เธอเป็นสาวสาย วิศวกรรมโยธา ทั้งระดับปริญญา ตรีและโท
เธอค้นพบว่า ตัวเองชอบการแสดง และต้องยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อทำมันให้ดี
เธอไม่ได้ปล่อยให้คำดูแคลนเรื่องรูปร่างหน้าตา ปิดโอกาสในการพยายามเพื่อพิสูจน์ฝีมือ เธอเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์ น่าจับตา...
ขณะเดียวกันนิสัยใจคอ และการพูดจา ทำให้เรารู้สึกว่า ‘นางเอก’ จับต้องได้
The States Times LITE มีนัดกับเธอ...นางเอกน้องใหม่แห่งช่อง ONE 31 ‘เฟิร์น-นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล’ ถามหาเหตุผลว่า เหตุใดต้องมาคุยกับเธอผู้นี้ ข้อแรก เป็นเพราะละครเรื่องล่าสุดที่เพิ่งจบลงไป ‘คดีรักข้ามภพ’ สนุกมากกกก! นอกจากสนุก ยังเป็นละครน้ำดี มีคุณภาพ และแน่นอน นางเอกของเรื่องก็คือเธอ
ข้อต่อมา หากจะมองหา ‘นางเอกน้องใหม่มาแรง’ ใน พ.ศ. นี้ ควรต้องมี เฟิร์น - นพจิรา ติดอยู่ในนั้น เหตุผลสนับสนุนนั่นคือ หลายเรื่องที่เธอได้ร่วมเล่น กระแสตอบรับดีแบบไม่ธรรมดา ถ้าจำยังละครเรื่อง ‘หัวใจศิลา’ เมื่อปีก่อนได้ นั่นก็ผลงานของเธอ
ข้อที่สาม หากย้อนประวัติชีวิตของนางเอกคนนี้ เธอร่ำเรียนมาทางด้านวิศวกรรมโยธา เรียกว่าเป็น ‘สาววิดวะ’ เท่ ๆ คูล ๆ มากว่า 6-7 ปี แต่หนทางชีวิตกลับพลิกให้สาววิศวกรโยธากลายมาเป็นนางเอกเสียได้ ไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุ แต่เป็นความตั้งใจ แถมเธอยังหลงรักศาสตร์แห่งการแสดงเอามาก ๆ มากไปกว่านั้น ยังมีแพสชั่นกับงานในวงการบันเทิงอื่น ๆ ทั้งพิธีกร ดีเจ ถ้าสบโอกาสเมื่อไร คงได้เห็นผลงานด้านนี้ของเธอกันอย่างแน่อนอน
ไล่เรียงเหตุผลมาพอสมควร ขอสรุปแบบง่าย ๆ ต่อไปว่า เพราะความน่ารัก ชวนมอง และเป็นคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลัง ทั้งหมดเหล่านี้ ที่ทำให้เราต้องตามมา ‘โฟกัส’ ชีวิตของนางเอกสาวคนนี้ ตามไปทำความรู้จักกับเธอให้มากกว่านี้กันดีกว่า..
Q: ทราบว่า เฟิร์นเรียนมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ มีการประยุกต์หรือใช้ความรู้ด้านวิศวะกับงานการแสดงหรือละครอย่างไรบ้าง
A: สิ่งที่เฟิร์นรู้สึกว่ามันมีผลที่ชัดมากก็คือ เรื่องของการคิดวิเคราะห์ตัวละครค่ะ คือการที่เราอ่านตัวละคร จะสร้างตัวละครหนึ่งได้ มันต้องผ่านการวิเคราะห์ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงต้องกลายเป็นคนแบบนี้ นี่คือขั้นตอนพื้นฐานในการสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมานะคะ สิ่งนี้เฟิร์นคิดว่าสำคัญ เพราะสิ่งที่จะทำให้เรารู้จักว่าคนนี้เป็นแบบไหนได้ มันต้องเกิดจากการสังเกตต่าง ๆ มันอาจจะเป็นทักษะตั้งแต่เราเรียนมา ที่เราต้องคิดเป็นลำดับขั้นตอนว่าอะไร เป็นเพราะอะไรมันถึงเกิดอย่างนี้ การสังเกตสิ่งต่าง ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ อาจจะใช้ไหวพริบตรงนี้มาช่วยในเรื่องของการแสดงได้ แต่สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ซึ่งกันและกันก็คือ การที่คิดมากเกินไปนี่แหละค่ะ จะมีผลต่อการแสดงว่าเอาแต่คิดแล้วไม่รู้สึก มันมีข้อดีข้อเสียของมัน แรก ๆ เฟิร์นก็ไม่เข้าใจว่ามันจะแยกกันได้อย่างไร บางอย่างเราเพิ่งมารู้ว่า บางครั้งถ้าเอาแต่คิดแต่ไม่ได้รู้สึกเลยสักอย่าง มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร คือคิดได้ แต่สิ่งที่คิดต้องส่งผลต่อความรู้สึกด้วย มันถึงจะไปด้วยกันได้
Q: สมมุติว่าคะแนนเต็ม 100 และมีอยู่ 4 หมวดที่ต้องให้คะแนน คือ ความสวย ทัศนคติ ความสามารถ และความดีงาม เฟิร์นจะให้สัดส่วนคะแนนด้านไหน อย่างไรบ้าง
A: เชื่อไหมคะ คำถามนี้เป็นคำถามที่เฟิร์นต้องส่งไปถามคนอื่นว่า ฉันควรจะให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่ถ้าต้องมองตัวเอง เฟิร์นให้ทัศนคติ 30 ความสามารถ 30 ความดีงาม 25 ความสวย 15 ค่ะ
Q: ทำไมคิดว่าตัวเองสวยน้อย
A: ไม่ได้คิดว่าตัวเองสวยน้อย แต่วิเคราะห์ว่าตัวเองมีอะไรที่เป็นจุดเด่นมากกว่าค่ะ (ยิ้ม)
Q: หลายผลงานที่ผ่านมา อะไรยากง่ายบ้าง และตัวเองพัฒนามาอย่างไร มีอะไรที่ง่ายบ้างสำหรับเรา หมายถึงว่าอาจจะยากน้อยหน่อย แล้วที่ผ่านมาพัฒนามันอย่างไรบ้าง
A: จริง ๆ มันก็ยากหมดนะคะ ไม่มีอะไรง่ายเลยสำหรับเฟิร์น เพราะสุดท้ายแล้วถึงเราจะวนกลับมาเล่นโรแมนติกดราม่าแบบที่เราคิดว่าย่อยง่าย ถนัด สุดท้ายพอยิ่งเล่นมากขึ้น มันก็จะมีความท้าทาย คือเล่นอย่างไรไม่ให้คนติดภาพจำแบบเดิม ๆ เล่นแล้วไม่ให้คนรู้สึกว่า นี่คือเฟิร์น
ถ้าถามว่าอะไรง่ายคงไม่มี แต่แนวทางที่คิดว่าย่อยง่ายก็คงจะเป็นโรแมนติกดราม่า ที่มันสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายค่ะ มันไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ว่าตั้งแต่เล่นมา มีอีกเรื่องหนึ่งที่เฟิร์นกำลังถ่ายอยู่ ยังไม่ได้ออนแอร์ คือเรื่อง ‘ห้องสุดท้ายหมายเลข 6’ เป็นหนังผีที่มีความโรแมนติกดราม่าสูงมาก แล้วก็มี comedy แถมเข้ามา เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันตึงเครียดจนเกินไป ซึ่งเรื่องนี้ปีหน้าน่าจะได้ชมกัน
จากละครที่ถ่ายทำในปีนี้ เฟิร์นค้นพบตัวเองมากขึ้นใน ‘ห้องสุดท้ายหมายเลข 6’ เพราะว่าจากซีนธรรมดา แต่สำหรับเฟิร์น เราเล่นมันพิเศษทุกซีน ทำการบ้านกับตัวเองหนักมาก ที่จะเปิดเซ้นส์ในการเอาตัวละครที่ชื่อ ‘เพียงรัก’ เข้ามาให้เราเข้าใจได้มากที่สุด และเปิด range ของอารมณ์ตัวเองออกไปให้ได้มากที่สุด จากตรงนี้ เฟิร์นมาค้นพบตัวเอง และมั่นใจกับการแสดงของตัวเองมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเราอยากไปอีกขั้นหนึ่งของโลกการเป็นนักแสดง
บางครั้งนักแสดงจะมีอุปสรรค สมมติว่าตอนนี้เราผ่านด่านนี้มาได้ ผ่านไปสักแป๊บหนึ่ง ก็จะเจอด่านใหม่ของตัวเองเสมอ แล้วด่านของเฟิร์นคือ พอเราเล่นโรแมนติกดราม่ามา จนคนคิดว่าเราร้องไห้ได้ง่าย มันกลายเป็นเหมือนคำพูดที่มันกรอกหูเราว่า เราร้องไห้ได้ง่าย ร้องไห้สบายอยู่แล้ว แต่สำหรับเรายากมาก
เฟิร์นเป็นคนร้องไห้ง่ายจริง แต่ว่าพอต้องมาเล่นละคร แล้วเวลามีบทเขียนกำกับว่าซีนนี้พูดเสร็จปุ๊บ ร้องไห้อย่างหนักหน่วงหรือร้องไห้อย่างหมดแรง เราจะรู้สึกว่ากลัวทำไม่ได้ กลัวจะไปไม่ถึง
ปีนี้ก็เหมือนยอมรับตัวเอง แล้วกล้าที่จะเล่น และไม่ต้องคิดมากแล้วว่าจะร้องไห้ได้หรือร้องไห้ไม่ได้ เพราะจากเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้เราอยากทุบตัวเอง มันคือการทุบตัวเองจริง ๆ ในกระบวนการคิดและจัดการ
Q: มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่มาช่วยผลักดันเรา ได้มากกว่าแค่ตัวงาน
A: เฟิร์นรู้สึกเหมือนกับว่าช่วงที่ว่างงานมันทำให้รู้ว่า เรารักอาชีพนี้มาก เราขาดไม่ได้แน่ ๆ เฟิร์นชอบโลกของการแสดงมากจริง ๆ แล้วมันทำให้เฟิร์นรู้สึกว่า ทุกงานที่จะออกไปให้คนดูต่อจากนี้ เฟิร์นอยากให้มันพิเศษสุด ๆ เลย เพราะเฟิร์นไม่เคยคิดว่าตัวเองคือดารา เวลาใครถามว่าเป็นดารายากไหม เฟิร์นมักจะตลกเสมอ เฟิร์นจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นดารา รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดง เฟิร์นรู้สึกว่าสิ่งนี้มันเป็นอาชีพ ที่มันอาจจะพ่วงความเป็นดารามาด้วยนั่นแหละ แล้วช่วงโควิดมันทำให้รู้ว่าเรารักงานนี้มากจริงๆ และเป็นงานที่เราอยากทำต่อไป เพื่อนก็ชอบพูด...ไม่หาอะไรทำเหรอ ไม่มีอะไรทำเหรอ แล้วเวลาคนถามบ่อยๆ เฟิร์นหงุดหงิดนะ เฟิร์นไม่ได้อยากไปทำอย่างอื่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟิร์นโฟกัสแต่สิ่งนี้ อยู่อย่างนี้ .
Q: ถ้าโควิด-19 ลากนานไปกว่านี้ คาดว่าสถานการณ์ชีวิตน่าจะลำบากลงไปอีก
A: มีส่วนค่ะ แต่ว่าหลังจากเหตุการณ์มันก็ทำให้เราเริ่มมองหาธุรกิจทำ แล้วก็เริ่มลงมือทำ แต่ไม่ได้ให้อย่างอื่นมาเป็นที่หนึ่ง เรายังให้สิ่งนี้เป็นที่หนึ่ง และรู้สึกว่าอยากให้คนดูเห็นพัฒนาการของการแสดงของเราจริงๆ แล้วก็โชคดีได้จังหวะเจอคุณครูที่ดีด้วย ก็คือครูบิว (อรพรรณ อาจสมรรถ) รู้สึกว่าตรงจริตกับเราค่อนข้างมาก แล้วสิ่งที่ครูเขาสอนเราเข้าใจง่าย สามารถเข้าใจตัวเองได้ และเราเอาไปใช้ได้จริง ๆ
ครูบิวอยู่ฝั่งนาดาวค่ะ แต่ทุกวันนี้ก็มาสอนให้กับเด็ก ๆ ในสังกัดช่องวัน จริง ๆ ครูเขาเปิดสถาบันการสอนอยู่แล้วชื่อ Act-Things Studio ต้องขอบคุณครูบิวมากจริง ๆ เวลาเราไปเรียนเราไม่ได้เรียนเพื่อจะเล่นอย่างไรให้เก่งขึ้น แต่เรียนเพื่อเข้าใจตัวเองมากขึ้นไปอีก เหมือนหาร่องของตัวเองว่าจะไปทางไหนให้มันสวยงามมากขึ้นในการแสดง
Q: ฟังดูคล้ายเฟิร์นเป็นคนให้ความสำคัญกับทุกอย่างจากตัวเอง แล้วก็นำทางออกไปเพื่อทำงาน อย่างเรื่องล่าสุดได้ร่วมงานกับทุกๆ คน อย่างเต๋า (เศรษฐพงศ์ เพียงพอ) หรือคนอื่น ๆ เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเรื่องนี้
A: ดีค่ะ รู้สึกแบบ...นี่ละของจริง ของจริงเขาไม่ต้องพูดเยอะ เฟิร์นว่าสิ่งที่นักแสดงรุ่นเฟิร์นเป็น คือเรื่องของพลัง การเอาพลังออกมา เฟิร์นว่ามันเป็นเรื่องของประสบการณ์และความมั่นใจในตัวเอง คงไม่มีใครที่จะมีโอกาสได้เล่นกับนักแสดงชั้นนำมากฝีมือบ่อยๆ อย่างแม่ตุ๊ก (ดวงตา ตุงคะมณี) หรือว่าพี่เอมี่ (กลิ่นประทุม) พี่แอริน (ยุกตะทัต) และพอมาอยู่ในเซ็ต มาอยู่กับทุกคนแล้วมันเป็นโลกนั้นจริงๆ ตัวละครอื่นๆ ก็ทำให้เราเชื่อว่าเราอยู่ในโลกของเขาจริงๆ
เฟิร์นนับถือพี่ ๆ นักแสดงทุกคนเหมือนครู ทั้งพี่เต๋าเองด้วย คือการได้ทำงานร่วมกับคนใหม่ ๆ มันทำให้เราไม่ยึดติดหรือลำพองตัวว่าเราเก่ง แต่เราต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเสมอ ไม่ใช่ฉันคิดว่าฉันจะเล่นวิธีนี้ แล้วฉันก็ต้องเล่นวิธีนี้ตลอดไป คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ ฉันไม่สนใจ มันไม่ใช่ การแสดงคล้ายการตีปิงปอง ต้องทำงานร่วมกัน เราเล่นไปเวย์นี้ เขาอาจจะรับไม่ได้ เขาอาจจะไม่รู้สึก มันก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปโทษเขา ว่าทำไมคุณไม่รู้สึก เราส่งไปให้แบบนี้ ไม่ใช่
Q: เป็นได้หลายคำตอบ
A: ใช่ค่ะ แต่เราต้องมาคิดว่าเราจะทำอย่างไรดี ที่จะเปิดคลื่นความถี่เราให้มันกว้างขึ้น เพื่อจะได้ไปจูนกับเขา การทำงานนี้มันต้องฝึกที่จะไม่โทษคนอื่น แต่ให้เริ่มจากตัวเราเองก่อน เฟิร์นว่าปีนี้เฟิร์นค่อนข้างตกตะกอนเรื่องนี้ได้อย่างดีมาก ๆ จากที่แต่ก่อนเราอาจจะคิดว่าเราตั้งใจมาก แล้วทำไมรอบข้างไม่รับรู้อะไรอย่างนี้ แต่ปีนี้ไม่รู้ว่าอะไรมันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองความคิดจริง ๆ ว่า เราต้องเป็นผู้ให้ก่อนที่จะเป็นผู้รับ
Q: จริง ๆ คือ ต่างคนต่างช่วยกัน
A: อยู่รอบตัวเรา แล้วอยู่ตรงนี้มันเป็นเรื่องของการแข่งขันจริง ๆ เวลานักแสดงได้ผลงานไป รู้ว่าจะเปิดกล้องอะไร บางคนก็มองว่าอันนี้ฟอร์มเล็ก อันนี้ฟอร์มใหญ่ อันนี้น่าสนใจ อันนี้ไม่น่าสนใจ แต่เราไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย เรารู้สึกว่าทุกเรื่องที่เราได้มา ไม่ว่าจะเล็กใหญ่ เราให้คุณค่ากับมัน พอเราให้คุณค่ากับมัน เราก็เชื่อว่าจะมีคนที่เห็นคุณค่าในการทำงานของเราตรงนี้จริง ๆ แล้วเราก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ว่า มีคนเห็นคุณค่าของงานเราจริง.
Q: เฟิร์นมีอะไรบ้างที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ
A: เฟิร์นชอบทั้งดีเจและพิธีกรนะ แต่ถ้าสิ่งหนึ่งที่อยากทำมากๆ เลยคือ ดีเจ เป็นดีเจวิทยุ เฟิร์นชอบคุยไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เฟิร์นคิดว่าตัวเองสามารถทำได้ วันนี้มีเรื่องดีๆ อยากมาเล่าให้คุณผู้ฟัง เฟิร์นนึกภาพตัวเองที่จะเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน อยากทำเพราะว่าพื้นฐานมันเริ่มจากเฟิร์นชอบฟังเพลง แล้วเราก็โตมากับวิทยุ เฟิร์นยังทันโลกเก่า ก่อนที่จะเป็นดิจิตอลอย่างทุกวันนี้ เคยผ่านช่วงที่ต้องรอดีเจเปิดเพลง เราถึงจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ แล้วเราก็เลยชอบ หลงเสน่ห์ของมัน
Q: ตัวอย่างของดีเจคนโปรดล่ะ
A: ตอนนี้เฟิร์นรู้สึกว่าเฟิร์นชอบพี่อั๋น (ภูวนาท คุนผลิน) ค่ะ ชอบที่พี่อั๋นพูด น่าฟัง แล้วเขามักจะมีอะไรดีๆ มาเล่าให้ฟัง
Q: แล้วรูปแบบรายการจะต้องเป็นอย่างไร ถ้าเป็นตัวเองจัด
A: เฟิร์นอยากเปิดเพลงที่ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ในกระแสตลอดเวลา อยากเปิดเพราะเป็นคนฟังเพลงทุกแนวจริงๆ เพื่อชีวิตเฟิร์นก็ฟัง แล้วรู้สึกว่าอยากทำรายการที่ไม่ใช่ให้ผู้หญิงฟังอย่างเดียว อยากให้เป็นรายการที่มีการถกเถียงถึงประเด็นต่างๆ แล้วกล้าที่จะถกเถียงจริงๆ แบบใช้เหตุผลคุยกัน เช่น สมมติว่าวันนี้มี topic ว่า คุณคิดเห็นอย่างไรกับนักเรียนที่ไม่ใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน เราอยากเอาหัวข้ออย่างนี้มาอัพเดตคน มาส่งต่อให้ผู้ฟัง หรือไปเจอทิปดีๆ เราก็อยากเอามาบอกเขา
.
Q: ใครคือนักแสดงหรือคนดังที่เป็นคนโปรดของเรา และเพราะอะไร
A: ผู้ชายก็คือกงยูค่ะ สุดที่รัก (หัวเราะ) ที่หนึ่งในดวงใจของเฟิร์น พูดกันตามตรง เขาไม่ได้เป็นคนหล่อมาก แต่เฟิร์นชอบการแสดงของเขามาก ตั้งแต่ ‘Coffee Prince’ (เจ้าชายกาแฟกรุ่นรัก) แล้ว พอมาดูอีกรอบที่ตกหลุมรักจริงๆ คือ ‘Goblin’ (คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ) อันนี้คือที่สุด เฟิร์นดูไป 3 รอบแล้วเฟิร์นยังร้องไห้
Q: หมายถึงดูก็อบลิน 3 รอบ
A: เหมือนทุกปีต้องกลับมาดู อะไรอย่างนี้ ชอบมาก คือเขาเล่นจากหัวใจเลย มันไม่มีการหลุดเลย
Q: หรือว่าแอบอยากเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน
A: เฟิร์นคิดตลอดว่าเราเป็น เฟิร์นไม่ใช่แอบ เฟิร์นคิดตลอดว่าตัวเองคือคนนั้น (หัวเราะ)
Q: ผู้ดึงดาบออกจากอกก็อบลิน
A: ใช่ เฟิร์นจะบ้าตายที่เห็นการแสดงของเขามันทรงพลัง มันไปถึงหัวใจ แล้วมันทำให้เฟิร์นตามดูทุกเรื่องของเขา แม้กระทั่งหนังที่ไม่ได้อยู่ในกระแสมาก อย่างเรื่อง ‘Silenced’ (เสียงจากหัวใจ...ที่ไม่มีใครได้ยิน) ดีมากค่ะ เป็นหนังเก่า ไม่รู้ว่าจะหาดูได้อีกไหม เป็นหนังที่ based on true story ของเกาหลีใต้ เนื้อเรื่องพูดถึงคดีล่วงละเมิดทางเพศของคุณครูกับเด็กพิการ เฟิร์นดูจบแล้วเศร้าไปอาทิตย์หนึ่ง มันดึงไม่ออกเลย มันไม่ใช่ร้องห่มร้องไห้ แต่มันเหมือนหนังจบ แล้วทิ้งคำถามให้กับเราเลยว่า เรารู้สึกอย่างไร
Q: แล้วถ้าเป็นนักแสดงผู้หญิงล่ะ
A: ชื่อเจ๊กงค่ะ กงฮโยจิน เป็นดาราหญิงเกาหลีที่ค่าตัวสูงมาก แต่หน้าตาไม่ได้พิมพ์นิยมเลย เขาเล่นเรื่อง ‘Master's Sun’ กับโซจีซบ และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ตกหลุมรักการแสดงของเขาคือ ‘It's Okay, That's Love’ อันนี้เป็นซีรีส์ทั้งคู่ค่ะ พูดกันตามตรงในความรู้สึกเราตอนนั้น เขาไม่ได้เป็นคนหน้าตาสวยแบบในอุดมคติ เขาเป็นคนไม่ทำศัลยกรรมเลย ตอนแรกก็ดูแบบ อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงแบบเป็นนางเอกได้
Q: ความสามารถทะลุใบหน้า อะไรประมาณนี้หรือเปล่า
A: โอ้โห...สวยลืม กลายเป็นว่าเขาสวยมาก แล้วเฟิร์นไม่แปลกใจเลยที่ค่าตัวเขาจะแพงมาก เขาเก่งมากจริง ๆ เล่นเป็นจิตแพทย์ ไปตกหลุมรักคนที่เป็นจิตเภท แล้วมารู้ในตอนสุดท้ายว่าแฟนตัวเองเป็นจิตเภท โอ้โห...เขาเล่นได้ละเอียดมาก เฟิร์นเห็นลูกละเอียด การแสดงของเขาไหลลื่นเป็นธรรมชาติมาก จนทำให้เราแทบจะยกเขาเป็นไอดอลเลยนะ
ถามว่าทำไมเฟิร์นถึงมีแรงฮึดที่จะทำงานการแสดง เฟิร์นให้เขาเป็นไอดอล เพราะเฟิร์นรู้สึกว่าคนอื่นอาจจะมองว่าเขาบ้านๆ ใช่หรือเปล่า เพราะว่าเฟิร์นก็เคยโดนมาเหมือนกัน ว่าหน้าตาเฟิร์นงั้นๆ ธรรมดา เป็นนางเอกไม่ได้หรอก โดนมาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าหน้าตาอย่างนี้เดี๋ยวจะเป็นนางเอกให้ดู เพราะเราเชื่อมากกว่านั้น คือการแสดงมันกลบหน้าตา ทำให้คนคนหนึ่งมีเสน่ห์ขึ้นได้จริง ๆ เฟิร์นก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตาแล้ว มันเกี่ยวกับว่าฝีมือ
Q: เหมือนที่ให้คะแนนตัวเอง 4 ข้อก่อนหน้านี้
A: ใช่ โอเค หน้าตามันอาจจะเป็นด่านแรกแหละ ว่าคนดูจะซื้อหรือไม่ซื้อ อาจเพราะสังคมของเราด้วยที่มักจะมองกันที่หน้าตาก่อนเสมอ ถ้าหน้าตาดีใครก็ให้โอกาส พูดกันตามตรง ยิ่งผู้ชายนะ หล่อ ๆ เล่นแข็งแค่ไหนก็ได้รับการให้อภัยเสมอ แต่นี่...ยิ่งหน้าตาไม่ได้สวยมาก แล้วถ้ายิ่งเล่นแย่ก็พร้อมจะสาปส่ง ไล่ไป ชนิดว่าไล่ไปตาย อย่ามาอยู่วงการตรงนี้ เฟิร์นเคยโดนขนาดนั้น เฮ้ย...ทำไมโลกมันใจร้ายกับเราจังเลย ณ ตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้ก็มองว่ามันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้คนตระหนักว่า ไม่ว่าใครจะทำอาชีพอะไร เราไม่ควรจะไปตัดสินคนนั้นแค่ที่หน้าตา แต่ก็ยอมรับกันตามตรงว่า ถ้าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ ทำให้เฟิร์นเองก็ต้องพยายามอย่างมากที่จะเอาความสามารถเข้ามาสู้ตรงนี้ เพราะถ้าพูดกันตามตรงคือ คนสวยเยอะแยะ คนสวยเต็มไปหมดเลย
Q: อยู่ที่ว่ามองที่อะไร
A: ใช่ค่ะ แต่อยู่ที่ว่าเราจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เพราะเฟิร์นเชื่อว่าวันหนึ่งทุกคนจะต้องเหี่ยวลง จะต้องแก่ไปตามกาลเวลา แต่อะไรล่ะที่มันจะอยู่คู่กับเรา แล้วทำให้เขาเลือกใช้เราอยู่
Q: ถ้าเกิดไม่ได้ทำอะไรอยู่ตรงนี้ วันนี้จะทำอะไรอยู่ที่ไหน สร้างสะพาน สร้างตึก สไตล์สาววิศวะ
A: ไม่มีทาง เพราะเฟิร์นค้นพบว่า โอเค เฟิร์นชอบตอนเรียนจริง แต่เฟิร์นค้นพบวัฏจักรชีวิตการทำงานค่ะ เฟิร์นได้ไปลองฝึกงานมาแล้ว เฟิร์นรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขแน่นอนกับการทำงานตรงนั้นจริง ๆ ถือว่ารู้ตัวเร็ว
Q: แล้วถ้าต้องสร้าง จะสร้างอะไรครับ
A: ถ้าจะสร้างเหรอคะ... อยากสร้างพื้นที่ที่ให้เด็กได้มาแสดงออก ให้เด็กได้มาค้นหาตัวเอง เพราะว่าเฟิร์นถือว่าเฟิร์นโชคดีมากเลยที่อย่างน้อยมาค้นพบตัวเองว่ารักอะไร ชอบอะไร และได้ทำในสิ่งที่รัก มันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำในสิ่งที่รักแล้วหาเลี้ยงตัวเองได้
.
Q: เจอตัวเอง ตอนจบปริญญาตรี
A: เพราะว่าชีวิตเราอยู่แต่กับการเรียน ไม่เคยได้มีโอกาสค้นหาตัวเองเลยว่าตัวเองชอบอะไร เฟิร์นก็เลยรู้สึกว่าถ้าเฟิร์นอยากทำอะไรสักอย่างที่มันจะมีประโยชน์ หรือทำให้คนนึกถึงเรา คงอยากสร้างพื้นที่ที่ทำให้เด็กคนอื่นได้มีโอกาสมาค้นหาตัวเองอะไรอย่างนี้
Q: อาจจะรวมทั้ง ไม่จำกัดว่าความสามารถอะไรก็ตาม
A: ใช่ ๆ อาจจะเป็นอะไรก็ได้ เป็นอาร์ต หรืออะไรก็ได้ แต่ได้มาเจอตัวเอง เพราะว่ามีคนชอบมาถามเฟิร์น บางทีโรงเรียนเชิญให้ไปพูดกับรุ่นน้อง คนอื่นเขาจะพูดวิชาการ แต่เฟิร์นบอกว่าเล่นให้สนุก ให้เล่นไปด้วยเรียนไปด้วย อย่ายึดติดว่าสิ่งที่เรียนจะเป็นสิ่งที่ทำอาชีพได้ คือเฟิร์นจะเป็นแนวนี้มากกว่า
Q: อย่าไปตีกรอบ
A: อย่าไปตีกรอบตัวเองเลยค่ะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราจริง ๆ คืออะไร จนกว่าเราจะหาสิ่งนั้นเจอด้วยตัวเอง เราอาจจะไม่ได้เจอตอนอายุ 20 ก็ได้ บางคนโชคดีอาจเจอตอน 15 ก็จะมีเวลาอยู่กับมัน หรือบางคนอาจจะเจอตอน 40 ก็ได้ คือทุกคนมีช่วงเวลาไม่เหมือนกัน.
Q: วันว่างเฟิร์นทำอะไร พักผ่อนหรือทำ กิจกรรม
A: นอนค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าช่วงนี้พอเฟิร์นโฟกัสเรื่องออกกำลังกาย เฟิร์นก็จะแบ่งเวลามาให้ฟิตเนสอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 - 4 ชั่วโมงให้ได้เป็นอย่างต่ำ ทั้งสัปดาห์ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ และก็ยังชอบอยู่เสมอคือ การดูหนังดูซีรีส์
Q: ออกไปข้างนอกหรือดูที่บ้าน
A: ดูที่บ้านค่ะ แต่ถ้าเป็นหนังก็จะดูในโรง เฟิร์นชอบดูในโรงตลอด ยิ่งพอมาทำงานตรงนี้ยิ่งเห็นคุณค่าของลิขสิทธิ์
แต่ก่อนช่วงแรก ๆ เคยดูเป็นโหมดฟังก์ชั่นทำงาน แต่หลัง ๆ ต้องบอกตัวเองว่า ไม่ได้ เธอต้องกลับไปเป็นคนดูที่พร้อมเสพไปกับมัน สนุกไปกับมัน ไม่ใช่มานั่งดูแล้วอ๋อ...ดอลลี่เข้า (การเคลื่อนกล้อง) อ๋อ...ไม่คอนฯ นะ (คอนตินิว) มันก็คงติดแบบลึกๆ ไปแล้วค่ะ แต่ก็อยากจะเสพ พยายามจะบอกตัวเองให้ซึมซับแบบคนดู
Q: แล้วมีกิจกรรมอะไรที่ชอบอีก
A: ชอบอ่านหนังสือค่ะ ถ้ามีเวลาว่างจะหาหนังสือที่น่าสนใจมาอ่าน
Q: หมวดไหนเป็นพิเศษ
A: หมวดประวัติศาสตร์ หมวดท่องเที่ยว มีอยู่ 2 อย่างที่ชอบ
Q: เพราะอะไรถึงชอบประวัติศาสตร์
A: เฟิร์นว่าประวัติศาสตร์ทำให้เราเห็นความจริงบางอย่างค่ะ แล้วยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เฟิร์นรู้สึกว่าน่าสนใจ เฟิร์นก็จะอ่าน ประวัติศาสตร์บ้านเมืองเรา การเมืองไทย เฟิร์นก็อ่านเป็นความรู้รอบตัว มันช่วยให้เราตระหนักถึงปัจจุบัน และสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่โฟกัสแค่ตัวเองไปวัน ๆ
Q: ส่วนหนังสือท่องเที่ยว
A: อันนี้ก็ชอบ เพราะว่าชอบไปเที่ยว ชอบหาเวลาไปพักผ่อน
.
Q: คนแบบไหนที่เฟิร์นอยู่ด้วยแล้วมีความสุข
A: ข้อนี้ตอบยากมากค่ะ ข้อนี้ก็ตอบยากมาก
Q: เราต้องอยู่กับคนเยอะมาก เอาที่แบบอาจจะใช้เวลากับเรานานหน่อย ที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
A: คนแบบไหนที่เฟิร์นอยู่ด้วยแล้วมีความสุขเหรอคะ คนที่รับฟังเรา
Q: ขอเหตุผลสนับสนุนหน่อย
A: เฟิร์นคิดว่าคนที่รับฟังเฟิร์น และยอมรับในตัวตนของเฟิร์น ทั้งดีและไม่ดีอย่างนี้ เพราะเฟิร์นคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนจิตใจดีงามหรือประเสริฐขนาดนั้น ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ในใจ
Q: ชื่นชอบการเป็นดีเจ แล้วมีเพลงโปรดไหม
A: เพลงโปรดของเฟิร์นเยอะมากเลย
Q: ขอที่โปรดสุด ๆ ที่นึกได้ตอนนี้
A: ‘ความหมาย’ ของ Bodyslam เพลงดีมากเลย
Q: ดีเพราะเนื้อหา หรือเพราะอะไร
A: เนื้อหาพูดถึงว่า มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราไขว่คว้าหาแสงดาว แต่ไม่มีใครสักคนชื่นชมมันไปกับเรา รู้สึกว่ามัน deep มาก ดีมากเลยนะ คล้ายพอเราโตขึ้น เราก็เริ่ม...
Q: ไม่ผิวเผิน
A: ค่ะ มันไม่ผิวเผิน และเริ่มเห็นอะไรในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในที่นี้มันหมายถึงครอบครัวด้วยนะ เราผ่านความเป็นวัยรุ่น ผ่านการทะเลาะกับที่บ้าน ความไม่เข้าใจกัน ความเชื่อของเรากับความเชื่อของที่บ้านไม่เหมือนกัน การต้องการพิสูจน์ตัวเอง วันนี้เราพิสูจน์ตัวเองได้อย่างที่ใจเราต้องการแล้ว แต่ถ้าเราลืมคนข้าง ๆ ไป ลืมความหมาย มันก็ไม่มีความหมาย มันทำให้เฟิร์นรู้ เพราะในวันที่เฟิร์นเสียอาม่าไป คนที่เลี้ยงดูเฟิร์นมา สิ่งหนึ่งที่มันแล่นเข้ามาในหัวคือ ต่อไปนี้เราจะทำอะไรให้ใครดู เรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอย่างแรกเลยนะ แล้วชีวิตฉันใครจะมายินดีกับฉันอีก เวลาที่ฉันประสบความสำเร็จ
Q: ส่วนตัวเป็นคนที่เชื่อในเรื่องอะไรเป็นพิเศษ
A: เฟิร์นเป็นคนที่เชื่อในความรักมาก ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม เฟิร์นรู้สึกว่านอกจากการรักตัวเองแล้ว การที่มีใครสักคนรักเรา มาอยู่ข้าง ๆ เรานั้นดีมากจริง ๆ
.
Q: ขอปรับโหมดหน่อย คุยในมุมสบาย ๆ ถ้าจะเลี้ยงข้าวเฟิร์น ต้องพาไปกินที่ไหน
A: กินที่ไหนเหรอคะ ? เชื่อไหมว่าสิ่งแรกที่แวบเข้ามาคือ ข้าวมันไก่ ขอข้าวมันไก่ที่อร่อย ๆ ก็พอ
Q: มีที่ไหนบ้างที่ชอบไปกินข้าวมันไก่
A: ข้าวมันไก่ที่ไหนเหรอคะ ? ข้าวมันไก่โคลีเซี่ยม ข้าวมันไก่ตรงปั๊มแจ้งวัฒนะ แล้วก็ข้าวมันไก่โรงแรมมณเฑียรก็ดีค่ะ
Q: มีคำถามแหวว ๆ นิดหนึ่ง ถ้าหัวใจเฟิร์นมี 4 ห้อง ในนั้นจะมีอะไรอยู่บ้าง อะไรก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเดียวก็ได้
A: อาม่า 1 ห้อง
Q: หรือจะมีอีกหลายๆ อย่างอยู่ในห้องเดียวกันก็ได้
A: อาม่ากับป๊าให้เป็น 1 ห้อง อีกห้องหนึ่งให้เป็นอาชีพนักแสดง อีกห้องหนึ่งให้เป็นกงยู
Q: ทำไมคนเดียว
A: กงยูให้เลย 1 ห้อง อาม่ากับป๊าต้องไปเบียดกันใน 1 ห้อง แต่ว่ากงยูให้เลย 1 ห้อง
Q: ส่วนห้องที่ 4
A: ห้องที่ 4 เหรอคะ ให้เป็นอะไรดีล่ะ น่าจะเป็นธรรมชาติ เพราะเฟิร์นเชื่อว่าธรรมชาติช่วยปลอบประโลมเฟิร์นอยู่เสมอ
Q: ธรรมชาตินั้นคืออะไรบ้างครับ
A: ต้นไม้ ทะเล เป็นธรรมชาติที่จะช่วยได้ค่ะ
Q: ถ้าเกิดคนที่จะจีบเฟิร์นติดต้องเป็นคนอย่างไร เพื่อพัฒนาไปสู่ความเป็นแฟนหรือว่าคนรัก
A: ต้องเป็นคนที่ไม่ดูถูกคนอื่น และไม่ขี้อวด 2 อย่างนี้ไม่ได้เลย แล้วก็ไม่เพิกเฉยต่อความไม่ยุติธรรม เพราะว่าอารมณ์เฟิร์นจะแรงมากเวลาที่เจอเรื่องไม่ยุติธรรม ไม่แฟร์เมื่อไรปุ๊บจะขึ้นเลย
Q: ถ้าเว้นจาก 3 อย่างนี้ก็น่าจะเข้าคบกันได้
A: แล้วไม่หักหลังเราด้วย มันก็คงเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวแล้วแหละ แต่ว่าหลัก ๆ ง่าย ๆ คือไม่ดูถูกคนอื่น ไม่ขี้อวด
Q: หน้าตาอย่างไรก็ได้ รูปร่างอย่างไรก็ได้ ชาติไหนก็ได้
A: ชาติไหนก็ได้ เพศอะไรก็ได้ด้วยซ้ำ
Q: สุดยอด ใจกว้างมากเลย
A: เพศอะไรก็ได้จริง ๆ
Q: เยี่ยมยอด
A: แต่เรื่องหน้าตา เฟิร์นคงไม่ถึงขั้นเลือกแบบว่า...
Q: กงยู?
A: ก็มาตรฐานสูง แต่ถ้าเป็นอย่างที่ใจหวังได้ก็ดี (หัวเราะ)
ยังไงก็ขอให้นางเอกสาวคนสวยสมหวัง ซ้าธุ! ปีหน้าเฟิร์นยังขอให้แฟนๆ อย่างพวกเราติดตามผลงานของเธอกันต่อไป แว่วๆ ว่า จะมีผลงานทยอยออกมาอีกไม่ใช่น้อย แล้วเราจะรอเชียร์เธอ...นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล
เรื่อง: ณัฐพล ช่วงประยูร
ภาพ: S.คิม