Wednesday, 3 July 2024
NEWS FEED

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล ย้ำการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ เกิดจากภาครัฐหละหลวม แนะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งจัดการเจ้าหน้าที่รัฐต้นตอทำโควิดระบาด

หลังการอภิปรายญัตติด่วนด้วยวาจาต่อกรณีการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่พร้อมคำแนะนำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรับทัศนคติตัวเอง ที่เอาแต่โทษคนอื่นไม่เคยรับผิดชอบใดๆแล้ว

ล่าสุด วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกบทความเสนอแนะสิ่งที่นายกรัฐมนตรี ควรจะต้องเร่งดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊ค Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศรโดยระบุว่า เบื้องต้นต้องยอมรับว่า การแพร่ระบาดในครั้งนี้ เกิดจากความหละหลวม และการปล่อยปละละเลย ให้มีการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายของแรงงานต่างชาติผ่านช่องทางทางธรรมชาติ

โดยมีประชาชนแจ้งเบาะแสมากมายว่า มีการเรียกรับผลประโยชน์ หรือไถสินบนจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทำเป็นขบวนการ อาจมีทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'ทหาร' ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมตามแนวชายแดน

ในเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อสอบสวนให้ชัดว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และข้าราชการคนใด ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างชาติเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายบ้าง

ท่าทีกล่าวโทษไปที่ข้าราชการผู้ปฏิบัติงาน และเพ่งโทษไปที่ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน โดยปกป้องทหารอย่างออกนอกหน้า รวมทั้งการไปถามขู่ผู้ว่าราชการ จ.สมุทรสาคร ว่าปล่อยปละให้แรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายที่ จ.สมุทรสาคร ได้อย่างไร เป็นการถามคำถามที่ไร้วุฒิภาวะอย่างมาก เพราะ จ.สมุทรสาคร นั้นเป็นปลายทางของปัญหา

คำถามนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องไปถามกองทัพ ที่มีหน้าที่ดูแลแนวชายแดนมากกว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องขบวนการลักลอบนำเอาแรงงานต่างชาติเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย นี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เพราะคือ ปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งแม้แต่ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าชุดทำคดีโรฮีนจา ที่มีการจับกุมทหาร 4 นาย สุดท้ายยังต้องขอลี้ภัยเสียเอง เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะปล่อยให้เรื่องเงียบไปไม่ได้

ประการต่อมา เชื่อว่าทั้งแรงงานต่างชาติเข้ามาผิดกฎหมายและแรงงานข้ามชาติที่เคยถูกกฎหมายแต่หมดอายุและไม่อาจข้ามพรมแดนกลับไปยังประเทศของตนเองได้ มีจำนวนหลายแสนคน ซึ่งต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้มาตรการมุ่งให้ความสำคัญกับการควบคุมการระบาดเป็นสำคัญ

กลับประกาศที่จะกวาดล้างแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายเหล่านี้ เมื่อเวลา 9.00 น. ของวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2563 ส่งผลให้ แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายต่างพากันหลบหนีออกจากพื้นที่ จ.สมุทรสาคร บางส่วนก็ถูกนายจ้างลอยแพ พาไปทิ้งตามต่างจังหวัดต่างๆ เนื่องจากนายจ้างกลัวความผิด ทำให้การระบาดกระจายตัวออกจากพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โชคดีที่ในช่วงบ่ายในวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ กลับลำ ประกาศยอมให้มีการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายชั่วคราว จึงทำให้การหลบหนีแบบผึ้งแตกรังของแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย ชะลอตัวลง

แต่ปัญหานี้คงเป็นฝุ่นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซุกเอาไว้ใต้พรมมายาวนาน จึงยังไม่ได้ตัดสินใจในประเด็นนี้ โดยรีรอว่าต้องเอาไปผ่าน ครม. ก่อนซึ่งก็จะยิ่งทอดเวลาไปอีกกว่าสัปดาห์ ตราบใดที่มีรัฐบาลนี้ยังประวิงเวลาไปเรื่อยๆ ก็ยังเสี่ยงที่จะมีแรงงานต่างชาติที่ผิดกฎหมายหลบหนีออกจากพื้นที่ไปเรื่อยๆ ทำให้เสี่ยงมากที่จะทำให้การระบาดแพร่กระจายออกไปอีกในวงกว้าง ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะล่าช้าทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้

นายวิโรจน์ ยังตำหนิรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อีกว่า ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เดือน มีนาคม พ.ศ.2563 แทนที่จะใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้ในการวางระบบ เตรียมความพร้อม ในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรม แต่ในทางปฏิบัติกลับเอาอำนาจไปใช้คุกคามประชาชนที่มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ขณะที่การเตรียมการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 มีแต่ความล่าช้า และไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม

ที่ทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจได้ ไม่ว่า การจัดเตรียมสถานกักกันโรคในพื้นที่ระดับจังหวัด (Local Quarantine) และการส่งเสริมให้มีสถานกักกันโรคโดยองค์กร (Organizational Quarantine) ก็ยังไม่เพียงพอต่อการกักกันโรคของแรงงานต่างชาติที่เข้าประเทศมาทำงาน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการกักกันโรคก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก โดยสูงในระดับ 20,000 บาทต่อคน ทำให้การจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหัวละ 6,500 บาท มีแรงจูงใจมาก

รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องเร่งจัดให้มีสถานกักกันโรคให้เพียงพอ และเร่งออกมาตรการในการอุดหนุน เพื่อให้ค่าใช้จ่ายในการกักกันโรคมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง ซึ่งเป็นโมเดลที่ไต้หวันทำได้สำเร็จ และได้ผลมาแล้ว ถ้ายังคงปล่อยปละละเลยก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอีก จากแรงงานต่างชาติในภาคบริการ และภาคเกษตร

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ยังระบุถึงความไม่พร้อมในอีกหลายด้าน เช่นโรงเรียนที่ไม่มีงบประมาณเพื่อจัดหาจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการป้องกันโรคระบาดได้อย่างเพียงพอ ด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ได้เตรียมวัคซีนไว้เพียงพอสำหรับประชาชนเพียงแค่ 13 ล้านคน เท่านั้น อีกเรื่องที่รัฐบาลนี้ตายน้ำตื้น

และไม่ควรจะให้เกิดขึ้นอีก ก็คือ การจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้มีความพร้อม เช่น หน้ากาก N95 ชุด PPE และ Face Shield เป็นต้น ไม่ควรปล่อยให้มีเหตุการณ์ที่ รพ.นครท่าฉลอม ต้องออกมาขอรับบริจาคจากประชาชน เกิดขึ้นอีก

"สำหรับมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ทางพรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไข มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย ที่ไม่เคยมีสินเชื่อกับทางธนาคารมาก่อน สามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำได้ และควรขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถอยู่รอด

และรักษาระดับการจ้างงานได้ ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโควิด-19 และในกรณีที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องล็อคดาวน์จริง ๆ สิ่งที่พรรคก้าวไกลเรียกร้องก็คือ รัฐบาลจำเป็นต้องจัดเตรียมมาตรการเยียวยาให้พร้อมกว่าที่ผ่านมา ประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบต้องได้รับเงินเยียวยาอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องมีการลงทะเบียนซ้ำ มีจุดแจกจ่ายอาหารสำหรับประชาชนให้ทั่วถึง เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ้นหวัง อย่างที่เคยประสบมา"

สุดท้าย นายวิโรจน์ ระบุว่า รัฐบาลต้องเลิกโทษ และผลักภาระให้ประชาชนรับผิดชอบตัวเอง ไม่เหมารวมโทษไปที่ประชาชนทั้งหมด เพื่อให้ตัวเองลอยตัวไม่ต้องรับผิดชอบอะไร รัฐบาลที่ดีมีหน้าที่ต้องถอดบทเรียน จากปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อมากำหนดนโยบาย วางมาตรการ และกลไกต่างๆ ในการป้องกันและแก้ปัญหา

สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทบทวนตัวเอง ก็คือ จากกรณีสนามมวยลุมพินี กรณีคณะ VIP ลูกทูต และทหารอียิปต์ ที่ จ.ระยอง กรณีโรงแรม 1G1 ที่ฝั่งท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน จนถึงกรณีตลาดแพปลา ที่ จ.สมุทรสาคร รัฐบาลได้ถอดบทเรียนอะไรบ้าง ได้ทำอะไรเป็นรูปธรรมไปแล้วบ้าง ถ้ายังไม่ได้ทำอะไร ก็ควรต้องรีบทำ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาจะเกือบปีแล้ว จะมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โทษประชาชนไปเรื่อย ๆ ปลูกผักชีแก้ผ้าเอาหน้ารอดแบบนี้ไปวัน ๆ แบบนี้ไม่ได้

เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่าวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่พัฒนาโดยจีนได้ผ่านเกณฑ์วัดประสิทธิภาพที่ร้อยละ 50 ในการทดลองขั้นสุดท้ายในบราซิล

ผลการทดสอบนี้หมายความว่าวัคซีนดังกล่าวถือว่าสามารถใช้การได้ตามมาตรฐานของนักวิทยาศาสตร์สากลและสามารถนำไปใช้ได้จริง

วัคซีนตัวดังกล่าวซึ่งชื่อว่า ‘โคโรนาวัค’ (CoronaVac) ถูกพัฒนาโดย ‘ซิโนวัค ไบโอเทค’ (Sinovac Biotech) บริษัทชีวเวชภัณฑ์สัญชาติจีน โดยวัคซีนตัวนี้ได้เสร็จสิ้นการทดลองระยะที่ 3 ในบราซิล และกำลังถูกทดสอบในประเทศอื่นเช่นกัน

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขคนหนึ่งกล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อ 21 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า จีนเป็นประเทศชั้นนำของโลกในด้านการพัฒนาวัคซีนป้อนกันโควิด-19 โดยมีวัคซีนที่อยู่ในขั้นตอนการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 มากที่สุด

เจิ้งจงเหว่ย เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) และหัวหน้ากลุ่มพัฒนาวัคซีนระดับชาติ กล่าวโดยอ้างอิงสถิติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า เมื่อนับถึงวันที่ 2 ธันวาคม ในจีนมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและได้เข้าสู่ขั้นตอนการทดลองทางคลินิกแล้วทั้งหมด 15 ตัว โดยในจำนวนนั้นมี 5 ตัวที่อยู่ระหว่างการทดลองระยะที่ 3


ที่มา: Xinhuathai

หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ ไทม์สของลาว รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขของลาวจะไม่ออกค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

โดยชาวลาวและชาวต่างชาติต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคโควิด-19 หรือการรักษาเอง

รายงานข่าวระบุว่าไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคโควิด-19 ในลาว นับตั้งแต่ตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายแรกของประเทศในเดือนมีนาคม

าพยาบาลในสังกัดหน่วยงานรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของลาว จะเริ่มเก็บค่าใช้จ่ายในการตรวจหาโรคโควิด-19 ของประชาชนโดยทันที โดยมีราคาแตกต่างกันตามบุคคลแต่ละประเภท


ที่มา: Xinhuathai

ปัจจุบันโลกกำลังก้าวสู่ยุคยานยนต์แห่งอนาคตที่มีพลังงานไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่เทคโนโลยี ‘เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์’ จากค่ายมิตซูบิชิ เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมน่าจับตามอง ที่สร้างระบบนิเวศน์ใหม่เชื่อมโยงพลังงานไฟฟ้าระว่างรถยนต์และบ้าน อย่างลงตัว

นายยอดชาย ซื่อวัฒนากุล ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักสื่อสารการตลาด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายค่ายได้เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รถ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ

นอกเหนือจากการเป็นรถยนต์เอสยูวีแบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของโลก นั่นก็คือ การคิดค้นสิ่งที่ทำให้รถยนต์ เป็นได้มากกว่ารถยนต์

โดยทางมิตซูบิชิ ได้พัฒนาเทคโนโลยี ที่เรียกว่า “เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์” (mitsubishi dendo drive house) แล้วใส่เข้าไปกับตัวรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ทำให้รถยนต์สามารถช่วยเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับที่พักอาศัยได้

เทคโนโลยี เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์ เป็นนวัตกรรมการบริหารจัดการพลังงานบ้านและรถยนต์ ช่วยในการผลิต เก็บ และแบ่งปันพลังงานไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นการผสานการทำงานร่วมกันของรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี พร้อมกับเครื่องอัดและจ่ายประจุไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่สำรองกระแสไฟฟ้าในที่พักอาศัย

เริ่มต้นการเก็บพลังงานด้วยการเปลี่ยนแสงอาทิตย์ ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านแผงโซลาร์เซลล์ แล้วเก็บเข้าแบตเตอรี่สำรองภายในบ้าน หรือในแบตเตอรี่ของรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี

พลังงานเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ภายในบ้านอัตโนมัติด้วยเครื่องอัดและจ่ายประจุไฟฟ้า ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์จะใช้เป็นพลังงานหลักสำหรับใช้ในบ้าน

ส่วนพลังงานที่เก็บสะสมระหว่างวันและภายในรถยนต์ จะสามารถนำไปใช้ในช่วงเวลากลางคืน และกรณีไฟดับ สามารถใช้แบตเตอรี่จากในบ้าน และสามารถดึงพลังงานเพิ่มเติมจากรถยนต์ออกมาใช้ในช่วงเวลากลางคืนได้

และหากพิจารณาขนาดของแบตเตอรี่ของรถยนต์รุ่นดังกล่าว ที่มีพลังงานเพียงพอจ่ายกระแสไฟฟ้าจำเป็นให้กับบ้านได้ใน 1 วัน โดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ผลิตกระแสไฟฟ้า และด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงเต็มถัง รถจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงพอต่อการใช้งานภายในบ้านได้นานถึง 10 วัน (คำนวณโดยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ตัวเลขสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามปริมาณการใช้ไฟที่ต่างกันไป ตามความเป็นจริง)

ชมรายละเอียดเทคโนโลยี เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์

.

สำหรับการชาร์จไฟแบตเตอรี่ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ทำได้สะดวกและง่ายดาย เพียงเสียบชาร์จเข้ากับปลั๊กไฟที่บ้าน ซึ่งการชาร์จรูปแบบปกติให้กำลังไฟ 100% ในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง หรือขับไปชาร์จ

ยังสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ให้บริการนอกสถานที่โดยการชาร์จไฟแบบเร็ว (Quick Charge) ด้วยหัวชาร์จ CHAdeMO ให้กำลังไฟ 80% ในเวลาประมาณ 25 นาที หรือจะชาร์จโดยวิธีการกดปุ่ม Save/Charge ภายในรถ ก็สามารถชาร์จไฟได้ในเวลาประมาณ 40 - 45 นาที

สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์รุ่นใหม่ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ก็น่าสนใจไม่น้อย ด้วยราคาเริ่มต้น 1,640,000 บาท

จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่ออารมณ์อยากท่องเที่ยวคนไทยหมดไปพอสมควร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดฉุดยอดเงินสะพัดเหลือแค่ 10,700 ล้าน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ปี พ.ศ.2564 คาดว่าหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรง โดยเป็นการติดเชื้อภายในประเทศที่มาจากแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาในจังหวัดสมุทรสาคร ขณะเดียวกันก็ยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อที่กระจายตัวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในหลายจังหวัดส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนักท่องเที่ยวเกิดความหวั่นวิตกกังวลกับสถานการณ์การแพร่ระบาด

ทั้งนี้ ททท.ประเมินว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวปีใหม่ พ.ศ.2564 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง 4 วัน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2563 – 3 มกราคม พ.ศ.2564 คาดว่า จะมีคนไทยเดินทางภายในประเทศ 2.75 ล้านคน - ครั้ง และมีการใช้จ่ายสร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่มากว่า 10,700 ล้านบาท โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 37% ซึ่งลดลงจากปีก่อนมาก เพราะปีที่ผ่านมามีวันหยุดยาวถึง 5 วัน และมีการเดินทางท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เพราะเป็นช่วงก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยสร้างรายได้หมุนเวียนมากถึง 23,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเกิดล็อกดาวน์จังหวัดสมุทรสาคร แต่ก็ยังไม่นำไปสู่การล็อกดาวน์เป็นวงกว้าง ดังนั้น บางพื้นที่จึงยังจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 64 ที่ ททท. เป็นผู้จัด หรือร่วมสนับสนุนการจัดงานใน 4 พื้นที่ทั้งเมืองหลักและเมืองรองตามภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ ราชบุรี และร้อยเอ็ด แต่การจัดงานได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ยกระดับความปลอดภัยตามมาตรการควบคุมโรค คาดว่ามีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางเข้าพื้นที่ประมาณ 4.71 แสนคน-ครั้ง และมีรายได้หมุนเวียน 1,800 ล้านบาท

ตอนนี้จีนกำลังมีส่วนร่วมในการสร้าง ‘ประชาคมการขนส่งระดับโลก’ สำหรับทุกฝ่าย ด้วยการขยายความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ส่งเสริมการเชื่อมต่อระดับโลก และมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลก

จากรายงานข้อมูล ‘สมุดปกขาว’ หรือรายงานทางการว่าด้วย ‘การพัฒนาอย่างยั่งยืนของการขนส่งในจีน’ (Sustainable Development of Transport in China) ระบุว่า ปัจจุบันจีนได้มีส่วนร่วมในการสร้างประชาคมการขนส่งระดับโลกแก่ทุกๆ ฝ่าย ด้วยการขยายความร่วมมือกับประเทศต่างๆ โดยเข้ามาส่งเสริมการเชื่อมต่อระดับโลก และมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลกอย่างชัดเจน

โดยจีนจะดำเนินการภายใต้ความรับผิดชอบและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างที่สุด เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย จนทำให้เกิดการพัฒนาร่วมกันผ่านการดำเนินงานในสาขาที่หลากหลายในระดับที่สูงขึ้น

...ความร่วมมือที่ผนวกเข้ากับ ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’

ภายใต้หลักการของการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวาง การร่วมสร้างคุณูปการ และการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน จีนได้ร่วมมือกับหลากหลายประเทศในแผนริเริ่ม ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’ เสริมสร้างการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการอำนวยความสะดวกแก่การขนส่งระหว่างประเทศ

สมุดปกขาวระบุถึงความคืบหน้าต่อเนื่องในโครงการความร่วมมือต่างๆ ซึ่งร่วมถึงทางรถไฟข้ามพรมแดนจีนเนปาล ทางรถไฟจีน-ลาว และอีกหลายโครงการ เช่น ทางรถไฟมอมบาซา-ไนโรบี และทางด่วนคุนหมิง-กรุงเทพฯ ที่ล้วนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่จีนส่วนร่วมในการก่อสร้างและการบริหารจัดการท่าเรือในต่างประเทศหลายแห่ง

จีนยังส่งเสริมการประสานนโยบาย กฏ และมาตรฐานระหว่างนานาประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การขนส่งระหว่างประเทศด้วย

ทั้งนี้จีนได้ลงนามในข้อตกลง 22 ฉบับเกี่ยวกับการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศกับ 19 ประเทศ ทำข้อตกลงการขนส่งระดับทวิภาคีหรือภูมิภาค 70 ฉบับกับประเทศและภูมิภาค 66 แห่ง โดยมีบริการขนส่งสินค้าครอบคลุมทุกประเทศที่ติดทะเลในแผนริเริ่มฯ และเมื่อสิ้นปี 2019 ยังมีสายการบินจีนและต่างประเทศที่เปิดให้บริการเชื่อมต่อจีนกับนานาประเทศถึง 54 แห่ง โดยมีเที่ยวบินไป-กลับ 6,846 เที่ยวต่อสัปดาห์

...การส่งเสริมมาตรฐานกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลก

จีนได้เข้าร่วมเป็นภาคในข้อตกลงพหุภาคีเกี่ยวกับการขนส่งเกือบ 120 ฉบับ โดยมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในองค์กรการขนส่งระหว่างประเทศหลายแห่งและเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงการประชุมการขนส่งโลก (World Transport Convention)

จีนมุ่งมั่นที่จะดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทั้งหมดภายใต้กรอบของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจีนมีเป้าหมายในการสร้างสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยแก่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

สมุดปกขาวระบุว่าจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยจีนได้ปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบและพันธกรณีระหว่างประเทศที่สอดคล้องต่อขั้นตอนการพัฒนาและเงื่อนไขของจีน ทั้งยังบังคับใช้ยุทธศาสตร์ระดับชาติ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพของภูมิอากาศในเชิงรุก

...เสริมแกร่งการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างประเทศ

จีนเสริมสร้างความร่วมมือด้านการขนส่งในงานการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ร่วมกับนานาประเทศและผลักดันให้มีประชาคมด้านสุขภาพระดับโลกสำหรับทุกคน

จีนได้แบ่งปันแนวทางการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดสำหรับเรือ สนามบิน สายการบินและกะบริการไปรษณีย์ ทั้งยังสร้างช่องทางด่วนภายในประเทศสำหรับการขนส่งวัสดุป้องกันการแพร่ระบาด

องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization) ได้แนะนำและส่งต่อมาตรการจำนวนมากจากจีนไปยังประเทศสมาชิกและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องจำนวน 174 แห่ง

สมุดปกขาวระบุว่า จนถึงตอนนี้จีนได้ส่งเสบียง 294 ชุดไปยังประเทศ 150 แห่งและองค์การระหว่างประเทศ 7 แห่ง ทั้งยังมีการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ 35 ทีมรวม 262 คน ไปช่วยเหลือประเทศ 33 แห่ง


ที่มา: Xinhuathai

รมว.ศึกษาธิการ ‘ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ’ เผยเลื่อนงานวันเด็กปี 64 หลังโควิดกลับมาระบวาด ขณะที่ ไฟเขียว โรงเรียน- ชุมชน จัดงานวันเด็กได้ เหตุสามารถยืนยันผู้ที่มาผู้ร่วมงาน ส่วนพื้นที่สาธารณะและเอกชนให้งดจัด

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการจัดงานวันเด็ก ว่า งานวันเด็กของกระทรวงศึกษาธิการต้องเลื่อนไปก่อน เพราะเป็นงานวันเด็กที่ไม่สามารถระบุได้ว่าคนร่วมงานมาจากที่ใด ส่วนงานกิจกรรมวันเด็กที่สามารถระบุคนเข้าร่วมได้สามารถจัดได้ตามปกติ

เนื่องจากเป็นมาตราการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เช่นการจัดงานวันเด็กในสถานที่ชุมชนและพื้นที่ที่สามารถยืนยันได้ว่าเด็กและผู้ที่มาร่วมงานมาจากที่ใด แต่ถ้าเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ไม่สามารถระบุยืนยันตัวบุคคลได้ ก็จะเป็นเช่นเดียวกับกิจกรรมงานปีใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยง

“หากจะมีการจัดงานวันเด็ก เฉพาะในบางพื้นที่ต้องเป็นไปตามมาตรการ ตามที่ศบค.กำหนด ผู้ที่มาร่วมงานสามารถยืนยันตัวตนได้ก็จัดได้ สำหรับโรงเรียนสามารถจัดกิจกรรมได้ เพราะสามารถที่จะยืนยันตัวตนเด็กและผู้ที่มาร่วมงาน ซึ่งขออนุญาตจาก สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้อยู่แล้ว ในส่วนของภาคเอกชนที่จะเชิญชวนให้เด็กมาร่วมงานกิจกรรมวันเด็ก ยังทำไม่ได้ “ นายณัฏฐพลกล่าว

พร้อมยืนยันว่า สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในสถานศึกษาได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้รับจากพื้นที่ ในพื้นที่เสี่ยงก็ได้มีการปิดโรงเรียน อย่างโรงเรียนใน สพฐ. ปิดไปแล้ว 528 โรงเรียน อาชีวะปิดไป 20 วิทยาลัย ในภาคเอกชนมีการปิดไป 220 โรงเรียน ซึ่งก็เป็นไปตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่มากสุด ได้แก่ จ.สมุทรสาคร กระทรวงศึกษาควบคุมสถานการณ์ ตามที่ ศบค.เสนอ ไม่ได้ครอบคลุมทั้งจังหวัด เพราะเรามีข้อมูลและอัตราความเสี่ยงไว้อย่างชัดเจน

"สุริยะ" เข้มสั่งกรมโรงงานอุตฯ, อุตสาหกรรมจังหวัด ตรวจสอบการขนย้าย และการนำแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ โดยเฉพาะสถานประกอบการในพื้นที่สมุทรสาคร หากฝ่าฝืนไม่ร่วมมือ โทษหนักกว่าหลายเท่า

สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัด ตรวจสอบการขนย้าย และการนำแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ โดยเฉพาะสถานประกอบการในพื้นที่สมุทรสาคร

ซึ่งเป็นพื้นที่แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวดังกล่าวออกมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงต้องเฝ้าระวัง ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ พร้อมกับทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโรงงานที่ใช้แรงงานต่างด้าว

“ต้องมีการตรวจสอบทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ เพื่อให้ความช่วยเหลือ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบ คัดกรอง หาผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง รายงานจำนวน สถานประกอบการที่มีการใช้แรงงานต่างด้าว โดยได้ให้ประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับแรงงานจังหวัด และย้ำเตือนผู้ประกอบการ อย่าตระหนก อย่าเกรงกลัวความผิด หากฝ่าฝืนโทษจะยิ่งหนักกว่าหลายเท่า และไม่ให้มีการดำเนินการใดๆ ที่เป็นการขนย้ายแรงงานออกนอกโรงงานโดยเด็ดขาด”

สุริยะ กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญตอนนี้ คือ ต้องปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้น ทั้งสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุด และหากมีแรงงานในสถานประกอบการติดเชื้อ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการสอบสวนโรคตามขั้นตอนว่าไปสถานที่ใด พบปะกับใคร และกักกัน ไม่ให้ออกนอกพื้นที่

สมุดปกขาวหรือรายงานทางการว่าด้วย “การพัฒนาอย่างยั่งยืนของการขนส่งในจีน” (“Sustainable Development of Transport in China”) ระบุว่าจีนกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องจากการเป็นผู้ตามไปสู่ผู้นำด้านเทคโนโลยีการขนส่ง โดยจีนได้พัฒนาเทคโนโลยีสำคัญขึ้นมากมาย

ทั้งยังสร้างความก้าวหน้าที่สำคัญหลายครั้งในแวดวงโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ด้านการขนส่ง ดังจะเห็นได้จากอภิมหาโครงการและเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกบางส่วนที่ระบุไว้ด้านล่างนี้

จีนเป็นผู้นำของโลกด้านเทคโนโลยีการสร้างทางรถไฟในพื้นที่สูงและพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก เช่น เดียวกับการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงและทางรถไฟบรรทุกสินค้าหนัก

จีนได้แก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่ท้าทายที่สุดในการก่อสร้างทางหลวงในสภาพทางธรณีวิทยาที่ยากลำบาก เช่น ที่ราบสูงชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Plateau Permafrost) พื้นที่ดินบวมตัว (Expansive Soil) และทะเลทราย นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแกนหลักในการสร้างท่าเรือน้ำลึกนอกชายฝั่งการปรับปรุงปากแม้น้ำขนาดใหญ่และทางน้ำยาว และการสร้างสนามบินขนาดใหญ่

ภายในสิ้นปี 2019 ความยาวรวมของทางรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศจีนทะลุ 35,000 กิโล ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 2 ใน 3 ของทางรถไฟความเร็วสูงทั้งหมดของโลก

จีนได้สร้างทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-กวางโจว ซึ่งเป็นทางรถไฟความเร็วสูงที่ยาวที่สุดในโลกเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่ทางรถไฟความเร็วสูงฮาร์บิน-ต้าเหลียน ซึ่งเป็นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกของโลกที่วิ่งในพื้นที่อุณหภูมิต่ำในฤดูหนาว ก็ได้เปิดให้บริการแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ทางรถไฟบรรทุกสินค้าหนักต้าทง-ฉินหวงเต่า ยังติดอันดับทางรถไฟชั้นนำของโลกในด้านปริมาณการขนส่งต่อปีด้วย

จีนเป็นผู้นำของโลกทั้งในด้านจำนวนและความยาวรวมของสะพานและอุโมงค์ทางหลวงทั้งที่เปิดให้บริการแล้วและที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ผลงานของจีนครองอันดับต้นๆ ของโลกมากมาย เช่น สะพานขึงที่ยาวที่สุด 7 ใน 10 แห่ง และสะพานแขวนที่ยาวที่สุด 6 ใน 10 แห่ง สะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุด 6 ใน 10 และสะพานที่สุดที่สุด 8 ใน 10 แห่งทั่วโลก

รถไฟฟ้าฟู่ซิงของจีนที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดของโลกที่ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้บริการในหลายเส้นทาง อาทิ ทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ ทางรถไฟระหว่างเมืองปักกิ่ง-เทียนจิน และทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-จางเจียโข่ว

จีนกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติบนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็ว 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

จีนได้สร้างเทคโนโลยีการผลิตเรือเครื่องจักรวิศวกรรมทางทะเลแบบพิเศษ และชุดอุปกรณ์ครบวงจรระดับแนวหน้าของโลก สำหรับจัดการตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่และจำเพาะด้วยระบบอัตโนมัติ


ที่มา: Xinhuathai

คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เห็นชอบงบ “กองทุนบัตรทอง ปี 2565” กว่า 2.03 แสนล้านบาทแล้ว รองรับผู้ใช้สิทธิเพิ่มจากผลกระทบโควิด และอัตราเงินเฟ้อ เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ “ข้อเสนองบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ปี 2565” รวมทั้งสิ้น 203,027 ล้านบาท

ในจำนวนนี้รวมเงินเดือนบุคลากรทางการแพทย์ภาครัฐ 55,198.26 ล้านบาท เป็นงบประมาณสู่การบริหารจัดการโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 147,828.83 ล้านบาท โดยจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทอง ปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 8,518 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.4% ส่งผลให้อัตราเหมาจ่ายรายหัวในปี 2565 จะเพิ่มเป็น 3,843.60 บาท/ประชากรผู้มีสิทธิ เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 124.38 บาท/ประชากรผู้มีสิทธิ

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทองปี 2565 เพิ่มขึ้นจากเดิม เนื่องจาก 1.อัตราเงินเฟ้อต้นทุนบริการที่เพิ่มขึ้น ทั้งเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 2.ปริมาณงานและประชากรที่เพิ่มขึ้น

โดยรองรับประชากรที่จะเข้าสู่ระบบบัตรทองจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่นำมาสู่ปัญหาการว่างงาน 3.เพิ่มเติมสิทธิประโยชน์รายการใหม่เพื่อการเข้าถึงบริการที่เพิ่มขึ้น และ 4.รองรับนโยบาย “การยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งรับบริการกับหมอประจำครอบครัวที่หน่วยปฐมภูมิใดก็ได้ บริการมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ที่ได้ที่มีความพร้อม รับบริการผู้ป่วยในโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว และการเปลี่ยนหน่วยบริการมีผลทันทีไม่ต้องรอ 15 วัน

“ในปี 2565 คาดว่าจะมีผู้เข้าสู่ระบบบัตรทองจำนวนมาก จากข้อมูลคาดการณ์อัตราการเกิดและอัตราการตายโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม พบว่าจะมีผู้ที่ใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่ 47.547 ล้านคน ขณะเดียวกันจะมีผู้ที่ว่างงานเข้ามาในระบบอีกราว 3.9 แสนราย ประกอบกับในปี 2565 สปสช. ได้ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์อีกหลายรายการ และที่สำคัญคือการรองรับบริการ ตามนโยบายยกระดับบัตรทอง สู่หลักประกันสุขภาพยุคใหม่ ที่เป็นการพลิกโฉมการให้บริการ เพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพให้กับประชาชน นำมาสู่การจัดทำข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทอง ปี 2565 จำนวน 203,027 ล้านบาท” นายอนุทิน กล่าว

ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทอง ปี 2565 แบ่งเป็น 1.) งบค่าบริการเหมาจ่ายรายหัวสำหรับประชากรในระบบและประชากรที่คาดว่าจะเข้ามาในระบบ รวม 161,236 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 5,916 ล้านบาท

2.) ค่าบริการสาธารณสุขผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 3,918 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 242 ล้านบาท

3.) ค่าบริการสาธารณสุขผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง จำนวน 10,124 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 404 ล้านบาท

4.) ค่าบริการสาธารณสุขเพื่อควบคุมป้องกันความรุนแรงของโรคเรื้อรัง จำนวน 1,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 5.6 ล้านบาท

5.) ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร เสี่ยงภาย และชายแดนใต้ จำนวน 1,490 ล้านบาท

6.) ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จำนวน 1,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 176 ล้านบาท

7.) ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับบริการปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว จำนวน 421 ล้านบาท

8.) ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 2,770 ล้านบาท

9.) ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับบริการโรคโควิด-19 เป็นรายการใหม่ที่ขอรับงบตั้งแต่ต้นปี 2565 จำนวน 825 ล้านบาท

10.) เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการและผู้ให้บริการ จำนวน 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 100 ล้านบาท จากการปรับอัตราการเยียวยาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโควิด-19

11.) ค่าบริการสาธารณสุขสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จำนวน 19,774 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 1,053 ล้านบาท

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณกองทุนบัตรทอง ปีงบประมาณ 2565 เป็นการดำเนินงานตามกรอบรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และกฎหมาย ประกาศ คำสั่ง และมติ ครม. ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบอร์ด สปสช. ตลอดจนผลการรับฟังความเห็นจากประชาชน

โดย สปสช. จะเสนอข้อเสนองบประมาณนี้เข้าสู่การพิจารณางบประมาณของคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ สปสช. ยืนยันว่าจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มาจากภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่า เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top