Wednesday, 4 October 2023
NEWS FEED

คลังเตรียมทบทวนสิทธิคนถือบัตรคนจน 13.8 ล้านปีนี้

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เตรียมทบทวนสิทธิของผู้ถือ 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ'​ ใหม่ในปีนี้ อัพเดตข้อมูลของประชาชน หลังจากที่ผ่านไม่ได้มีการเปิดทบทวนสิทธิผู้ถือบัตรสวัสดิการมานานกว่า 2 - 3 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 13.8 ล้านคน 

ทั้งนี้​ คลังจะมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นการลงทะเบียนโครงการเราชนะ​ ช่วงเดือนมี.ค.64 ไปแล้ว โดยจะเปิดให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการเดิม และประชาชนทั่วไป เข้ามาสมัครเข้าร่วมโรงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ได้ และหลังจากนั้นคลังจะมีการทบทวนข้อมูลผู้ถือบัตรสวัสดิการทุกๆ ปี

สำหรับการทบทวนเรื่องนี้ กระทรวงการคลังจะกำหนดเกณฑ์และเงื่อนไขการรับสิทธิใหม่ โดยดูเรื่องเกณฑ์รายได้ครัวเรือนเป็นหลัก ต่างจากการรับสิทธิบัตรสวัสดิการที่ผ่านมา ที่พิจารณาเกณฑ์รายได้เป็นรายบุคคล เช่น ภรรยาในครอบครัวนั้น เป็นผู้ไม่มีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สามีเป็นผู้มีเงินได้จำนวนมาก​ ก็อาจจะไม่ได้รับ ซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมาเมื่อภรรยาไม่มีรายได้ก็จะได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่วนเกณฑ์ขั้นต่ำที่พิจารณารายได้ของครอบครัวนั้น ยังไม่สรุปจะมีการหารือเพื่อสรุปต่อไป

“เมื่อปรับเกณฑ์ดูรายครอบครัวแล้ว จะทำให้มีผู้เข้าร่วมโครงการน้อยลงหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ โดยจะต้องมาพิจารณาอีกครั้ง เพราะการเปิดลงทะเบียนที่ผ่านมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ก็จะมีทั้งคนที่มีรายได้เพิ่มขึ้น และคนที่ได้รับผลกระทบแล้วทำให้รายได้ลดลงก็มี ซึ่งจะต้องมาดูกันอีกครั้ง"

กลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่ขำไม่ออก กับประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตวัคซีนของโลกอีกแห่งอย่างอินเดีย

โดยปัจจุบันอินเดียก้าวหน้า​ จนสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 เป็นของตัวเอง และกำลังผลิตพร้อมประกาศเป้าหมายว่าจะฉีดวัคซีนให้ชาวอินเดียได้ถึง 300 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคมปีนี้ ซึ่งถือเป็นโครงการฉีดวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไปๆ​ มาๆ​ กลายเป็นว่าชาวอินเดียส่วนใหญ่กลับเมิน ไม่ยอมมาฉีดกันสักเท่าไหร่

มันเกิดอะไรขึ้น?

อินเดียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด Covid-19 ระดับรุนแรง แซงหน้าหลายประเทศขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกหากนับจากยอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศ

ทว่าตอนนี้ประเทศอินเดียก็ได้พัฒนาตนเอง​ จนจัดกลายเป็นผู้ผลิตยา และวัคซีนรายใหญ่ของโลก โดยมีข้อมูลว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 วัคซีนที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกกว่า 60% ผลิตในอินเดีย และยังเป็นฐานการผลิตให้กับบริษัทยาชั้นนำของโลกอีกมากมาย ดังนั้นหากถามเรื่องศักยภาพในการผลิตยา และวัคซีนของอินเดียก็บอกได้เลยว่าหายห่วง

นอกจากนี้ อินเดียยังก้าวหน้าถึงขนาดสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 เป็นของตัวเองได้สำเร็จอีกด้วย นับเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าด้านการแพทย์ที่น่าจับตามองมาก

และทันทีที่มีข่าวว่ามีวัคซีน Covid-19 ในเวอร์ชั่นของอินเดีย รัฐบาลก็ไม่รอช้า ประกาศรับรองวัคซีน Covid-19 ให้ใช้ได้ทันทีถึง 2 ตัว คือ

- Covishield ที่เป็นชื่อเรียกของ วัคซีน Oxford-AstraZeneca ที่ผลิตในบริษัทยาของอินเดีย

- Covaxin วัคซีนของอินเดียแท้ ๆ ที่พัฒนาโดยบริษัท Bharat Biotech

และได้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนไปแล้วเมื่อกลางเดือนมกราคม 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลอินเดียประกาศเป้าหมายว่าจะต้องฉีดวัคซีนในได้ 300 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคม นับว่าเป็นโครงการวัคซีนใหญ่ที่สุดของโลกในช่วงเวลานั้น

แต่หลังจากที่เดินหน้าโครงการไปได้เพียงแค่เดือนเดียว กลับพบว่าชาวอินเดียมารับวัคซีนเพียงแค่ 8.4 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 1 ใน 4 ที่คาดว่าต้องฉีดให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 37.5 ล้านคน เพื่อบรรลุเป้าหมายในเดือนสิงหาคม

แม้ว่ารัฐบาลอินเดียจะสร้างแอปพลิเคชันบนมือถือ เพื่อแจ้งเตือนและติดตามกลุ่มเป้าหมายให้มารับวัคซีน ทำแคมเปญเชิญชวนสารพัด แต่ก็ยังมีคนมาไม่ถึงเป้า และที่รัฐบาลต้องกลุ้มใจหนักกว่านั้นคือ หลังจากที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว มีเพียง 4% เท่านัันที่กลับมารับวัคซีนเข็มที่ 2

สาเหตุดังกล่าง​ เมื่อถามจากความเห็นของกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องเข้ารับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ที่เป็นบุคลากรการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่ต้องสัมผัสกลุ่มเสี่ยงนั้น หลายคนยังลังเลที่จะไปรับวัคซีน ผลัดไปก่อน ไม่รีบ ไม่ร้อน โดยอ้างว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดียก็ลดลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์คงไม่น่ากลัวแล้ว ไม่ต้องรีบก็ได้ ซึ่งจุดนี้อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ชาวอินเดียตื่นตัวที่จะไปฉีดวัคซีนน้อยลง

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ​ ความเชื่อมั่นในวัคซีนที่ผลิตในอินเดียเอง ที่หลายคนยังกังขาในประสิทธิภาพ เนื่องจากการพัฒนาวัคซีน Covaxin ทำอย่างเร่งรีบ และมีตัวเลขผลการวิจัยออกมาค่อนข้างน้อย บางกระแสบอกว่าวัคซีนยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในเฟส 3 อยู่เลย รัฐบาลอินเดียก็เซ็นอนุมัติรับรองให้ใช้วัคซีนได้แล้ว

นิตยการ Time ได้สำรวจความเห็นของบุคลากรการแพทย์ในอินเดีย และพบว่าหลายคนยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในวัคซีนของอินเดีย ยิ่งศูนย์วัคซีนบางแห่งมีเพียงวัคซีนในประเทศให้เลือก บางคนก็ขอเลือกที่จะไม่ฉีด เมื่อชาวบ้านทั่วไปเห็นว่าขนาดหมอ พยาบาล ยังไม่ยอมไปฉีด ก็ยิ่งสร้างความไม่เชื่อมั่นในตัววัคซีนยิ่งขึ้นไปอีก

เลยทำให้ตอนนี้อินเดียกลายเป็นประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหาที่ไม่เหมือนใครในโลก คือ มีวัคซีน Covid-19 เหลือเฟือ​ แต่ไม่มีคนยอมมาฉีด

สถานการณ์เช่นนี้​ อาจจะเกิดขึ้นในหลายประเทศในอนาคต​ เมื่อวัคซีนเริ่มมีเพียงพอกับความต้องการในท้องตลาด แต่พอตัวเลขการติดเชื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ก็จะทำให้คนมีความตื่นตัวที่จะไปฉีดน้อยลง เพราะเข้าใจว่าว่าการระบาดกำลังจะจบลงในไม่ช้า ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด และยังมีโอกาสที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ได้ทุกเมื่อ

ตอนนี้รัฐบาลหลายประเทศกำลังเร่งกว้านซื้อวัคซีนในท้องตลาด​ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์ในอินเดีย​แล้ว อาจพบว่า​ การสร้างความเชื่อมั่น และจูงใจให้คนออกมารับวัคซีนให้ครบตามจำนวน​ อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งกว่าก็ได้


ที่มา: https://time.com/5940963/india-covid-19-vaccine-rollout/

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-55748124

'ก้าวไกล'​ ไปต่อ เดินหน้ายุทธการกรีดแผลโรยเกลือ 'นายกฯ-รมต.'​ ไม่ให้มีชีวิตรอดหลังซักฟอก จ่อส่ง ปปช.ถอดถอน 'นิพนธ์'​ คนแรก หลักฐานชัด ผิดจริยธรรมการเมืองร้ายแรง รมต.คนอื่นรอคิวต่อไป

ที่รัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงว่า เรายืนยันว่าเราตั้งใจทำใน 4 วันนี้ให้ออกมาอย่างสุดความสามารถ​ แม้ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างที่เห็น 

แต่อย่างไรก็ตาม​ เราได้กรีดแผลไปในสภา ซึ่งแผลที่เกิดขึ้น​ ก็ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือแรงงาน ต่อไปปีนี้จะไม่เหมือนปีที่แล้ว ซึ่งปีนี้ยืนยันจะมียุทธการโรยเกลือย้ำแผลที่เราได้กรีดไว้ โดยจะมีกระบวนการทำงานต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยื่นต่อปปช. ต่อศาลในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน 

ด้าน​ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเตรียมข้อมูลของการอภิปรายพรรคก้าวไกล รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แม้เราสร้างแผล​ ไม่ว่าจะเป็นแผลข่วน ไฟไหม้ และแผลฉกรรจ์ โดยเฉพาะนายกฯ​ ที่หนีภาษีไปจนถึงคอร์รัปชั่นในระดับนโยบาย รถไฟฟ้า อุตสาหกรรม พลังงาน รวมทั้งการเอื้อประโยชน์นายทุนหลายรายให้เข้ามาใช้ทรัพยากรของชาติแบ่งปันผลประโยชน์เพื่อพวกพ้องตัวเองและเครือข่าย แต่อย่างไรก็ตามผลการลงมติครั้งนี้อาจจะสะท้อนว่าเราทำงานยังไม่หนักพอ เพราะคนที่จะตัดสินคือประชาชน ว่าจะยังไว้ใจให้คณะรัฐมนตรี รวมถึงนายกฯ​ ชุดนี้ให้ทำงานต่อไปหรือไม่ 

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า มาตรการโรยเกลือที่เราจะทำต่อคือจะมีการยื่นจดหมาย หนังสือร้องเรียนต่างๆ​ ไม่ว่าจะเป็นการยีนถอดถอนรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดิน กรณีของการผิดจริยธรรมนักการเมืองไปที่​ ป.ป.ช.โดยจะมีการยื่นขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนในหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นการขอข้อมูลกองทัพบก กรณีการใช้ที่ดินราชพัสดุ เพื่อการปฏิรูปกองทัพ และยื่นตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างทุกกระบวนการโดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม สำหรับกระทรวงศึกษาเราจะยื่นตรวจสอบการกลับมติครม. กรณีการลดงบประมาณกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นี่คือกระบวนการโรยเกลือเพื่อให้แผลที่เราเปิดไว้ในสภาออกไปสู่นอกสภา เพื่อติดตามผลว่านายกฯ​ และรัฐมนตรีต่างๆ​ จะยังมีชีวิตรอดหลังจากอภิปรายไว้ต่อไปหรือไม่ จึงขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ส่งข้อมูลและสนับสนุนพรรคก้าวไกล เพื่อเป็นเบาะแสในการตรวจสอบนำมาสู่การอภิปรายในครั้งนี้ 

“รัฐมนตรีที่จะยื่นให้ป.ป.ช.​ ถอดถอนคือนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ซึ่งเป็นคนที่มีหลักฐานพร้อมที่จะยื่นเป็นคนแรก กรณีผิดจริยธรรมของนักการเมืองอย่างร้ายแรง

นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีนายบอส อยู่วิทยา ที่นายกฯ​ และรองนายกฯ​ ที่มีส่วนแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการเปิดเผยรายงานข้อเท็จจริงที่นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งมีรายชื่อและรายละเอียดชัดเจนว่ามีใครบ้างที่พัวพันกับคดีนี้”  น.ส.ศิริกัญญา กล่าว 

เมื่อถามว่าจะดำเนินการลงโทษส.ส.​ ที่โหวตลงมติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข อย่างไร? นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคมีคณะกรรมการที่ตรวจสอบวินัยสมาชิกพรรคอยู่แล้ว ซึ่งเราไม่อยากเตะหมูเข้าปากหมา อย่างการไล่ส.ส.​ ออกไปตอนนี้ มีแต่จะไปเข้าทางของผู้มีอำนาจ แต่เราจะมีกระบวนการลงโทษที่ชัดเจน เช่น ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมของพรรคทั้งหมด รวมถึงการทำงานในสภาในนามพรรคทั้งหมด เราไม่นิ่งนอนใจ ซึ่งยอมรับว่าหากมีส.ส.​ ในพรรคแหกมติจริง ก็ต้องขอโทษพี่น้องประชาชนทุกคะแนนเสียงที่เลือกเรามาแล้วผิดหวัง ประสบการณ์ครั้งนี้จะนำมาสู่การปฏิรูปพรรคอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการทำงานที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราทำงานเต็มที่ 

เมื่อถามผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แสดงว่ามีการประสานงานกันกับคนในพรรคเพื่อให้ลงมติให้นายอนุทิน เพราะเมื่อครั้งยุบพรรคก็เสียส.ส.​ ไปหลายคน นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ถ้าเป็นความจริงตนในฐานะหัวหน้าพรรคก็ผิดหวัง แต่ไม่ผิดคาด เพราะเรามีกระบวนการในพรรคเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่นายกฯ​ ได้คะแนนโหวตไม่มาก นายชัยธวัช กล่าวว่า สะท้อนว่าเป็นระบบการเมืองแบบเก่า ที่ยังมีอิทธิพลและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปัญหาสภาพแวดล้อมที่เราเคยอยู่พรรคอนาคตใหม่ ก็พยายามต่อสู้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เฉพาะเราที่เป็นพรรคการเมืองเท่านั้นที่ไม่อยากเห็น แต่ประชาชนก็ไม่อยากเห็นการเมืองแบบนี้ ซึ่งถอยย้อนหลังมาเรื่อยๆ ตั้งแต่รัฐประหาร 

'บิ๊กตู่' ขอบคุณสภาฯ​ ผ่านซักฟอกด้วยดี ขอความรัก สามัคคีกลับคืนมา เตรียมนำข้อมูลในสภาไปใช้ทำงานต่อ ย้ำไม่ใช่ศัตรูใคร​ พร้อมยันยังไม่คิดปรับครม. ขอประเมินที่ผลงานก่อน

วันนี้ (20 ก.พ.2564) ภายหลังที่ประชุมสภาผ่านมติไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางกลับว่า ขอบคุณสื่อมวลชนที่ได้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อย่างเข้มข้น 

หลายเรื่องก็เป็นประโยชน์หลายเรื่องก็เรื่องเดิมๆ เป็นแบบนี้มาตลอด แต่เรื่องไหนเป็นสิ่งที่ดี รัฐบาลจะไปดำเนินการต่อ รวมทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกทุกคน ซึ่งเราไม่ใช่ศัตรูกันอยู่แล้ว ส่วนวิถีทางทางการเมืองก็ว่ากันไป 

“ขอขอบคุณที่ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี ขอความรักความสามัคคีกลับคืนมาเป็นของพวกเราให้มากที่สุด”

เมื่อถามว่าจะปรับขณะนี้คณะรัฐมนตรีเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดอะไรตอนนี้ โดยประเมินด้วยผลงาน ถึงเวลาก็จะดำเนินการอยู่แล้ว 

“ไม่มีการปรับครม.​ ผมยังไม่ได้คิดอะไรตอนนี้ ผมประเมินด้วยผลงาน และการอภิปรายครั้งก็จะรวบรวมเพื่อไปใช้ประโยชน์ ส่วนการทำงานของพรรคร่วม เป็นมติความเห็นส่วนตัวของแต่ละคน”

เมื่อถามว่าหลังอภิปรายเสร็จแล้ว จากนี้รัฐบาลเดินหน้าทำงานโดยปราศจากข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านใหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า​ "ไม่เคยหยุดงาน ผมก็ทำงานทุกวันแล้ว และไม่ว่าจะอภิปรายไม่อภิปรายก็ทำงานตลอด ส่วนสถานการณ์ภายนอกจากการชุมนุม ได้มีการพูดคุยกับผบ.ตร.​ ถึงสถานการณ์แล้ว"

กลาโหมย้ำจุดยืนทำหน้าที่ พร้อมขอบคุณและน้อมรับข้อคิดเห็นของสภาฯ ร่วมเสริมสร้างกองทัพ​ นำไทยเดินหน้าพัฒนาทุกมิติ

กลาโหมย้ำจุดยืนทำหน้าที่ พร้อมขอบคุณและน้อมรับข้อคิดเห็นของสภาฯ ร่วมเสริมสร้างกองทัพ​ นำไทยเดินหน้าพัฒนาทุกมิติ

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวย้ำ หลังปิดการอภิปรายในสภาว่า  กองทัพเป็นของประชาชนและยังดำรงจุดยืนอันมั่นคงในการทำหน้าที่ ร่วมปกป้องการดำรงอยู่ของสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ รวมทั้งผลประโยชน์ของชาติเคียงข้างกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

โดยที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ย้ำสั่งการในที่ประชุมสภากลาโหม ให้ทุกเหล่าทัพดำรงจุดยืนอันสำคัญนี้เคียงข้างกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ร่วมสร้างความรัก ความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติ เพื่อเป็นกำลังหลักสำคัญ “รวมไทยสร้างชาติ” ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในทุกมิติไปข้างหน้า  

โดยย้ำให้ความสำคัญในการติดตาม ศึกษาและวิเคราะห์ ถึงสถานะการดำรงอยู่ของประเทศอย่างสมดุลและมั่นคง ท่ามกลางการเผชิญหน้าของมหาอำนาจโลกในภูมิภาค ที่เชื่อมโยงต่อสถานการณ์ภายในประเทศ โดยเราทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ เข้าใจและเท่าทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างความแตกแยกกันเองภายในชาติ ที่อาจส่งผลให้การพัฒนาผลประโยชน์ของประเทศต้องชะลอตัวหรือหยุดชะงัก

โฆษก กห.กล่าวอีกว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง ทางสังคมที่มีมาต่อเนื่อง การดำเนินงานของหน่วยงานความมั่นคง และ กระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องประสานและทำหน้าที่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทั้งการติดตาม การทำความเข้าใจและบังคับใช้กฎหมาย เฉพาะกับการปฏิบัติของกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี อันส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศโดยรวม  

“ขอยืนยันว่ากระทรวงกลาโหม ไม่เคยมีนโยบายในการไปบิดเบือน ให้ร้ายกับกลุ่มบุคคลใด อันนำมาซึ่งความแตกแยกของคนในชาติ ท่ามกลางสถานการณ์การบิดเบือนข้อมูลและการเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) ที่มีในสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น” พล.ท.คงชีพ กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพ ขอขอบคุณและน้อมรับความคิดเห็นของฝ่ายนิติบัญญัติทุกท่าน จากการอภิปรายที่ผ่านมา เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลประกอบการพัฒนาและเสริมสร้างกองทัพ ให้สามารถเป็นกลไกหลักของรัฐบาลในการทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพเคียงข้างกับประชาชนต่อไป

หัวเว่ย บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม และผู้จำหน่ายรายใหญ่ที่สุดของจีน ประกาศข่าวเซอร์ไพรส์วงการ​ ด้วยการหันไปจับธุรกิจเกี่ยวกับหมู

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ และ​ บีบีซี​ รายงานว่าบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมและผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของจีนกำลังเปิดตัวโครงการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับใช้ในฟาร์มหมูเพื่อมองหารายได้แหล่งอื่นๆ หลังยอดขายสมาร์ทโฟนลดลงภายใต้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าของสหรัฐฯ

โดยจีนมีอุตสาหกรรมฟาร์มหมูที่ใหญ่ที่สุดในโลก และหมูในประเทศจีนคิดเป็นถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนหมูทั้งโลก หัวเว่ยจึงหันมาผลิตเทคโนโลยีเพื่อช่วยปรับปรุงฟาร์มหมูให้ทันสมัย เช่น การนำ AI มาใช้ในการตรวจหาโรค ติดตามและจดจำใบหน้าหมู รวมถึงการตรวจสอบน้ำหนัก อาหาร และการออกกำลังกาย

นอกจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้เลี้ยงหมูแล้ว หัวเว่ยยังทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินอีกด้วย 

โดยเหริน เจิ้งเฟย ประธานกรรมการบริหารของหัวเว่ย ได้ประกาศเปิดตัวห้องปฏิบัติการนวัตกรรมการขุดอัจฉริยะในไท่หยวนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมถ่านหิน 

ทั้งนี้ ยอดขายสมาร์ตโฟนของหัวเว่ยลดลง 42% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 ท่ามกลางปัญหาไมโครชิปที่มีอยู่อย่างจำกัด 

นอกจากนี้​ ยังถูกปิดกั้นการพัฒนา 5G ในหลายประเทศรวมถึงสหราชอาณาจักรท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งยังมีรายงานว่าหัวเว่ยจะลดการผลิตสมาร์ตโฟนลงถึง 60% ในปีนี้ 

หัวเว่ยจึงต้องมองหาแหล่งรายได้อื่นโดยหันไปสู่บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง ยานพาหนะอัจฉริยะ และเทคโนโลยีสวมใส่ ตลอดจนมีแผนที่จะสร้างรถยนต์อัจฉริยะด้วย 

โดยเหริน เจิ้งเฟย กล่าวว่าหัวเว่ยยังสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการจำหน่ายสมาร์ตโฟน ขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น 

เจดีดอทคอม เน็ตอีส และอาลีบาบา ก็กำลังพยายามที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าสู่อุตสาหกรรมฟาร์มหมูเช่นเดียวกัน

'เสี่ยหนู'​ มั่นใจ 'ภท.'​ ไม่แหกมติพรรค บอกเล่า 'บิ๊กตู่'​ ยังไม่ส่งสัญญาณปรับครม.ใด ๆ

ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ​ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการลงคะแนนโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยจะมีการประชุมหารือร่วมกันก่อน เพื่อขอมติพรรคในการโหวตให้กับรัฐมนตรีแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งการหารือในที่ประชุมครั้งนี้จะให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น 

เมื่อถามว่า หากสิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปรายเป็นข้อมูลความจริง จะมีการโหวตอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องมีการประชุมหารือร่วมกันว่ามีความคิดเห็นอย่างไรในแต่ละคน 

สำหรับการโหวตเชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยจะโหวตเหมือนกันหมด โดยคะแนนจะเท่าๆ​ กันหมด หากทุกคนชี้แจงได้ดี การประชุมพรรคเช้านี้ก็อยากให้​ ส.ส.พรรคได้ชี้แจง เพราะตนเป็นหัวหน้าพรรคก็ต้องรับฟังว่าคิดเห็นว่าเหมือนเราหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนกันก็ต้องหารือกันให้ตกผลึก เพราะพรรคเราต้องฟังความคิดเห็นของแต่ละคนก่อนโหวตและทำแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งนี้ที่ผ่านมาพรรคก็เคยโหวตไม่เหมือนกัน ซึ่งเราก็ไปทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะเป็นเอกสิทธิ์ 

เมื่อถามว่า แสดงว่าให้เอกสิทธิ์​ ส.ส.แต่ละคนใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถูกต้อง แต่ต้องบอกว่าอันนี้​ คือ​ มติพรรค และต้องดูความรู้สึกของแต่ละคนด้วย เช่น​ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปบังคับว่าเอาแบบนี้แบบนั้นก็ไม่ได้ เพราะส.ส.มีวุฒิภาวะ ต้องให้เกียรติกัน 

เมื่อถามว่า มติพรรคจะออกมาอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ประชุมจะมีมติได้อย่างไร เมื่อถามต่อว่า ถ้าจะต้องลงมติไว้วางใจ แต่มีส.ส.พรรคเห็นต่างนั้นจะให้เอกสิทธิ์อย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ส.ส.ทุกคนควรทำตามมติพรรค เพราะหากแหกมติพรรคก็ต้องมานั่งคุยกัน เนื่องจากเราผ่านการประชุมพูดคุยรับฟังความคิดเห็นร่วมกันแล้ว ซึ่งต้องให้แสดงคิดเห็นได้ แต่จะไปล้อมคอกไม่ให้แสดงความคิดเห็นคงเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยทำ และไม่คิดจะทำ ทุกคนต้องเคารพมติพรรค และต้องมีวินัยพรรรคด้วย หลายอย่างรวมกันรับรองว่าออกมาดี สามารถอธิบายได้หมด ถามต่อว่าในส่วนของผลคะแนนโหวตของรมว.สาธารณสุขจะเป็นอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ก็ต้องมาดูกัน

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีการส่งสัญญาณเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังการอภิปรายฯ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตอบไปแล้วว่าไม่มีอะไร ถ้านายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณมา​ ก็ต้องประเมินรัฐมนตรีของเรา ถามว่า ถ้ามีการปรับจริง เก้าอี้ของพรรคภูมิใจไทยจะลดลงหรือไม่ นายอนุทิน หัวเราะและย้อนถามว่า “มีเหรอ” เมื่อถามต่อว่า จะรับได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “มีแต่จะขอเพิ่ม” เมื่อถามว่า แสดงว่ารักษาเสถียรภาพได้ดี นายอนุทิน กล่าวว่า “ไม่เกี่ยว อย่าพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิด”

'สิระ' ซัดฝ่ายค้าน 4 วันพิสูจน์ไร้ข้อมูลทุจริตแหกรัฐบาล แต่กลับพยายามโยงสถาบัน ลั่น!! ขอจองเวร 'เสรีพิศุทธ์' ทั้งชาติ บอกทำอะไรไว้ให้รับกรรม เตรียมลุยฟ้อง 3 คดี และเชื่อยังมีอีกเพียบ

ที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวก่อนการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจตลอด 4 วันที่ผ่านมา เห็นชัดกันแล้วว่าฝ่ายค้านพยายามโยงสถาบันเข้าสภาและแสดงให้เห็นว่าฝ่ายค้านไม่มีข้อมูลอภิปรายประเด็นการทุจริตนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี​ (ครม.) มีแต่การจาบจ้วง ไม่มีเรื่องทุจตริตเลย ซึ่งขอถามว่ายังต้องการเป็นส.ส.เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย และเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่อีกหรือไม่

ดังนั้นให้ประชาชนตัดสินว่าคนเหล่านี้สมควรเป็นข้าราชการและตัวแทนประชาชนอยู่หรือไม่ ทั้งนี้มองว่าที่ผ่านมา 4 วันเสียเวลาเป็นเหมือนการยื่นกะทู้ถามสด ซึ่งสามารถทำได้อยู่แล้วไม่ต้องขอเปิดอภิปราย

นายสิระ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันสมาชิกฝ่ายค้านซึ่งเป็นผู้ยื่นญัตติกลับไม่อยู่ฟัง แต่ไปหาเสียงที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงขอให้ชาวนครฯ ตัดสินเองว่าคนที่เป็น​ ส.ส.​ แต่กลับไปหาเสียงให้ผู้สมัครในเวลานี้สมควรแล้วหรือ ที่คนยื่นญัตติไม่มาฟังการอภิปราย ฉะนั้นควรเลือกบุคคลดังกล่าวหรือไม่

อย่างไรก็ตาม​ ในวันที่ 22 ก.พ.นี้​ เวลา 10.00​ น. ตนเองจะไปยื่นฟ้อง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในคดีหมิ่นประมาท 3 คดี ซึ่งทำอะไรไว้ก็รับกรรมไป และเชื่อว่าชาตินี้คงยังมีอีกหลายคดี

อเมริกาวิตก!! จีนใช้กฎหมายใหม่ อนุญาตชัดครั้งแรกให้ยามชายฝั่งยิงเรือต่างชาติ

สหรัฐอเมริกามีความกังวลต่อความเคลื่อนไหวของจีนที่เพิ่งบังคับใช้กฎหมายยามชายฝั่งฉบับใหม่เมื่อเร็วๆ​ นี้ ซึ่งอาจขยายข้อพิพาททางทะเล และนำมาซึ่งการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ที่ไม่ชอบธรรม จากความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาเมื่อวันศุกร์​ (19 ก.พ.)

จีน ซึ่งมีข้อพิพาทด้านอำนาจอธิปไตยทางทะเลกับญี่ปุ่นในทะเลญี่ปุ่น และกับหลายชาติเอเซียนในทะเลจีนใต้ ผ่านกฎหมายใหม่ฉบับหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอนุญาตอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ให้ยามชายฝั่งมีอำนาจยิงเรือต่างชาติ

เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวระหว่างแถลงสรุปว่า วอชิงตัน "รู้สึกกังวลต่อภาษาในกฎหมาย ซึ่งสัมพันธ์อย่างโจ้งแจ้งเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการใช้กำลัง ในนั้นรวมถึงกำลังติดอาวุธ โดยยามชายฝั่งจีน เพื่อเสริมคำกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ของจีน และสหรัฐฯยังคงรู้สึกกังวลต่อข้อพิพาททางอาณาเขตและทางทะเลที่กำลังดำเนินอยู่ ทั้งในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้"

เขาบอกว่าภาษาที่ใช้ในกฎหมายนี้​ อาจถูกใช้ข่มขู่บรรดาเพื่อนบ้านทางทะเลของจีน​ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ​ ยังระบุอีกว่า "เรากังวลยิ่งขึ้นว่าจีนอาจใช้กฎหมายใหม่นี้เพื่อเน้นย้ำคำกล่าวอ้างทางทะเลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในทะเลจีนใต้ ซึ่งถือเป็นการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการในปี 2016" อ้างถึงคำพิพากษาระหว่างประเทศ ที่ให้ฟิลิปปินส์เป็นฝ่ายชนะ กรณีข้อพิพาทในทะเลจีนใต้กับจีน

ไพรซ์ ระบุว่า​ สหรัฐฯ​ ขอย้ำถึงคำแถลงเมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน ซึ่ง ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ณ ขณะนั้น ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของจีน โดยบอกว่าคำกล่าวอ้างของปักกิ่งในการเป็นเจ้าของทรัพยากรนอกชายฝั่งเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้นั้น "ไม่ชอบธรรมโดยสิ้นเชิง"

โฆษกรายนี้บอกว่า "สหรัฐฯ​ ยืนหยัดอย่างหนักแน่นในพันธสัญญาที่มีต่อพันธมิตร ทั้งกับญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์"

สหรัฐฯ​ มีสนธิสัญญากลาโหมร่วมกับญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์หลายฉบับ และบ่อยครั้งที่ลาดตระเวนทางเรือในภูมิภาคแถบนี้ ในการแสดงจุดยืนท้าทายคำกล่าวอ้างทางทะเลอันเลยเถิดของจีน


ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000016907

(รอยเตอร์ส)

ท้องไม่แท้ง ทางออกมีอยู่มากอย่าคิดสั้น กรมอนามัยช่วยได้

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรมอนามัยได้ยึดหลักการยุติตั้งครรภ์ที่ถูกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาหญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อมและการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย ภายใต้หลัก 4S คือ Safe Virgin โดยผลักดันเพศสุขภาพวิถีศึกษา Safe Sex โดยเข้าถึงยาคุมกำเนิดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายตามสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพ Safe Abortion คือยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยผ่านเครือข่ายอาสาส่งต่อเพื่อการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย (RSA) และ Safe Mom คือให้คำปรึกษาหญิงที่เปลี่ยนใจเห็นว่าควรตั้งครรภ์ต่อ

“กรมอนามัยร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้บริการยาฝังคุมกำเนิดและห่วงอนามัยในวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่อยู่ในภาวะหลังคลอดหรือแท้ง หรือต้องการคุมกำเนิดในทุกสิทธิสุขภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ยังพร้อมให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 และมาตรา 305 โดยสามารถเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย รวมทั้งเพื่อป้องกันหญิงที่มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 12 สัปดาห์ไปทำแท้งเถื่อน และเสริมสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยด้วย” นพ.สุวรรณชัย กล่าวและว่า

"สำหรับหญิงบางรายที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมและยังหาทางออกกับปัญหาไม่ได้สามารถโทร.ไปปรึกษาสายด่วน 1663 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 21.00 น. ได้ทุกวัน เพื่อจะได้รับบริการที่เป็นมาตรฐาน ไม่หลงไปทำแท้งเถื่อน ซึ่งผิดกฎหมายและอาจ ทำให้ตกเลือด ติดเชื้อจนถึงขั้นเสียชีวิตได้"


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/society/2036304


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top