Wednesday, 9 July 2025
NEWS FEED

'โฆษกรัฐบาลฯ' เผยข่าวดี! คลังเปิดเก็บตกคนละครึ่งเฟส 3 อีก 1.1 แสนสิทธิ เริ่มลงทะเบียน 1 พ.ย.นี้ กระตุ้นการใช้จ่ายรับเปิดประเทศ ขณะยอดใช้จ่ายมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐสะสมกว่า 1.3 แสนล้านบาท

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ว่า เป็นโครงการที่ครองใจประชาชนมากที่สุด มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเต็มจำนวน 28 ล้านสิทธิแล้ว แต่ทางกระทรวงการคลังได้ทำการตรวจสอบประมวลผล พบว่ามียังมีผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ อีกจำนวนทั้งสิ้น 119,974 สิทธิ จึงได้ทำการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ยังไม่สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้สำเร็จ  ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 อีกครั้งในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวันจนกว่าจะเต็มจำนวนสิทธิ ผ่านเว็บไซต์ http://www.คนละครึ่ง.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เป็นกระกระตุ้นการใช้จ่ายให้มีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้น สอดคล้องกับการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย  1 พฤศจิกายน นี้ ทั้งนี้ ในส่วนของความคืบหน้ามาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2564) ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 40.47 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 131,013.8 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 25.58 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 116,589.3 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 59,267.6 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 57,321.7 ล้านบาท 2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 85,740 คน ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 2,838 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 148 ล้านบาท 3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.54 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 10,643.8 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.26 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 794.7 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชาชนที่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 อยู่แล้ว รัฐจะมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนให้อีก จำนวน 1,500 บาทต่อคน ในวันพรุ่งนี้ (1 พ.ย. 64) ซึ่งจะได้รับโดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ที่ได้เข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 จะได้รับวงเงินสนับสนุนรัฐร่วมจ่ายทั้งสิ้น 4,500 บาทต่อคน และสามารถใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564  ส่วนบริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ขณะนี้มีทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ GRAB  LINEMAN และ TRUE FOOD

ทั้งนี้ ในส่วนของข้อมูลการใช้จ่ายผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม ล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2564) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีการใช้จ่ายสะสมประมาณ 932.3 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนใช้สะสมจ่าย 481.5 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 450.8 ล้านบาท สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มียอดใช้จ่ายของประชาชนสะสม 595,542 บาท และมูลค่าการใช้ e-voucher สะสม 179,112 บาท โดยมีผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มให้บริการผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มแล้ว กว่า 65,000 ราย

6 เดือน แห่งการเปลี่ยนแปลง แบบ Fast Forward ของ THE STATES TIMES

6 เดือนผ่านไป (พฤษภาคม-ตุลาคม) ไวซะจน มารู้ตัวอีกทีก็ใกล้ครบขวบปีของ THE STATES TIMES เข้าให้แล้ว!!

6 เดือนนี้ มีอะไรน่าสนใจเพิ่มขึ้นไหม?

มีอยู่แล้ว!! ตอนนี้ครอบครัวใหม่ ที่เริ่มกลายเป็นเพื่อนประจำให้ทุก ๆ ท่านได้ติดตาม ก็เริ่มมาประจำการแบบไม่เขินอายกันเพียบ 

ไม่ว่าจะเป็นรายการ Click on Clear THE TOPIC เคลียร์ทุกประเด็นร้อน ร่อนทุกตะกอนข่าวในรอบวัน

MEET THE STATES TIMES ช่วงเวลาแห่งการตกผลึก ลงลึกปมเด่น

KNOWLEDGE TIMES รอบรู้แบบรู้สึก เกาะทุกกระแสโลก ผ่านเรื่องเล่าที่ย่อยง่าย 

ส่วนเพื่อนเก่าอย่าง NEWS GEN TIMES ชวนคิดกับ กิตติธัช / LOCK LENS GURU / BIZ MAX THE TOPIC และ THE STATES TIMES Story ก็ยังประจำการไม่ขาดไม่เกิน ^^

ส่วนสถานการณ์ข่าวรายวัน ก็ยังคงเกาะติดหลากประเด็นเด่นให้ได้มากที่สุด ภายใต้การปรับภาพลักษณ์ Template เพื่อให้การสื่อสารย่อยง่ายและอ่านง่ายขึ้นไปอีกขั้น!!

ก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่แวะผ่านมากดชม!! ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ขอน้อมรับทุกคำวิจารณ์  

ตลอด 6 เดือนมานี้ พวกเรายังคงสนุกกับ THE STATES TIMES สนุกกับทุกการก้าวทันโลกข่าวสาร สนุกกับทุกการลองผิดลองถูก และทุกความท้าทายที่ผ่านเข้ามา 

Next Times พวกเราก็ยังพร้อมก้าวไปข้างหน้า ปรับตัว และพัฒนา เพื่อสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ให้ผู้ติดตามทุกท่านต่อไป

“กดไลก์ กดแชร์ และกด Subscribe ให้พวกเราด้วยนะคะ”

“อลงกรณ์” เล็งฟื้นส่งออกเกลือทะเลไทย ประสานทูตเกษตรทูตพาณิชย์เปิดตลาดจีน พร้อมดึงสภาอุตสาหกรรมจับคู่สหกรณ์นาเกลือกับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอาหารเพิ่มยอดขายในประเทศ มอบบอร์ดเกลือฟื้นฟูประเพณี “แรกนาเกลือ” สร้างคุณค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย เปิดเผยวันนี้ (30ต.ค) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 5 / 2564 โดยผ่านระบบประชุมทางไกล (ZOOM Cloud meeting) พร้อมด้วย คณะกรรมการ อาทิ นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายชาญยุทธ์ ภาณุทัต ประธานคณะทำงาน Ad-Hoc เกลือ นายสมศักดิ์ อยู่รอด รักษาการรองเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ผู้แทนกรมการค้าภายใน ผู้แทนกรมการค้าต่างประเทศ ผู้แทนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายคทาวุธ บุญมา ประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทย ดร.จุฑามาศ ทะแกล้วพันธุ์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ในฐานะศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านเกลือทะเล (Salt Academy :AIC-COE) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และผู้แทนเกษตรกรชาวนาเกลือ 

โดยมีสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นฝ่ายเลขานุการ เข้าร่วมประชุมหารือและพิจารณาการพัฒนาเกลือทะเลไทย โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 

(1) การจ่ายเงินช่วยเหลือโครงการแก้ไขปัญหาเกลือทะเล ปี 2564 วงเงิน 12,570,300 บาท เพื่อระบายเกลือทะเลค้างสต๊อกปี 2562/63 ปริมาณ 48,817.20 ตัน ในแหล่งผลิตสำคัญ ในอัตราตันละไม่เกิน 250 บาท ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม 

(2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อนุมัติหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยให้ช่วยเหลือตามจำนวนพื้นที่เสียหายจริง ในอัตราไร่ละ 1,220 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ ที่เริ่มบังคับใช้ 1 กันยายน 2564 

(3) การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการพัฒนาเกลือทะเลไทย ปี 2566 - 2570 พร้อมมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานโครงการ และงบประมาณ บรรจุลงในแผนปฏิบัติงาน 

และ (4) รายงานจากคณะทำงานเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาเกลือทะเล (Ad Hoc) ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ได้ประชุมพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกลือทะเลไทย ในปี 2565 ในระยะเร่งด่วน

คณะกรรมการฯ ได้มีมติมอบหมายให้ประธานช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาเกลือที่ประสบปัญหาหนี้สินโดยประสานความร่วมมือกับสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) 

กองบัญชาการศึกษาประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อน 'การสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการและผู้บังคับการของ ตร. ปีงบฯ 2565'

กองบัญชาการศึกษาประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการขับเคลื่อนการสัมมนา 'โครงการสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าและผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565'​ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค.2564 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 

(29 ต.ค.64)​ พล.ต.ต.ญาณพงศ์ โสมาภา รอง ผบช.ศ./โฆษก บช.ศ.เปิดเผยในกรณี  บช.ศ.เสร็จสิ้นภารกิจจากการขับเคลื่อนงานสัมมนาตาม 'โครงการสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าและผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565'​ ว่า พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผบช.ศ. (อดีต ผบช.รร.นรต.) มีความยินดีที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.อนุมัติให้จัดโครงการนี้ขึ้นและมอบความไว้วางใจให้ตนในฐานะ ผบช.ศ.เป็นหน่วยรับผิดชอบขับเคลื่อนการสัมมนาตลอดระยะเวลารวมทั้งสิ้น 3 วัน (ระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค.2564) ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งบัดนี้ได้จัดงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.นิรันดร กล่าวว่า โครงการสัมมนาดังกล่าวนี้ได้จัดพิธีเปิดไปเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2564 โดยมี ผบ.ตร. ให้เกียรติเป็นประธาน โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นข้าราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าและผู้บังคับการหรือเทียบเท่า มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบนโยบายและทิศทางการปฏิบัติงานให้นำไปพัฒนาและเสริมสร้างประสิทธิภาพของหน่วยงาน เพื่อให้ผู้นำหน่วยได้รับทราบถึงนโยบายและทิศทางการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้นำหน่วยได้รายงานปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อผู้บังคับบัญชาระดับตำรวจทราบ เพื่อจะได้นำข้อมูลไปแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาองค์กรให้เกิดผลสัมฤทธิ์สู่ระดับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา และ ผบ.ตร. ยังให้เกียรติในการบรรยายพิเศษแก่ข้าราชการตำรวจระดับผู้นำหน่วยที่เข้าร่วมการสัมมนา ในหัวข้อ 'ทิศทางตำรวจยุคใหม่'​

นอกจากนั้นยังมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร. พร้อมด้วยคณะวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมากด้วยประสบการณ์ให้เกียรติเป็นผู้บรรยายพิเศษหัวข้อต่างๆ ด้วย ซึ่ง ผบ.ตร.ได้กล่าว ทิ้งทายเน้นย้ำให้กับผู้ร่วมโครงการว่า “ขอให้วางเป้าหมาย ตั้งมั่น ตั้งใจทำอะไรกันสักคนละหนึ่งอย่าง แล้วทำให้สำเร็จ เพื่อนำไปสอนลูกน้อง ผู้ใต้บังคับบัญชา และท่องคติพจน์ทำงานร่วมกันไว้เสมอแบบ ร่วมทุกข์ ร่วมสุข”

พล.ต.ต.ญาณพงศ์ ในฐานะโฆษก บช.ศ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งของการสัมมนาครั้งนี้ได้แก่ การจัดสัมมนากลุ่มย่อย ซึ่งได้จัดขึ้นในวันสุดท้าย (27 ต.ค.2564) โดยผู้ร่วมสัมมนาจากแต่ละกลุ่มได้นำเสนอแนวทางการบริหารงานในด้านต่างๆ ได้แก่... 

1) การป้องกันมิให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดไปพัวพันกับขบวนการค้ามนุษย์, ยาเสพติด, แหล่งอบายมุข การทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นต้น

2) การบริหารงานสายงานสอบสวนให้เกิดความสมดุลแบบยั่งยืน

3) แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจ

4) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งในทางการสืบสวนสอบสวนและการบริหารจัดการทางเทคโนโลยีเชิงรุก

5) แนวทางในการประชาสัมพันธ์เชิงรุก การให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อโต้ตอบเขาลวงและข้อมูลข่าวสารเชิงลบที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

6) การสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้เกิดขึ้นกับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอำนวยความยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจและการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่

7) การบริหารจัดการด้านการข่าวเชิงรุก การจัดการชุมนุมสาธารณะ การสืบสวนสอบสวนคดีความมั่นคง

‘หมอยง’ ชี้!! โควิดคงไม่หมดไป ผู้คนต้องปรับตัวให้ได้แบบ Next Normal

‘หมอยง’ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุถึง การใช้ชีวิตของผู้คนต่อจากนี้บนวิถีชีวิตปกติแบบ Next Normal ว่า...

โควิด-19 กับวิถีชีวิตปกติต่อไป (Next Normal)

เกือบ 2 ปีที่มีการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลกและเราคุ้นเคยกับคำว่าวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) จากนี้ต่อไป เชื้อโควิดคงไม่ได้หมดไป เราจะต้องอยู่กับไวรัสโควิด เราจะอยู่กับวิถีชีวิตปกติต่อไป ข้างหน้า (Next Normal) หลังโควิด 

การดำรงชีวิตปกติต่อไปหรือที่เรียกว่า Next Normal ทุกคน จะต้องปรับตัว เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ดูแลสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการล้างมือ การกำหนดระยะห่าง การใส่หน้ากากอนามัย ยังคงต้องอยู่อีกระยะหนึ่ง

การใช้อุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ จะลดการสัมผัสลง 

การใช้เงินผ่านระบบ e-Money ที่เงินลอยไปลอยมาโดยไม่ต้องจับธนบัตร 

เทคโนโลยีต่าง ๆ จะเปิดปิดไฟด้วยเสียง สั่งผ่าน Smartphone 

ประตูมีเซ็นเซอร์ การใช้ลิฟต์ก็คงไม่ต้องแตะกดปุ่ม ที่ปุ่มจะมีเซ็นเซอร์เพียงเอานิ้วมือไปใกล้ก็เพียงพอไม่ต้องสัมผัส 

ศบค.ยกเลิกเคอร์ฟิวทุกพื้นที่ เว้น 7 จังหวัดแดงเข้ม หวั่นปลดล็อกดื่มเหล้า อาจทำระบาดรอบใหม่

ศบค. ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวทุกพื้นที่ ยกเว้น 7 จังหวัดสีแดงเข้ม แต่ยังหวั่นปลดล็อกดื่มแอลกอฮอล์ ในจังหวัดนำร่องท่องเที่ยว อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดอีกรอบ โดยเฉพาะ กทม. เหตุเป็นพื้นที่ที่มีความซับซ้อน 

วันที่ 29 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. เป็นประธาน

ที่ประชุมมีมติปรับพื้นที่ควบคุมและเข้มงวดสูงสุด (สีแดงเข้ม) 23 จังหวัด เหลือ 7 ได้แก่ จันทบุรี ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา

พื้นที่ควบคุมสูงสุด 30 จังหวัด เป็น 38 จังหวัด และ พื้นที่ควบคุม 24 จังหวัด เป็น 23 จังหวัด

พื้นที่เฝ้าระวังสูง 5 จังหวัด ได้แก่ นครพนม น่าน บึงกาฬ มุกดาหาร สกลนคร

นอกเหนือมติการปรับพื้นที่สี เพื่อรองรับการเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน 2564 การยกเลิกการออกนอกเคหสถาน (ยกเว้นพื้นที่สีแดงเข้ม 7 จังหวัดที่ยังคงเวลา 23.00 - 03.00 น.) การผ่อนคลายให้ดื่มแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา ภูเก็ต

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการผ่อนคลายให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ว่า สำหรับพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 4 จังหวัดที่ประกอบไปด้วย กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา และภูเก็ต นั้น โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวย้ำว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาเรื่องนี้กันพอสมควร มีความห่วงใยในส่วนของผู้บริหาร ผู้อาวุโส รวมถึงที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของ ผอ.ศบค. ที่ได้พูดถึงความห่วงใยในประเด็นมาตรการที่ต้องออกมากำกับอย่างเต็มที่

“เพราะถ้าพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวตรงนี้ สามารถที่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยเฉพาะการดื่มสุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย จะปล่อยให้เกิดขึ้นแบบวิถีปกติไม่ได้ เพราะจะเป็นเหตุของการติดเชื้อและเกิดการแพร่ระบาดกลับคืนมาได้ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่มีความซับซ้อนในเชิงของการจัดการควบคุมโรค” นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าว 

'ก้าวไกล' จี้!! เยาวชนถูกยิงดับหน้า ‘สน.ดินแดง’ ชี้!! คดีไม่คืบหน้า สังคมยังมีข้อกังขาหลายจุด

พันตำรวจตรี ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวในฐานะรองประธานในคณะทำงานสืบหาข้อเท็จจริง (Fact finding) กรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมทางการเมืองบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ภายหลังจากที่สื่อมวลชนรายงานว่าเมื่อวานนี้ (28 ตุลาคม 2564) นายวาฤทธิ์ สมน้อย หนึ่งในเยาวชนอายุ 15 ปี ที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ จากการสลายการชุมนุมที่แยกดินแดง บริเวณหน้าสน.ดินแดง เข้ารักษาตัวที่ร.พ.ราชวิถี ด้วยอาการวิกฤตเนื่องจากกระสุนฝังบริเวณไขสันหลังส่วนบน ร่วมกับมีภาวะสมองบวมจากการขาดออกซิเจนเสียชีวิตแล้ว

พันตำรวจตรีชวลิต กล่าวว่า กว่า 2 เดือนแล้วจากเหตุการณ์ยิงเยาวชนหน้า สน.ดินแดง ในขณะที่ตนและคณะทำงานของกรรมาธิการได้เปิดหลักฐานในบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงจนพบกลุ่มคนต้องสงสัยที่ตำรวจควรจะตามตัวมาได้ไม่ยาก แต่คดีนี้ในชั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จนกระทั่งผู้ถูกกระทำได้จากไปแล้ว 

“ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพ วาฤทธิ์ วิ่งอยู่บนถนนมิตรไมตรี มุ่งหน้าแยกโรงกรองน้ำ ก่อนถูกยิงล้มลง ซึ่งมีรอยกระสุนอีกนัดที่กำแพง ระบุทิศทางการยิงมาจากซอยหน้า สน.ดินแดง ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีผู้ชุมนุมอยู่ ที่สำคัญรัฐจะต้องเร่งหาตัวคนร้าย ผู้ก่อเหตุและผู้สั่งการต้องถูกนำตัวมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม”

ทั้งนี้ พันตำรวจตรีชวลิต กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้ทุกคนร่วมใจกันทวงถามความยุติธรรมจากรัฐ เราจะต้องไม่ปล่อยให้ครอบครัวของเขาต้องสู้อย่างเดียวดาย และจะต้องไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก และสิ่งที่เกิดขึ้นคุ้มแล้วหรือกับเยาวชนอนาคตของชาติที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติ ปราศจากอาวุธ ต้องมาแลกกับชีวิตของตนด้วยปลายกระบอกปืน อย่าปล่อยให้เป็นความอยุติธรรมที่ถูกกลืนหายไปโดยไร้คำตอบ

รมว.พิพัฒน์ ผลักดันกีฬามวยไทยให้ได้รับการบรรจุในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ณ นครหางโจว

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมหารือการผลักดันกีฬามวยไทยให้ได้รับการบรรจุในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ณ นครหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับ Mr. Gou zhongwen (โก่วจ้งเหวิน) รัฐมนตรีสำนักกิจการกีฬาแห่งชาติจีน และประธานโอลิมปิกจีน โดยมีนายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Appication Zoom) ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

สถานบันเทิงขอ “บิ๊กตู่” เปิดขายเหล้า 17 จังหวัด ผับ-บาร์เปิด 1 ธ.ค.

กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิงในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และกลุ่มจังหวัดที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวหลัก คือ ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต รวม 311 ร้าน ได้เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ขอให้พิจารณาการอนุญาตให้จำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ในเขตพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว 17 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ และขออนุญาตให้เปิดกิจการสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.64 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ตัวแทนผู้ประกอบการยอมรับว่า นับตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 กว่า 19 เดือน ผู้ประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานประกอบการได้แก่ ผับ บาร์ คาราโอเกะ รวมถึงพนักงานหลายหมื่นคน ได้ปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แม้ว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อเนื่อง ยาวนาน ต่อทั้งธุรกิจ พนักงาน และครอบครัว จนส่งผลให้ผู้ประกอบการกว่า 40-50% จำเป็นต้องปิดตัวลงอย่างถาวร เนื่องจากขาดรายได้และขาดสภาพคล่อง จึงเสนอขอให้รัฐบาลพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ

กลุ่มผู้ประกอบการยังได้จัดทำข้อเสนออื่น ๆ เช่น จัดหาชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือในราคาที่ถูกที่สุดแก่สถานประกอบการเพื่อให้พนักงานทำการตรวจด้วยตนเองอย่างน้อยทุก 7 วัน, จัดลำดับความสำคัญในระดับต้นสำหรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (booster) หรือวัคซีนที่พัฒนารุ่นใหม่ เช่น กลุ่ม Protein Subunit และ mRNA ให้ผู้ประกอบการและพนักงานของสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 

ห้ามพลาด!! คลังเปิดเก็บตกคนละครึ่ง 1 แสนสิทธิ เริ่ม 1 พ.ย.นี้

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังได้ประมวลผลผู้ที่ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ซึ่งจากข้อมูล ณ วันที่ 25 ต.ค.2564 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เต็มจำนวน 28 ล้านสิทธิแล้ว แต่มีผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ มีจำนวน 119,974 ซึ่งจะนำสิทธิที่เหลือมาเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการอีกครั้งในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวันจนกว่าจะครบ 28 ล้านสิทธิ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง 

สำหรับประชาชนที่ได้เข้าร่วมโครงการอยู่แล้ว จะมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนรัฐร่วมจ่าย รอบที่ 3 จำนวน 1,500 บาทต่อคน ในวันที่ 1 พ.ย.2564 ซึ่งวงเงินสนับสนุนเพิ่มเติมดังกล่าวจะได้รับโดยอัติโนมัติ และสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 จะได้รับวงเงินสนับสนุนรัฐร่วมจ่ายทั้งสิ้น 4,500 บาทต่อคน ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการได้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top