Monday, 20 May 2024
LITE

10 มกราคม พ.ศ. 2489 ‘สหประชาชาติ’ จัดประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน มีสมาชิกเข้าร่วม 51 ประเทศ

10 มกราคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ‘สหประชาชาติ’ ได้จัดการประชุมสมัชชาใหญ่เป็นครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน 

ซึ่ง สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) เป็นองค์กรที่มีอำนาจมากที่สุดและเป็นหนึ่งในเสาหลักของสหประชาชาติ เป็นเพียงองค์กรเดียวของสหประชาชาติที่ตัวแทนของแต่ละประเทศสมาชิกมีสิทธิและฐานะเท่าเทียมกัน สมัชชาใหญ่มีหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณและการใช้จ่ายในโครงการของสหประชาชาติ แต่งตั้งสมาชิกไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง รับรายงานจากทั่วทุกมุมโลกเพื่ออภิปรายและให้ความเห็น ตลอดจนจัดตั้งองค์กรลูกต่าง ๆ มากมายของสหประชาชาติ

การประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรกมีขึ้นในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ที่ศาลากลางนครเวสต์มินสเตอร์ในกรุงลอนดอน โดยในขณะนั้นมีสมาชิกเข้าร่วมทั้งสิ้น 51 ประเทศ โดยสมัชชาใหญ่จะมีวาระการประชุมตามที่ประธานที่ประชุมหรือเลขาธิการสหประชาชาติได้เรียกประชุมตามขั้นตอนปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งโดยมักจะเริ่มเปิดวาระการประชุมตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป ซึ่งจะหารือกันในหัวข้อหลักต่าง ๆ ไปจนถึงราวเดือนธันวาคม และหารือกันในหัวข้อย่อยตั้งแต่เดือนมกราคมไปจนกระทั่งสิ้นสุดทุกประเด็นตามที่ได้แถลงไว้

นอกจากนี้ อาจมีเปิดวาระการประชุมในกรณีพิเศษหรือกรณีฉุกเฉิน ซึ่งการประชุม กลไก อำนาจหน้าที่ และการลงคะแนนของสมัชชาใหญ่นั้น เป็นไปตามมาตรา 5 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยการลงคะแนนของสมัชชาใหญ่เพื่อออกเป็นมติสมัชชาใหญ่ในหัวข้อสำคัญ ข้อแนะนำด้านสันติภาพและความมั่นคง ข้องบประมาณ การเข้าร่วมสหประชาชาติ การระงับหรือเพิกถอนสมาชิกภาพ จะต้องได้รับคะแนนเสียงในที่ประชุมไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดในที่ประชุม

ส่วนหัวข้อย่อยอื่น ๆ นั้นใช้เพียงคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกในที่ประชุม โดยที่ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศมีเพียงหนึ่งเสียงเท่านั้น สมัชชาใหญ่อาจให้ข้อแนะนำเรื่องใด ๆ ก็ตามที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของสหประชาชาติ ยกเว้นอำนาจในการดำเนินการรักษาสันติภาพและความมั่นคงซึ่งเป็นอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ปัจจุบัน สมัชชาใหญ่มีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ ซึ่งกว่าสองในสามเป็นประเทศกำลังพัฒนา และมีผู้สังเกตการณ์ 2 ประเทศ คือ นครรัฐวาติกัน กับ รัฐปาเลสไตน์

‘แพรรี่’ ลั่น!! ‘ปีชง’ ไม่มีจริง วอนหยุดหากินกับความเชื่อ พร้อมย้ำ!! 365 วัน ชีวิตคนเราต้องเจอปัญหาอยู่แล้ว

(9 ม.ค.67) กลายเป็นคลิปวิดีโอไวรัลในข้ามคืน เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ หรือ ‘ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ ได้ออกมาอัดคลิปวิดีโอฟาดแรงถึงความเชื่อว่า ปีชงมีไว้หลอกคนโง่

โดยในคลิปวิดีโอดังกล่าว ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ พูดว่า “ใช้ชีวิตมา ต่อให้เป็นปีที่ไม่ชง ไม่เกิดปัญหาเลยเหรอ ใช้ชีวิตมา 300 กว่าวัน คือชีวิตดีมากว่างั้น ปีนี้ไม่ชงก็เลยสบาย ทำอะไรชิล ๆ ทำอะไรดีหมดทั้งปี มีเหรอ ไม่มีค่ะ ต่อให้ไม่ชง ชงหรือไม่ชง ชีวิตต้องมีปัญหา”

“มีใครกล้าบอกไหม สมมติปีที่แล้วไม่ชง ชีวิต 365 วัน ที่ผ่านมาดีหมด ไม่มีปัญหา ไม่มีติดขัด มีเหรอ มันไม่มี ปีชงมันมีไว้สำหรับหลอกคนโง่ค่ะ”

เพราะมันขายของได้ไง ถ้ามันบอกว่ามันชง ปีชงตามมาด้วยการทำพิธีกรรม ทุกอย่างแก้ได้ด้วยการเสียเงิน หรือจะเถียง ที่มันบอกว่ามีเคราะห์ ที่มันบอกว่าชง เดี๋ยวมันให้วิธีแก้ชง แต่วิธีแก้ชง ก็คือเสียเงินแน่นอน เดี๋ยวมันแนะนำให้ไปทำพิธีวัดนู้นวัดนี้ แต่เสียเงิน”

เจ้าตัวยังพูดอีกว่า จะไปชงกับใครก็ไป แต่ไม่ได้ชงกับแล้วคนนึง ไม่ได้กินเงินตนค่ะ ไม่ต้องมาชงกับตน ตนชงเองได้ เอ้าลองคิดดูให้ดี ใช้สติปัญญาให้ดีว่าไอ้ที่เขาบอกว่าคุณชง ปีโน้นคุณชง มันตามมาด้วยอะไร หนึ่ง ถ้าเขาบอกว่าปีนี้คุณชง คุณไม่สบายใจละ ถ้าเขาบอกราศีนี้ชง ร้อยทั้งร้อย คนที่เชื่อเรื่องดวง เชื่อเรื่องราศี ฟังแล้วไม่สบายใจ

เมื่อไม่สบายใจ ตามมาด้วย การต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อแก้ชง เพราะคิดว่าการทำพิธีสิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งที่ชง จะไม่เกิด เสียเงิน เสียเงินแน่นอน มากน้อยต้องเสีย แล้วจะไปเชื่อทำไม ความเชื่อที่ทำให้เราต้องเสียเงินเสียทอง ความเชื่อที่ทำให้เราไม่สบายใจ เราจะไปเชื่อทำไม

ทั้งนี้ แพรรี่ ไพรวัลย์ พร้อมฝากถึงคนที่หากินกับความเชื่อว่า “ถ้าคุณหากินกับความเชื่อแบบนี้ ต้องเจอตน หลอกคนได้หลอกไป แต่เจอตนแน่นอน อีพวกหากินกับความเชื่อคน อาชีพมีเยอะแยะ มีมือมีเท้าก็ไปทำสิ มาหลอกกินกับความเชื่อกับคน

เดี๋ยวจัดพิธีไหว้ของดำ ราหู ถามหน่อย พระพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎกเล่มไหน ไหว้ของดำ ไหว้ราหูเนี่ย พระไตรปิฎกเล่มไหนสอน

พวกหมอดูทำไป ก็ยังทำเนานะ มันเป็นอาชีพ แต่เดี๋ยวนี้ลามไปยังวัด พาคนไปสวดสะเดาะเคราะห์ มีในไหนเนี่ยพระไตรปิฎก ชีวิตง่ายขนาดนั้นไม่ต้องมีศาสนาพุทธค่ะ ไปนั่งเอาสายสิญจน์พันหัว มึงไม่เอาพันคอไปเลยหล่ะ จะได้หมดทุกข์ไปเลย

พร้อมทิ้งท้าย ว่า “จะเชื่อก็เชื่อไป ตนไม่ได้ว่าไร คุณจะทำ ก็ทำไป ตนไม่ได้ว่าอะไร แต่มีคนมาถาม ตนก็จะพูดแบบนี้ เพราะตนไม่เชื่อ ตนมีหน้าที่ให้สติคน ไม่ได้ไปล้ำเส้นความเชื่อพวกคุณหนิ ถ้าตนไปพังพิธีคุณ ว่าไปอย่าง”

งานนี้เจ้าตัวยังมีการอัปคลิปวิดีโอวิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งเบญจเพส, สีเสื้อมงคล, ความเชื่อทางศาสนาอื่น ๆ ท่ามกลางคอมเมนต์จากชาวเน็ต

9 มกราคม พ.ศ. 2472 ครบรอบ 95 ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ วางศิลาฤกษ์ สะพานพระพุทธยอดฟ้า

สำหรับชาวกรุงเทพฯ แล้ว หลายคนคงคุ้นเคยกับสะพานพระพุทธยอดฟ้ากันเป็นอย่างดี ทั้งจากภาพลักษณ์ของสะพานที่งดงาม หรือเป็นสะพานที่ใช้สัญจรไปมาระหว่างฝั่งธนบุรีกับฝั่งพระนคร แต่หากย้อนเวลากลับไป 95 ปี วันนี้ถือเป็นสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จฯ วางศิลาฤกษ์ สะพานพระพุทธยอดฟ้า

กล่าวสำหรับสะพานพระพุทธยอดฟ้า ถูกสร้างในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสสถาปนากรุงเทพมหานครครบ 150 ปี โดยมีพระราชดำริที่จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อันเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงเป็นผู้สถาปนากรุงเทพมหานคร

สะพานพระพุทธยอดฟ้าถูกออกแบบเป็นสะพานเหล็กยาว 229.76 เมตร กว้าง 16.68 เมตร ท้องสะพานสูงเหนือน้ำ 7.50 เมตร สามารถยกตอนกลางให้เรือใหญ่แล่นผ่านได้ โดยเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2472 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาฤกษ์ และโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสะพานว่า สะพานพระพุทธยอดฟ้า กระทั่งกาลเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน สะพานอันงดงามแหง่นี้ก็ยังคงดำรงอยู่ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในด้านการสัญจรเรื่อยมา

8 มกราคม วันคล้ายวันประสูติ  ‘สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา’

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยอีกวันหนึ่ง โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2530 และทรงเจริญพระชนมายุครบ 37 พรรษา

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชา 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร

เมื่อแรกประสูติทรงดำรงพระอิสริยยศ ‘หม่อมเจ้า’ มีพระนามว่า ‘หม่อมเจ้าบุษย์น้ำเพชร มหิดล’ ต่อมาได้รับพระราชทานพระนามใหม่ว่า ‘หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์ยาภา มหิดล’ จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระราชทานพระนามใหม่ว่า ‘หม่อมเจ้าสิริวัณวรี มหิดล’ ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น ‘พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์’ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2548

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นทั้งนักกีฬาขี่ม้าและอดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทย ในวันที่ 21 กรกฎาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระยศ ‘พันเอกหญิง’ ในฐานะพระอาจารย์หัวหน้าแผนก โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า (อัตราพันเอก)

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการออกแบบแฟชันและเครื่องประดับ โดดเด่นเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยทรงออกแบบเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ ‘SIRIVANNAVARI’ และ S’Home เสื้อผ้าของสตรีและบุรุษ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างเนืองแน่นในวงการแฟชั่นโลก กับการออกแบบเสื้อผ้าชั้นสูงที่มีความประณีต ที่เหล่าผู้มีชื่อเสียงนิยม ทั้งยังมีแบรนด์ต่างๆ อย่าง Sirivannavari maison แบรนด์ของแต่งบ้าน รวมไปถึงแบรนด์ชุดแต่งงาน

นอกจากทรงออกแบบเสื้อผ้าคอลเลกชันต่างๆ แล้ว พระองค์ยังทรงสนับสนุนผ้าไทย ด้วยการนำผ้าไหมมาตัดเย็บเป็นชุดต่างๆ ทั้งนี้ยังทรงออกแบบชุดให้กับ เดมี ลีห์ เนล ปีเตอร์ มิสยูนิเวิร์ส 2017 และโศภิดา กาญจนรินทร์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 ได้สวมใส่ในการประกวดรอบไทยไนท์ของเวทีนางงามจักรวาลที่จัดประกวดที่ประเทศไทยอีกด้วย ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมถวายรางวัลศิลปาธร ประจำปี 2561 ในสาขาศิลปะการออกแบบ (แฟชันและเครื่องประดับ) ด้วยความสนพระทัยด้านแฟชัน พระองค์จึงเสด็จไปทอดพระเนตรงานปารีสแฟชันวีกอยู่เสมอ และได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อต่างชาติ อาทิ นิตยสาร Grazia ประเทศอังกฤษ จัดอันดับให้พระองค์ทรงอยู่ในลำดับที่ 1 ของเจ้าหญิงที่มีสไตล์ที่สุดในโลก จนได้รับการขนานนามว่าทรงเป็น ‘เจ้าหญิงแฟชัน’

ทั้งนี้ พระองค์ยังทรงเป็นพระอาจารย์สอนนักเรียนปริญญาเอก ศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ อีกด้วย

‘เมรี’ ลูกสาว ‘ปู พงษ์สิทธิ์’ รับท้อง 3 เดือนแล้ว รู้หลังเลิก ‘แอมมี่’ ลั่น!! ชีวิตต้องไปต่อ ไม่อยากให้ลูกโตในครอบครัวที่มีพ่อทำร้ายแม่

หลังจากหลายเพจดัง โพสต์เปิดประเด็นในทำนองเดียวกันว่ามี ‘นักร้อง ช.’ ท่านหนึ่งทำแฟนสาวท้อง แต่ไม่รับผิดชอบ หนีหาย มีประวัตินอกใจ เจ้าชู้ ปัดความรับผิดชอบ แถมยังบอกว่า “ลูกในท้องใช่ของฉันเหรอ?” งานนี้ชาวเน็ตแห่เดารัวๆ ซึ่งมีชื่อกันในใจเป็นไปในทางเดียวกัน

ซึ่งหากใครที่เป็นแฟนคลับที่ติดตามเฟซบุ๊ก ‘เม เมรี คัมภีร์’ ลูกสาว ‘ปู พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์’ นักร้องเพื่อชีวิตชื่อดัง จะเห็นว่าก่อนหน้านี้เมรีได้แชร์เพลงใหม่ ‘แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์’ หรือ ‘ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์’ ช่วยโปรโมต ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าทั้งคู่อาจจะกลับมารีเทิร์นกันอีกครั้ง แต่แล้วเหมือนโพสต์ดังกล่าวจะถูกลบออกไปหมดแล้ว

ขณะที่ เม ได้โพสต์ข้อความปริศนาแทน อาทิ “อีก 7 เดือน”, “ฉันทำได้ ฉันต้องทำได้” พร้อมเผยว่ามีเรื่องจะเล่า แต่ให้รอก่อน หนักกว่าข่าวล่อแฟนเพื่อน เรื่องดังกล่าวจะเบาไปเลย ข้อความล่าสุด เมรี เผยว่า “ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อม มีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกทุกคน ให้รอฟังกันนะ” พร้อมตอบเมนต์หนึ่งว่า “ก่อนจาก เรียกว่าโดนมันต่อยมากกว่า!!”

ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 เมรี คัมภีร์ ลูกสาวสุดที่รักของนักร้องชื่อดัง ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ได้โพสต์คลิปในไอจีสตอรี่ เป็นคลิปลูบท้องที่ยื่นออกมาขณะเดินทางไปสอบ จากนั้น เม ก็ได้โพสต์คลิปที่อัดไว้ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. 2567 พร้อมภาพอัลตราซาวด์ ยอมรับว่าตอนนี้ตนท้องได้ 3 เดือนแล้ว

“จริงๆ แล้วก่อนหน้าที่จะเลิกกัน 1-2 เดือน เราคุยกันมาตลอดว่าเมประจำเดือนไม่มา แต่เราไม่ได้คิดที่จะตรวจ เพราะเราไม่คิดว่าเราจะต้องเลิกกัน เราก็อายุ 30 กว่าปีกันแล้ว ถ้าจะมีก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ อยู่ด้วยกัน เลี้ยงด้วยกัน สู้ไปด้วยกัน แต่พอมาถึงวันที่มันเลิกกันจริงๆ เมก็มานึกได้ว่าลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง เมก็เลยไปตรวจ ผลก็ออกมาตามนั้น แต่เมยังไม่ได้ไปอัลตราซาวด์ ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะท้องหรือไม่ท้อง ก็บอกเขาก่อน

แต่เขาในตอนนั้น เมเข้าใจนะ ว่ามันไม่แปลกที่เขาจะไม่เชื่อ เขาคงมองว่าเมจะใช้มุกนี้เหรอ เอาจริงดิ เมเลยได้ ถ้างั้นไปตรวจด้วยกันไหม เขาก็ไม่ไป สุดท้ายเมไปคนเดียว พอได้ผลออกมา เขาก็บล็อกเมหนีหายไปแล้ว”

“เมกำลังจะมีลูก เมท้องค่ะ เมตรวจครรภ์ครั้งล่าสุดวันที่ 2 ม.ค. 67 อายุครรภ์ตอนนี้ 13 สัปดาห์กับอีก 2 วัน กำหนดคลอดวันที่ 7 เดือน 7 เพศยังไม่รู้ ตอนนี้สุขภาพยังแข็งแรง สมบูรณ์ดี เมไม่มองเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไม่ดี เป็นความซวยอะไรแบบนั้น เมกลับมองว่ามันคือเรื่องราวดีๆ เป็นพรที่ลูกเมได้มาเกิดกับเม

เมเองได้มีการคิดไตร่ตรอง คิดอยู่กับตัวเองมาสักพักแล้วจนเมได้คำตอบว่า มันก็คงเป็นเรื่องราวที่ดีด้วยเช่นกันที่ครอบครัวของเรา เมกับลูกจะดำเนินต่อไปโดยที่ไม่ต้องมีเขา ไม่ต้องมีคนเป็นพ่อ เพราะนั่นอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้ เมอาจจะยังรักเขา โหยหาเขา อาจจะยังเจ็บที่เห็นเขามีคนใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เมไม่กลับไป การที่เมไม่ไปอ้อนวอนขอร้องให้เขากลับมา ทั้งหมดมันเพื่อลูก เมไม่อยากให้ลูกเมโตมาในครอบครัวที่พ่อ คิดจะทำร้ายแม่เมื่อไหร่ก็ได้”

“เมจะพยายามเลี้ยงดูลูกเมให้โตมาอย่างมีความสุข มีคุณภาพ ลำบากได้ เป็นคนมีความพอดี ไม่ได้เป็นคนรวย เว่อร์ ไม่ได้ตั้งใจเป็นคนขนาดนั้น เมตั้งใจให้ลูกเมเป็นคนมีเหตุผล เป็นคนที่รู้ถูกรู้ผิด รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ลูกอาจจะดื่ม อาจจะสูบบุหรี่ แล้วแต่ลูกตราบใดที่ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ทำร้ายตัวลูกเอง ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร

เมจะดูแลตัวเองให้ดี ลูกเมจะได้โตมาแข็งแรง ถ้าวันข้างหน้ามันมีวันไหนที่เมไม่สามารถทำได้อย่างที่เมพูด เมทำให้ลูกเมเริ่มรู้สึกว่าลูกเมขาด ทำให้ลูกเมรู้สึกแตกต่าง อยู่ในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เมก็จะขอโทษลูกที่เมทำมันได้ไม่ดี แต่ ณ วันนี้ แต่ละวันเมจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดไม่ร้อง…ฝากเป็นกำลังใจให้เมกันด้วยนะ”

“ในตอนที่เมยังไม่สามารถบอกใครได้ สิ่งที่เมต้องการคือเพื่อนคู่คิด เพื่อนช่วยคิด พาร์ตเนอร์ที่จะช่วยกันตัดสินใจ มันเป็นเรื่องที่ใหม่ ที่ใหญ่มากสำหรับเม เมทำคนเดียวไม่ไหว แต่เมไม่มีใคร ไม่มีเขา เมแค่ขอให้เขาทำหน้าที่พ่อ มาในฐานะพ่อมาตรวจเลือดให้ลูกหน่อย เขา…”

ซึ่ง เมรี คัมภีร์ ยังได้ปล่อยคลิปเต็มประเด็นให้พ่อของลูกมาตรวจเลือดแบบฉบับเต็ม ในติ๊กต๊อกของตน เมื่อวันที่คืน 5 ม.ค. ที่ผ่านมาอีกด้วย

7 มกราคม ของทุกปี รำลึก 'พระปิ่นเกล้าฯ' พระคุณูปการต่อศิลปวัฒนธรรมของชาติ เจ้านายไทยยุครัตนโกสินทร์ ผู้ทรงไว้หนวดเป็นพระองค์แรก

7 มกราคมของทุกปี กรมศิลปากร, กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (7 มกราคม) ณ พระบวรราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว บริเวณโรงละครแห่งชาติ พร้อมทั้งให้ข้าราชการกรมศิลปากร เหล่าทัพ หน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนเข้าร่วมในพิธีถวายราชสักการะรำลึกถึงพระเกียรติคุณ และบำเพ็ญกุศลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร 

นอกจากนี้ สำนักการสังคีตได้จัดการบรรเลงปี่พาทย์เสภาที่วังหน้า ณ บริเวณลานหน้าพระบวรราชานุสาวรีย์ เพื่อถวายกตเวทิตาคุณและร่วมน้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณ และพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระคุณูปการอย่างอเนกอนันต์ต่อบ้านเมืองและศิลปวัฒนธรรมของชาติ 

สำหรับ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิม เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351 ทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ร่วมพระอุทรกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 

หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2394 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระยศบวรราชาภิเษกเป็นสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือที่ออกพระนามกันว่า ‘วังหน้า’ มีพระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถในศิลปศาสตร์หลายสาขา ทั้งการช่าง การปกครอง การทหาร และศิลปกรรม โดยทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือเป็นพระองค์แรก 

นอกจากนี้ ทรงโปรดทางศิลปะ ทั้งดนตรี กวี และนาฏศิลป์ ทรงริเริ่มประดิษฐ์ระนาดทุ้มเหล็กขึ้น โดยมีการจัดเล่นประกอบกับระนาดแบบเดิม รวมเป็นเครื่องดนตรี 4 ชนิด เรียกว่า ‘ปี่พาทย์เครื่องใหญ่’ เบื้องปลายพระชนม์ชีพ พระองค์ประทับ ณ พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ พระราชวังบวรสถานมงคล (ปัจจุบันอยู่ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) จนกระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2408 

ทั้งนี้ เท่าที่หลักฐานปรากฏ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ ‘พระปิ่นเกล้า’ ยังเป็นเจ้านายไทยในยุครัตนโกสินทร์ ที่ทรงไว้พระมัสสุ (หนวด) เป็นพระองค์แรก แตกต่างจากเชื้อพระวงศ์ระดับสูงพระองค์อื่น ๆ ที่กว่าจะมาไว้พระมัสสุกันก็ล่วงเข้ารัชกาลที่ 5 อีกด้วย

โดยเรื่องนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีลายพระหัตถ์ทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2460 ว่า ผู้ดีเพิ่งจะมาไว้หนวดกันเมื่อในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนหน้านั้นแม้สังเกตดูรูปคนที่ถ่าย จะเป็นเจ้านายก็ตาม ขุนนางก็ตาม ก็โกนหนวดทั้งนั้น ยิ่งราษฎรถ้าใครไว้หนวดก็มักมีฉายาเรียก เช่น นายมากหนวด นายคงเครา เป็นต้น 

ส่วนเหตุผลที่ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไว้พระมัสสุ อาจเป็นเพราะทรงนิยมศึกษาหาความรู้วิทยาการจากตะวันตก อย่าง การทหาร ช่างจักรกล ฯลฯ ทั้งยังทรงมีสายพระเนตรกว้างไกลด้านการต่างประเทศ ความนิยมในตะวันตกของพระองค์ สะท้อนได้อีกจากการพระราชทานนามแก่พระราชโอรสพระองค์หนึ่งว่า พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ ซึ่งมาจากชื่อ จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

การไว้พระมัสสุ จึงอาจเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งถึงความนิยมชมชอบวัฒนธรรมตะวันตกของพระองค์ก็เป็นได้

6 มกราคม พ.ศ. 2567 ครบรอบ 3 ปีที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ใช้เวลา 187 นาที นั่งดูผู้ชุมนุม ‘ก่อจลาจล-โจมตี’ รัฐสภาสหรัฐฯ

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2564 หรือ ค.ศ. 2021 ประชาชนนับพันผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้ชิงตำแหน่งสมัยที่ 2 ได้บุกเข้าไปยังอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ขัดขวางการนับคะแนนเพื่อยืนยันชัยชนะอย่างเป็นทางการของ ‘โจ ไบเดน’ ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต

เหตุการณ์ในครั้งนั้นนับเป็นเหตุจู่โจมสภาคองเกรสที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามในปี ค.ศ. 1812 และถูกโหมโดย ‘ทรัมป์’ ซึ่งกล่าวอ้างอย่างผิด ๆ ว่า ความพ่ายแพ้ของเขาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2020 นั้นเกิดจาก ‘การโกง’

เหตุการณ์จลาจลดังกล่าวส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งนายเสียชีวิตหลังจากปะทะกับผู้ประท้วง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้อง 4 นาย เสียชีวิตในเวลาต่อมาจากการฆ่าตัวตาย อีก 140 นายได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ ฝั่งผู้ประท้วงเสียชีวิต 4 ศพ ประชาชนมากกว่า 700 คน ถูกจับกุมด้วยข้อหามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้

ทรัมป์ได้โพสต์วิดีโอเมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 โดยเขาใช้เวลา 40 วินาทีให้ความเห็นอกเห็นใจผู้ประท้วง “ผมรับรู้ถึงความเจ็บปวด ผมรู้ว่าพวกคุณเจ็บปวด แต่ตอนนี้ผมอยากให้พวกคุณกลับบ้าน เราต้องมีสันติ เราต้องรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย เราต้องเคารพกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชน”

นอกจากนี้ยังโพสต์ข้อความเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับม็อบ ระบุว่า…“นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชัยชนะของการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายอันศักดิ์สิทธิ์ถูกพรากไปจากผู้รักชาติที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ยุติธรรมมาเป็นเวลานาน” 

เขาโพสต์ต่อว่า “กลับบ้านด้วยความรักและความสงบสุข จดจำวันนี้ไว้ตลอดไป!”

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ทรัมป์ถูกเสนอชื่อเข้าสู่กระบวนการถอดถอนจากตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง และเข้ารับการสอบสวน โดยคณะกรรมการสภาสอบสวนเหตุการณ์ 6 มกราคม (Select Committee to Investigate the January 6th Attack on the United States Capitol) ที่จัดตั้งขึ้น เมื่อ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2021

โดยเบนนี ธอมป์สัน (Bennie Thompson) ประธานคณะกรรมการ และผู้แทนจากมิสซิสซิปปี กล่าวว่าคณะกรรมการทั้ง 9 คน ต้องการทราบว่าทรัมป์ทำอะไรบ้างระหว่าง ‘187 นาที ของการไม่ทำอะไรเลย’ ขณะที่เขานั่งดูผู้ประท้วงในโทรทัศน์จากห้องรับประทานอาหารในทำเนียบขาว

ทางด้านลิซ เชนีย์ รองประธานคณะกรรมการ และผู้แทนจากไวโอมิง หนึ่งในผู้วิพากษ์ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์รายการ ‘This Week’ ทางสถานี ABC ว่า “ทรัมป์ควรบอก (ผู้ประท้วง) ให้หยุดได้แล้ว แต่เขากลับไม่ได้ทำ”

‘หนุ่ม กรรชัย’ รับ!! เคยทักหา ‘เบียร์’ ยัน ไม่มีเรื่องชู้สาวแน่นอน พร้อมเปิดภาพแชตสุดปั่น เมื่อโดน ‘ป๋อง กพล’ จี้ถามหลังไมค์!!

(5 ม.ค. 67) กรณีเพจดังออกมาเปิดโปงเรื่องราวของนักร้องสาว ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ หรือ ‘เบียร์-ภัสรนันท์ อัษฎมงคล’ อ้างเป็นข่าวเมาท์ฉ่ำกรณีมีความสัมพันธ์ 3 เส้า กับเชฟหนุ่มที่มีคนรักอยู่แล้ว ถึงขั้นกล่าวหาว่าแอบแซ่บภายในงานปาร์ตี้ของสาวคนดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวานนี้ (4 ม.ค.) เบียร์ เดอะวอยซ์ ออกมาไลฟ์สด ชี้แจงทุกประเด็น โดยยอมรับว่า มีการจุ๊บกันจริง แต่ไม่ได้เกินเลย และขอโทษแล้ว พร้อมกับออกห่างทุกคน

ต่อมาเธอได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ว่า “ดารา คนดัง พิธีกร ที่มีลูกมีเมีย ยัง DM มาหาเบียร์ มากดหัวใจให้ โลกความจริงเป็นแบบนี้” พร้อมกับเปิดข้อความปริศนา

แม้ล่าสุด ‘หนุ่ม กรรชัย’ ออกมายอมรับว่าเคยดีเอ็มหา เบียร์ จริง แต่สาบานว่าไม่มีเรื่องชู้สาวแน่นอน

ล่าสุด ‘หนุ่ม กรรชัย’ เคลื่อนไหวอีกครั้ง โพสต์ภาพแชตพูดคุยกับพิธีกรชื่อดัง และเพื่อนคนสนิทอย่าง ‘ป้อง กพล’ ที่พูดคุยถึงประเด็นข่าวที่เกิดขึ้นในขณะนี้

พร้อมระบุข้อความว่า ‘เจอตัวแล้ว มึงนี่เอง พิธีกรดังมีลูกเมียกดหัวใจให้สาว #ไม่หลับไม่นอนนะมึง’

5 มกราคม พ.ศ. 2537 ห้างสรรพสินค้า ‘บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์’ เปิดให้บริการสาขาแรก บนถนนแจ้งวัฒนะ

วันนี้เมื่อ 30 ปีก่อน หรือ 5 มกราคม พ.ศ. 2537 ‘บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์’ ห้างสรรพสินค้าที่ทุกคนรู้จักและคุ้นเคยกันดี เปิดให้บริการสาขาแรก บนถนนแจ้งวัฒนะ

‘บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์’ (Big C) เป็นศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต, ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อสัญชาติไทย ดำเนินกิจการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และฮ่องกง 

โดย ‘บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์’ ในไทยเกิดขึ้นจากกลุ่มเซ็นทรัล ได้มีแนวคิดในการขยายธุรกิจออกสู่รูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ต่อมาได้ร่วมทุนกับกลุ่มอิมพีเรียล ของตระกูลกิจเลิศไพโรจน์ ในนาม ‘บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์’ เมื่อ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 และเปิดให้บริการไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาแรกในนาม ‘บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์’ บนถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร เมื่อ 5 มกราคม พ.ศ. 2537

นับจากวันแรกที่เปิดให้บริการสาขาแรกที่ถนนแจ้งวัฒนะ จนถึงวันนี้ ‘บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์’ หรือ ‘บิ๊กซี’ ที่คนไทยรู้จักกันดีก็ขยายสาขาออกไปมากถึง 1,810 สาขา โดยแบ่งเป็น ไฮเปอร์มาร์เก็ต 154 สาขา บิ๊กซีมินิ 1,449 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเพรส 1 สาขา และร้านค้าส่ง เอ็มเอ็ม ฟู้ด เซอร์วิส 1 สาขา มีร้านค้าขายยาเพรียว 146 สาขา รวมถึงมีรูปแบบที่เป็น ตลาด จำนวน 7 สาขา

ทั้งนี้ ‘บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์’ ดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “ห้างค้าปลีกของคนไทยที่อยู่ในใจชุมชน
โดยยึดถือลูกค้าเป็นหัวใจหลักในการดำเนินงาน”

4 มกราคม พ.ศ. 2547 จุดเริ่มต้น ‘ความไม่สงบ-ขัดแย้ง’ พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 เกิดเหตุการณ์ปล้นปืน จากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘ค่ายปิเหล็ง’ ในตำบลปิเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง โดยเหตุการณ์ครั้งนี้นับได้ว่าเป็น ‘จุดปะทุของความรุนแรงในสถานการณ์ไฟใต้’ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้มีทหารเสียชีวิต 4 นาย ทางด้านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า คนร้ายได้อาวุธปืนไปทั้งสิ้น 413 กระบอก ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ยึดคืนมาได้ 94 กระบอก

ส่วนผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับคดี ป.วิอาญา ร่วมกันบุกปล้นปืน โดยมีจำนวน 11 คน ถูกจับได้ 2 คน คือ นายมะซูกี เซ้ง และนายซาอีซูน อับดุลรอฮะ พร้อมอาวุธปืนของกองพันพัฒนาที่ 4 ถูกนำไปใช้ก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปี พ.ศ. 2555

โดยในระหว่างปี 2547 - 2554 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่สงบนี้กว่า 4,500 คน และได้รับบาดเจ็บกว่า 9,000 คน นับเป็นความขัดแย้งที่มียอดผู้เสียชีวิตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปี 2554 สถานการณ์กลายเป็นการคุมเชิงระดับต่ำ ส่วนใหญ่ลักษณะการก่อเหตุเป็นการประกบยิง แต่มีเหตุระเบิดแสวงเครื่อง เฉลี่ย 12 ครั้งต่อเดือน มีเหตุการณ์ความรุนแรงกว่า 11,000 ครั้ง และการวางระเบิดกว่า 2,000 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ไม่สงบเหล่านี้ ทางฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบเอง ไม่มีข้อเรียกร้องทางการเมืองออกมาชัดเจน จึงไม่สามารถสาเหตุได้ชัดเจนว่า เหตุใดความไม่สงบจึงปะทุกลับมาอีกครั้ง 

ทั้งนี้ ผู้สังเกตการณ์ วิเคราะห์ว่า การก่อเหตุได้มีการเปลี่ยนจากเป้าหมายด้านเชื้อชาติและชาติพันธุ์และแบ่งแยกดินแดนมาเป็นอิสลามิสต์หัวรุนแรง สถานที่ก่อเหตุย้ายจากป่าเข้ามาในหมู่บ้าน เมืองและนคร ในโครงสร้างแบบเซลล์ โดยใช้กลุ่มผู้ก่อเหตุขนาดเล็กประมาณ 5-10 คน โครงสร้างแบบเซลล์นี้ทำให้ไม่ต้องใช้เงินทุนสนับสนุนมากนัก

ช่วงกลางปี 2549 ตำรวจประเมินว่ามีแนวร่วมก่อเหตุราว 3,000 คน ปฏิบัติการใน 500 เซลล์ จากจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด 1,574 แห่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 

รายงานของกลุ่มวิกฤตระหว่างประเทศปี 2548 ระบุว่า ผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชน เคร่งศาสนา ติดอาวุธไม่ดีและพร้อมสละชีพเพื่ออุดมการณ์ กลางปี 2548 ยอดผู้เสียชีวิตชาวมุสลิมสูงกว่ายอดผู้เสียชีวิตชาวพุทธ ซึ่งเชื่อว่ามุสลิมที่ตกเป็นเป้านั้นใกล้ชิดกับทางการไทยหรือค้านความคิดอิสลามิสต์

จากข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ พบว่า ความถี่ของการก่อเหตุขึ้น ๆ ลง ๆ แต่สูงสุดในปี 2550 (2,409 เหตุการณ์) และ ปี 2555 (1,851 เหตุการณ์) ซึ่งศูนย์ฯ ตั้งข้อสังเกตว่าความถี่ของเหตุการณ์อาจเพิ่มขึ้นและลดลงเป็นวัฏจักรโดยจะมีความถี่สูงสุดทุก 5 ปี ยอดผู้เสียชีวิตรายปีลดลงทุกปีนับแต่ปี 2556

‘อังศณา ช้างเศวต’ เจ้าของเพลง ‘คู่กรรม’ เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 67

(3 ธ.ค. 67) ถือเป็นข่าวเศร้าในวงการบันเทิง หลังสูญเสีย ‘อังศณา ช้างเศวต’ หรือ อังศนา ศรีพัฑฒางกุระ อดีตนักร้องยุค 80 เจ้าของเพลงดังประกอบละครเรื่องคู่กรรม เสียชีวิตแล้วอย่างสงบเมื่อวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา

ขณะที่เฟซบุ๊ก Jaroensook Limbanchongkit Pone ได้โพสต์กำหนดการซึ่งมีการสวดพระอภิธรรม ณ วัดธาตุทอง พระอารามหลวง ในวันที่ 2-6 ม.ค. และจะมีพิธีฌาปนกิจศพในวันที่ 7 ม.ค. เวลา 12.00 น.

สำหรับ ‘อังศณา ช้างเศวต’ เธอเป็นพยาบาลมาก่อนที่จะผันตัวเองมาเป็นนักร้องหลังจากการประกวด ‘คอนเสิร์ต คอนเทสต์’ ที่จัดโดย JSL โดยแข่งกันเหลือเพียง 3 คนสุดท้ายคือ อังศณา ช้างเศวต, แอนนา โรจน์รุ่งฤกษ์, พิษณุ นาคสาร (เฌอ) แต่ แอนนา เป็นผู้ที่ชนะ ที่ 1 ไป

หลังจากนั้นได้ออกผลงานกับ ค่ายคีตาเรคคอร์ด ชุดแรกชื่อ ‘หนึ่งในหลาย’ ซึ่งในอัลบั้มนี้มีเพลงละครดังเรื่อง ‘คู่กรรม’ ที่แต่งโดย ‘จำรัส เศวตาภรณ์’ ส่วนผู้ทำดนตรีคือ วงบัตเตอร์ฟลาย และเป็นเพลงที่แจ้งเกิดให้เธอมาจนถึงปัจจุบัน

3 มกราคม ค.ศ. 1959 ‘รัฐอะแลสกา’ ถูกยกให้เข้าเป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหมุดหมายที่หลายคนอยากมา

‘อะแลสกา’ พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซียเมื่อในอดีต เป็นดินแดนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ กระทั่งราวปี ค.ศ. 1867 อะแลสกาก็ได้กลายไปเป็นของสหรัฐอเมริกา ในเวลานั้นชาวอเมริกันเอง ต่างพากันแปลกใจที่รัฐบาลใช้เงินซื้อพื้นที่ที่ไกลแสนไกล แถมยังร้างไร้ผู้คน หนำซ้ำยังมีแต่ก้อนน้ำแข็ง

แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป อะแลสกากลายเป็นดินแดนแห่งความหวัง เริ่มมีการค้นพบทองคำ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติมากมาย พื้นที่แห่งนี้ค่อย ๆ ถูกยกระดับจากทางการสหรัฐฯ กระทั่งเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1959 (หรือราวปี พ.ศ. 2502) อะแลสกาก็ถูกยกสถานะให้กลายเป็น ‘รัฐที่ 49’ ของประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด

เสน่ห์ของรัฐอะแลสกา คือความเป็นอเมริกาที่ไม่ใช่อเมริกา ด้วยพื้นเพของผู้คนดั้งเดิมในพื้นที่นั้นเป็นชาวเอเชียที่มาตั้งรกรากอยู่เมื่อกว่า 10,000 ปีก่อน จึงทำให้ผู้คนที่นี่มีลักษณะที่ต่างจากชาวอเมริกันออกไป มากไปกว่านั้น คือพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล (เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา) ที่นี่จึงเต็มไปด้วยธรรมชาติอันหลากหลาย เป็นหนึ่งในหมุดหมายของนักเดินทางทั่วโลกที่อยากมาเยือนให้ได้สักครั้ง

หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรแห่งปี

ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ในสมัยก่อนหากมีปัญหาทุกข์ใจ ถูกทำร้าย รังแก เอารัดเอาเปรียบ คนก็จะเรียกหา ‘ตำรวจ’ เป็นอย่างแรก ก่อนจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป แต่สมัยนี้เอะอะอะไรก็โพสต์ลงโซเชียลและแท็กหาบุคคลดังที่มีแสงในวงการสื่อ ซึ่งคนที่ถูกแท็กหาบ่อยมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย’ พิธีกรดังจาก ‘รายการโหนกระแส’ ที่ผันตัวจากอาชีพนักแสดงมารับบทพิธีกร คอยเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนผ่านรายการที่ทำ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนหรือตกทุกข์ได้ยาก 

ไม่แปลกเลย…หากประชาชนมีปัญหาเดือดร้อน จะแท็กหา ‘หนุ่ม กรรชัย’ อยู่บ่อย ๆ และเรียกได้ว่าเป็นพิธีกรที่มีกระแสมากที่สุดคนหนึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา

สำหรับเส้นทางการเป็นพิธีกรชื่อดังนั้น ‘หนุ่ม กรรชัย’ เริ่มจัดรายการประเภททอล์กโชว์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม ตั้งแต่ยุคทีวีดิจิทัลราว พ.ศ. 2557 เริ่มที่ช่อง 8 อาร์เอส กับรายการปากโป้ง ซึ่งทำเป็นระยะเวลานาน 4 ปี จนเมื่อได้ย้ายมาอยู่กับช่อง 3 จึงนำรูปแบบรายการนี้มาด้วย โดยรายการโหนกระแสออกอากาศทางช่อง 3 เอสดีครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2560

รายการโหนกระแส เป็นรายการโทรทัศน์ประเภท ‘ทอล์กโชว์’ เชิงข่าว มีพิธีกรดำเนินรายการเพียงคนเดียวคือ ‘หนุ่ม กรรชัย’ ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีพิธีกรคนเดียวนั้น เนื่องจากรูปแบบการจัดรายการต้องซักถามผู้ร่วมรายการ หากมีพิธีกรหลายคนอาจทำให้การสัมภาษณ์สะดุดได้ เพราะอาจจะมีการถามในมุมมองประเด็นที่แตกต่างกันออกไป โดยเนื้อหาหลัก ๆ จะเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม ที่มีการเรียกแขกรับเชิญมา 2 ฝั่ง และกำลังมีประเด็นร้อนกันอยู่ ให้มานั่งพูดคุยต่อหน้าเพื่อหาข้อสรุป และให้ผู้ชมทางบ้านได้ฟังความจากทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งรายการก็ได้รับกระแสจากประชาชนไปในทิศทางที่ดีมาก ๆ จนมักจะติดเทรนด์อันดับ 1 ของทวิตเตอร์ (X) ในช่วงเวลาที่ออกอากาศอยู่บ่อย ๆ

นอกจากนี้ในปี 2566 ‘หนุ่ม กรรชัย’ สามารถคว้ารางวัล ‘พิธีกรแห่งปี’ จากไนน์เอ็นเตอร์เทนอวอร์ดมาครองได้สำเร็จ ทำเอาเจ้าตัวเกือบร้องไห้บนเวที เพราะถือเป็นบทพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่จากดารานักแสดงที่เปลี่ยนผันมาเป็นพิธีกรรายการข่าว 

อย่างไรก็ตาม ‘หนุ่ม กรรชัย’ ยังมีผลงานพิธีกรในรายการอื่น เช่น เที่ยงวันทันเหตุการณ์ รายการ 3 แซ่บ และยังรับงานโฆษณาอีกด้วย

กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘หนุ่ม กรรชัย’ ต้องเผชิญกับความกดดันและแบกความหวังของผู้คนไว้มากมาย ซึ่ง ‘หนุ่ม กรรชัย’ ก็เคยออกมาเปิดเผยด้วยว่า… “ต้องการทำรายการโหนกระแสให้เป็นกระบอกเสียงของสังคมที่คนสามารถพึ่งพาได้ และในที่สุดวันนี้มันก็มาถึง”

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า ‘เราภูมิใจในตัวคุณ’ และขอขอบคุณที่เป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนมาเสมอ

ภาพยนตร์ไทยฟีเว่อร์ ‘สัปเหร่อ-ธี่หยด’ โกยรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท

ปีนี้ถือเป็นปีทองของภาพยนตร์ไทยจริง ๆ ดูได้จากกระแสคนไทยพร้อมใจซื้อตั๋ว ตบเท้าเข้าโรงภาพยนตร์กันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงครึ่งปีหลังปี 66 ที่ ‘สัปเหร่อ’ และ ‘ธี่หยด’ เข้าฉาย ก็ปลุกกระแสชมภาพยนตร์ไทยในโรงฯ ให้กลับมามีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น แถมทั้ง 2 เรื่องที่กล่าวถึงยังเดินหน้าทุบสถิติในรอบ 10 ปีอีกด้วย

หากจะนิยามว่า…ปีนี้ ‘ภาพยนตร์ไทย’ กลายเป็น Product ที่สร้างรายได้ให้กับโรงภาพยนตร์เป็นกอบเป็นกำ ก็คงไม่ผิดนัก!! เพราะด้วยเสน่ห์และรสชาติที่ถูกใจคนดู ทำให้ทั้ง ‘สัปเหร่อ’ และ ‘ธี่หยด’ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงและเรียกคนเข้ามาดูในโรงภาพยนตร์ได้ไม่ยาก

เริ่มจาก ‘สัปเหร่อ’ กำกับโดย ‘ต้องเต ธิติ ศรีนวล’ เป็นผลงานภาคแยกของจักรวาลไทบ้านเดอะซีรีส์ ซึ่งจะถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของภาคอีสาน ให้มองเห็นคุณค่าของการมีชีวิต ทำทุกอย่างให้เต็มที่ และดูแลคนที่เรารักให้ดีที่สุด 

โดยเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นในหมู่บ้านโนนคูณในจักรวาลไทบ้าน เล่าถึงชีวิตของ ‘เจิด’ (นฤพล ใยอิ้ม) หนุ่มวัย 25 ปีที่เรียนจบกฎหมาย หวังไปสอบเป็นทนายหรือปลัดอำเภอ แต่พ่อ (อัจฉริยะ ศรีทา) ที่ทำอาชีพสัปเหร่อมีอาการป่วย เขาจึงต้องมาช่วยทำงานแทน ทั้งที่กลัวผีมาก 

และอีกด้านหนึ่ง เล่าชีวิตของ ‘เซียง’ (ชาติชาย ชินศรี) ชายหนุ่มที่ยังทำใจไม่ได้ เพราะแฟนเก่า ‘ใบข้าว’ (สุธิดา บัวติก) ได้เสียชีวิตไป จึงพยายามหาวิธีด้วยการศึกษาทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อที่จะได้พบเธอในโลกหลังความตาย แต่กลับไปพบพ่อของเจิดที่รอการทำพิธีถอดจิตไปโลกความฝัน ซึ่งพ่อเจิดเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำพิธีถอดจิต เลยนำมาสู่ข้อแลกเปลี่ยน เซียงต้องมาช่วยเจิดทำอาชีพสัปเหร่อ โดยสุดท้ายแล้วนั้น…ทุกอย่างมีเวลาของมัน เพราะมันคือธรรมชาติของความจริง ทุกคนเรียนรู้ เข้าใจการยื้อ และการเสียคนที่รักไป

หลังจากสัปเหร่อเข้าฉาย ก็กลายเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์อย่างมาก และส่งผลออกมาเป็นรูปธรรมผ่านการสร้างรายได้แบบถล่มทลาย เพราะหลังจากเข้าฉายเพียงแค่ 25 วัน ก็ทำเงินแตะ 700 ล้านบาทแล้ว อีกทั้ง ยังขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงที่สุดในรอบ 8 ปีด้วย 

นอกจากนี้ ยังมีแผนโกอินเตอร์เข้าฉาย 9 ประเทศในทวีปเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ไต้หวัน, มาเลเซีย, เมียนมา, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเชีย และกัมพูชา บอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ 

อีกหนึ่งภาพยนตร์กระแสแรงก็คือ ‘ธี่หยด’ ภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญ ที่ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อ ‘ธี่หยด’ แว่วเสียงครวญคลั่ง ของ กฤตานนท์ หรือ คุณกิตติศักดิ์ กิตติวิรยานนท์ ผู้เป็นบุตรชายเจ้าของเรื่องราว เล่าถึงความลึกลับชวนขนลุกของเสียง ’ธี่หยด‘ ที่ถูกเขียนเล่าบนกระทู้พันทิปจนกลายเป็นนิยายดัง ก่อนที่คุณกิตจะนำมาเล่าอีกครั้งในรายการ The Ghost Radio ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย ‘คุ้ย ทวีวัฒน์ วันทา’

‘ธี่หยด’ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน พ.ศ. 2515 โดย ‘หยาด’ (เจลีลชา คัปปุน) และครอบครัวอาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแถบ จ.กาญจนบุรี ช่วงหน้าหนาว ‘แย้ม’ (รัตนวดี วงศ์ทอง) ซึ่งเป็นน้องสาวของหยาด เกิดอาการป่วย ประจวบเหมาะกับมีเรื่องราวประหลาด ที่เด็กสาวในหมู่บ้านเริ่มทยอยกันเสียชีวิตปริศนา และหลังจากที่แย้มเผชิญหน้ากับหญิงชุดดำปริศนาที่อาศัยโดดเดี่ยวอยู่กลางป่า ชีวิตแย้มก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 

ซึ่งความประหลาดยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ช่วงเวลายามค่ำคืน คนในครอบครัวเริ่มได้ยินเสียงพูดแปลก ๆ จากแย้มแว่วว่า "ธี่หยด...ธี่หยด..." ขณะเดียวกันกับที่พี่ชายคนโต ‘ยักษ์’ (ณเดชน์ คูกิมิยะ) กลับบ้านเกิดหลังจากปลดประจำการทหาร จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้แย้มหายจากอาการประหลาด และทำให้ครอบครัวมีชีวิตรอดไปจากเสียงเพรียกสยองยามค่ำคืน

เพียงเข้าฉายแค่ 1 วัน ธี่หยดก็สร้างรายได้ทั่วประเทศ 39 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินร้อยล้านไวที่สุดแห่งปี ใช้เวลาเพียงแค่ 3 วัน และโกยรายได้ 500 ล้าน ภายใน 20 วัน 

งานนี้โกยทั้งเงิน ทั้งคำชม และสร้างเสียงหลอนให้คนเอาไปเล่าขานจนสยองทั่วทั้งประเทศกันเลยทีเดียว

นอกจากนี้ 2 เรื่องที่หยิบยกมาแล้ว ก็ยังมี ‘4 Kings 2’ ภาพยนตร์สะท้อนปัญหาสังคม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์เรื่องราวระหว่างสถาบันอาชีวะ นักเรียนตีกัน และคำว่า ‘ครอบครัว’ ซึ่งก็ทำรายได้แตะ 200 ล้านภายใน 2 สัปดาห์

ก็หวังว่ากระแส ‘ชมภาพยนตร์ในโรงฯ’ จะยังคงอยู่ และช่วยให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเติบโตมากยิ่งขึ้น เพราะแรงกำลังสำคัญของวงการนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ บทดี ผู้กำกับเก่ง แล้วจะประสบความสำเร็จ แต่ต้องมีแรงหนุนจากผู้ชมด้วย 

และจะดียิ่งขึ้นหาก ‘รัฐบาล’ เข้ามาหนุนหลัง ปั้นให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์หลักของประเทศ ถึงตอนนั้น เราอาจจะได้เห็นภาพยนตร์ไทยเข้าชิงรางวัลระดับโลกก็ได้!!

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ
 

แอนโทเนีย โพซิ้ว นางงามแห่งปี

แม้จะชวดมงฯ 1 ไป แต่บอกเลยว่า ‘ได้ใจ’ คนไทยไปเต็ม ๆ สำหรับ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ Miss Universe Thailand 2023 ผู้สร้างประวัติศาสตร์แก่ประเทศไทย ด้วยการเข้ารอบลึกที่สุดในรอบ 35 ปี บนเวที Miss Universe 2023 ด้วยการคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 1 มาครอง

นอกจากตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 1 แล้ว ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ ยังได้สร้างความประทับใจให้แก่ทุกคน รวมถึงสื่อมวลชนด้วย โดยสื่อประเทศเจ้าภาพอย่าง ‘เอลซัลวาดอร์’ ชื่นชมและยกย่อง ‘ชุดเทพธิดาอาณาจักรอยุธยา’ ที่แอนโทเนียสวมใส่ ให้เป็น 1 ใน 10 ชุดที่ดีที่สุดบนเวที Miss Universe 2023 ในรอบชุดประจำชาติ ซึ่งชุดนี้ได้รับแรงบันดาลมาจากรูปปั้น ‘พระแม่ธรณี’ ในช่วงยุคอยุธยาที่สามและสี่ของอาณาจักรสยาม ที่มีอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 14 ถึง 18 

ส่วนการแต่งกายและเครื่องประดับถูกสร้างให้เหมือนกับรูปปั้นจากอาณาจักรอยุธยา จิวเวลรีรวมกับการใช้ลวดเส้น และใช้สีหินและพลอยคำที่มีค่าเพื่อสอดคล้องกับข้อมูลธรณีวิทยาที่บันทึกไว้จริงจากสมัยนั้น อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณแอนโทเนีย ที่โชว์ความเป็นไทยไปเฉิดฉายสู่สายตาชาวโลก

คราวนี้เรามาทำความรู้จักกับเธอให้ลึกกว่านี้กัน แอน หรือ แอนโทเนีย โพซิ้ว เกิดวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 เป็นนางงามและนางแบบลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก คุณแม่เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา และคุณพ่อเป็นชาวเดนมาร์ก จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก หลักสูตรนานาชาติ สาขาวิชาการตลาดและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด 

ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีต ต้องยอมรับเลยว่า แอนโทเนีย โพซิ้ว เป็นสาวมากความสามารถ และไม่เคยยอมแพ้ หากไล่ดูจากผลงานการประกวดที่ผ่านมา ซึ่งมีดังนี้

>> เข้าร่วมแข่งขัน ‘เดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซัน 1’ ผ่านเข้ารอบ 15 คน และเป็นลูกทีมของเมนเทอร์พลอย และได้ยุติการแข่งขันในสัปดาห์ที่ 7 เนื่องจากเมนเทอร์ลูกเกดได้คัดเธอออกจากการแข่งขัน ซึ่งทำให้เธออยู่ในอันดับที่ 10 ของรายการ

>> เข้าร่วมการประกวด ‘มิสซูปราเนชันแนลไทยแลนด์ 2019’ และสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาครองได้สำเร็จ พร้อมเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดมิสซูปราเนชันแนล 2019 ณ ประเทศโปแลนด์

>> หลังจากชนะเลิศที่ไทยไป แอนโทเนียได้เป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมประกวด ‘มิสซูปราเนชันแนล 2019’ และสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาครองสำเร็จ โดยการประกวดครั้งนี้ถือว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์กับเวทีมิสซูปราเนชันแนลของนางงามชาวไทย เพราะเธอเป็นตัวแทนจากประเทศไทยคนแรกที่สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาครอง และเป็น ‘มิสซูปราเนชันแนลคนที่ 11 ของโลก’

เรียกได้ว่า…ผลของความพยายามทำให้แอนโทเนียสามารถคว้าตำแหน่ง Miss Universe Thailand 2023 และตำแหน่งรองชนะเลิศอับดับ 1 Miss Universe 2023 มาครอบครองได้ และก้าวขึ้นสู่ ‘นางงาม’ ที่ครองใจมหาชนได้อย่างแท้จริง

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top