้ประชาชนได้ ซึ่งการที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหว ก็เป็นเพราะเหตุนี้

ทั้งนี้​ รุ้ง​ ยังเผยอีกว่า​ คาดว่าผู้ชุมนุมจะเดินทางมาเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม​ ส่วนตัวอยากให้จบการชุมนุมในเวลา​ 21.30 น. เพราะค่าบริการสาธารณะในบริเวณนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทางของประชาชน

ส่วนการปิดถนน จะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งจากจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุม ขณะที่เวทีอื่นๆ​ ซึ่งมีการประกาศนัดรวมมวลชนต่างๆ ตน​ ก็เพิ่งทราบ แต่ตนเองจะเป็นหลักอยู่ที่หน้ารัฐสภา


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/221675

https://www.nationtv.tv/main/content/378816462

'มาดามเดียร์' แจงชัด!! งดออกเสียง 'ศักดิ์สยาม'​ เพราะไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ปมเปลี่ยนเงื่อนไข (TOR) และล้มประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม พร้อมทั้งไม่ปกป้องและเรียกคืนที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย เขากระโดง จ.บุรีรัมย์

'มาดามเดียร์ - วทันยา วงษ์โอภาสี'​ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี'​ ว่า...

การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร 'กลุ่มดาวฤกษ์'​ ใช้สิทธิ 'งดออกเสียง'​ ในการลงคะแนน ญัตติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคลกับรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่า ตลอดการอภิปรายและการชี้แจง 4 วัน (16 - 19 กพ.) ที่ผ่านมา ไม่พบคำชี้แจงที่ชัดเจนเพียงพอ ในการตอบคำอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน

ทำให้สังคมตั้งข้อกังขา และข้อสงสัยใน 2 ประเด็นหลัก ที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน กล่าวคือ เรื่องการเปลี่ยน เงื่อนไข (TOR) และการล้มการประมูล โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และข้ออภิปรายเรื่องการไม่ปกป้องหรือเรียกคืนที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ในพื้นที่ เขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์

ทั้ง 2 ประเด็นที่ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน เป็นสองประเด็นที่ สองรัฐวิสาหกิจอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมโดยตรง คือ รฟท. และ รฟม.

ส.ส. ในกลุ่มดาวฤกษ์ ได้พยายามอย่างที่สุดในการปฏิบัติตามมติพรรค ด้วยการไม่ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ

อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องปฏิบัติตามจิตวิญญาณ ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ด้วยการ 'งดออกเสียง'​ ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากการลงมติครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใด ส.ส. ในกลุ่มทั้งหมด พร้อมน้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชน อย่างดีที่สุดแล้ว

สำหรับ​ ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์ นั้น​ มีอยู่​ 6 คน ได้แก่

1.) น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ

2.) นายศิริพงษ์ รัสมี ส.ส.เขตหนองจอก

3.) นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.เขตคลองเตย-วัฒนา

4.) น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.เขตราชเทวี-พญาไท-จตุจักร

5.) น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ ส.ส.เขตบางกะปิ-วังทองหลาง

6.) น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.เขตดุสิต-บางซื่อ

นักอนุรักษ์และยูเนสโกหวั่นรัฐบาลกัมพูชาเดินเครื่อง​ ปล่อยเอกชนสร้างสวนสนุกใกล้นครวัด​ หวั่นทำลายมนต์ขลังมรดกโลก

องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ออกแถลงการณ์ถึงแผนการก่อสร้างสวนสนุกใกล้กับนครวัดของกัมพูชาว่า “ความใกล้เคียงกันของโครงการกับพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องของนครวัด รวมทั้งขนาด ขอบเขต และแนวคิดของกิจกรรมต่าง ๆ อาจส่งผลกระทบต่อความโดดเด่นของนครวัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก”

และยังระบุอีกว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์และการพัฒนาที่ยั่งยืนต่างแสดงความกังวลและแนะนำให้ยกเลิกการก่อสร้างสวนสนุกดังกล่าว

เช่นเดียวกับชาวกัมพูชาบางส่วนที่ไม่ต้องการให้มีการก่อสร้าง โดย Leng Chentha ชาวกัมพูชาในกรุงพนมเปญเผยกับ Radio Free Asia ว่า ไม่สนับสนุนการก่อสร้างหากสวนสนุกทำลายความงดงามของนครวัด

เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว รัฐบาลกัมพูชาตกลงให้บริษัท NagaCorp ที่ตั้งอยู่ในฮ่องกง​ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา เช่าที่ดินใกล้กับนครวัดเป็นเวลา 50 ปี

โดยบริษัทมีแผนสร้างสวนสนุกและโรงแรม Angkor Lake of Wonder ขนาด 750,000 ตารางเมตร ซึ่งอยู่ห่างจากนครวัดเพียง 500 เมตร

ขณะนั้นบริษัทระบุว่า จะโปรโมทโครงการสวนสนุกมูลค่าการลงทุน 350 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีกำหนดการเปิดให้บริการในปี 2025 ร่วมกับนครวัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวคู่แฝดของกัมพูชา

ส่วน พาย สีพัน โฆษกรัฐบาล ยืนยันว่าสวนสนุกแห่งใหม่จะไม่กระทบกับนครวัด

หลังจากนี้ ยูเนสโกมีแผนจะพิจารณาตรวจสอบแผนการก่อสร้างสวนสนุกดังกล่าวในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่จะจัดขึ้นในเดือน มิ.ย.นี้ และจะติดต่อประสานงานกับทางการกัมพูชาเพื่อให้แน่ใจว่าการปกป้องนครวัดคือเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุด

ทั้งนี้ นครวัดสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในยุคจักรวรรดิเขมร และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโกเมื่อปี 1992


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/645881

Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP

ควันหลงซักฟอก​ 'ธนาธร' สะใจอย่างแรง!! หลังลูกน้องในสภาฯ เปิดคลิปแฉไอโอกองทัพ

ควันหลง​ หลังจากนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเปิดคลิปวิดีโอ อ้างว่า​ กองทัพปฏิบัติการไอโอ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามที่เห็นต่างทางการเมือง

ซึ่ง พรรคก้าวไกล ได้นำการอภิปรายของนายณัฐชา โพสต์เป็นคลิปพร้อมข้อความลงบนทวิตเตอร์ ระบุว่า "แหกแรกของวัน! @Nattacha_mfp เปิดคลิป #คอนคอล ของทีม IO กองทัพ เรียกคนในประเทศว่า "ฝ่ายตรงข้าม" และชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีและประชาสัมพันธ์ให้ร้ายฝ่ายดังกล่าวในวันยุบพรรคอนาคตใหม่"

ขณะที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้าได้แชร์ข้อความและคลิปดังกล่าว พร้อมโพสต์ข้อความว่า "55555555555555"

นายธนาธร ยังโพสต์อีกด้วยว่า...

เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เผื่อทุกท่านลืมนะครับ ทหารในคลิปนี้พยายามกลบเกลื่อน "เหตุร้าย" ที่ผ่านมา และเตรียมตัวรับมือการยุบพรรคอนาคตใหม่

"เหตุร้าย" นั่นคือเหตุ #กราดยิงโคราช

สุดยอดจริงๆ พยายามลบลืมความผิดตัวเองแล้วรอไปป้ายสีให้คนอื่น เพียงไม่กี่วันหลังเหตุกราดยิงโคราช สุดยอดจริงๆ


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/93532

.

คลังเตรียมทบทวนสิทธิคนถือบัตรคนจน 13.8 ล้านปีนี้

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เตรียมทบทวนสิทธิของผู้ถือ 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ'​ ใหม่ในปีนี้ อัพเดตข้อมูลของประชาชน หลังจากที่ผ่านไม่ได้มีการเปิดทบทวนสิทธิผู้ถือบัตรสวัสดิการมานานกว่า 2 - 3 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 13.8 ล้านคน 

ทั้งนี้​ คลังจะมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นการลงทะเบียนโครงการเราชนะ​ ช่วงเดือนมี.ค.64 ไปแล้ว โดยจะเปิดให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการเดิม และประชาชนทั่วไป เข้ามาสมัครเข้าร่วมโรงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ได้ และหลังจากนั้นคลังจะมีการทบทวนข้อมูลผู้ถือบัตรสวัสดิการทุกๆ ปี

สำหรับการทบทวนเรื่องนี้ กระทรวงการคลังจะกำหนดเกณฑ์และเงื่อนไขการรับสิทธิใหม่ โดยดูเรื่องเกณฑ์รายได้ครัวเรือนเป็นหลัก ต่างจากการรับสิทธิบัตรสวัสดิการที่ผ่านมา ที่พิจารณาเกณฑ์รายได้เป็นรายบุคคล เช่น ภรรยาในครอบครัวนั้น เป็นผู้ไม่มีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สามีเป็นผู้มีเงินได้จำนวนมาก​ ก็อาจจะไม่ได้รับ ซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมาเมื่อภรรยาไม่มีรายได้ก็จะได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่วนเกณฑ์ขั้นต่ำที่พิจารณารายได้ของครอบครัวนั้น ยังไม่สรุปจะมีการหารือเพื่อสรุปต่อไป

“เมื่อปรับเกณฑ์ดูรายครอบครัวแล้ว จะทำให้มีผู้เข้าร่วมโครงการน้อยลงหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ โดยจะต้องมาพิจารณาอีกครั้ง เพราะการเปิดลงทะเบียนที่ผ่านมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ก็จะมีทั้งคนที่มีรายได้เพิ่มขึ้น และคนที่ได้รับผลกระทบแล้วทำให้รายได้ลดลงก็มี ซึ่งจะต้องมาดูกันอีกครั้ง"

กลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่ขำไม่ออก กับประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตวัคซีนของโลกอีกแห่งอย่างอินเดีย

โดยปัจจุบันอินเดียก้าวหน้า​ จนสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 เป็นของตัวเอง และกำลังผลิตพร้อมประกาศเป้าหมายว่าจะฉีดวัคซีนให้ชาวอินเดียได้ถึง 300 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคมปีนี้ ซึ่งถือเป็นโครงการฉีดวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไปๆ​ มาๆ​ กลายเป็นว่าชาวอินเดียส่วนใหญ่กลับเมิน ไม่ยอมมาฉีดกันสักเท่าไหร่

มันเกิดอะไรขึ้น?

อินเดียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด Covid-19 ระดับรุนแรง แซงหน้าหลายประเทศขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกหากนับจากยอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศ

ทว่าตอนนี้ประเทศอินเดียก็ได้พัฒนาตนเอง​ จนจัดกลายเป็นผู้ผลิตยา และวัคซีนรายใหญ่ของโลก โดยมีข้อมูลว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 วัคซีนที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกกว่า 60% ผลิตในอินเดีย และยังเป็นฐานการผลิตให้กับบริษัทยาชั้นนำของโลกอีกมากมาย ดังนั้นหากถามเรื่องศักยภาพในการผลิตยา และวัคซีนของอินเดียก็บอกได้เลยว่าหายห่วง

นอกจากนี้ อินเดียยังก้าวหน้าถึงขนาดสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 เป็นของตัวเองได้สำเร็จอีกด้วย นับเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าด้านการแพทย์ที่น่าจับตามองมาก

และทันทีที่มีข่าวว่ามีวัคซีน Covid-19 ในเวอร์ชั่นของอินเดีย รัฐบาลก็ไม่รอช้า ประกาศรับรองวัคซีน Covid-19 ให้ใช้ได้ทันทีถึง 2 ตัว คือ

- Covishield ที่เป็นชื่อเรียกของ วัคซีน Oxford-AstraZeneca ที่ผลิตในบริษัทยาของอินเดีย

- Covaxin วัคซีนของอินเดียแท้ ๆ ที่พัฒนาโดยบริษัท Bharat Biotech

และได้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนไปแล้วเมื่อกลางเดือนมกราคม 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลอินเดียประกาศเป้าหมายว่าจะต้องฉีดวัคซีนในได้ 300 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคม นับว่าเป็นโครงการวัคซีนใหญ่ที่สุดของโลกในช่วงเวลานั้น

แต่หลังจากที่เดินหน้าโครงการไปได้เพียงแค่เดือนเดียว กลับพบว่าชาวอินเดียมารับวัคซีนเพียงแค่ 8.4 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 1 ใน 4 ที่คาดว่าต้องฉีดให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 37.5 ล้านคน เพื่อบรรลุเป้าหมายในเดือนสิงหาคม

แม้ว่ารัฐบาลอินเดียจะสร้างแอปพลิเคชันบนมือถือ เพื่อแจ้งเตือนและติดตามกลุ่มเป้าหมายให้มารับวัคซีน ทำแคมเปญเชิญชวนสารพัด แต่ก็ยังมีคนมาไม่ถึงเป้า และที่รัฐบาลต้องกลุ้มใจหนักกว่านั้นคือ หลังจากที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว มีเพียง 4% เท่านัันที่กลับมารับวัคซีนเข็มที่ 2

สาเหตุดังกล่าง​ เมื่อถามจากความเห็นของกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องเข้ารับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ที่เป็นบุคลากรการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่ต้องสัมผัสกลุ่มเสี่ยงนั้น หลายคนยังลังเลที่จะไปรับวัคซีน ผลัดไปก่อน ไม่รีบ ไม่ร้อน โดยอ้างว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดียก็ลดลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์คงไม่น่ากลัวแล้ว ไม่ต้องรีบก็ได้ ซึ่งจุดนี้อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ชาวอินเดียตื่นตัวที่จะไปฉีดวัคซีนน้อยลง

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ​ ความเชื่อมั่นในวัคซีนที่ผลิตในอินเดียเอง ที่หลายคนยังกังขาในประสิทธิภาพ เนื่องจากการพัฒนาวัคซีน Covaxin ทำอย่างเร่งรีบ และมีตัวเลขผลการวิจัยออกมาค่อนข้างน้อย บางกระแสบอกว่าวัคซีนยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในเฟส 3 อยู่เลย รัฐบาลอินเดียก็เซ็นอนุมัติรับรองให้ใช้วัคซีนได้แล้ว

นิตยการ Time ได้สำรวจความเห็นของบุคลากรการแพทย์ในอินเดีย และพบว่าหลายคนยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในวัคซีนของอินเดีย ยิ่งศูนย์วัคซีนบางแห่งมีเพียงวัคซีนในประเทศให้เลือก บางคนก็ขอเลือกที่จะไม่ฉีด เมื่อชาวบ้านทั่วไปเห็นว่าขนาดหมอ พยาบาล ยังไม่ยอมไปฉีด ก็ยิ่งสร้างความไม่เชื่อมั่นในตัววัคซีนยิ่งขึ้นไปอีก

เลยทำให้ตอนนี้อินเดียกลายเป็นประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหาที่ไม่เหมือนใครในโลก คือ มีวัคซีน Covid-19 เหลือเฟือ​ แต่ไม่มีคนยอมมาฉีด

สถานการณ์เช่นนี้​ อาจจะเกิดขึ้นในหลายประเทศในอนาคต​ เมื่อวัคซีนเริ่มมีเพียงพอกับความต้องการในท้องตลาด แต่พอตัวเลขการติดเชื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ก็จะทำให้คนมีความตื่นตัวที่จะไปฉีดน้อยลง เพราะเข้าใจว่าว่าการระบาดกำลังจะจบลงในไม่ช้า ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด และยังมีโอกาสที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ได้ทุกเมื่อ

ตอนนี้รัฐบาลหลายประเทศกำลังเร่งกว้านซื้อวัคซีนในท้องตลาด​ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์ในอินเดีย​แล้ว อาจพบว่า​ การสร้างความเชื่อมั่น และจูงใจให้คนออกมารับวัคซีนให้ครบตามจำนวน​ อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งกว่าก็ได้


ที่มา: https://time.com/5940963/india-covid-19-vaccine-rollout/

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-55748124

'ก้าวไกล'​ ไปต่อ เดินหน้ายุทธการกรีดแผลโรยเกลือ 'นายกฯ-รมต.'​ ไม่ให้มีชีวิตรอดหลังซักฟอก จ่อส่ง ปปช.ถอดถอน 'นิพนธ์'​ คนแรก หลักฐานชัด ผิดจริยธรรมการเมืองร้ายแรง รมต.คนอื่นรอคิวต่อไป

ที่รัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงว่า เรายืนยันว่าเราตั้งใจทำใน 4 วันนี้ให้ออกมาอย่างสุดความสามารถ​ แม้ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างที่เห็น 

แต่อย่างไรก็ตาม​ เราได้กรีดแผลไปในสภา ซึ่งแผลที่เกิดขึ้น​ ก็ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือแรงงาน ต่อไปปีนี้จะไม่เหมือนปีที่แล้ว ซึ่งปีนี้ยืนยันจะมียุทธการโรยเกลือย้ำแผลที่เราได้กรีดไว้ โดยจะมีกระบวนการทำงานต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยื่นต่อปปช. ต่อศาลในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน 

ด้าน​ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเตรียมข้อมูลของการอภิปรายพรรคก้าวไกล รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แม้เราสร้างแผล​ ไม่ว่าจะเป็นแผลข่วน ไฟไหม้ และแผลฉกรรจ์ โดยเฉพาะนายกฯ​ ที่หนีภาษีไปจนถึงคอร์รัปชั่นในระดับนโยบาย รถไฟฟ้า อุตสาหกรรม พลังงาน รวมทั้งการเอื้อประโยชน์นายทุนหลายรายให้เข้ามาใช้ทรัพยากรของชาติแบ่งปันผลประโยชน์เพื่อพวกพ้องตัวเองและเครือข่าย แต่อย่างไรก็ตามผลการลงมติครั้งนี้อาจจะสะท้อนว่าเราทำงานยังไม่หนักพอ เพราะคนที่จะตัดสินคือประชาชน ว่าจะยังไว้ใจให้คณะรัฐมนตรี รวมถึงนายกฯ​ ชุดนี้ให้ทำงานต่อไปหรือไม่ 

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า มาตรการโรยเกลือที่เราจะทำต่อคือจะมีการยื่นจดหมาย หนังสือร้องเรียนต่างๆ​ ไม่ว่าจะเป็นการยีนถอดถอนรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดิน กรณีของการผิดจริยธรรมนักการเมืองไปที่​ ป.ป.ช.โดยจะมีการยื่นขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนในหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นการขอข้อมูลกองทัพบก กรณีการใช้ที่ดินราชพัสดุ เพื่อการปฏิรูปกองทัพ และยื่นตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างทุกกระบวนการโดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม สำหรับกระทรวงศึกษาเราจะยื่นตรวจสอบการกลับมติครม. กรณีการลดงบประมาณกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นี่คือกระบวนการโรยเกลือเพื่อให้แผลที่เราเปิดไว้ในสภาออกไปสู่นอกสภา เพื่อติดตามผลว่านายกฯ​ และรัฐมนตรีต่างๆ​ จะยังมีชีวิตรอดหลังจากอภิปรายไว้ต่อไปหรือไม่ จึงขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ส่งข้อมูลและสนับสนุนพรรคก้าวไกล เพื่อเป็นเบาะแสในการตรวจสอบนำมาสู่การอภิปรายในครั้งนี้ 

“รัฐมนตรีที่จะยื่นให้ป.ป.ช.​ ถอดถอนคือนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ซึ่งเป็นคนที่มีหลักฐานพร้อมที่จะยื่นเป็นคนแรก กรณีผิดจริยธรรมของนักการเมืองอย่างร้ายแรง

นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีนายบอส อยู่วิทยา ที่นายกฯ​ และรองนายกฯ​ ที่มีส่วนแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการเปิดเผยรายงานข้อเท็จจริงที่นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งมีรายชื่อและรายละเอียดชัดเจนว่ามีใครบ้างที่พัวพันกับคดีนี้”  น.ส.ศิริกัญญา กล่าว 

เมื่อถามว่าจะดำเนินการลงโทษส.ส.​ ที่โหวตลงมติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข อย่างไร? นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคมีคณะกรรมการที่ตรวจสอบวินัยสมาชิกพรรคอยู่แล้ว ซึ่งเราไม่อยากเตะหมูเข้าปากหมา อย่างการไล่ส.ส.​ ออกไปตอนนี้ มีแต่จะไปเข้าทางของผู้มีอำนาจ แต่เราจะมีกระบวนการลงโทษที่ชัดเจน เช่น ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมของพรรคทั้งหมด รวมถึงการทำงานในสภาในนามพรรคทั้งหมด เราไม่นิ่งนอนใจ ซึ่งยอมรับว่าหากมีส.ส.​ ในพรรคแหกมติจริง ก็ต้องขอโทษพี่น้องประชาชนทุกคะแนนเสียงที่เลือกเรามาแล้วผิดหวัง ประสบการณ์ครั้งนี้จะนำมาสู่การปฏิรูปพรรคอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการทำงานที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราทำงานเต็มที่ 

เมื่อถามผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แสดงว่ามีการประสานงานกันกับคนในพรรคเพื่อให้ลงมติให้นายอนุทิน เพราะเมื่อครั้งยุบพรรคก็เสียส.ส.​ ไปหลายคน นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ถ้าเป็นความจริงตนในฐานะหัวหน้าพรรคก็ผิดหวัง แต่ไม่ผิดคาด เพราะเรามีกระบวนการในพรรคเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่นายกฯ​ ได้คะแนนโหวตไม่มาก นายชัยธวัช กล่าวว่า สะท้อนว่าเป็นระบบการเมืองแบบเก่า ที่ยังมีอิทธิพลและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปัญหาสภาพแวดล้อมที่เราเคยอยู่พรรคอนาคตใหม่ ก็พยายามต่อสู้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เฉพาะเราที่เป็นพรรคการเมืองเท่านั้นที่ไม่อยากเห็น แต่ประชาชนก็ไม่อยากเห็นการเมืองแบบนี้ ซึ่งถอยย้อนหลังมาเรื่อยๆ ตั้งแต่รัฐประหาร 

'บิ๊กตู่' ขอบคุณสภาฯ​ ผ่านซักฟอกด้วยดี ขอความรัก สามัคคีกลับคืนมา เตรียมนำข้อมูลในสภาไปใช้ทำงานต่อ ย้ำไม่ใช่ศัตรูใคร​ พร้อมยันยังไม่คิดปรับครม. ขอประเมินที่ผลงานก่อน

วันนี้ (20 ก.พ.2564) ภายหลังที่ประชุมสภาผ่านมติไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางกลับว่า ขอบคุณสื่อมวลชนที่ได้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อย่างเข้มข้น 

หลายเรื่องก็เป็นประโยชน์หลายเรื่องก็เรื่องเดิมๆ เป็นแบบนี้มาตลอด แต่เรื่องไหนเป็นสิ่งที่ดี รัฐบาลจะไปดำเนินการต่อ รวมทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกทุกคน ซึ่งเราไม่ใช่ศัตรูกันอยู่แล้ว ส่วนวิถีทางทางการเมืองก็ว่ากันไป 

“ขอขอบคุณที่ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี ขอความรักความสามัคคีกลับคืนมาเป็นของพวกเราให้มากที่สุด”

เมื่อถามว่าจะปรับขณะนี้คณะรัฐมนตรีเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดอะไรตอนนี้ โดยประเมินด้วยผลงาน ถึงเวลาก็จะดำเนินการอยู่แล้ว 

“ไม่มีการปรับครม.​ ผมยังไม่ได้คิดอะไรตอนนี้ ผมประเมินด้วยผลงาน และการอภิปรายครั้งก็จะรวบรวมเพื่อไปใช้ประโยชน์ ส่วนการทำงานของพรรคร่วม เป็นมติความเห็นส่วนตัวของแต่ละคน”

เมื่อถามว่าหลังอภิปรายเสร็จแล้ว จากนี้รัฐบาลเดินหน้าทำงานโดยปราศจากข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านใหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า​ "ไม่เคยหยุดงาน ผมก็ทำงานทุกวันแล้ว และไม่ว่าจะอภิปรายไม่อภิปรายก็ทำงานตลอด ส่วนสถานการณ์ภายนอกจากการชุมนุม ได้มีการพูดคุยกับผบ.ตร.​ ถึงสถานการณ์แล้ว"

กลาโหมย้ำจุดยืนทำหน้าที่ พร้อมขอบคุณและน้อมรับข้อคิดเห็นของสภาฯ ร่วมเสริมสร้างกองทัพ​ นำไทยเดินหน้าพัฒนาทุกมิติ

กลาโหมย้ำจุดยืนทำหน้าที่ พร้อมขอบคุณและน้อมรับข้อคิดเห็นของสภาฯ ร่วมเสริมสร้างกองทัพ​ นำไทยเดินหน้าพัฒนาทุกมิติ

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวย้ำ หลังปิดการอภิปรายในสภาว่า  กองทัพเป็นของประชาชนและยังดำรงจุดยืนอันมั่นคงในการทำหน้าที่ ร่วมปกป้องการดำรงอยู่ของสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ รวมทั้งผลประโยชน์ของชาติเคียงข้างกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

โดยที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ย้ำสั่งการในที่ประชุมสภากลาโหม ให้ทุกเหล่าทัพดำรงจุดยืนอันสำคัญนี้เคียงข้างกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ร่วมสร้างความรัก ความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติ เพื่อเป็นกำลังหลักสำคัญ “รวมไทยสร้างชาติ” ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในทุกมิติไปข้างหน้า  

โดยย้ำให้ความสำคัญในการติดตาม ศึกษาและวิเคราะห์ ถึงสถานะการดำรงอยู่ของประเทศอย่างสมดุลและมั่นคง ท่ามกลางการเผชิญหน้าของมหาอำนาจโลกในภูมิภาค ที่เชื่อมโยงต่อสถานการณ์ภายในประเทศ โดยเราทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ เข้าใจและเท่าทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างความแตกแยกกันเองภายในชาติ ที่อาจส่งผลให้การพัฒนาผลประโยชน์ของประเทศต้องชะลอตัวหรือหยุดชะงัก

โฆษก กห.กล่าวอีกว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง ทางสังคมที่มีมาต่อเนื่อง การดำเนินงานของหน่วยงานความมั่นคง และ กระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องประสานและทำหน้าที่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทั้งการติดตาม การทำความเข้าใจและบังคับใช้กฎหมาย เฉพาะกับการปฏิบัติของกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี อันส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศโดยรวม  

“ขอยืนยันว่ากระทรวงกลาโหม ไม่เคยมีนโยบายในการไปบิดเบือน ให้ร้ายกับกลุ่มบุคคลใด อันนำมาซึ่งความแตกแยกของคนในชาติ ท่ามกลางสถานการณ์การบิดเบือนข้อมูลและการเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) ที่มีในสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น” พล.ท.คงชีพ กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพ ขอขอบคุณและน้อมรับความคิดเห็นของฝ่ายนิติบัญญัติทุกท่าน จากการอภิปรายที่ผ่านมา เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลประกอบการพัฒนาและเสริมสร้างกองทัพ ให้สามารถเป็นกลไกหลักของรัฐบาลในการทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพเคียงข้างกับประชาชนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top