Tuesday, 30 April 2024
NEWS FEED

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (16 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 15 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,261 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 28 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,977 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 224 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 15 ราย เป็นคนไทย 11 ราย สัญชาติเ อังกฤษ 1 ราย ฝรั่งเศส 1 ราย อินเดีย 1 ราย บราซิล 1 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 147 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 319 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.29 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.17 แสน เสียชีวิต 19,111 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 34 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 86,618 ราย รักษาหายแล้ว 71,681 ราย เสียชีวิต 422 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.11 แสน ราย รักษาหายแล้ว 89,418 ราย เสียชีวิต 2,319 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.52 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.19 แสน ราย เสียชีวิต 8,812 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,341 ราย รักษาหายแล้ว 58,233 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,405 ราย รักษาหายแล้ว1,252 ราย เสียชีวิต 35 ราย

เคอรี่ เอ็กซ์เพรส หรือ KEX เคาะราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้น IPO แล้วที่ 28 บาทต่อหุ้น หลังนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อท่วมท้น มากกว่า 23 เท่า คาดพร้อมเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 24 ธันวาคมนี้

บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEX ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนของประเทศไทย ประกาศราคาขายหุ้น IPO จำนวน 300 ล้านหุ้น ที่ราคา 28.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น คาดพร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันที่ 24 ธันวาคมนี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์“ KEX” หลังนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองอย่างท่วมท้นมากกว่า 23 เท่า และประมาณ 10 เท่า จากกลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) ของจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้

ซึ่งบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ไปใช้ขยายธุรกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ชำระคืนเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ 

นางสาววีณา เลิศนิมิตร กรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม และนายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า KEX เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ที่ได้แสดงความต้องการจองซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 28.00 บาท โดยมีความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างท่วมท้นมากกว่า 23 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรรแก่นักลงทุนสถาบัน

จึงมีการกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ที่หุ้นละ 28.00 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ KEX ในฐานะผู้นำการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนของประเทศไทย ด้วยศักยภาพที่โดดเด่น และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง  

ปัจจุบัน เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ให้บริการจัดส่งพัสดุแบบครบวงจร ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกประเภท และมีเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด ด้วยจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่ง พร้อมศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง

ทั้งยังมีศักยภาพในการให้บริการ เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซซึ่งจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บริการจัดส่งพัสดุด่วน โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจและความแข็งแกร่งของฐานะการเงินแก่บริษัทฯ 

‘เต้-มงคลกิตติ์’ โพสต์แขวะ ‘เอนก’ หาเงินเข้าประเทศให้พอรายจ่าย ก่อนคิดจะไปดวงจันทร์ ย้ำ ‘อย่าบอกนะว่าจะกู้อีก’

จากกรณี เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้กล่าวเปิดโครงการ ‘วัคซีนเพื่อคนไทย’ และได้มีการเปิดเผยว่า “เร็วๆ นี้ไทยจะเป็นชาติที่ 5 ของเอเชีย ที่จะสามารถผลิตยานอวกาศและส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 7 ปี และอาจมีการขอความร่วมมือและสนับสนุนจากประชาชนในการระดมทุน เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะเปลี่ยนวิธีคิดของคนไทย ว่าไทยไม่ใช่ประเทศที่ด้อยพัฒนาอีกแล้ว เราเป็นประเทศที่มีอนาคต มีโอกาส และมีความหวัง”

กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเลยทีเดียวว่า ไทยสามารถสร้างยานอวกาศในเวลาเพียง 7 ปีได้จริงอย่างที่ เอนก กล่าวไว้จริงหรือ

ทันทีที่ข้อความดังกล่าวจาก เอนก ออกสื่อไปนั้น มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ก็ได้ออกมาโพสต์ ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวถึงกรณีนี้เช่นกัน โดยระบุว่า...

“ก่อนจะผลิตยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ หารายรับเข้าประเทศให้พอรายจ่ายก่อน หรือ ทำให้คนจนมีชีวิตขั้นพื้นฐานให้ปกติก่อน...อย่าบอกนะว่าจะกู้อีก”

จากการที่กระทรวงการคลัง ได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 2 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. จำนวน 5 ล้านสิทธินั้น มีผู้ลงทะเบียนครบ 5 ล้านสิทธิ

เมื่อเวลาประมาณ 08.00 น. โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ขณะที่แต่พบปัญหาการส่งข้อความรหัสยืนยัน OTP ทำให้มีประชาชนจำนวนมากไม่สามารถลงทะเบียนได้

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า ระบบการลงทะเบียนบน www.คนละครึ่ง.com นั้น ไม่มีปัญหาใด ๆ แต่พบปัญหาการส่งข้อความรหัสยืนยัน OTP ทำให้มีประชาชนจำนวนมากไม่สามารถลงทะเบียนได้ โดยเฉพาะในส่วนของผู้ที่ใช้เครือข่ายโทรศัพท์มือถือดีแทค ส่วนแอพพลิเคชั่น เป๋าตัง ที่มีปัญหาแอพล่มนั้น ขณะนี้มีประชาชนบางส่วนกลับมาใช้ได้ตามปกติแล้ว

ล่าสุด ดีแทคได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวระบุว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ระบบบางส่วนของดีแทค ซึ่งรวมถึงระบบ 1678 call center, dtac application, การรับข้อความรหัส OTP การชำระเงิน เติมเงินขัดข้อง ทำให้ลูกค้าของดีแทคไม่สามารถใช้บริการดังกล่าวได้ ซึ่งขณะนี้ มีบริการจ่ายเงิน เติมเงิน IVR, USSD, OTP ที่สามารถกลับมาให้บริการได้ตามปกติแล้ว ในขณะที่อาจยังมีบางบริการ ซึ่งรวมถึงดีแทคแอพพลิเคชั่นยังคงขัดข้องอยู่ ซึ่งดีแทคกำลังเร่งแก้ไขระบบเพื่อให้กลับมาให้บริการได้ครบทุกบริการโดยเร็วที่สุด

มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ในเวลา 14.30 น.ตัวแทนดีแทคจะเข้าชี้แจงกรณีระบบลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งล่ม ต่อคณะกรรมการ กสทช.ที่สำนักงาน กสทช.

ดีแทคเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและผลกระทบต่อลูกค้า และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ทั้งนี้ ดีแทคพร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศมาตรการชดเชยให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวต่อไป

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น เผยผลสำรวจร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยปี 2563 ขยายตัว 12.6% เพิ่มขึ้น 1,183 ร้าน ยอดรวม 4,094 ร้านทั่วประเทศ แต่พบมีร้านที่ปิดกิจการ 726 ร้าน สูงสุดรอบ 14 ปี นับตั้งแต่เริ่มสำรวจปี พ.ศ.2550 ปัจจัยหลักมาจากพิษโควิด-19

อัทสึชิ ทาเคทานิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร กรุงเทพฯ เปิดเผยผลสำรวจร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยปี 2563 พบว่า ยอดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยที่ปิดตัวลงในปี พ.ศ.2563 มีจำนวนมากถึง 726 ร้าน สูงสุดนับตั้งแต่เริ่มสำรวจปี พ.ศ.2550 โดยมีสาเหตุจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 และมีการล็อกดาวน์ร้านค้า

นอกจากนี้ เจโทรยังได้สอบถามข้อมูลร้านอาหาร 40 แห่ง พบว่ามียอดขายลดลงเหลือ 0 - 30% จากยอดขายช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนการสอบถามข้อมูลร้านอาหารญี่ปุ่นรายใหญ่ในไทยช่วงไตรมาส 3 พบว่า มียอดขายเหลือเพียง 30 - 85%

แต่อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 4,094 ร้าน โดยมียอดเปิดเพิ่มขึ้น 1,183 ร้าน หรือ 12.6% จากปีก่อน โดยประเภทร้านอาหารที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ ร้านอาหารประเภทซูชิ โดยเฉพาะร้านซูชิแฟรนไชส์ ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นร้านของคนไทย มีทั้งเป็นร้านแบบสาขาเดียว และเป็นร้านที่มีหลายสาขา

ทั้งนี้ ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย มีกระจายอยู่เปิดในกรุงเทพฯ มากสุดถึง 2,105 ร้าน ตามด้วยชลบุรี และนนทบุรี เท่ากันที่ 256 ร้าน เชียงใหม่ 162 ร้าน สมุทรปราการ 129 ร้าน ปทุมธานี 102 ร้าน ภูเก็ต 69 ร้าน สงขลา 68 ร้าน นครราชสีมา 63 ร้าน และนครปฐม 56 ร้าน

สหแรงงานฯขสมก. อาศัยช่วงวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 กระทุ้งรัฐบาล เร่งคลอดแผนฟื้นฟูกิจการ อ้างหากทำตามแผน และได้รถเมล์ใหม่ จะช่วย แก้ปัญหา PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพได้ 100%

สหแรงงานฯขสมก. ระบุถูกยกเลิกใบอนุญาตแล้วราว 30 เส้นทาง เหตุรถเมล์เก่าโดนปลดระวาง พร้อมย้ำหากไม่ได้รับการตอบรับ เตรียมนำทัพ 3,000 คน ทวงถามอีกทีต้นปีหน้า

นายบุญมา ป๋งมา ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) พร้อมด้วยสมาชิกจำนวน300 คน ยื่นหนังสือ ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องขอให้เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2562 ดำเนินการแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยมีนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับเรื่อง

นายบุญมา กล่าวว่า ขณะนี้เวลาล่วงเลยมานานมากในการผลักดันแผนฟื้นฟูกิจการฯ ที่ไม่ผ่าน ครม. จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ เร่งผลักดันโดยด่วน เนื่องจากประชาชนได้รับความเดือดร้อนไม่ได้ใช้รถใหม่ และยังทนต่อการใช้รถเก่าเสื่อมโทรมลงทุกวัน หากยังไม่ดำเนินการแผนฟื้นฟูกิจการฯ จะทำให้มีการปลดระวางรถเก่าจำนวนมาก และ กรมขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ยกเลิกใบอนุญาตประกอบการประจำทางของ ขสมก. ประมาณ 30 เส้นทาง และบางเส้นทาง ขบ.ได้อนุญาตให้เอกชนเข้ามาเดินรถแทนขสมก. ส่งผลให้เส้นทางเดินรถของขสมก.ลดลง และประชาชนได้รับความเดือดร้อน

"หากครม.ผ่านแผนฟื้นฟูกิจการฯประชาชนจะได้ใช้รถเมล์ใหม่ และช่วยแก้ปัญหา PM 2.5 ได้เกือบ 100 % ที่บัดนี้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน และอันตรายต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามหลังจากยื่นเรื่องไปแล้วจะรอฟังผล ซึ่งหากยังไม่ได้รับการตอบรับ จะมีการพาสมาชิกกว่า 3,000 คนเพื่อทวงถามอีกครั้งในต้นปีหน้า"

นายบุญมา กล่าวว่า สำหรับ มติ ครม. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2562 เห็นชอบในหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก.สำหรับดำเนินการตามกลยุทธ์ และแนวทางต่าง ๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการฯ ดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. เร่งจัดทำรายละเอียดและดำเนินการให้ถูกต้อง

ซึ่งแผนฟื้นฟูกิจการฯ กำหนดให้ ขสมก. จัดหารถโดยสารใหม่ (รถเมล์) รวม 3,000 คัน ดังนี้ ซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) 489 คัน ซื้อรถเมล์ไฟฟ้า (อีวี) 35 คัน ซื้อรถโดยสารปรับอากาศระบบดีเซลและไฟฟ้า (ไฮบริด) 1,453 คัน เช่ารถไฮบริด 400 คัน เช่ารถเอ็นจีวี 300 คัน และปรับปรุงรถเก่า 323 คัน ซึ่งต่อมาองค์การได้จัดซื้อรถใหม่เอ็นจีวี 489 คัน คงเหลือ 2,188 คัน และซ่อมบำรุงรถเก่า 323 คัน ขสมก. ได้ขอปรับปรุงแผนฟื้นฟู ซึ่งมีสาระสำคัญแตกต่างจากแผนเดิม ประกอบด้วย

1.)ขอเช่ารถเมล์ไฟฟ้า จากเอกชน 2,511 คัน

2.)ขอจ้างเอกชนมาเดินรถจำนวน 1,500 คัน

และ 3.) จะจัดเก็บค่าโดยสาร 30 บาท/คน/วัน

ด้านนายสมพาศ กล่าวว่า "สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เคยยื่นเรื่องมาแล้ว2 ครั้ง และ ที่ผ่านมา นายกฯก็ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดเข้าครม.โดยเร็ว ดังนั้นจึงต้องไปตรวจสอบว่าเกิดความล่าช้าจุดไหน อย่างไรก็ตาม วันนี้ สหภาพฯก็มายื่นเรื่องอีกครั้ง ซึ่งก็จะรายงานให้นายกฯรับทราบเพื่อดำเนินการต่อไป"

หลังจากประเทศไทยได้รับการจัดระดับให้อยู่ ระดับ Tier 2 ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ล่าสุด “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องย้ำชัดต้องป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ มุ่งความยั่งยืน และต้องร่วมหยุดการล่วงละเมิดทางเพศกับเด็ก พร้อมตั้งเป้าปี 64 ยกระดับ สู่ Tier 1 ให้ได้

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะ ประจำ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี. ได้เรียกประชุม คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ 2 คณะ เข้าประชุมต่อเนื่องกัน ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและติดตามการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ณ ห้องประชุมทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมรับทราบ การแลกเปลี่ยนความร่วมมือการต่อต้านการค้ามนุษย์ ไทย - สหรัฐฯ โดยไทยเสนอความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าของคดีการค้ามนุษย์และคดีการบังคับใช้แรงงานที่สำคัญให้สหรัฐฯทราบ และรับทราบแนวทางความร่วมมือกับองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) โดยมีคณะทำงานร่วมกันในด้านคุ้มครอง ด้านการเพิ่มศักยภาพทีมสหวิชาชีพ และด้านการป้องกัน

และแต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและปราบปรามเพื่อลดอุปสงค์การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก การบังคับใช้แรงงานหรือบริการและการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ รวมทั้งรับทราบการขับเคลื่อนโครงการอาเซียน - ออสเตรเลีย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ ที่มุ่งเน้นความเชื่อมโยงของแผนระดับประเทศและภูมิภาค

พร้อมกันนี้ ได้เห็นชอบการปรับปรุง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 เพิ่มเติมในกรณีการยึด/อายัดทรัพย์คดีค้ามนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมทั้งเห็นชอบกรอบการดำเนินงานขับเคลื่อนโครงการอาเซียน - ออสเตรเลีย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ และรับทราบความก้าวหน้า การจัดตั้งหน่วยงานถาวร ภายใต้สังกัด ตร.ในด้านการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต (TICAC)

รวมทั้งเห็นชอบการจัดทำระบบสารสนเทศเพื่อบูรณาการข้อมูลด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย เพื่อเป็นระบบฐานข้อมูลร่วมกันแก้ปัญหาของทุกส่วนราชการ

ต่อจากนั้น ได้ร่วมกันพิจารณาการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยประจำปี 63 เสนอต่อสหรัฐฯ โดยสรุป ได้ชี้แจงถึงสถานการณ์และผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นการดำเนินนโยบายต่อต้านการค้ามนุษย์ของรัฐบาล เน้นเสนอความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานที่สำคัญใน 3 ด้าน คือ

1.) ด้านการดำเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย

2.) ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ

และ 3.) ด้านการป้องกัน

พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นและจุดยืนของรัฐบาล ต้องการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังโดยมุ่งความยั่งยืน การขับเคลื่อนกลไกปฏิบัติการในทุกระดับทั้งในประเทศและต่างประเทศจึงมีความสำคัญยิ่ง ขอให้ทุกคณะทำงานต้องกำหนดตัวชี้วัดความคืบหน้าให้ชัดเจนในทุกมิติ และดำเนินการตามคำแนะนำของสหรัฐฯ

โดยเฉพาะต้องร่วมกันหยุดความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศกับเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงให้ได้ และให้เพ่งเล็งการแก้ปัญหาแรงงานกลุ่มประมงมากขึ้น โดยมุ่งแก้ปัญหายึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง และร่วมกันผลักดันกฎหมาย กรณีการยึด/อายัดทรัพย์คดีค้ามนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ให้เป็นผล

พร้อมทั้งกำชับเข้มกับทุกส่วนราชการว่า ต้องกำกับไม่ให้มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์โดยเด็ดขาด หากมีจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุดโดยไม่มีละเว้น ทั้งนี้เพื่อขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย และร่วมกันยกระดับประเทศไทยสู่ Tier 1 ให้ได้ในปี 64

LPN Wisdom คาดตลาดอสังหาฯ ปี 2564 มีแนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่เติบโต 5-10% ประมาณ 72,000 -80,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 300,000-315,000 ล้านบาท แต่ “กำลังซื้อ” ที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มทรงตัวหรือเติบโตได้ 3-5%

เมื่อเทียบกับปี 2563 ผลจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง ความเสี่ยงการว่างงานเพิ่ม และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน

ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom: LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)(LPN)

กล่าวถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 ว่า ตลาดอสังหาฯ ในปี 2564 มีแนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 โดยคาดว่าจะมีอัตราการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ประมาณ 72,000 -80,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 300,000-315,000 ล้านบาท ในปี 2564 หรือคิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้น 10-20% เมื่อเทียบกับโครงการที่เปิดตัวใหม่ประมาณ 65,000 หน่วยในปี 2563

ในขณะที่มูลค่าการเปิดตัวของโครงการใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 5% เมื่อเทียบกับมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ 285,000-300,000 ล้านบาทในปี 2563

“ผู้ประกอบการอสังหาฯ ทยอยเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายไตรมาส 4 ของปี 2563 เนื่องจากจำนวนสินค้าคงเหลือที่พร้อมขาย มีแนวโน้มลดลง ผลจากการออกแคมเปญทางการตลาดที่กระตุ้นกำลังซื้อตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 และต่อเนื่องมาไตรมาส 3 ของปี 2563 ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายบริษัทต้องทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ในปลายไตรมาส 4 และจะต่อเนื่องมาถึงปี 2564 ที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อให้มีสินค้าพร้อมขายที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าในปี 2564 และสร้างรายได้ต่อเนื่องในปี 2565-2566”

ในขณะที่กำลังซื้ออสังหาฯ ในปี 2564 มีแนวโน้มที่จะทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2563 ถึงแม้เศรษฐกิจในปี 2564 จะมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการคาดการณ์ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 3.5-4.5% ในปี 2564 เทียบกับเศรษฐกิจในปี 2563 ที่ติดลบประมาณ 7-8%

การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2564 เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การส่งออกและการลงทุนของภาคเอกชนที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปี 2564 เทียบกับปี 2563 แต่ภาคการท่องเที่ยวยังคงชะลอตัว

ในขณะที่ภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงแตะระดับเกือบ 90% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทำให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในปี 2564

โดยในปี 2563 มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 50-60% สำหรับกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท ส่วนที่อยู่อาศัยในระดับราคา 5-7 ล้านบาท มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 30 - 40% ขณะที่กลุ่มที่อยู่อาศัยที่ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 10-15%

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการเลิกจ้างพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากอัตราการว่างงานเฉลี่ยที่ 1.9% หรือ 740,000 คน

ในปี 2563 คาดว่าจะแตะระดับ 2 - 3% หรือประมาณ 2 ล้านคน ในปี 2564 ตามการคาดการณ์ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการหยุดพักชำระหนี้ (Debt Holiday) ที่สถาบันการเงินผ่อนปรนให้กับผู้ประกอบการที่หมดอายุไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายมีแผนปรับลดเงินเดือน หรืออาจปรับลดพนักงานต่อเนื่องในปี 2564 ทำให้กลุ่มผู้ซื้อบางกลุ่มยังคงชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยเนื่องจากไม่มั่นใจรายได้ในอนาคต

ทำให้แนวโน้มกำลังซื้อในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จะยังคงชะลอตัว แต่คาดว่ากำลังซื้อน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) เริ่มควบคุมได้ผลจากความสามารถในการผลิตวัคซีนและนำมาใช้ได้อย่างทั่วถึงในช่วงกลางปี 2564

จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ LPN Wisdom คาดว่ากำลังซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2564 จะทรงตัวใกล้เคียง หรือเติบโตได้ประมาณ 3-5% เมื่อเทียบกับปี 2563

จากผลการสำรวจของ LPN Wisdom พบว่า ในช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม)ของปี 2563 มีที่อยู่อาศัยเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 58,087 หน่วย ลดลง 36% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562 ที่มีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่อยู่ที่ 90,935 หน่วย ขณะที่มีอัตราการขายโครงการใหม่ที่เปิดตัวในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2563 เฉลี่ยอยู่ที่ 19% ของจำนวนหน่วยที่เปิดขายทั้งหมด ลดลง

เมื่อเทียบกับอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 26% ของจำนวนหน่วยที่เปิดขายในปี 2562 โดย 65% ของจำนวนที่อยู่อาศัยที่เปิดใหม่ทั้งหมดในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2563 เป็นที่อยู่อาศัยในแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ โดยระดับราคาที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดเป็นทาวน์เฮ้าส์ที่ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อหน่วย และที่เหลือ 35% เป็นคอนโดมิเนียม โดยระดับราคาคอนโดมิเนียมที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดเป็นระดับราคาที่ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย ในขณะที่มูลค่าของการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่ 231,111 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในระยะเดียวกันของปี 2562 ที่มีมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่อยู่ที่ 354,268 ล้านบาท

“จากผลการสำรวจดังล่าว LPN Wisdom คาดว่า บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ที่ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่จะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดในปี 2564 ในขณะที่คอนโดมิเนียม ที่อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าทั้งสายเก่า ส่วนต่อขยายสายสีเขียว และรถไฟฟ้าสายใหม่ อย่างสายสีชมพู และสายสีเหลือง ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดในปี 2564” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

ในยุคที่ระบบโลจิสติกส์มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีสกิลด้านนี้ จึงเป็นหนึ่งในนโยบายของกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่ต้องเร่งดำเนินการ

ล่าสุดกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเปิดโครงการฝึกอบรมต่อยอดในสายงาน Logistics Service Provider หลักสูตร การขนส่งทางทะเลและทางอากาศ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันการเปิดการค้าเสรี และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้การค้าและการทำธุรกิจเป็นแบบไร้พรมแดน มีการแข่งขันสูง ซึ่งระบบโลจิสติกส์เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศและทางทะเล

ถือว่าเป็นต้นทุนที่เป็นตัวแปรสำคัญต่อความอยู่รอดและความก้าวหน้าของธุรกิจในปัจจุบัน หากมีการจัดการระบบโลจิสติกส์ที่ดี ผนวกเข้ากับแรงงานที่มีฝีมือมีการพัฒนาตนเองเพื่อยกระดับฝีมือให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของโลกจะสามารถลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้อย่างแน่นอน

รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายยกระดับฝีมือแรงงานให้มีคุณภาพ

ซึ่ง กพร. ดำเนินงานภายใต้การบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐซึ่งเป็นการขับเคลื่อนแรงงาน ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาศักยภาพแรงงานทุกระดับ ทั้งด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ให้มีผลิตภาพแรงงานสูง สอดคล้องกับความต้องการตลาดแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และก้าวทันเทคโนโลยี 4.0

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า กพร.ได้บูรณาการร่วมกับสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) โดยโรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ (ITBS) จัดฝึกอบรมโครงการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์รองรับธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ หลักสูตร การขนส่งทางทะเลและทางอากาศ (Seafreight & Airfreight) จำนวน 3 รุ่น ๆ ละ 50 คน ระยะเวลาการฝึก 60 ชั่วโมง รุ่นที่ 1/2564 ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2563 – 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 (อบรมเฉพาะวันอังคาร และวันพฤหัสบดี)

เป้าหมายเป็นบุคคลทั่วไปที่มีประสบการณ์การทำงานในสายงานโลจิสติกส์ ไม่ต่ำกว่า 2 ปี วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับ ธุรกิจผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เงื่อนไขและเอกสารที่ต้องใช้ในธุรกิจการขนส่ง การประกันภัยเกี่ยวกับการขนส่ง พิธีการศุลกากร การขนส่งทางทะเล และทางอากาศ การบรรจุและขนถ่ายสินค้า การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ โลจิสติกส์และซัพพลายเชน ณ โรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ (ITBS) ผู้ผ่านการฝึกอบรมสามารถเข้ามาทำงานในสายงานโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้าทั้งทางเรือและทางอากาศ และด่านศุลกากร

สำหรับผู้สนใจสามารถกรอกใบสมัครได้ที่เว็บไซต์ของโรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ (ITBS) http://www.itbslogistics.com/course/Training.html หรือโทรศัพท์ 0-2018-2800 ต่อ 8901-8902, 095-759-8058, 095-174-2589 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4

'รัสเซีย-จีน' เตรียมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรทางทหาร ข่าวลือนี้มีความเป็นไปได้แค่ไหน? และหากว่าเป็นเรื่องจริง ใครได้รับผลกระทบบ้าง?

เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวลือหนาหูออกมาจากที่ประชุมยุทธศาสตร์ในเครมลินว่า วลาดิเมียร์ ปูตินมีความคิดที่จะจับมือเป็นพันธมิตรด้านการทหารกับจีน เพื่อสร้างแสนยานุภาพคานอำนาจของสหรัฐ และชาติพันธมิตร NATO หลังจากที่ถูกคว่ำบาตรหนักจากพันธมิตรชาติตะวันตก

แหล่งข่าวรัสเซียเปิดเผยว่า ปูตินออกความเห็นกลางที่ประชุมในเรื่องนี้ไว้ว่า ถึงแม้ตอนนี้รัสเซียจะยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผนึกกำลังกับกองทัพจีนในตอนนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ในเชิงทฤษฎี เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้

ถ้าเปิดแง้มๆมาแบบนี้ ก็แสดงว่าการผนึกพันธมิตรการทหารร่วมกันระหว่างรัสเซีย - จีน มีโอกาสเป็นไปได้ถ้าจำเป็นจริง ๆ

และการผนึกกำลังร่วม รัสเซีย-จีน ก็จะสร้างความกังวลให้กับประเทศในแถบยุโรปไม่น้อย อาจลามมาถึงย่านเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะเขตพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ที่จะทำให้เกิดบรรยากาศมาคุ ตึงเครียดยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะหากมองในแง่กองกำลังทหาร ถึงแม้รัสเซีย และ จีน จะไม่ใช่เบอร์ 1 ของโลก แต่จากการจัดอันดับของ US News สื่อข่าวของสหรัฐ ให้รัสเซียเป็นเบอร์ 2 ส่วนจีนตามมาไม่ห่างเป็นเบอร์ 3 ถ้าเบอร์ 2 กับ เบอร์ 3 รวมกันได้จริง ก็ยากที่จะต่อกร

แต่คำถามคือ รัสเซีย - จีน กลายเป็นพันธมิตรเนื้อแท้ต่อกันได้จริง ก็อาจเขย่าบัลลังก์ชาติมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกก็ได้ แต่ทำไมถึงไม่คิดจะร่วมมือกันตั้งแต่แรก ก็อาจเข้าตำรา หมี - มังกร อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

ถึงแม้ว่าทั้ง 2 ประเทศจะดูเหมือนเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันในแง่เศรษฐกิจ การค้า และมีเมกาโปรเจคท่อก๊าซไซบีเรียส่งตรงถึงจีนที่มีความยาวเกือบ 4,000 กิโลเมตร กับสัมปทานน้ำมัน 30 ปีที่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านเหรียญ และที่สำคัญคือ ใช้เงินหยวน-รูเบิล เป็นสกุลเงินหลักในการซื้อขาย

ในแง่การทหาร ดูผิวเผินก็เหมือนจะไปด้วยกันได้ เนื่องจากทางรัสเซียมีการแชร์เทคโนโลยีข้อมูลด้านอาวุธกับจีน ส่วนจีนก็สั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ SU-35 และขีปนาวุธรุ่นล่าสุด S-400 จากรัสเซีย การซ้อมรบร่วมกันก็มีอย่างต่อเนื่อง เวลาเจอหน้ากันระหว่าง 2 ผู้นำ ปูติน - สี่ จิ้นผิง ในเวทีโลกก็แลดูชื่นมื่น

แต่การผสานเป็นพันธมิตรด้านการทหารจนเป็นเนื้อเดียวกันระหว่างหมีขาว และมังกรแดงนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

เพราะการเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นขนาดนั้น มันก็ต้องไปด้วยกันได้ทุกเรื่อง และแสดงจุดยืนไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะผิดหรือถูกนั่นเป็นเรื่องที่คุยกันหลังบ้านทีหลัง ดังเช่น นโยบายของกลุ่ม NATO EU หรือ Five Eyes แต่เรายังไม่เห็นภาพนั้นชัดเจนระหว่าง รัสเซีย - จีน ไม่ว่าจะเป็นกรณีการผนวกไครเมีย จีนก็ไม่ได้ยืนข้างรัสเซีย ส่วนข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ทางรัสเซียก็ขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย

แถมรัสเซียยังเปิดดีลซื้อขายอาวุธกับอินเดียในช่วงที่จีนและอินเดียมีข้อพิพาทกันอย่างรุนแรงในเขตอัคไซชิน บริเวณรอยต่อชายแดนเทือกเขาหิมาลัย ที่จีนมองว่าเป็นการหักหลังของรัสเซีย และความไม่พอใจของชาวจีนก็ลามไปถึงงานฉลองครบรอบ 160 ปีกรุงวลาดิวอสต็อค เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ชาวเน็ตจีนพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงว่า เมืองวลาดิวอสต็อคนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ถูกกองทัพรัสเซียมาแอบยึดไปตอนช่วงสงครามฝิ่นต่างหาก

เรื่องการผนึกกำลังกันระหว่างรัสเซีย - จีน เคยมีกระแสมานานแล้ว ที่เคยทำให้บารัค โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐหัวเราะหยันว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะลึก ๆ แล้ว 2 ประเทศนี้ไม่เคยไว้ใจกัน ถ้าคบค้าซื้อขายกันตรง ๆ แบบหมูไป ไก่มา ก็พอได้ แต่ถ้าจะให้ร่วมหัวจมท้าย แบบไปไหนไปกันนั้นยากที่จะเกิดขึ้น

ลองคิดดูว่า มีหรือที่รัสเซียจะยอมเอากระดูกมาแขวนคอ ด้วยการออกเรือรบมาช่วยจีนยันกับเรือรบสหรัฐในย่านทะเลจีนใต้ แล้วเรื่องอะไรที่จีนจะยอมส่งทหารสนับสนุนรัสเซียในประเทศบ้านแตกอย่างซีเรียให้ขาดทุนเปล่า ๆ ปลี้ ๆ แต่ในทางกลับกัน ออสเตรเลียยอมควักเงิน ออกทุนส่งทหารไปหนุนกองทัพสหรัฐในสงครามอาฟกานิสถาน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

แม้แต่มองในแง่พันธมิตรด้านการค้า ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่รัสเซียก็ไม่อยากพึ่งพาจีนมากจนสุดตัว เพราะหากใครที่ได้ลองทำธุรกิจ ซื้อขายกับจีนก็คงพอรู้อยู่ในความละเอียดถี่ถ้วน (เขี้ยว) และคงไม่มีประเทศไหนที่อยากจะเอาเศรษฐกิจของตัวเองไปผูกกับจีนจนกระทั่งกลายเป็นลูกไก่ในกำมือ เพราะอาจนำมาซึ่งข้อต่อรองที่ไม่พึงประสงค์ในภายหลัง

ดังนั้นการกำเนิดพันธมิตรกู้โลก รัสเซีย - จีน จึงไม่ต่างจากความเห็นของปูตินในที่ประชุมยุทธศาสตร์เรื่องการผสานกองทัพระหว่างรัสเซีย-จีน เป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติจริงคงต้องเหลือไว้เป็นแผนสุดท้ายที่สิ้นสุดทางเลือกแล้วจริง ๆ

แต่หลังจากที่รัสเซียโดนสหรัฐ และ EU เล่นงานอ่วมตั้งแต่ประเด็นการผนวกดินแดนไครเมียในปี 2014 กับจีนที่โดนสหรัฐบี้หนักเรื่องสงครามการค้าในสมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมพ์ และหากทีท่าอันเป็นปฏิปักษ์แบบสุดขั้วของสหรัฐต่อ รัสเซีย และ จีน ที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามยังคงดำเนินอยู่เช่นนี้ต่อไปอีก 5 - 10 ปีข้างหน้า การผนึกพันธมิตรผิดฝาระหว่าง รัสเซีย - จีน อาจไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดเดียว ดังคำพูดที่ว่า ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร

ในเมื่อโลกนี้ไม่เคยมีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร ดังนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น


แหล่งข่าว

https://www.themoscowtimes.com/2020/12/02/is-putin-really-considering-a-military-alliance-with-china-a72207

https://apnews.com/article/beijing-moscow-foreign-policy-russia-vladimir-putin-1d4b112d2fe8cb66192c5225f4d614c4

https://www.usnews.com/news/best-countries/power-rankings

https://thediplomat.com/2020/08/is-putins-russia-seeking-a-new-balance-between-china-and-the-west/

https://indianexpress.com/article/explained/explained-why-160-year-old-vladivostok-has-a-chinese-connection-6493278/

https://www.reuters.com/article/us-ukraine-crisis-china-idUSKBN1520AN


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top